
ที่มาภาพ : www.thaigov.go.th/
ตั้งเป้าหั่นค่าไฟเหลือ 3.7 บาท/หน่วย ยันไม่เคยพูดปรับ ‘พีระพันธุ์’ พ้น ครม. ย้ำไม่คิดปรับ ครม. – มีแต่ตรวจผลงาน รมต.ทุก 3 เดือน แจงปม “นายกฯ 2 คน” ยอมรับคุย ‘ทักษิณ’ ก่อนให้สัมภาษณ์หลัง ครม. ยันแจ้งบัญชีทรัพย์สิน ป.ป.ช.ถูกต้อง มติ ครม.เคาะงบฯปี’69 ลดงบลงทุน – ตั้งใช้หนี้เงินคงคลัง 1.2 แสนล้าน ปรับเกณฑ์ขอให้เงิน ‘หวยการกุศล’ ไม่เกิน 1,000 ล้าน/โครงการ ตั้ง ‘พิชัย’ ประธานกลั่นกรองโครงการใช้เงินหวยส่งเด็กเรียนนอก ทุ่มงบฯ 1,800 ล้าน ให้ SME-D Bank ปล่อยซอฟต์โลน 2 หมื่นล้าน
เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2568 นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล ภายหลังการประชุม ครม. เสร็จสิ้น นางสาวแพทองธาร มอบหมายให้ นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี รายงานข้อสั่งการ
ตั้งเป้าลดฝุ่น PM2.ปีนี้เหลือ 35%
นางสาวแพทองธาร รายงานว่า ที่ประชุม ครม. วันนี้ ได้เน้นย้ำเรื่องฝุ่น PM2.5 เพราะภาพจากดาวเทียมและฮอทสปอต (hotspot) แสดงถึงฝุ่นที่เพิ่มขึ้น และได้เน้นย้ำกับทุกกระทรวง โดยเฉพาะกระทรวงที่เกี่ยวข้อง เช่น เน้นย้ำให้กระทรวงอุตสาหกรรมมีมาตรการที่ชัดเจนสำหรับผู้ประกอบการ เพื่อไม่ให้รับซื้ออ้อยจากการเผา
“เรื่องปริมาณฝุ่นควันต่าง ๆจากการเผา ซึ่งปีที่แล้วมีมากถึงเกือบ 70% ส่วนปีนี้ลดลงไปครึ่งหนึ่ง เหลือการเผาแค่ 30 – 35%” นางสาวแพทองธาร กล่าว
นางสาวแพทองธาร กล่าวต่อว่า ตนได้สั่งการให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ดำเนินการเรื่องการเกษตร ให้ร่วมมือกันทั้งในเรื่องลดการเผา และสั่งการใน ครม. ว่าเมื่อไม่มีการเผาแล้วจะให้พี่น้องประชาชนทำอย่างไรได้บ้าง เพื่อให้มีทางเลือกในการแก้ปัญหาด้วย
นางสาวแพทองธาร ยังสั่งการถึงกระทรวงคมนาคม โดยให้กำชับเรื่องฝุ่นควันจากยานพะหนะขนาดใหญ่
นางสาวแพทองธาร กล่าวต่อว่า ตนได้สั่งการกระทรวงมหาดไทย กำชับกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ผู้ว่าราชการจังหวัด และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต่างๆ เพื่อให้ดูแลเรื่องนี้ทุกหน่วยอย่างเต็มที่
“ทราบดีว่าตอนนี้เป็นช่วงเวลารับฝุ่นควันเยอะ รัฐบาลก็ทำงานทุกจุดอย่างเต็มที่ ทุกกระทรวง-ทุกหน่วยงานที่มีความเกี่ยวข้อง เราได้เร่งดำเนินการเรื่องนี้ เราเตรียมการก่อนหน้านี้มาล่วงหน้าแล้ว เพราะฉะนั้นปีนี้ก็ลดลงกว่าปีที่แล้วอย่างมากแน่นอน” นางสาวแพทองธาร กล่าว
เผยพบดาราจีนถูกอุ้มแล้ว ตอนนี้ตำรวจภูธรภาค 6 รอรับตัวที่แม่สอด
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีดาราจีนที่หายตัวไป และถูกพบที่บริเวณชายแดนแม่สอด จังหวัดตาก โดย นางสาวแพทองธาร ตอบว่า “มีการพบตัวเรียบร้อยแล้ว มีการส่งตัวจากแม่สอด จังหวัดตาก ตอนนี้ตำรวจภูธรภาค 6 รอรับอยู่ เจอตัวเรียบร้อยแล้ว”
“เราต้องทำเรื่องนี้ให้ดีไม่ให้กระทบกับการท่องเที่ยวของประเทศไทยด้วย จริงๆ มีทั้งเรื่องที่เกิดขึ้นและข่าวลือที่ถูกเอาไปเล่นในโซเชียลมีเดียต่างๆ ว่าประเทศไทยมีความน่ากลัวอย่างนั้นอย่างนี้ ซึ่งเราก็พยายามอย่างเต็มที่ ดีอีก็ต้องช่วยดูด้วยในเรื่องการปล่อยข่าวลือที่ไม่จริง หรือสถานการณ์ที่ไม่ใช่เรื่องจริง เราก็เน้นย้ำเรื่องนี้เพราะว่าไม่อยากให้กระทบการท่องเที่ยวของประเทศไทย” นางสาวแพทองธาร กล่าว
เมื่อถามถึงมาตรการคุมเข้มที่กลุ่มจีนบางส่วนใช้พื้นที่ไทยในการก่อเหตุ นางสาวแพทองธาร ตอบว่า “ตอนนี้เราได้มีการประสานไปทางทูตจีนแล้วด้วย ทั้งไทยและจีนได้คุยกันเรื่องนี้อย่างเข้มข้น ตัวดิฉันตอนที่ได้ไปประชุมต่างประเทศก็ได้มีโอกาสพบผู้นำ ก็ได้เน้นย้ำถึงเรื่องนี้เช่นกัน”
“นอกจากจะกระทบการท่องเที่ยวแล้ว เราพูดถึง cyber security ต่างๆ เรื่องการดูแลการใช้สื่อโซเชียลมีเดียต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการโกง การหลอกจากคอลเซ็นเตอร์ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ทั้งสองประเทศเน้นย้ำอย่างมาก” นางสาวแพทองธาร กล่าว
นางสาวแพทองธาร ย้ำว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ใช่แค่จีนกับไทย แต่ประเทศเพื่อนบ้านหรือประเทศอื่นๆ ก็ประสบปัญหาเช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้นการดูแลอย่างใกล้ชิดสำคัญมาก รัฐบาลใช้รัฐมนตรีต่างประเทศพูดคุยกันเรื่องนี้เสมอ และถ้ามีมาตรการ หรือ ข้อสั่งการที่เพิ่มมากขึ้น ก็ติดต่อกับทูตของประเทศนั้นทันที
“ใน movement ต่างๆ ที่เกิดขึ้น ทางรัฐบาลก็ติดต่อกับทูตแต่ละประเทศตลอด เช่น ครั้งนี้ได้ติดต่อกับทูตของจีนเรียบร้อยแล้ว” นางสาวแพทองธาร กล่าว
ถามต่อว่า ฝ่ายค้านเสนอการจัดโซนนิ่งเรื่องของการฟรีวีซ่าจีน โดย นางสาวแพทองธาร ตอบว่า “ต้องลองคุยกันดูทั้งสองประเทศว่าจะเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน แต่การฟรีวีซ่าเป็นเรื่องที่รัฐบาลซัพพอร์ตมาโดยตลอดอยู่แล้ว การจัด priority และข้อตกลงระหว่างประเทศยังมีต่อ อะไรที่เป็นข้อเสนอที่ดีก็ยินดีรับฟัง”
ตั้งเป้าหั่นค่าไฟเหลือ 3.7 บาท/หน่วย
ผู้สื่อข่าวถามถึงความเป็นไปได้ในการลดค่าไฟให้เหลือ 3.7 บาทต่อหน่วย โดย นางสาวแพทองธาร ตอบว่า การปรับลดค่าไฟเป็นสิ่งที่รัฐบาลเน้นย้ำมาตลอด ไม่ว่าจะเป็นเพื่อค่าครองชีพพื้นฐาน หรือ แข่งขันได้ในเวทีโลก
“เมื่อรัฐบาลสามารถคุยและเจรจาในการลดต้นทุนได้ ทุกฝ่ายร่วมมือกัน เกิดประโยชน์กับประเทศมากมายอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นรัฐบาลมุ่งเน้นในเรื่องนี้ ไม่ว่าจะเป็นลดต้นทุน หรือ ลดค่าใช้จ่ายของพี่น้องประชาชน 3.7 บาทที่สื่อมวลชนถาม เป็นเป้าหมายที่เราอยากจะทำให้ได้” นายกรัฐมนตรี กล่าว
เมื่อถามถึงแนวทาง นางสาวแพทองธาร ตอบว่า “ก็มีการตกลงกันและการพูดคุยหลายๆ ฝ่าย ตัดส่วนที่ไม่จำเป็นออกในค่าไฟที่ซ้ำซ้อน ต้องพูดคุยกันในทุกภาคส่วนเพื่อตกลงกันในทุกภาคส่วนเพื่อจะลดค่าไฟ อาจต้องใช้เวลาสักหน่อย แต่ก็เป็นเป้าหมายของรัฐบาล พี่น้องประชาชนก็ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องนี้ เป็นเรื่องที่อยู่ใน priority แรกๆ ของการเปิดปีในการคุยอยู่แล้ว”
ไม่เคยพูดปรับ ‘พีระพันธุ์’ พ้น ครม.
ถามต่อว่า นายกฯ ได้คุยกับ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ว่ามีความเป็นไปได้หรือไม่ นางสาวแพทองธาร ตอบว่า “ในเลข 3.7 มีโอกาสเป็นไปได้ แต่ต้องมีการเวิร์คกันต่อนิดนึง แต่แน่นอนว่าจากเลขที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ เราต้องค่อยๆ ลดลงมาก่อน เรื่องดีๆ ต้องตั้งให้มันเป็นไปได้ แล้วมันก็จะค่อยๆ เป็นไปได้”
เมื่อถามว่า นโยบายลดค่าไฟเป็นหลักประกันให้นายพีระพันธ์จะไม่ถูกปรับออกจาก ครม. ใช่หรือไม่ นางสาวแพทองธาร ตอบว่า “ไม่ทราบเลยว่าทำไม…จริงๆ หลังไมค์เคยคุยกับสื่อมวลชนด้วยซ้ำว่าไม่เคยมีการพูดเรื่องปรับ ครม. และยังไม่ได้พูดเลยด้วยซ้ำ คิดว่าอำนาจการปรับ ครม. น่าจะเป็นของนายกรัฐมนตรี แต่นายกรัฐมนตรียังไม่ทราบเลยว่าจะมีการปรับ ครม. เกิดขึ้น ท่านพีระพันธ์ก็คุยกันอยู่ ตอนประชุมก็เจอกัน ไม่มีการปรับ”
ย้ำไม่คิดปรับ ครม. – มีแต่ตรวจผลงาน รมต.ทุก 3 เดือน
ถามต่อว่า นายกฯ บอกว่ายังไม่ปรับ ครม. ตอนนี้ แต่ก่อนหน้านี้บอกว่าจะเรียกรัฐมนตรีเข้ามาประเมินผลงานภายใน 3 เดือน โดย นางสาวแพทองธาร ตอบว่า “เป็นแพลน ต้องโทษที่ตัวดิฉันเอง จริงๆ แล้วอยากคุยตั้งแต่เริ่มเป็นนายกรัฐมนตรีด้วยซ้ำ แต่พอมันมีงานอย่างอย่างไล่เลียงเข้ามา เราต้องแยกก่อนว่าแต่ละกระทรวงรับผิดชอบหัวข้องานอะไรบ้าง ตอนนี้ค่อนข้างเป็นรูปเป็นร่างอย่างเต็มที่มาก”
“การเชิญรัฐมนตรีเข้ามาคุย ได้แจ้งทุกท่านตั้งแต่ปีที่แล้ว เรื่องนี้รัฐมนตรีทุกท่านไม่ตกใจแน่นอนในการเรียกมาพูดคุย เพราะจริงๆ เป็นแค่การอัพเดทสเตตัสของนโยบายนั้นๆ ว่าทำถึงไหนแล้ว” นางสาวแพทองธาร กล่าว
“อย่างที่ทุกท่านทราบ ดิฉันกระจายงานต่างๆ ให้รองนายกฯ แต่ละท่าน แต่ที่อยากเรียกมาคุยเพราะจะได้ทราบว่าคนที่อยู่หน้างานทำอะไรบ้างอย่างจริงจัง จะได้คุยกัน จัดเวลาเพื่อจะให้เวลารัฐมนตรีแต่ละท่านนำเสนอ พูดคุยและขอการซัพพอร์ตซึ่งกันและกัน ทำให้เกิดผลที่เป็นรูปธรรมมากกว่า นี่คือสิ่งที่จะเกิดขึ้น คิดว่าภายในเดือนนี้น่าจะเชิญมาคุยสักสองกระทรวง เพราะเดี๋ยวปลายเดือนมีไปประชุมที่สวิตเซอร์แลนด์” นางสาวแพทองธาร กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามหากแก้ทุนผูกขาดไม่ได้ นายกฯ จะเปลี่ยนคนทำงานแทนอย่างที่นายทักษิณ ชินวัตร กล่าวบนเวทีปราศรัยหรือไม่ นางสาวแพทองธารตอบว่า “ที่ท่านทักษิณพูด ถ้าฟังดีๆ ดิฉันคิดว่าเป็นสไตล์ของท่านทักษิณ สไตล์การทำงาน ซึ่งก็ไม่ได้เหมือนกับดิฉัน คนละแบบกัน”
“การที่เรียกมาคุย-ดิฉันไม่ได้เรียกมาคุย จริงๆ แล้วรัฐมนตรีทุกท่าน รองนายกฯ ทุกท่าน ดิฉันมีไลน์อยู่แล้ว ไลน์ส่วนตัวที่สามารถคุยกันได้ อย่างคุยกับ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราคาพืชผล ในไลน์มีแต่ตัวเลขเยอะมาก ซึ่งก็เป็นการพูดคุยและถามว่าจะช่วยสินค้าเกษตรนั้นยังไงได้บ้าง แต่เรื่องการผูกขาดทั้งราคาสินค้าอุปโภคและบริโภค เป็นสิ่งที่ต้องดำเนินการ ไม่อยากให้มีการผูกขาดเกิดขึ้น คือสิ่งที่เน้นย้ำไป จากนั้นคือ Process ของการทำงาน อะไรจะเปลี่ยนตัวยังไม่ได้พูดถึง” นางสาวแพทองธาร กล่าว
ถามต่อว่า สไตล์การทำงานที่ต่างกับนายทักษิณ จะทำให้การปรับ ครม. ของนายกฯ เป็น 3 เดือน หรือ 6 เดือน นางสาวแพทองธาร ตอบว่า “สไตล์ที่ต่างกันกับคุณพ่อ ดิฉันเป็นคนที่…ไม่แน่ใจคุณพ่อจะดีลยังไงในการทำงาน แต่ดิฉันเองคุยก่อน และคุยตรงๆ ว่าสิ่งที่นี้อยากให้เกิดขึ้นได้ไหม หนึ่ง สอง สาม และส่วนกลางซัพพอร์ตเรื่องอะไรได้บ้าง ถ้าไม่เกิดขึ้นเป็นเพราะอะไร คุยกันให้รู้เรื่อง ถ้าเป็นการละเลย ไม่สนใจการทำงาน อันนั้นมันเห็นได้ถึงเจตนา ก็คงไม่ใช่ แต่ถ้าเป็นกระบวนการเข้าใจได้ เป็นการดำเนินการ เราก็ต้องสนับสนุนให้ไปต่อ”
“ความมีเสถียรภาพคือทำให้งานมันเกิด ไม่ว่ากระทรวงต่างๆ รัฐบาล ถ้ามันมีเสถียรภาพ การงานก็ต่อเนื่อง ดิฉันยังไม่ได้มีแผนจะปรับ ครม. แต่ถ้ามีหรืออย่างไรเดี๋ยวจะบอกอีกที แต่ตอนนี้ยังไม่ได้คิดเรื่องปรับ ครม. เลย” นางสาวแพทองธาร กล่าว
แจงปม “นายกฯ 2 คน” ยอมรับคุย ‘ทักษิณ’ ก่อนให้สัมภาษณ์หลัง ครม.
ถามต่อว่า เวลานายทักษิณเคลื่อนไหวนำหน้ารัฐบาล นายกฯ รู้สึกอย่างไร นางสาวแพทองธาร ตอบว่า “ดิฉันเข้าใจว่า เวลาพูดกันว่า นายกฯ ตัวจริงบ้าง นายกฯ กี่คน อะไรก็ตามที่แปลว่าหลายๆ นายกฯ ทุกอย่างที่ผ่านมามันต่างตรงที่ว่า เผอิญดิฉันเป็นลูก ไม่ได้เป็นคู่แข่งกับท่าน เพราะฉะนั้นการที่โตขึ้นมาในบ้านที่ท่านเป็นหัวหน้าครอบครัว การที่ท่านพูดออกไปเป็นสิ่งที่ถ้าเรานำมาประยุกต์ใช้ ปรับใช้ได้ในชีวิต มันคือสิ่งดี และดิฉันมองทุกอย่างเป็น Resource เป็นแหล่งข้อมูล เป็นประโยชน์ ไม่ว่าจะเป็น ฝ่ายค้าน นักวิชาการ รัฐมนตรี หรือใครๆ ที่พูดอะไรแล้วเป็นประโยชน์ ดิฉันว่าควรจะนำมาปรับใช้ เพราะเราจะฟังไม่ได้เลยกับคนที่ไม่ชอบเรา ก็คงไม่ได้”
“คุณพ่อเองซึ่งเคยเป็นนายกฯ มาก่อนและประสบความสำเร็จอย่างมาก เพราะฉะนั้นการพูดหรืออะไร ดิฉันรับฟังได้อยู่แล้ว ถ้ารู้สึกไม่แฮปปี้เมื่อไร สื่อมวลชนไม่ต้องลุ้น หลังไมค์กันแล้วแน่นอน มันก็เป็นอย่างนั้น เราคิดง่ายๆ ว่าเวลาคนในครอบครัวคุยกันอย่างไร ดิฉันก็คือหนึ่งในนั้น แต่ถามว่ารู้สึกอะไรไหม ก็ไม่ มันเป็นสไตล์การพูดของท่าน” นางสาวแพทองธาร กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า นายทักษิณมักจะออกมาพูดก่อนแล้ว รัฐบาลทำตาม ทำให้คนคิดว่าเป็นนายกฯ ตัวจริง โดย นางสาวแพทองธาร ตอบว่า “นั่นคือการคุยกันหลังไมค์ก่อน ตัวดิฉันเองก็กำหนดไว้ว่า การสัมภาษณ์ของดิฉันคือวันอังคารหลัง ครม. เท่านั้น พอท่านทักษิณออกไปพูดก่อน มันก็ถึงรอบที่ท่านได้พูดก่อน ก็ไม่เป็นไร ประโยชน์อยู่ที่ใคร ประโยชน์อยู่ที่ประเทศหรือเปล่า งั้นจบ เพราะดิฉันเองไม่ได้กระทบอะไร ไม่ได้รู้สึกว่านายกฯ สองคนสามคนแล้วต้องเสียใจหรืออะไร ดิฉันไม่ได้เสียใจ”
ผู้สื่อข่าวบอกว่า เหมือนแบ่งบทกันให้พ่อเป็นฝ่ายบู๊ ลูกเป็นฝ่ายประนีประนอม นางสาวแพทองธาร ตอบว่า “สิ่งที่คุณพ่อพูดหลายๆ อย่างบางทีมันก็ไม่ได้เกิดขึ้น หลายอย่างมันต้องผ่านมติ ครม. มติพรรค มติหลายๆ อย่าง”
“คุณพ่อเป็นคนมี vision ที่คิดก่อนว่าจะอย่างนั้นอย่างนี้ ดิฉันคิดว่าก็ดี เพราะในเมื่อท่านไม่ได้ดำรงตำแหน่ง ก็ทำให้ใครฟัง vision ก็คือ vision แต่มา take เป็น action ได้หรือไม่ ต้องอยู่ที่ฝ่ายบริหาร เราก็ต้องแยกก่อนว่า vision เป็นอย่างนั้น ฝ่ายบริหารว่ายังไง จะเกิดอะไรขึ้น มันก็ต้องแยกภาพให้ชัดเจน บางเรื่องมันไม่ได้กระทบกันหมด”
มั่นใจยื่นบัญชีทรัพย์สิน ป.ป.ช.ถูกต้อง
สุดท้ายผู้สื่อข่าวถามเรื่องการยื่นบัญชีทรัพย์สิน โดยเฉพาะการเช่าอสังหาริมทรัพย์ที่ประเทศอังกฤษ โดย นางสาวแพทองธาร ตอบว่า “จริงๆ แจ้ง ป.ป.ช. ไปหมดแล้วทุกอย่าง ไม่อยากตอบในรายละเอียดมาก แต่จะเล่าให้ฟังว่า ที่อังกฤษที่บอกว่าเป็นกี่ร้อยๆ ปี เขาไม่ได้จะปล่อยขายแบบ freehold เท่านั้นเอง เป็นการขายอารมณ์ leasehold แค่ข้อกฎหมายเขาไม่เหมือนบ้านเรา แต่รายละเอียดเรื่องต่างๆ ดิฉันแจ้ง ป.ป.ช. ถูกต้องตามกฎหมายหมดแล้ว”
เลื่อนประชุม ครม.จัดงานพระราชพิธีสมมงคล 14 ม.ค.นี้
นายจิรายุ รายงานว่า สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้แจ้งการเลื่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เป็นวันจันทร์ที่ 13 ม.ค. 2568 เวลา 10.00 น. เนื่องด้วยในวันอังคารที่ 14 มกราคม รัฐบาลจัดงาน “พระราชพิธีสมมงคล”
นายจิรายุ รายงานว่า นายกฯ เชิญชวนประชาชนร่วมงานมงคลแห่งปีในงาน “พระราชพิธีสมมงคล” 14 ม.ค. ซึ่งรัฐบาลได้จัดงานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีสมมงคลพระชนมายุเท่ากับพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 ในวันที่ 14 มกราคม 2568 ประกอบด้วย 7 กิจกรรม ได้แก่
-
1. พิธีสืบพระชะตาหลวง ณ สวนสราญรมย์ และวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ระหว่างวันที่ 13 – 20 มกราคม 2568
2. บูรณปฏิสังขรณ์วัดสังกัสรัตนคีรี จ.อุทัยธานี
3. จัดแสดงโขนเรื่องรามเกียรติ์ ณ ลานพระปฐมบรมราชานุสรณ์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ในวันที่ 14 มกราคม 2568
4. จัดทำเหรียญกษาปณ์ที่ระลึกและเหรียญที่ระลึกเฉลิมพระเกียรติฯ
5. จัดพิธีทางศาสนาและกิจกรรมถวายพระราชกุศล ณ ศาสนสถานที่เกี่ยวเนื่องกับพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
6. จัดพิธีเจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนา ถวายพระราชกุศล
7. จัดกิจกรรมปลูกต้นไม้ ณ อุทยานเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร
ทั้งนี้ วันที่ 14 มกราคม 2568 เป็นโอกาสมหามงคลสมัยพิเศษ เนื่องจากเป็นวันที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเจริญพระชนมายุได้ 26,469 วัน เป็นสมมงคล (สะ–มะ-มง-คน) เท่ากับพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
กวดขันรถควันดำ – กำชับ อปท.คุมไซต์ก่อสร้าง ลด PM2.5
นายจิรายุ กล่าวต่อว่า นายกฯ มีข้อสั่งการเร่งด่วนในที่ประชุม ครม. เรื่องมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหา PM2.5 โดยขณะนี้เข้าสู่ฤดูกาลที่ปัญหา PM2.5 เริ่มรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะการรับซื้ออ้อยที่ถูกเผาในหลายพื้นที่ ในขณะที่ภาพถ่ายดาวเทียมก็เริ่มเห็น Hotspot เพิ่มมากขึ้นในบางจังหวัด
ดังนั้น นายกฯ ขอให้หารือประเด็นดังกล่าวในที่ประชุม ครม. วันนี้ และมอบหมายให้หน่วยงานต่างๆ ไปดำเนินการ ดังนี้
-
• ให้กระทรวงคมนาคม และ สตช. ตรวจสอบและห้ามใช้ยานพาหนะที่ปล่อยควันดำเกินมาตรฐานอย่างจริงจัง โดยเฉพาะรถปิคอัพ / รถโดยสาร / รถบรรทุกขนาดใหญ่ ที่ปล่อยควันดำรวมทั้งรถขนส่งมวลชนของ ขสมกระทรวง และรถร่วมบริการเส้นทางต่างๆ ที่อยู่ในความดูแลของรัฐ
• ให้กระทรวงมหาดไทย กำชับ กทม. และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกแห่ง ให้ควบคุมการก่อสร้างในเขตพื้นที่รับผิดชอบ รวมทั้งกำหนดมมาตรการป้องกันการปล่อย PM2.5 จากไซต์งานก่อสร้าง รวมทั้งบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัดให้กับผู้ประกอบการที่ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมายหรือมาตรการดังกล่าวอย่างจริงจัง
• ให้กระทรวงมหาดไทย (กรมโยธาฯ) กำหนดแนวทางป้องกันมิให้เกิดการปล่อย PM2.5 ในโครงการก่อสร้างของรัฐ เพื่อให้ทุกหน่วยงานของรัฐนำไปกำหนดใน TOR ของการจ้างก่อสร้างต่อไป เพื่อแก้ปัญหาในระยะยาว
• ให้กระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมกับ กระทรวงอุดมศึกษา และ กระทรวงทรัพยากรฯ พัฒนา Platform ฐานข้อมูลกลางเกี่ยวกับ hotspot และ ventilation โดยใช้ข้อมูลจากดาวเทียม หรือ low cost sensors เพื่อให้หน่วยงานต่าง ๆ นำไปใช้ในการแก้ปัญหาการฟุ้งกระจายของ PM2.5 อย่างบูรณาการ
• ให้กระทรวงต่างประเทศ หารือกับประเทศเพื่อนบ้านเพื่อร่วมมือและให้ความช่วยเหลือในการลดปัญหาฝุ่นควันข้ามพรมแดน
• ให้กระทรวงมหาดไทย กำชับกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย / ผู้ว่าราชการจังหวัด / และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อเตรียมการป้องกันกรณีที่มีการลักลอบเผาและเกิดไฟไหม้ลุกลามในวงกว้างและเป็นต้นเหตุของ PM2.5
เร่งมาตรการงดรับซื้ออ้อยไฟไหม้
นายจิรายุ ยังกล่าวถึงมาตรการเกี่ยวกับพืชผลทางการเกษตรที่มีการเผา โดยนายกฯ มีข้อสั่งการ ดังนี้
-
• ให้กระทรวงอุตสาหกรรม เร่งกำหนดมาตรการเพิ่มเติมเพื่อให้ผู้ประกอบการงดการรับซื้ออ้อยไฟไหม้
• ให้กระทรวงทรัพยากรฯ ร่วมกับ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ บังคับใช้กฎหมายส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมอย่างเข้มงวดกับผู้เผาป่า / เผาตอซังข้าว / ข้าวโพด / อ้อยและพืชอื่น ๆ รวมทั้งประกาศกำหนดเขตควบคุมมลพิษ โดยร่วมมือกับภาคประชาสังคมในการดำเนินการดังกล่าว
• ให้กระทรวงพาณิชย์ ร่วมกับ กระทรวงเกษตร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กำหนดมาตรการห้ามนำเข้าอ้อยไฟไหม้ รวมทั้งพืชเกษตรอื่น ๆ ที่ผ่านการเผา
• ให้กระทรวงกลาโหม / ขอให้หน่วยงานความมั่นคงและกรมศุลกากรตรวจสอบการลักลอบการนำเข้าพืชที่ผ่านการเผาทุกชนิดตามแนวชายแดนต่าง ๆ อย่างเข้มงวด
นายจิรายุ กล่าวต่อว่า นายกฯ ขอให้ทุกหน่วยงานตรวจสอบกฎหมายในความรับผิดชอบและเสนอต่อ ครม. เพิ่มเติมภายในเดือนมกราคมนี้ว่า ในแต่ละกระทรวงจะมีมาตรการอะไรเพิ่มเติม หรือใช้กฎหมายที่มีอยู่ในการแก้ไขปัญหา PM2.5 อย่างยั่งยืนได้อย่างไรบ้าง เพื่อทำให้ประเทศไทยเป็นประเทศอากาศสะอาดในเร็ววัน
สั่งท่องเที่ยวเร่งแก้ภาพลักษณ์ หลังดาราจีนหายตัว
จากกรณีดาราชายชาวจีนหายตัว จากกรณีที่ดาราชายชาวจีน เดินทางมาประเทศไทย ถึงสุวรรณภูมิ เมื่อวันที่ 3 มกราคม 2568 และหายตัวไปที่ อ.แม่สอด จ.ตาก นายจิรายุ รายงานว่า กรณีดังกล่าวนับเป็นเหตุการณ์สะเทือนขวัญ และกระทบต่อบรรยากาศการท่องเที่ยวอย่างยิ่ง นายกฯ จึงมีข้อสั่งการให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และ กระทรวงต่างประเทศ เร่งติดตามคลี่คลายคดีหาตัวผู้สูญหายโดยด่วนที่สุด และให้ กระทรวงท่องเที่ยวฯ ติดตามกระแสข่าว และแก้ไขข่าวด้านลบโดยเฉพาะในประเทศไทย และจีนอย่างใกล้ชิดด้วย
สั่งทุกกระทรวงประชาสัมพันธ์งานวันเด็ก
นายจิรายุ กล่าวต่อว่า ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ครั้งแรกของปี 2568 นายกรัฐมนตรี ได้ขอให้ทุกกระทรวงประชาสัมพันธ์การจัดงานวันเด็กในแต่ละกระทรวง และส่งให้สำนักโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี รวบรวบเพื่อประชาสัมพันธ์ต่อไป
มติ ครม.มีดังนี้

ที่มาภาพ : www.thaigov.go.th
เคาะงบฯปี’69 ลดงบลงทุน – ตั้งใช้หนี้เงินคงคลัง 1.2 แสนล้าน
นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติเห็นชอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 จำนวน 3,780,600 ล้านบาท ซึ่งเท่ากับกรอบวงเงินตามแผนการคลังระยะปานกลาง (ปึงบประมาณ 2569 – 2572) ที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2567 โดยปี พ.ศ. 2569 นี้ เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 จำนวน 27,900 ล้านบาท (ปี 2568 จำนวนเงิน 3,752,700 ล้านบาท) ร้อยละ 0.7 โดยจะมีรายได้สุทธิจำนวน 2,920,600 ล้านบาท และเป็นเงินกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ จำนวน 860,000 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 4.3 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ ซึ่งปี 2569 นี้ เป็นการจัดทำงบประมาณขาดดุลลดลงจากปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ภายใต้สมมติฐานทางเศรษฐกิจในปี 2569 ที่มีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจในช่วงร้อยละ 2.3 – 3.3 (ค่ากลางร้อยละ 2.8) และอัตราเงินเฟ้อ (GDP Deflator) ในช่วงร้อยละ 0.7 – 1.7 (ค่ากลางร้อยละ 1.2) โดยมีรายละเอียด ดังนี้
โครงสร้างงบฯ พ.ศ. 2569 ประกอบด้วยรายจ่ายประจำ จำนวน 2,645,858.9 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 70.0 ของวงเงินงบประมาณรายจ่ายเพื่อชดใช้เงินคงคลัง จำนวน 123,541.1 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 3.3 ของวงเงินงบประมาณ , รายจ่ายลงทุน จำนวน 860,000 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 22.7 และรายจ่ายชำระคืนต้นเงินกู้ จำนวน 151,200 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 4.0 การจัดทำงบประมาณปี 2569 นี้ รัฐบาลได้ขอให้หน่วยงานต่าง ๆ ปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2567 อย่างเคร่งครัดดังนี้
-
1) ให้กระทรวงการคลังจัดเก็บรายได้ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยให้เทียบเคียงการดำเนินการกับประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใกล้เคียงกับประเทศไทย
2) ให้หน่วยรับงบประมาณใช้จ่ายให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากที่สุด เพื่อให้มีความคุ้มค่า ประหยัด และเกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชน สำหรับการจัดทำคำขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีให้เสนอขอรับเท่าที่จำเป็นเท่านั้น โดยให้ความสำคัญกับโครงการลงทุนของภาครัฐ
3) ให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐที่มีเงินนอกงบประมาณ เงินรายได้ หรือเงินสะสม ให้นำเงินเหล่านี้มาใช้ดำเนินโครงการ / ภารกิจในความรับผิดชอบเป็นลำดับแรก รวมทั้งพิจารณาแหล่งเงินอื่นเพื่อนำมาใช้ในการดำเนินโครงการของหน่วยงานตามความเหมาะสม
4) ให้ทุกกระทรวงและรัฐวิสาหกิจเร่งรัดการเบิกจ่ายงบลงทุนรัฐวิสาหกิจ รวมทั้งให้รัฐวิสาหกิจพิจารณาลงทุนในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อจูงใจให้ภาคเอกชนและนักลงทุนจากต่างประเทศเข้ามาลงทุนในประเทศเพิ่มมากขึ้น
“นายกรัฐมนตรีได้กำชับถึงการใช้เงินงบประมาณ โดยขอให้มุ่งเน้นการดำเนินการตามนโยบายสำคัญของรัฐบาล รวมทั้งเสริมสร้าง ขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศและเร่งแก้ไขปัญหาเร่งด่วน ทั้งปัญหาหนี้สิน รายได้ และค่าครองชีพตลอดจนสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจ ต่อยอดการพัฒนาของภาคการผลิตและการบริการ เพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน เร่งส่งเสริมการท่องเที่ยว และพัฒนาประเทศอย่างต่อเนื่อง เพื่อวางรากฐานของประเทศไทยให้เกิดความเท่าเทียมและยังยืน” นายจิรายุ กล่าว
ปรับเกณฑ์ขอให้เงิน ‘หวยการกุศล’ ไม่เกิน 1,000 ล้าน/โครงการ
นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติเห็นชอบการทบทวนหลักการและแนวทางการพิจารณาการออกสลากการกุศล เพื่อให้การพิจารณาและการติดตามการออกสลากการกุศลครั้งต่อไปเป็นไปอย่างเหมาะสม มีความรอบคอบ ชัดเจนยิ่งขึ้น และสอดคล้องกับสถานการณ์และข้อเท็จจริงในปัจจุบัน ดังนี้
1. ให้องค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการฯ เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2564 เช่นเดิม
2. ให้มีการทบทวนหลักเกณฑ์และแนวทางในการพิจารณาการออกสลากการกุศล (หลักเกณฑ์ฯ) เป็นดังนี้
-
2.1 ประเภทของหน่วยงานที่ขอรับการสนับสนุน ต้องเป็นหน่วยงานของรัฐตามพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2561 หรือมูลนิธิที่ได้จดทะเบียนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ หรือองค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไร
2.2 ลักษณะของโครงการที่ขอรับการสนับสนุน
-
1) เป็นโครงการที่มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาด้านการศึกษา การสาธารณสุขหรือการลดความเหลื่อมทางสังคม รวมถึงเป็นโครงการที่ก่อประโยชน์แก่ประชาชนและสังคมอย่างทั่วถึงในวงกว้าง
2) เป็นโครงการที่ไม่ได้รับการจัดสรรงบประมาณจากภาครัฐ หรือได้รับการจัดสรรแต่ไม่เพียงพอ และไม่มีการดำเนินงานซ้ำซ้อนกับโครงการที่เสนอขอรับเงินงบประมาณจากภาครัฐทั้งทางตรงและทางอ้อม รวมทั้งไม่มีลักษณะเป็นเงินหมุนเวียนเพื่อใช้ในการบริหารจัดการหรือดำเนินกิจกรรมส่งเสริมทั่วไป
3) เป็นโครงการที่ไม่ได้รับการสนับสนุนเงินจากการออกสลากการกุศลมาก่อน
2.3 การพิมพ์สลากการกุศลกำหนดให้ไม่เกินจำนวน งวดละ 11 ล้านฉบับ
2.4 วงเงินที่จะให้การสนับสนุนโครงการต้องไม่เกินโครงการละ 1,000 ล้านบาท และการพิจารณาสนับสนุนโครงการที่ขอออกสลากการกุศลจะต้องมีวงเงินรวมไม่เกิน 10,000 ล้านบาท
2.5 การพิจารณาออกสลากการกุศลในครั้งถัดไป จะดำเนินการภายหลังจากสำนักงานสลากฯ ออกสลากการกุศลครบวงเงินตามโครงการที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติครั้งก่อนโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี
2.6 รายละเอียดข้อเสนอโครงการที่ขอรับการสนับสนุน อย่างน้อยต้องประกอบด้วยความเป็นมาของโครงการ เหตุผลความจำเป็น วัตถุประสงค์ เป้าหมาย รวมถึงผลลัพธ์และผลสัมฤทธิ์ของโครงการที่สะท้อนถึงประโยชน์ต่อประชาชนและสังคมอย่างทั่วถึงในวงกว้าง แผนการดำเนินงาน ผลประกอบการและการวิเคราะห์สถานะทางการเงินของหน่วยงานที่ขอรับการสนับสนุน ตัวชี้วัดความสำเร็จของการดำเนินโครงการและแนวทางการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการดำเนินงานของโครงการ เป็นต้น
2.7 การกำกับและติดตามโครงการสลากการกุศล 1) หน่วยงานที่ได้รับการสนับสนุนเงินจากการออกสลากการกุศลต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์การกำกับ และติดตามโครงการสลากการกุศล หรือ ตามแนวทางการกำกับและติดตามโครงการสลากการกุศลอื่นใด ตามที่คณะกรรมการฯ กำหนด 2) ให้คณะกรรมการฯ มีอำนาจในการกำหนดระยะเวลาผูกพันวงเงิน ขยายระยะเวลาผูกพันวงเงิน หรือ ขยายระยะเวลาดำเนินการตามแผนเบิกจ่ายตามเหตุผลความจำเป็นแล้วแต่กรณี ทั้งนี้ หากคณะกรรมการฯ พิจารณาแล้วเห็นว่า โครงการดังกล่าวไม่สามารถบรรลุวัตถุประสงค์ได้ให้นำเสนอคณะรัฐมนตรี พิจารณายกเลิกการสนับสนุนเงินจากการออกสลากการกุศลให้โครงการดังกล่าว
ทั้งนี้ หากประเภทของหน่วยงาน หรือ ลักษณะโครงการที่ขอรับการสนับสนุนแตกต่างจากหลักเกณฑ์และแนวทางในการพิจารณาดังกล่าวข้างต้น ให้คณะกรรมการฯ พิจารณาเหตุผลและความจำเป็นเสนอกระทรวงการคลังเพื่อพิจารณานำเสนอคณะรัฐมนตรี
3. ช่องทางการยื่นข้อเสนอขอรับการสนับสนุนเงินจากการออกสลากการกุศล
-
3.1 ให้มีการประชาสัมพันธ์เผยแพร่กำหนดระยะเวลาการยื่นข้อเสนอขอรับการสนับสนุนเงินจากการออกสลากการกุศลและหลักเกณฑ์ฯ บนเว็บไซต์ของสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) และสำนักงานสลากฯ
3.2 หน่วยงานที่ประสงค์ขอรับการสนับสนุนเงินจากการออกสลากการกุศลยื่นข้อเสนอที่ สคร.
4. การเปิดเผยโครงการที่ได้รับการสนับสนุน ให้มีการประชาสัมพันธ์เผยแพร่รายชื่อหน่วยงานที่ได้รับการสนับสนุน ชื่อโครงการและวงเงินที่ได้รับการสนับสนุน บนเว็บไซต์ของ สคร. และสำนักงานสลากฯ
5. สัดส่วนการจัดสรรรายได้จากการจำหน่ายสลากการกุศล ดังนี้ 1) ร้อยละ 60 เป็นเงินรางวัล 2) ไม่เกินกว่าร้อยละ 22.5 เป็นเงินรายได้ที่ให้กับหน่วยงานที่ได้รับการสนับสนุน 3) ร้อยละ 0.5 เป็นค่าภาษีการพนัน 4) ไม่เกินกว่าร้อยละ 17 เป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารงาน ซึ่งรวมถึงค่าใช้จ่ายในการจำหน่ายสลากการกุศลด้วย กรณีมีเงินคงเหลือภายหลังจากการจัดสรรการสนับสนุนโครงการสลากการกุศลให้สำนักงานสลากฯ นำส่งเงินดังกล่าวคืนเป็นรายได้แผ่นดิน
“การดำเนินการโครงการสลากการกุศลจะช่วยสนับสนุนโครงการที่มีวัตถุประสงค์ เพื่อพัฒนาด้านการศึกษา การสาธารณสุข หรือ ลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม ซึ่งก่อให้เกิดประโยชน์แก่ประชาชน และสังคมอย่างทั่วถึงในวงกว้าง ที่ไม่ได้รับการจัดสรรงบประมาณจากภาครัฐหรือได้รับการจัดสรรแต่ไม่เพียงพอ ให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงิน เพื่อดำเนินการโครงการดังกล่าวได้อย่างทันท่วงที ซึ่งจะทำให้เกิดประโยชน์ต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น” นายคารม กล่าว
เพิ่มความเร็วรถบน ‘ดอนเมืองโทลล์เวย์’ ไม่เกิน 100 กม./ชม.
นายคารม กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราความเร็วของยานพาหนะบนทางหลวงสัมปทาน พ.ศ. …. ซึ่งปัจจุบันทางหลวงสัมปทานมีเพียงสายเดียว คือ ทางหลวงสัมปทานหมายเลข 5 สายทางยกระดับอุตราภิมุข (ดินแดง – อนุสรณ์สถาน) และไม่มีกฎหมายกำหนดอัตราความเร็วสำหรับยานพาหนะที่วิ่งบนทางหลวงสัมปทานไว้เป็นการเฉพาะ มีเพียงกฎกระทรวงกำหนดอัตราความเร็วสำหรับการขับรถในทางเดินรถ พ.ศ. 2564 ซึ่งเป็นกฎหมายทั่วไปในลักษณะกฎหมายกลางที่กำหนดความเร็วสำหรับการขับรถในทางเดินรถไว้ จึงยังไม่เหมาะสมกับลักษณะของทางหลวงสัมปทาน ส่งผลให้การจราจรบนทางหลวงสัมปทานเกิดความไม่คล่องตัวเท่าที่ควร และมักเกิดกรณีการกระทำความผิดที่ผู้ขับขี่ขับรถเร็วเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนดจึงมีความจำเป็นต้องออกกฎกระทรวง เพื่อรองรับการดำเนินการดังกล่าว และให้เกิดความคล่องตัวความสะดวก และความปลอดภัยในสัญจรบนทางหลวงดังกล่าว
นายคารม กล่าวต่อว่า ร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราความเร็วของยานพาหนะบนทางหลวงสัมปทาน มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้มีกฎหมายสำหรับการกำหนดอัตราความเร็วของยานพาหนะบนทางหลวงสัมปทานที่สอดคล้องกับการใช้ความเร็วที่เหมาะสมบนทางสัมปทาน ดังนี้
1. กำหนดอัตราความเร็วของยานพาหนะบนทางหลวงสัมปทานตามประเภทของยานพาหนะ ดังนี้
-
1.1 รถบรรทุกที่มีน้ำหนักรถเกิน 2,200 กิโลกรัม หรือ รถบรรทุกคนโดยสารที่มีที่นั่งคนโดยสารเกิน 15 คน ให้ใช้อัตราความเร็วไม่เกิน 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง (ปัจจุบัน ใช้อัตราความเร็วไม่เกิน 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง)
1.2 รถขณะที่ลากจูงรถอื่น หรือ รถยนต์สี่ล้อเล็ก ให้ใช้อัตราความเร็วไม่เกิน 65 กิโลเมตรต่อชั่วโมง (ปัจจุบัน ใช้อัตราความเร็วไม่เกิน 45 กิโลเมตรต่อชั่วโมง)
1.3 รถโรงเรียน หรือ รถรับส่งนักเรียน ให้ใช้อัตราความเร็วไม่เกิน 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง (ปัจจุบัน ใช้อัตราความเร็วไม่เกิน 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง)
1.4 รถอื่นนอกจากข้อ 2.1.1 ถึงข้อ 2.1.3 ให้ใช้อัตราความเร็วไม่เกิน 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง (ปัจจุบันใช้อัตราความเร็วไม่เกิน 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง)
2. กำหนดให้รถที่อยู่ในช่องเดินรถช่องขวาสุด ต้องใช้ความเร็วไม่ต่ำกว่า 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เว้นแต่ในกรณีที่ช่องเดินรถนั้นมีข้อจำกัดด้านการจราจรหรือทัศนวิสัย มีสิ่งกีดขวาง หรือมีเหตุขัดข้องอื่น (ปัจจุบัน ไม่มีกำหนดไว้ในกฎกระทรวงกำหนดอัตราความเร็วสำหรับการขับรถในทางเดินรถ พ.ศ. 2564)
มอบปลัด อว.เซ็น MOU กองทุนแม่โขง – ล้านช้าง
นายคารม กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติเห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในโครงการภายใต้ กองทุนพิเศษแม่โขง-ล้านช้าง (กองทุนฯ) ประจำปี พ.ศ. 2567 (Memorandum of Understanding on the Cooperation on Projects of the Mekong-Lancang Cooperation Special Fund 2024) (ร่างบันทึกความเข้าใจฯ) ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงถ้อยคําของร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่มิใช่สาระสำคัญเพื่อให้สอดคล้องกับผลประโยชน์และนโยบายของประเทศไทย (ไทย) ให้ อว. หารือร่วมกับกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) เพื่อพิจารณา ดำเนินการในเรื่องนั้น ๆ โดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีก รวมทั้ง อนุมัติให้ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เสนอ
นายคารม กล่าวว่า กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม นําเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบ ร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในโครงการภายใต้กองทุนพิเศษแม่โขง – ล้านช้าง ประจำปี พ.ศ. 2567 (ร่างบันทึกความเข้าใจฯ) และอนุมัติให้ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม หรือ ผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจดังกล่าว เพื่อใช้เป็นแนวทางการบริหารจัดการงบประมาณของโครงการที่ได้รับการอนุมัติ จากสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทยให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด รวมจำนวน 10 โครงการ รวมเป็นเงินจำนวน 2,656,900 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 91.69 ล้านบาท ดังนี้
-
• โครงการส่งเสริมการเกษตรที่ยั่งยืนในอนุภูมิภาคล้านช้าง – แม่โขง : การบูรณาการปุ๋ยชีวภาพ เพื่อการผลิตพืชเศรษฐกิจ และการแปรรูปอาหาร เพื่อการถ่ายทอดเทคโนโลยีสู่เศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy: BCG Economy) โดยมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จำนวนเงิน 388,400 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 13.40 ล้านบาท
• โครงการเส้นทางเครื่องเทศลุ่มน้ำโขง : การพัฒนาแพลตฟอร์มการท่องเที่ยวเชิงศิลปะวิทยาการอาหาร และการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม โดยมหาวิทยาลัยแม่โจ้จำนวนเงิน 327,200 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ ประมาณ 11.29ล้านบาท ซึ่งกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพลังงาน กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติพิจารณาแล้ว เห็นชอบ/เห็นควรให้ความเห็นชอบ/ไม่มีข้อขัดข้อง
กำหนดกิจการอื่นที่ไม่อยู่ภายใต้ กม.ความปลอดภัยในการทำงาน ฯ
นายคารม กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดกิจการอื่นที่ไม่อยู่ภายใต้พระราชบัญญัติความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงแรงงาน (รง.) เสนอ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้
นายคารม กล่าวว่า ร่างกฎกระทรวงในเรื่องนี้ออก โดยอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน พ.ศ. 2554 เพื่อกำหนดกิจการอื่นที่ไม่ต้องใช้บังคับพระราชบัญญัติดังกล่าว (นอกเหนือจากราชการส่วนกลาง ราชการส่วนภูมิภาค และราชการส่วนท้องถิ่น) มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้หน่วยงานรัฐในกำกับของฝ่ายบริหารที่มีสถานะเป็นนิติบุคคล ได้แก่ องค์การมหาชน และหน่วยงานของรัฐรูปแบบใหม่ เช่น ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ กองทุนประกันชีวิต และหน่วยงานที่ใช้อำนาจรัฐ หรือ เป็นกลไกของรัฐ แต่ไม่เป็นองค์กรของรัฐ ได้แก่ สภาวิชาชีพที่มีสถานะเป็นนิติบุคคล และสถาบันภายใต้มูลนิธิ เช่น สถาบันอาหาร สถาบันยานยนต์ เป็นหน่วยงานที่ไม่ต้องใช้บังคับพระราชบัญญัติความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน พ.ศ. 2554 แต่ต้องจัดให้มีมาตรฐานในการบริหารและการจัดการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานในหน่วยงานของตนไม่ต่ำกว่ามาตรฐานความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานตามพระราชบัญญัติดังกล่าว เพื่อให้บุคลากรและผู้เกี่ยวข้องในหน่วยงานมีความปลอดภัยในการทำงานที่สอดคล้องกับสภาวการณ์ในปัจจุบันที่มีการนำเทคโนโลยี เครื่องมือ อุปกรณ์ สารเคมี รวมทั้งงานก่อสร้าง หรืองานบริการที่ส่งผลกระทบต่อบุคลากร ซึ่งทำให้เกิดความไม่ปลอดภัยในการทำงาน และอาจก่อให้เกิดอันตรายจากการทำงานได้ และให้แต่ละหน่วยงานได้พิจารณาสภาพแวดล้อมในการทำงาน และออกกฎหมายให้เหมาะสมกับหน่วยงานนั้น ๆ ซึ่งจะทำให้เกิดประสิทธิภาพมากที่สุด เช่น การติดประกาศสัญลักษณ์อันตรายและเครื่องหมายเตือนเกี่ยวกับความปลอดภัย เป็นต้น
ทั้งนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแล้วเห็นชอบด้วยกับร่างกฎกระทรวงดังกล่าว และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ตรวจพิจารณาร่างกฎกระทรวงในเรื่องนี้ เป็นการล่วงหน้าเสร็จแล้ว โดยแก้ไขชื่อร่างกฎกระทรวงเป็น “ร่างกฎกระทรวงกำหนดกิจการอื่นที่ไม่อยู่ภายใต้บังคับกฎหมายว่าด้วยความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน พ.ศ. ….” และได้แก้ไขรายชื่อกิจการตามบัญชีรายชื่อกิจการตามบัญชีท้ายร่างกฎกระทรวงฯ ให้เป็นไปตามการจำแนกประเภทหน่วยงานของรัฐในกำกับของฝ่ายบริหารตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2552 และวันที่ 1 มีนาคม 2565 โดยตัดหน่วยบริการรูปแบบพิเศษและนิติบุคคลเฉพาะกิจออก และปรับหัวข้อในบัญชีท้ายฯ บางส่วน ซึ่งยังคงสาระสำคัญเดิมไว้ เช่น สถาบันอุดมศึกษาในกำกับของรัฐที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติเฉพาะ (เดิมใช้หัวข้อว่า “รายชื่อมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ ซึ่งมีฐานะเป็นองค์การมหาชนที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติเฉพาะ”)
ทุ่มงบฯ 1,800 ล้าน ให้ SME-D Bank ปล่อยซอฟต์โลน 2 หมื่นล้าน
ดร. เผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า รัฐบาลโดยกระทรวงการคลังต้องการเข้าช่วยเหลือ SME ที่ยังเข้าไม่ถึงสินเชื่อจากสถาบันการเงินพาณิชย์ เนื่องจากยังมีความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อในภาวะที่เศรษฐกิจยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ รัฐบาลจึงเร่งใช้กลไกสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐเพิ่มเติม โดยในวันนี้ที่ประชุม ครม.มีมติเห็นชอบมาตรการด้านการเงิน 2 โครงการ ได้แก่ 1) โครงการสินเชื่อปลุกพลัง SME และ 2) โครงการสินเชื่อ Beyond ติดปีก SME ผ่านธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (SME-D Bank) ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ ภายในกรอบวงเงินงบประมาณ 1,800 ล้านบาท โดยให้ปรับระยะเวลาการชดเชยดอกเบี้ยให้ทั้ง 2 โครงการ เป็น 3 ปี อัตรา 3% แล้วให้ประเมินผลก่อนพิจารณาการชดเชยในระยะต่อไปดังนี้
-
1) โครงการสินเชื่อ “ปลุกพลัง SME” วงเงินสินเชื่อ 10,000 ล้านบาท เพื่อเป็นเงินทุนเสริมสภาพคล่อง ลงทุน ขยาย ปรับปรุงกิจการให้กับ SME รายย่อยและมีความเปราะบางที่มีรายได้ต่อปีไม่เกิน 2 ล้านบาท วงเงินสินเชื่อต่อรายไม่เกิน 1.5 ล้านบาท ดอกเบี้ยคงที่ปีที่ 1 – 3 ร้อยละ 3 ต่อปี ปลอดชำระเงินต้นไม่เกิน 12 เดือน รับคำขอถึงวันที่ 30 ธันวาคม 2568
2) โครงการสินเชื่อ Beyond “ติดปีก SME” วงเงินสินเชื่อ 10,000 ล้านบาท เพื่อเป็นเงินทุนเสริมสภาพคล่อง ลงทุน ขยาย ปรับปรุงกิจการ ปรับเปลี่ยนทรัพย์สินหรือเครื่องจักร เพื่อเพิ่มศักยภาพในการดำเนินธุรกิจให้กับ SME ที่มีรายได้ต่อปีไม่น้อยกว่า 2 ล้านบาท วงเงินสินเชื่อต่อรายไม่เกิน 15 ล้านบาท ดอกเบี้ยคงที่ปีที่ 1 – 3 ร้อยละ 3 ต่อปี ปลอดชำระเงินต้นไม่เกิน 12 เดือน รับคำขอถึงวันที่ 30 ธันวาคม 2568
ทั้ง 2 โครงการดังกล่าวจะช่วยสนับสนุน SME ในทุกภาคธุรกิจทั้งในส่วนของ SME รายย่อยและมีความเปราะบาง สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้อย่างทั่วถึงและมีสภาพคล่องเพียงพอในการดำเนินธุรกิจทันที
ผ่าน กม.คุมเข้มการขนส่งก๊าซ LNG บรรจุถัง
นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงถังขนส่งก๊าซธรรมชาติเหลว พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงพลังงาน (พน.) เสนอ
รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า พน. โดยกรมธุรกิจพลังงาน เสนอว่า โดยที่มาตรา 7 (1) (3) (5) และ (7) แห่งพระราชบัญญัติควบคุมน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2542 บัญญัติให้เพื่อประโยชน์แก่การป้องกัน หรือ ระงับเหตุเดือดร้อนรำคาญหรือความเสียหาย หรือ อันตรายที่จะมีผลกระทบต่อบุคคล สัตว์ พืช ทรัพย์ หรือสิ่งแวดล้อม หรือ การกำหนดแนวทางการดำเนินการเกี่ยวกับการควบคุมน้ำมันเชื้อเพลิงให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจและสังคม ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานมีอำนาจออกกฎกระทรวงกำหนดการขนส่ง ลักษณะของถัง หรือ ภาชนะที่ใช้ในการบรรจุ หรือ ขนส่ง การบำรุงรักษาถัง หรือ ภาชนะดังกล่าว วิธีการปฏิบัติงานและการจัดให้มีและบำรุงรักษาอุปกรณ์หรือเครื่องมืออื่นใด รวมทั้งกำหนดการอื่นใดอันจำเป็นเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ในการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติดังกล่าว จึงสมควรจัดทำร่างกฎกระทรวง ถังขนส่งก๊าซธรรมชาติเหลว พ.ศ. …. กำหนดหลักเกณฑ์ ลักษณะ วิธีการและเงื่อนไขในการออกแบบ สร้าง ติดตั้ง ทดสอบและตรวจสอบ การรับ การจ่าย การถ่ายเท การเคลื่อนย้ายถังขนส่งก๊าซธรรมชาติเหลว การป้องกันและระงับอัคคีภัย รวมถึงแนวทางปฏิบัติเมื่อเกิดอุบัติเหตุ และการเลิกใช้งานถังขนส่งก๊าซธรรมชาติเหลว ทั้งถังขนส่งก๊าซธรรมชาติเหลวที่ได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการควบคุมประเภทที่ 3 ตามพระราชบัญญัติควบคุมน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม อยู่เดิมและที่มีความประสงค์จะประกอบกิจการใหม่ เพื่อให้มีความปลอดภัยในการประกอบกิจการถังขนส่งก๊าซธรรมชาติเหลว และสอดคล้องกับสภาพการประกอบกิจการ ถังขนส่งก๊าซธรรมชาติเหลวในปัจจุบัน รวมทั้งเพื่อให้มีการบังคับใช้กฎหมายสำหรับกิจการถังขนส่งก๊าซธรรมชาติเหลวและมีแนวปฏิบัติที่ชัดเจน เป็นไปตามมาตรฐานความปลอดภัยสากล
สาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
1. วันบังคับใช้ – ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งร้อยแปดสิบวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
2. การขนส่งก๊าซธรรมชาติเหลว
-
• การขนส่งก๊าซธรรมชาติทางบกด้วยถังขนส่งก๊าซธรรมชาติเหลว ให้ขนส่งโดยรถขนส่งก๊าซธรรมชาติเหลว รถบรรทุกก๊าซธรรมชาติเหลวหรือรถไฟขนส่งก๊าซธรรมชาติเหลว
• การขนส่งก๊าซธรรมชาติทางน้ำด้วยถังขนส่งก๊าซธรรมชาติเหลว ให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยการเดินเรือในน่านน้ำไทย
• รถขนส่งก๊าซธรรมชาติเหลวต้องมีอุปกรณ์ป้องกันความเสียหายหรืออันตรายจากอุบัติเหตุ เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยการขนส่งทางบก
• การบรรจุก๊าซธรรมชาติเหลวเพื่อขนส่ง ให้บรรจุได้ไม่เกินร้อยละเก้าสิบของปริมาตรถังขนส่งก๊าซธรรมชาติเหลว
3. ลักษณะของถังฯ
-
• ถังขนส่งก๊าซธรรมชาติเหลวมีสองแบบ ดังต่อไปนี้
-
(1) ถังขนส่งก๊าซธรรมชาติเหลวแบบติดตรึง
(2) ถังขนส่งก๊าซธรรมชาติเหลวแบบยกและเคลื่อนที่ได้
• ถังขนส่งก๊าซธรรมชาติเหลว ต้องติดตั้งข้อต่อระบายก๊าซที่ระบบท่อก๊าซในตำแหน่งที่สามารถระบายก๊าซออกจากถังและท่อก๊าซได้ทั้งหมด
4. การบรรทุกถังฯ – การบรรทุกถังขนส่งก๊าซธรรมชาติเหลวแบบยกและเคลื่อนที่ได้ ต้องจัดให้มีการตรึงไว้กับตัวโครงรถ
5. การติดตั้งถังฯ
-
• ห้ามติดตั้งถังขนส่งก๊าซธรรมชาติเหลวบนรถขนส่งทางบกประเภทรถพ่วงตามกฎหมายว่าด้วยการขนส่งทางบก
• การออกแบบการติดตั้งถังขนส่งก๊าซธรรมชาติเหลว ระบบท่อก๊าซและอุปกรณ์ต้องกระทำโดยวิศวกรซึ่งได้รับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุมตามกฎหมายว่าด้วยวิศวกร
• ถังขนส่งก๊าซธรรมชาติเหลวต้องติดตั้งข้อต่อหรือท่อทางเข้าของวาล์วนิรภัย (safety valve) หรืออุปกรณ์ควบคุมความดันเกินพิกัดไว้
• ถังขนส่งก๊าซธรรมชาติเหลวต้องติดตั้งมาตรวัดความดันอย่างน้อยหนึ่งตัว ติดตั้งอุปกรณ์หรือวิธีการเพื่อระบายความดัน ติดตั้งอุปกรณ์วัดระดับของเหลวที่ใช้กับก๊าซธรรมชาติเหลวได้อย่างน้อยหนึ่งตัว
• การติดตั้งถังขนส่งก๊าซธรรมชาติเหลวต้องดำเนินการ ดังต่อไปนี้
-
(1) ต้องมีการยึดถังขนส่งก๊าซธรรมชาติเหลวติดกับโครงสร้างอย่างมั่นคง แข็งแรง
(2) กรณีที่มีการติดตั้งโกร่งป้องกันต้องมีการระบายอากาศที่ดี
(3) ระบบท่อก๊าซร่วมต้องออกแบบให้ได้รับการป้องกันจากแรงกระแทกและการฉีกขาด
(4) มีการจัดวางถังโดยต้องสามารถระบายก๊าซขึ้นข้างบนได้สะดวก หากมีการรั่วไหลเกิดขึ้น
• การติดตั้งถังขนส่งก๊าซธรรมชาติเหลว ต้องมีระยะห่างจากอุปกรณ์อื่น ๆ ดังต่อไปนี้
-
(1) ระยะห่างตามแนวราบ ระหว่างผนังด้านหลังห้องคนขับรถกับผนังถังขนส่ง ก๊าซธรรมชาติเหลว ส่วนที่ใกล้ที่สุดไม่น้อยกว่า 150 มิลลิเมตร
(2) ระยะห่างตามแนวราบ ระหว่างด้านในของกันชนท้ายกับผนังถังขนส่งก๊าซธรรมชาติเหลว ส่วนที่ใกล้ที่สุดไม่น้อยกว่า 100 มิลลิเมตร
(3) ระยะห่างระหว่างผนังถังขนส่งก๊าซธรรมชาติเหลวและอุปกรณ์กับท่อไอเสียไม่น้อยกว่า 100 มิลลิเมตร
• การติดตั้งถังขนส่งก๊าซธรรมชาติเหลวกับโครงสร้างหรือโครงรถ จะต้องไม่มีส่วนหนึ่ง ส่วนใดของถังล้ำหรือยื่นออกมานอกโครงสร้าง โครงรถ หรือกันชนท้าย
มอบ คค.เจ้าภาพ ป้องกันเหตุเพลิงไหม้รถทัศนศึกษา ตามคำแนะนำ กสม.
นางสาวศศิกานต์ กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติรับทราบข้อเสนอแนะมาตรการความปลอดภัย เพื่อคุ้มครองเด็ก ตามหลักสิทธิมนุษยชนจากโศกนาฎกรรมรถทัศนศึกษา ตามที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) เสนอ และมอบหมายให้กระทรวงคมนาคม เป็นหน่วยงานหลักรับเรื่องนี้ไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อศึกษาแนวทาง และความเหมาะสมของข้อเสนอแนะดังกล่าว โดยทางกระทรวงคมนาคมจะเป็นผู้สรุปผลการพิจารณา หรือ ผลการดำเนินการดังกล่าวในภาพรวม และจะนำส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้ง เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
โดยข้อเสนอแนะมาตรการฯ จาก กสม. มีดังนี้
-
• ให้กรมการขนส่งทางบกเพิ่มความเข้มงวด ในการขออนุญาตประกอบการขนส่งไม่ประจำทางด้วยรถโดยสาร การต่ออายุ และการขออนุญาตแก้ไขดัดแปลงต่าง ๆ ให้เป็นไปตามมาตรฐานความปลอดภัยอย่างเคร่งครัด โดยร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตช.) เพิ่มความเข้มงวดในการตรวจตราและบังคับใช้กฎหมายกับรถโดยสารสาธารณะที่ถูกตัดแปลงหรือไม่ได้รับการต่อใบอนุญาต
• ให้กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ร่วมกับกรมการขนส่งทางบก ดำเนินการตามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ ว่าด้วยการพานักเรียน และนักศึกษาไปนอกสถานศึกษา พ.ศ. 2562 และที่แก้ไขเพิ่มเติม อย่างเคร่งครัด เช่น การตรวจสอบสภาพรถทัศนศึกษา หรือ ยานพาหนะให้อยู่ในสภาพดีและพร้อมใช้งานได้อย่างปลอดภัย การมีแบบฟอร์มประกอบการตรวจสอบสภาพรถ และอุปกรณ์ต่าง ๆ ก่อนการเดินทาง รวมถึงกำหนดหลักเกณฑ์คัดเลือกพนักงานขับรถทัศนศึกษาที่มีประสบการณ์ การอบรมทักษะการรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินต่าง ๆ และจัดให้มีพนักงานประจำรถที่สาธิตและแนะนำวิธีการรับมือหากเกิดอุบัติเหตุ โดยกำหนดเป็นเงื่อนไขไว้ในสัญญาที่จัดหารถทัศนศึกษาพร้อมประกันการเดินทางด้วยทุกครั้ง
• ให้ ศธ. และ มท. กำชับสถานศึกษาทุกแห่งในสังกัด ให้ปฏิบัติตามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการควบคุมดูแลการใช้รถโรงเรียน พ.ศ. 2562 รวมทั้งให้ ตช. เพิ่มความเข้มงวดในการตรวจตรารถที่นำมาใช้รับส่งนักเรียน
• ให้ ศธ. เร่งรัดปรับปรุงหลักเกณฑ์การจัดทัศนศึกษาให้สอดคล้องกับช่วงวัยของเด็กและเยาวชน รวมทั้ง จัดทำหลักสูตรการเรียนการสอนภาคบังคับที่มีเนื้อหาการเผชิญเหตุฉุกเฉิน เตรียมความพร้อมหากเกิดอุบัติเหตุให้กับเด็กตั้งแต่ระดับปฐมวัย ประถมศึกษา และมัธยมศึกษา รวมถึงกำหนดชั่วโมงเรียนเพื่อฝึกปฏิบัติและเตรียมความพร้อมเผชิญเหตุทุกปี
เพิ่มองค์การมหาชน – หน่วยงานรัฐ อยู่ภายใต้ พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารฯ
นางสาวศศิกานต์ กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดหน่วยงานของรัฐตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 พ.ศ. …. โดยมีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้องค์การมหาชน ตามกฎหมายว่าด้วยองค์การมหาชน หน่วยงานของรัฐที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายเฉพาะที่เป็นองค์การมหาชนตามมติคณะรัฐมนตรี ตามข้อเสนอของคณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชน โดยสถาบันอุดมศึกษาของรัฐที่ไม่เป็นส่วนราชการ แต่อยู่ในกำกับของรัฐ และหน่วยธุรการขององค์การของรัฐที่เป็นอิสระ ซึ่งเป็นหน่วยงานตามมติคณะรัฐมนตรี (20 ตุลาคม 2552) เช่น ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เป็นหน่วยงานของรัฐตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540
ตั้ง ‘พิชัย’ ประธานกลั่นกรองโครงการใช้เงินหวยส่งเด็กเรียนนอก
วันนี้ที่ประชุม ครม.มีมติแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการและผู้บริหารระดับสูงของหน่วยงานรัฐ มีรายละเอียดดังนี้
1. เรื่อง คณะกรรมการต่าง ๆ ที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรี (กระทรวงการคลัง)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอแต่งตั้งคณะกรรมการต่าง ๆ ที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรี จำนวน 1 คณะ ได้แก่ คณะกรรมการพิจารณาโครงการสลากการกุศล
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 7 มกราคม 2568 เป็นต้นไป
2. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงสาธารณสุข)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารมสุขเสนอแต่งตั้ง นายกิตติ ชื่นยง ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่ง นายแพทย์เชี่ยวชาญ (ด้านเวชกรรม สาขาอายุรกรรม) กลุ่มงานอายุรศาสตร์ ภารกิจด้านวิชาการและการแพทย์ โรงพยาบาลราชวิถี กรมการแพทย์ ให้ดำรงตำแหน่ง นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรม สาขาอายุรกรรม) โรงพยาบาลราชวิถี กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ตั้งแต่วันที่ 28 มิถุนายน 2567 ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง เป็นต้นไป
3. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงแรงงาน)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเสนอแต่งตั้ง นายเกริกไกร นาสมยนต์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกรม (ผู้ตรวจราชการกรมสูง) กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ให้ดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษากฎหมาย (นิติกรทรงคุณวุฒิ) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงแรงงาน ตั้งแต่วันที่ 18 ตุลาคม 2567 ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง เป็นต้นไป
4. เรื่อง ขออนุมัติต่อเวลาการดำรงตำแหน่งของผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (ครั้งที่ 1) (กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เสนอต่อเวลาการดำรงตำแหน่งของ นางสาววิภารัตน์ ดีอ่อง ข้าราชการพลเรือนสามัญตำแหน่ง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ซึ่งจะดำรงตำแหน่งดังกล่าวครบ 4 ปี ในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2568 ต่อไปอีก 1 ปี (ครั้งที่ 1) ตั้งแต่วันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2568 ถึงวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2569
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 7 มกราคม 2568 เป็นต้นไป
5. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงเกษตรและสหกรณ์)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ แต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน 5 ราย เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ดังนี้
-
1. นายศรัญญู พูลลาภ รองอธิบดีกรมหม่อนไหม ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
2. นายประภาส ภิญโญชีพ รองอธิบดีกรมปศุสัตว์ ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
3. นายธิติ โลหะปิยะพรรณ ผู้ช่วยปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
4. นายนิรันดร์ มูลธิดา รองอธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
5. นายอานนท์ นนทรีย์ รองอธิบดีกรมการข้าว ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 7 มกราคม 2568 ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
6. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถาบันคุ้มครองเงินฝาก
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เสนอแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถาบันคุ้มครองเงินฝาก จำนวน 4 คน เนื่องจากกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมได้พ้นจากตำแหน่งก่อนครบวาระเนื่องจากมีอายุครบเจ็ดสิบปีบริบูรณ์และดำรงตำแหน่งครบวาระสี่ปี ดังนี้
-
1. นายชูฉัตร ประมูลผล กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมาย
2. นางสาวจอมขวัญ คงสกุล กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการเงินการคลัง
3. นางสาวบัณฑรโฉม แก้วสอาด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการเงินการคลัง
4. นายปิยวัฒน์ ศิวรักษ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการเงินการคลัง
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 7 มกราคม 2568 เป็นต้นไป
7. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการธนาคารออมสิน
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการคลัง เสนอแต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการธนาคารออมสิน จำนวน 3 คน แทนกรรมการอื่นในคณะกรรมการธนาคารออมสิน จำนวน 3 คน แทนกรรมการอื่นเดิมที่พ้นจากตำแหน่งก่อนครบวาระเนื่องจากมีอายุครบหกสิบห้าปีบริบูรณ์และขอลาออก ดังนี้
-
1. นายวินิจ วิเศษสุวรรณภูมิ (ผู้แทน กค.)
2. นายชูรัฐ เลาหพงศ์ชนะ
3. นางสาวนัทรียา ทวีวงศ์
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 7 มกราคม 2568 เป็นต้นไป และผู้ได้รับแต่งตั้งแทนนี้อยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของกรรมการซึ่งได้แต่งตั้งไว้แล้ว
อ่าน มติ ครม.ประจำวันที่ 7 มกราคม 2568 เพิ่มเติม