ThaiPublica > ประเด็นสืบสวน > “พิชัย” ชู ‘Zero – Based budgeting’ ปรับแผนการคลังสู่สมดุล

“พิชัย” ชู ‘Zero – Based budgeting’ ปรับแผนการคลังสู่สมดุล

29 ธันวาคม 2024


“พิชัย” ชู ‘Zero – Based budgeting’ ปรับแผนการคลังฯ ทบทวนประมาณการรายได้ – งบประมาณรายจ่าย – กู้ชดเชยขาดดุล สะท้อนความเป็นจริง – ฟื้นฟูฐานะการคลังให้แข็งแกร่ง – ยั่งยืน เดินหน้าสู่ ‘จุดดุลภาพ’ ปลัดคลังเผย “เรากู้มาเกือบสุดซอยแล้ว อยากได้งบฯเยอะฯ ต้องหารายได้เพิ่ม”

จากปัญหาเชิงโครงสร้างที่ส่งผลทำให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวต่ำกว่าศักยภาพมาเป็นเวลานาน ทำให้ประชาชนมีรายได้ไม่เพียงพอ และต้องไปพึ่งพาการกู้ยืมเงินเพิ่มขึ้น ขณะที่ผู้ประกอบการผลิตสินค้าขึ้นมา ก็ขายสู้สินค้านำเข้าราคาถูก เกรดต่ำไม่ได้ กำลังซื้อของผู้บริโภคก็ลดลง นำไปสู่ปัญหาหนี้สินภาคครัวเรือนที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และยังส่งผลกระทบต่อความยั่งยืนทางการคลังของรัฐบาล เนื่องจากการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ต่ำกว่าศักยภาพ ส่งผลทำให้การจัดเก็บภาษี หรือ รายได้ของรัฐบาลโตต่ำกว่าที่ควรจะเป็นเช่นเดียวกัน ที่ผ่านมาหลายรัฐบาลจึงหันไปพึ่งพาการกู้ยืมเงิน เพื่อใช้ในการพัฒนาประเทศและรักษาระดับการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยการจัดทำงบประมาณแบบขาดดุลติดต่อกันมาหลายสิบปี ทำให้หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะหลังจากการระบาดของโควิด-19 จนต้องแก้ไขกฎหมายขยายสัดส่วนการก่อหนี้สาธารณะเพิ่มเป็น 70% ของ GDP

หลังจากที่หยีบคันเร่งกันมานาน ล่าสุดกระทรวงการคลังได้ทบทวนการดำเนินนโยบายการคลังกันใหม่อีกครั้ง โดยคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ ได้นำแผนการคลังระยะปานกลางปีงบประมาณ 2569 – 2572 ส่งให้ที่ประชุม ครม. ผ่านความเห็นชอบไปแล้วเมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2567 ทั้งนี้ เพื่อให้ที่ประชุม 4 หน่วยงาน ซึ่งประกอบไปด้วย กระทรวงการคลัง , สภาพัฒน์ ฯ , ธนาคารแห่งประเทศไทย และสำนักงบประมาณ ใช้ประกอบการพิจารณาประมาณการรายได้ , กำหนดกรอบวงเงินรายจ่าย , นโยบาย และโครงสร้างงบประมาณรายจ่ายฯ โดยเฉพาะการจัดทำงบประมาณรายจ่ายปี 2569 ตามปฏิทินงบประมาณปี 2569 จะต้องนำเสนอต่อที่ประชุม ครม.พิจารณาเห็นชอบในวันอังคารที่ 7 มกราคม 2568

ประเด็นที่น่าสนใจ คือ การจัดทำงบประมาณรายจ่ายในปีงบประมาณ 2569 ที่ปรากฏอยู่ในแผนการคลังระยะปานกลางฉบับใหม่นี้ กระทรวงการคลังกำหนดประมาณการรายได้สุทธิของรัฐบาลในปีนี้ไว้ค่อนข้างต่ำ ไม่เหมือนกันปีที่ผ่านมา โดยในปีนี้คาดว่ารัฐบาลจะมีรายได้สุทธิอยู่ที่ 2,920,600 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ 2568 (ปีที่ผ่านมา) 33,600 ล้านบาท หรือ เพิ่มขึ้นแค่ 1.2 % เท่านั้น

ส่วนงบประมาณรายจ่ายปีงบประมาณ 2569 กำหนดกรอบวงเงินเอาไว้ที่ 3,780,600 ล้านบาท เพิ่มจากปีที่ผ่านมาแค่ 27,900 ล้านบาท เพิ่มขึ้นแค่ 0.7% เท่านั้น ซึ่งถือว่าน้อยมาก เมื่อนำไปเปรียบเทียบกับในสมัยรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน เคยเบ่งวงเงินงบประมาณรายจ่ายในปีงบประมาณ 2567 เพิ่มขึ้นไปถึง 13.1% และในปีงบประมาณ 2568 เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา 4.2% แต่ปีนี้เพิ่มแค่ 0.7% เท่านั้น ส่งผลทำให้วงเงินกู้เพื่อชดเชยขาดดุลการคลังอยู่ที่ 860,000 ล้านบาท ลดลงจากปีที่ผ่านมา 5,700 ล้านบาท หรือ ลดลง 0.7% เช่น

นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง

ชู ‘Zero – Based Budgeting’ ฟื้นฟูฐานะการคลัง – เดินหน้าสู่จุดดุลยภาพ

สำนักข่าวออนไลน์ไทยพับลิก้า จึงนำประเด็นนี้ไปถามนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังว่า เกิดอะไรขึ้นกับการจัดทำงบประมาณรายจ่ายปี 2569 ทำไมการจัดทำงบประมาณรายจ่ายปีนี้เพิ่มขึ้นน้อยมาก ประมาณการรายได้รัฐบาลสุทธิก็เพิ่มจากปีที่ผ่านมา 33,600 ล้านบาท งบประมาณรายจ่ายเพิ่มขึ้นแค่ 27,900 ล้านบาท ส่วนวงเงินกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลการคลังลดลงไป 5,700 ล้านบาท

นายจุลพันธ์ ตอบว่า “เรื่องนี้เป็นนโยบาย Zero – Growth Budgeting หรือ Zero – Based Budgeting ของนายพิชัย ชุณหวิชร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ที่ต้องการปรับลดขนาดของการขาดดุลการคลังลงมาให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม เพื่อฟื้นฟูสภาพทางการคลังให้กลับสู่สภาวะที่แข็งแกร่ง และเกิดความยั่งยืนในอนาคต และสามารถบริหารจัดการหนี้สาธารณะได้ ควบคู่ไปกับการส่งเสริมให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศ เพื่อให้ภาคการคลังของประเทศเข้าสู่จุดดุลยภาพ หรือ “Fiscal Equilibrium” ซึ่งเป็นปัจจัยสนับสนุนสำคัญในการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในระยะยาวได้โดยไม่ก่อให้เกิดวิกฤตการคลัง รวมถึงความคล่องตัวในการปรับเปลี่ยนนโยบาย รองรับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจได้อย่างยืดหยุ่น เหมาะสม และทันการณ์”

ปลัดคลังเผย“ เรากู้เกือบสุดซอยแล้ว อยากได้งบฯเยอะ ต้องหารายได้เพิ่ม”

สอดคล้องกับที่นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง เคยให้สัมภาษณ์ก่อนหน้านี้ว่า จากปัญหาเศรษฐกิจไทยที่โตต่ำกว่าศักยภาพ ทำให้รัฐบาลเก็บภาษีได้น้อยกว่าที่ควรจะเป็น ขณะที่รัฐบาลมีความจำเป็นต้องจัดทำงบประมาณแบบขาดดุล เพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ทำให้หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจนมายืนอยู่ในระดับสูง กระทรวงการคลังไม่ได้คิดจะกู้อย่างนี้ต่อไปเรื่อย ๆ วันนี้เรากู้มาเกือบสุดซอยแล้ว หากกู้ไปมากกว่านี้ หรือ เบ่งงบประมาณเพื่อให้ได้วงเงินงบประมาณเยอะๆ อาจกระทบกับความยั่งยืนทางการคลังในอนาคต เราก็ไม่อยากใช้แนวทางนี้แล้ว

“การจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี ทั้งเรื่องการประมาณการรายได้ และวงเงินงบประมาณรายจ่าย ควรสะท้อนความเป็นจริง หากรายได้ไม่โต รายจ่ายก็ต้องไม่โตเหมือนกัน ถึงเวลาแล้วที่เราต้องยอมรับความจริง ไม่ใช่งบประมาณรายจ่ายต้องโตขึ้นไปทุกปี เราต้องกลับมาคิดกันใหม่ หากต้องการให้งบประมาณรายจ่ายโต ก็ต้องคิดหาเครื่องมือทางภาษีใหม่ ๆขึ้นมา เพื่อหารายได้เพิ่ม”

  • “ลวรณ แสงสนิท” กับภารกิจปรับโครงสร้างภาษีเพื่อการคลังยั่งยืน – เข็น “อารีย์ สกอร์” ช่วยคนตัวเล็กกู้ในระบบ
  • ปรับลด GDP สะท้อนความเป็นจริง

    สำหรับแผนการคลังระยะปานกลาง ปีงบประมาณ 2569 – 2572 ฉบับนี้ คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทย (GDP) ในปี 2568 จะขยายตัวอยู่ในช่วง 2.3 – 3.3% หรือ ขยายตัวเฉลี่ยอยู่ที่ 2.8% ต่อปี อัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยอยู่ในช่วง 0.5-1.5% ส่วนปี 2569 – 2571 คาดว่า GDP ขยายตัว 2.3 – 3.3% หรือ ขยายตัวเฉลี่ยอยู่ที่ 2.8% ต่อปี ขณะที่ปี 2572 คาดว่า GDP ขยายตัวในช่วง 2.5 – 3.5% หรือ ขยายตัวเฉลี่ยอยู่ที่ 3% ต่อปี สำหรับอัตราเงินเฟ้อปี 2569 – 2570 คาดว่าจะอยู่ในช่วง 0.7 – 1.7% และปี 2571- 2572 คาดว่าอัตราเงินเฟ้อจะอยู่ในช่วง 0.8 – 1.8%

    คาดปี’70 คลังกระเป๋าตุง – รายได้พุ่ง 1.76 แสนล้าน

    ในส่วนของการประมาณการสถานะทางการคลัง : คาดว่าในปีงบประมาณ 2569 รัฐบาลจะมีรายได้สุทธิ 2,920,600 ล้านบาท เพิ่มจากปีที่ผ่านมา 1.2% , ปีงบประมาณ 2570 มีรายได้สุทธิ 3,096,400 ล้านบาท เพิ่มจากปีที่ผ่านมาถึง 175,800 ล้านบาท หรือ เพิ่มขึ้นสูงถึง 6% , ปีงบประมาณ 2571 มีรายได้สุทธิอยู่ที่ 3,244,100 ล้านบาท เพิ่มจากปีที่ผ่านมา 4.8 % และ ปีงบประมาณ 2572 มีรายได้สุทธิ 3,389,700 ล้านบาท เพิ่มจากปีที่ผ่านมาอีก 4.5%

    ประมาณการวงเงินงบประมาณรายจ่าย : ปีงบประมาณ 2569 มีวงเงินงบประมาณรายจ่ายอยู่ที่ 3,378,600 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา 0.7 % , ปีงบประมาณ 2570 มีวงเงิน 3,855,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา 2.0 % , ปีงบประมาณ 2571 มีวงเงิน 3,966,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา 2.9 % และ , ปีงบประมาณ 2572 มีวงเงิน 4,093,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา 3.2 %

    ทยอยปรับลดวงเงินกู้ชดเชยการคลัง

    ประมาณการยอดขาดดุลการคลัง จากประมาณการรายได้สุทธิ และวงเงินงบประมาณรายจ่ายตามที่กล่าวข้างต้น จะทำให้การจัดทำงบประมาณในปีงบประมาณ 2569 มียอดขาดดุลอยู่ที่ 860,000 ล้านบาท ลดลงจากปีที่ผ่านมา 5,700 ล้านบาท หรือลดลง 0.7% เทียบกับ GDP คิดเป็นสัดส่วน 4.3% , ปีงบประมาณ 2570 มียอดขาดดุลอยู่ที่ 758,600 ล้านบาท ลดลงจากปีที่ผ่านมา 101,400 ล้านบาท หรือลดลง 11.8% เทียบกับ GDP คิดเป็นสัดส่วน 3.6% , ปีงบประมาณ 2571 มียอดขาดดุลอยู่ที่ 721,900 ล้านบาท ลดลงจากปีที่ผ่านมา 36,700 ล้านบาท หรือลดลง 4.8% เทียบกับ GDP คิดเป็นสัดส่วน 3.3% และปีงบประมาณ 2572 มียอดขาดดุลอยู่ที่ 703,300 ล้านบาท ลดลงจากปีที่ผ่านมา 18,600 ล้านบาท หรือลดลง 2.6% เทียบกับ GDP คิดเป็นสัดส่วน 3.1%

    ประมาณการหนี้สาธารณะคงค้าง ณ สิ้นปีงบประมาณ 2567 (30 ก.ย.2567) มียอดหนี้คงค้างอยู่ที่ 11,627,854 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 63.3% ของ GDP คาดว่าปีงบประมาณ 2568 หนี้สาธารณะจะมียอดคงค้างอยู่ที่ 12,605,834 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 65.6% ของ GDP , ปีงบประมาณ 2569 มียอดหนี้คงค้างอยู่ที่ 13,461,963 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 67.3% ของ GDP , ปีงบประมาณ 2570 มียอดหนี้คงค้างอยู่ที่ 14,242,312 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 68.5% ของ GDP , ปีงบประมาณ 2571 มียอดหนี้คงค้างอยู่ที่ 14,983,098 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 69.2% ของ GDP และ ปีงบประมาณ 2572 มียอดคงค้างอยู่ที่ 15,642,927 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 69.3% ของ GDP

    เปรียบเทียบแผนการคลังระยะปานกลางในปีงบประมาณ 2569 – 2572 (ฉบับใหม่) กับแผนกาคลัง ฯ ในปีงบประมาณ 2567 – 2571 ทบทวนครั้งที่ 2 (ฉบับเก่า) จะเห็นว่า กระทรวงการคลังได้มีการปรับปรุงประมาณการรายได้รัฐบาลสุทธิในแผนการคลังฯฉบับใหม่ให้สอดคล้องกับประมาณการ GDP มากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในปีงบประมาณ 2569 ได้มีการปรับลดประมาณการรายได้รัฐบาลสุทธิลงมาจากแผนเดิม 119,400 ล้านบาท ขณะที่วงเงินงบประมาณรายจ่ายของแผนการคลังฯฉบับใหม่ในปีนี้ เพิ่มขึ้นจากแผนเดิม 37,600 ล้านบาท ทำให้วงเงินกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลการคลัง เพิ่มขึ้นจากแผนเดิม 157,000 ล้านบาท เนื่องจากรายได้สุทธิของรัฐบาลลดลงตามประมาณการ GDP ที่ปรับปรุงใหม่

    หลังจากปรับฐานประมาณการรายได้ให้สอดคล้องกับความเป็นจริงแล้ว จะเห็นว่าในปีงบประมาณ 2570 ประมาณการรายได้รัฐบาลสุทธิเร่งตัวขึ้นมาอย่างรวดเร็ว หากเปรียบเทียบกับปีที่ผ่านมามีอัตราการเพิ่มขึ้นถึง 6% เข้าใจว่าอาจจะเป็นผลมาจากมาตรการเพิ่มสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้ โดยการขยายฐานภาษี และปรับโครงสร้างอัตราภาษีตามที่กำหนดไว้ในแผนการคลังฯฉบับนี้

    แต่อย่างไรก็ตาม รัฐบาลยังคงเดินหน้าจัดทำงบประมาณแบบขาดดุลต่อไป และพยายามลดขนาดการขาดดุลการคลังลงมา โดยเฉพาะในปีงบประมาณ 2570 ประมาณการยอดขาดดุลการคลังลดลงไป 101,400 ล้านบาท ทั้งนี้ เป็นผลมาจากประมาณรายได้รัฐบาลสุทธิที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นตามที่กล่าวข้างต้น เพื่อชะลอการเพิ่มขึ้นของหนี้สาธารณะ ถึงแม้กระทรวงการคลังทยอยปรับลดยอดการขาดดุลการคลังลงมาแล้วก็ตาม แต่เนื่องจากมีการปรับลดประมาณการ GDP ให้สอดคล้องสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ ทำให้สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง คาดว่าในปีงบประมาณ 2572 จะมีสัดส่วนอยู่ที่ 69.3% ของ GDP

    ติดหนี้แบงก์รัฐกว่า 1 ล้านล้าน – สปส. 6.6 หมื่นล้าน – อปท. 3.5 หมื่นล้าน

    ส่วนภาระผูกพันทางการเงินการคลังของรัฐบาล จะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ

    1. ภาระผูกพันโดยตรง (Direct Liabilities) เป็นภาระผูกพันของรัฐบาลที่มีกฎหมาย สัญญา หรือข้อตกลงที่รัฐบาลจะต้องจัดสรรงบประมาณให้อย่างชัดเจน ประกอบด้วย

      1.1 หนี้สาธารณะที่รัฐบาลรับภาระโดยตรง (ในการชำระเงินต้น และ/หรือ ดอกเบี้ย) ณ สิ้นปีงบประมาณ 2567 มีวงเงินรวมทั้งสิ้น 9,866,251 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 53.72% ของ GDP ประกอบด้วย

        (1) หนี้ที่รัฐบาลกู้โดยตรง จำนวนรวมทั้งสิ้น 9,284,316 ล้านบาท
        (2) หนี้รัฐวิสาหกิจที่รัฐบาลกู้ให้กู้ต่อ และรับภาระ 374,965 ล้านบาท และ
        (3) หนี้รัฐวิสาหกิจที่รัฐบาลค้ำประกันและรับภาระ 206,970 ล้านบาท

      ทั้งนี้ ในปีงบประมาณ 2568 มีรายจ่ายในการชำระเงินต้น 150,100 ล้านบาท และดอกเบี้ยอยู่ที่ 259,254 ล้านบาท

      1.2 หนี้โครงการนโยบายรัฐบาล ตามมาตรา 28 แห่ง พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลังฯ ณ สิ้นปีงบประมาณ 2567 หนี้ดังกล่าวมียอดคงค้างอยู่ที่ 1,028,279 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 28.55% วงเงินงบประมาณปี 2567 ซึ่งยังอยู่ภายใต้กรอบของกฎหมายที่คณะกรรมการฯกำหนดเอาไว้ไม่เกิน 32% ของวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี โดยในปีงบประมาณ 2568 รัฐบาลจัดสรรงบประมาณไปชำระคืนหนี้ตามมาตรา 28 วงเงิน 36,957 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 0.98% ของวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี

      1.3 ภาระผูกพันด้านสวัสดิการด้านหลักประกันสุขภาพ ประกันสังคม และบำเหน็จบำนาญ โดยในปีงบประมาณ 2568 รัฐบาลมีภาระในการจัดสรรงบฯมาใช้ในรายการดังกล่าว 857,832 ล้านบาท คิดสัดส่วน 22.86% ของงบประมาณรายจ่ายประจำปี และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่องตามการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ นอกจากนี้ รัฐบาลยังมีภาระค้างจ่ายเงินสมทบกองทุนประกันสังคมอีก 66,452 ล้านบาท

      1.4 ภาระผูกพันด้านรายจ่ายบุคลากรภาครัฐ ในปีงบประมาณ 2568 รัฐบาลมีภาระค่าใช้จ่ายดังกล่าว 800,970 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 21.34%

      1.5 ภาระผูกพันในการชดเชยค่าใช้จ่าย และความเสียหาย ตาม พ.ร.ก.การให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากโควิดฯ พ.ศ. 2563 (พ.ร.ก. Soft Loan) ในปีงบประมาณ 2567 รัฐบาลได้จัดสรรงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ไปชดเชยค่าใช้จ่ายและความเสียหายรอบแรกแล้ว 1,453.11 ล้านบาท โดยยังมีประมาณการภาระผูกพันในการชดเชยค่าใช้จ่ายและความเสียหายรอบที่สองอีก 100 ล้านบาท

      1.6 ภาระผูกพันจากการชดเชยค่าใช้จ่าย และความเสียหาย ตาม พ.ร.ก.การให้ความช่วยเหลือและฟื้นฟูผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากการโควิดฯ พ.ศ. 2564 (พ.ร.ก. ฟื้นฟู) ที่ผ่านมารัฐบาลได้จัดสรรงบไปชดเชยค่าใช้จ่าย และความเสียหายดังกล่าวแล้ว 2,705 ล้านบาท คงเหลือภาระผูกพันที่ต้องจ่ายชดเชยอีกไม่เกิน 61,328 ล้านบาท

    2. ภาระผูกพันที่อาจเกิดขึ้น (Contingent Liabilities) เป็นภาระผูกพันที่รัฐบาลอาจต้องจ่าย หรือชำระหนี้แทนตามกฎหมาย สัญญา หรือ ข้อตกลง รวมไปถึงความคาดหวังจากสังคม หากเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดขึ้น ประกอบด้วย

      2.1 หนี้สาธารณะที่รัฐบาลไม่ได้รับภาระ วงเงินรวม 1,761,602.41 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 9.59% ของ GDP ประกอบด้วย

        2.1.1 หนี้ที่รัฐบาลกู้เงินเพื่อชดใช้ความเสียหายให้แก่กองทุนเพื่อการฟื้นฟู และพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF) วงเงิน 552,627 ล้านบาท ลดลงต่อเนื่อง โดยมีแหล่งเงินหลักในการชำระหนี้มาจากเงินนำส่งจากสถาบันการเงิน ตาม พ.ร.ก.ปรับปรุงการบริหารหนี้เงินกู้ที่กระทรวงการคลังกู้เพื่อช่วยเหลือ FIDF พ.ศ. 2555

        2.1.2 หนี้เงินกู้ของรัฐวิสาหกิจ หรือ หน่วยงานของรัฐที่รัฐบาลให้กู้ต่อ/ค้ำประกัน แต่รัฐบาลไม่รับภาระ วงเงินรวม 641,597 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่เป็นหนี้ของรัฐวิสาหกิจที่มีปัญหาฐานะการเงิน และอยู่ภายใต้แผนฟื้นฟูกิจการภายใต้คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ เช่น การรถไฟแห่งประเทศไทย องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ เป็นต้น และ

        2.1.3 หนี้รัฐวิสาหกิจที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน และหน่วยงานของรัฐที่รัฐบาลไม่ได้ค้ำประกัน วงเงินรวม 567,379 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นหนี้ของรัฐวิสาหกิจที่มีฐานะการเงินที่มั่นคง เช่น บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย การไฟฟ้านครหลวง เป็นต้น

      2.2 ชดเชยการสูญเสียรายได้จากมาตรการลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างให้กับ อปท. ตามความจำเป็นและสมควร ที่ผ่านมารัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณเพื่อชดเชยการสูญเสียรายได้ดังกล่าวไปแล้ว 30,489 ล้านบาท คงเหลือภาระผูกพันในการพิจารณาชดเชยอีกไม่เกิน 34,627 ล้านบาท

    เตรียมรื้อโครงสร้างภาษี – ปรับปรุงค่าลดหย่อน เพิ่มประสิทธิภาพจัดเก็บรายได้

    สำหรับแนวนโยบายและมาตรการที่กระทรวงการคลังจะดำเนินการต่อไปในระยะปานกลางมีรายละเอียดดังนี้

    1. ด้านการจัดเก็บรายได้ กระทรวงการคลังมีแผนเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้ โดยขยายฐานภาษีและปรับปรุงโครงสร้างการจัดเก็บให้สอดคล้องกับเศรษฐกิจปัจจุบัน เพื่อความยั่งยืนทางการคลังระยะยาว ประกอบไปด้วย

      1.1 เพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บภาษี โดยเชื่อมโยงข้อมูลกับหน่วยงานภาครัฐและหน่วยงานภาคนอก เพื่อให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบภาษีได้อย่างรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพในการตรวจสอบ รวมทั้งส่งเสริมความร่วมมือในจัดเก็บภาษีระหว่างประเทศ และอำนวยความสะดวกแก่ผู้เสียภาษี

      1.2 ขยายฐานภาษี ตรวจสอบภาษีเชิงรุกให้ครอบคลุมกลุ่มผู้ประกอบการที่อยู่นอกระบบ และผู้ประกอบการรายใหม่ รวมทั้งสร้างแรงจูงใจให้ผู้ประกอบการที่อยู่นอกระบบเข้าสู่ระบบภาษี เพื่อสร้างความเป็นธรรมทางภาษี โดยใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่มาบูรณาการข้อมูลจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

      1.3 ปรับปรุงโครงสร้างการจัดเก็บรายได้ ปรับโครงสร้างภาษีให้เหมาะสมกับเศรษฐกิจ ส่งเสริมการกระจายรายได้อย่างเหมาะสม โดยการปรับปรุงวิธีรการคำนวณภาษี ค่าลดหย่อนภาษี รายการยกเว้นภาษีบางประเภท และทบทวนมาตรการชั่วคราวที่ทำให้รัฐบาลสูญเสียรายได้โดยไม่จำเป็น รวมถึงการใช้นโยบายภาษีเพื่อส่งเสริมสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ

    2. ด้านการจัดสรรงบประมาณรายจ่าย

      2.1 เน้นนโยบายสำคัญของรัฐบาล นโยบายเร่งด่วน ระยะกลางและระยะยาว ดำเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติ และแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยนำหลักเศรษฐกิจพอเพียงมาเป็นแนวทางในการจัดสรรงบประมาณ

      2.2 จัดทำงบประมาณพิจารณาตามลำดับความสำคัญ จำเป็นเร่งด่วน และพิจารณาศักยภาพการดำเนินงานของหน่วยรับงบประมาณในปีที่ผ่านมา โดยให้ความสำคัญกับความคุ้มค่าทางการเงินและสนับสนุนโอกาสในการพัฒนาประเทศ ควรพิจารณาจัดสรรงบประมาณที่มุ่งเน้นการสร้างโอกาส และความเสมอภาคทางเศรษฐกิจและสังคม ต่อยอดการพัฒนาของภาคการผลิตและบริการ เพิ่มความสามารถในการแข่งขัน ควบคู่ไปกับวางยุทธศาสตร์ให้ประเทศเป็นศูนย์กลางการผลิตทั้งอุตสาหกรรมและการเกษตร พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อขยายโอกาส การดูแลคุณภาพชีวิตและความมั่นคงให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีมีสวัสดิการที่เหมาะสม รวมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินการภาครัฐโดยการใช้นวัตกรรม เทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์สูงสุด

      2.3 การจัดทำแผนงาน โครงการต่าง ๆ ต้องกำหนดเป้าหมาย ตัวชี้วัด ผลลัพธ์ที่จะเป็นประโยชน์ต่องประชาชนไว้อย่างชัดเจน และให้ความสำคัญกับจากจัดทำงบประมาณมิติดพื้นที่ (Area) โดยการขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่าย ให้หน่วยรับงบประมาณพิจารณาลำดับความสำคัญ ความจำเป็นเร่งด่วน และความพร้อมของพื้นที่ รวมทั้งให้หน่วยรับงบประมาณดำเนินการตามหลักเกณฑ์ของกฎหมายให้ครบถ้วนก่อนมายื่นคำขอรับการจัดสรรงบประมาณ เช่น ข้อกำหนดเกี่ยวกับผังเมือง ข้อกำหนดด้านสิ่งแวดล้อม เกณฑ์มาตรฐานอาคารด้านพลังงาน (BEC) เป็นต้น

      2.4 การจัดทำงบประมาณให้พิจารณาแหล่งเงินทุกประเภท โดยให้หน่วยรับงบประมาณนำเงินนอกงบประมาณมาใช้ในการดำเนินภารกิจของหน่วยรับงบประมาณ เป็นลำดับแรก รวมทั้งพิจารณาแหล่งเงินอื่นมาใช้ดำเนินโครงการภาครัฐ เช่น เงินกู้ การร่วมทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน (PPP) เป็นต้น เพื่อลดภาระงบประมาณของประเทศ

    3. ด้านการบริหารหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลังควรบริหารหนี้สาธารณะเชิงรุก (Proactive Debt) และ รักษาวินัยในการชำระหนี้ (Debt Repayment Discipline) รวมทั้งคำนึงถึงความสามารถในการชำระหนี้ (Debt Affordability) เพื่อความยั่งยืนทางการคลัง ดังนี้:

      3.1 บริหารหนี้เชิงรุก โดยประเมินสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบัน และคาดการณ์ล่วงหน้า เพื่อปรับกลยุทธ์การระดมทุนของรัฐบาลให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์เศรษฐกิจ เพื่อรองรับความผันผวนของอัตราดอกเบี้ยโลก เพื่อบรรเทาผลกระทบทั้งในเชิงต้นทุน และความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ย และการปรับโครงสร้างหนี้ของรัฐบาล

      3.2 รักษาวินัยในการชำระหนี้ทั้งเงินต้น และดอกเบี้ย เพื่อลดความเสี่ยงทางการคลังและภาระดอกเบี้ย ซึ่งอาจเป็นข้อจำกัดในการบริหารรายจ่ายประจำในอนาคต โดยเฉพาะในปัจจุบันที่รัฐบาลมีภาระหนี้เพิ่มมากขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากการดำเนินมาตรการทางการคลังในช่วงวิกฤติโควิด-19 ทำให้มีภาระต้นเงินกู้ที่สูงขึ้นมาก ดังนั้นตั้งแต่ปี 2568 หากเศรษฐกิจฟื้นตัวและการจัดเก็บรายได้ปรับตัวดีขึ้น รัฐบาลควรพิจารณาจัดสรรงบชำระต้นเงินกู้ เพื่อชดเชยงบชำระต้นเงินกู้ที่จัดสรรให้ต่ำไปในช่วงปีก่อนหน้าด้วย โดยเฉพาะต้นเงินกู้เฉพาะของหนี้รัฐบาลที่มีวงเงินกู้ที่สูงขึ้นมากในช่วงวิกฤติโควิด-19 จึงควรได้รับการชดเชยในสัดส่วนที่สูงขึ้น และให้สอดคล้องกับขนาดของมูลหนี้ที่ครบกำหนดชำระในปีงบประมาณนั้น อย่างน้อยควรจัดสรรงบชำระต้นเงินกู้เฉพาะของหนี้รัฐบาลไม่ต่ำกว่า 3% ของงบประมาณรายจ่ายประจำปี มิฉะนั้นความสามารถในการชำระหนี้ในระยะปานกลางอาจปรับลดลง และอาจกระทบกับอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศได้

      นอกจากนี้ เพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของ พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลังฯ จะต้องจัดสรรงบประมาณรายจ่ายเพื่อการชำระดอกเบี้ยอย่างพอเพียง เนื่องจากดอกเบี้ยเป็นภาระต่องบประมาณที่จะต้องจ่ายทั้งจำนวนโดยไม่สามารถปรับโครงสร้างหนี้ได้ จึงควรจัดสรรงบประมาณสำหรับงบชำระดอกเบี้ยให้มีความยืดหยุ่น รองรับความผันผวนสูงของอัตราดอกเบี้ยในตลาดการเงิน ซึ่งกระทบกับภาระดอกเบี้ยจ่ายโดยตรงในอนาคต เพื่อให้ประเทศยังคงมีเสถียรภาพทางการคลังอย่างยั่งยืน

      3.3 ความสามารถในการชำระหนี้ เป็นตัวชี้วัดที่บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศให้ความสำคัญ โดยประเมินจากภาระดอกเบี้ยเปรียบเทียบกับประมาณการรายได้ในแต่ละปี หากสัดส่วนดังกล่าวสูงเกินกว่า 10% (เทียบเท่าระดับ A- (Upper Medium Investment Grade)) อาจส่งผลกระทบต่อการจัดสรรงบประมาณในภาพรวม ซึ่งอาจทำให้ต้องลดงบประมาณในส่วนอื่น หรือ ปรับลดงบลงทุน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการดำเนินนโยบายการคลัง เพื่อพัฒนาประเทศในระยะยาวได้ ทางสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะจึงได้กำหนดเป็นเกณฑ์ภายในสำหรับการติดตามสัดส่วนดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง โดย ณ สิ้นปีงบประมาณ 2567ตัวชี้วัดดังกล่าวมีสัดส่วนอยู่ที่ 9.59% ถือว่ายังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี

    หลังจากที่ประชุม ครม.นัดสุดท้ายของปี 2567 ได้พิจารณาเห็นชอบแผนการคลังระยะปานกลาง ปีงบประมาณ 2569 – 2572 นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ฝากข้อสังเกตให้คณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐที่มีนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานฯ รวมทั้งกระทรวงการคลัง รับไปดำเนินการ เพื่อนำไปสู่ความยั่งยืนทางการคลังในระยะยาวดังนี้

      1. ให้กระทรวงการคลัง เพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้ให้เหมาะสม และสอดคล้องกับประเทศที่มีระดับรายได้ใกล้เคียงกัน

      2. ให้หน่วยงานรับงบประมาณ เพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายงบประมาณให้มีความคุ้มค่า ประหยัด และเกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชน

      3. ให้หน่วยงานรับงบประมาณ นำเงินนอกงบประมาณ เงินรายได้ หรือ เงินที่สะสม มาใช้ดำเนินการภารกิจ เป็นลำดับแรก

      4. เร่งรัดการเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจ และสนับสนุนให้รัฐวิสาหกิจลงทุนในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน

  • นายกฯชี้ MOU44 เป็นเรื่อง‘เซนซิทีฟ’แถลงสาธารณะไม่ได้-มติ ครม.ร่วมทุนเอกชนต่อขยาย‘โทลล์เวย์’ถึงบางปะอิน
  • รัฐบาลเบี้ยวหนี้แบงก์รัฐ 35,000 ล้านบาท โยกงบฯ ปี ’68 แจก “เงินหมื่น” ทั้งที่ค้างจ่ายกว่า 1 ล้านล้านบาท
  • ป้ายคำ :