“พิชัย” ชู ‘Zero – Based budgeting’ ปรับแผนการคลังฯ ทบทวนประมาณการรายได้ – งบประมาณรายจ่าย – กู้ชดเชยขาดดุล สะท้อนความเป็นจริง – ฟื้นฟูฐานะการคลังให้แข็งแกร่ง – ยั่งยืน เดินหน้าสู่ ‘จุดดุลภาพ’ ปลัดคลังเผย “เรากู้มาเกือบสุดซอยแล้ว อยากได้งบฯเยอะฯ ต้องหารายได้เพิ่ม”
จากปัญหาเชิงโครงสร้างที่ส่งผลทำให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวต่ำกว่าศักยภาพมาเป็นเวลานาน ทำให้ประชาชนมีรายได้ไม่เพียงพอ และต้องไปพึ่งพาการกู้ยืมเงินเพิ่มขึ้น ขณะที่ผู้ประกอบการผลิตสินค้าขึ้นมา ก็ขายสู้สินค้านำเข้าราคาถูก เกรดต่ำไม่ได้ กำลังซื้อของผู้บริโภคก็ลดลง นำไปสู่ปัญหาหนี้สินภาคครัวเรือนที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และยังส่งผลกระทบต่อความยั่งยืนทางการคลังของรัฐบาล เนื่องจากการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ต่ำกว่าศักยภาพ ส่งผลทำให้การจัดเก็บภาษี หรือ รายได้ของรัฐบาลโตต่ำกว่าที่ควรจะเป็นเช่นเดียวกัน ที่ผ่านมาหลายรัฐบาลจึงหันไปพึ่งพาการกู้ยืมเงิน เพื่อใช้ในการพัฒนาประเทศและรักษาระดับการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยการจัดทำงบประมาณแบบขาดดุลติดต่อกันมาหลายสิบปี ทำให้หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะหลังจากการระบาดของโควิด-19 จนต้องแก้ไขกฎหมายขยายสัดส่วนการก่อหนี้สาธารณะเพิ่มเป็น 70% ของ GDP
หลังจากที่หยีบคันเร่งกันมานาน ล่าสุดกระทรวงการคลังได้ทบทวนการดำเนินนโยบายการคลังกันใหม่อีกครั้ง โดยคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ ได้นำแผนการคลังระยะปานกลางปีงบประมาณ 2569 – 2572 ส่งให้ที่ประชุม ครม. ผ่านความเห็นชอบไปแล้วเมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2567 ทั้งนี้ เพื่อให้ที่ประชุม 4 หน่วยงาน ซึ่งประกอบไปด้วย กระทรวงการคลัง , สภาพัฒน์ ฯ , ธนาคารแห่งประเทศไทย และสำนักงบประมาณ ใช้ประกอบการพิจารณาประมาณการรายได้ , กำหนดกรอบวงเงินรายจ่าย , นโยบาย และโครงสร้างงบประมาณรายจ่ายฯ โดยเฉพาะการจัดทำงบประมาณรายจ่ายปี 2569 ตามปฏิทินงบประมาณปี 2569 จะต้องนำเสนอต่อที่ประชุม ครม.พิจารณาเห็นชอบในวันอังคารที่ 7 มกราคม 2568
ประเด็นที่น่าสนใจ คือ การจัดทำงบประมาณรายจ่ายในปีงบประมาณ 2569 ที่ปรากฏอยู่ในแผนการคลังระยะปานกลางฉบับใหม่นี้ กระทรวงการคลังกำหนดประมาณการรายได้สุทธิของรัฐบาลในปีนี้ไว้ค่อนข้างต่ำ ไม่เหมือนกันปีที่ผ่านมา โดยในปีนี้คาดว่ารัฐบาลจะมีรายได้สุทธิอยู่ที่ 2,920,600 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ 2568 (ปีที่ผ่านมา) 33,600 ล้านบาท หรือ เพิ่มขึ้นแค่ 1.2 % เท่านั้น
ส่วนงบประมาณรายจ่ายปีงบประมาณ 2569 กำหนดกรอบวงเงินเอาไว้ที่ 3,780,600 ล้านบาท เพิ่มจากปีที่ผ่านมาแค่ 27,900 ล้านบาท เพิ่มขึ้นแค่ 0.7% เท่านั้น ซึ่งถือว่าน้อยมาก เมื่อนำไปเปรียบเทียบกับในสมัยรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน เคยเบ่งวงเงินงบประมาณรายจ่ายในปีงบประมาณ 2567 เพิ่มขึ้นไปถึง 13.1% และในปีงบประมาณ 2568 เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา 4.2% แต่ปีนี้เพิ่มแค่ 0.7% เท่านั้น ส่งผลทำให้วงเงินกู้เพื่อชดเชยขาดดุลการคลังอยู่ที่ 860,000 ล้านบาท ลดลงจากปีที่ผ่านมา 5,700 ล้านบาท หรือ ลดลง 0.7% เช่น

ชู ‘Zero – Based Budgeting’ ฟื้นฟูฐานะการคลัง – เดินหน้าสู่จุดดุลยภาพ
สำนักข่าวออนไลน์ไทยพับลิก้า จึงนำประเด็นนี้ไปถามนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังว่า เกิดอะไรขึ้นกับการจัดทำงบประมาณรายจ่ายปี 2569 ทำไมการจัดทำงบประมาณรายจ่ายปีนี้เพิ่มขึ้นน้อยมาก ประมาณการรายได้รัฐบาลสุทธิก็เพิ่มจากปีที่ผ่านมา 33,600 ล้านบาท งบประมาณรายจ่ายเพิ่มขึ้นแค่ 27,900 ล้านบาท ส่วนวงเงินกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลการคลังลดลงไป 5,700 ล้านบาท
นายจุลพันธ์ ตอบว่า “เรื่องนี้เป็นนโยบาย Zero – Growth Budgeting หรือ Zero – Based Budgeting ของนายพิชัย ชุณหวิชร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ที่ต้องการปรับลดขนาดของการขาดดุลการคลังลงมาให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม เพื่อฟื้นฟูสภาพทางการคลังให้กลับสู่สภาวะที่แข็งแกร่ง และเกิดความยั่งยืนในอนาคต และสามารถบริหารจัดการหนี้สาธารณะได้ ควบคู่ไปกับการส่งเสริมให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศ เพื่อให้ภาคการคลังของประเทศเข้าสู่จุดดุลยภาพ หรือ “Fiscal Equilibrium” ซึ่งเป็นปัจจัยสนับสนุนสำคัญในการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในระยะยาวได้โดยไม่ก่อให้เกิดวิกฤตการคลัง รวมถึงความคล่องตัวในการปรับเปลี่ยนนโยบาย รองรับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจได้อย่างยืดหยุ่น เหมาะสม และทันการณ์”
ปลัดคลังเผย“ เรากู้เกือบสุดซอยแล้ว อยากได้งบฯเยอะ ต้องหารายได้เพิ่ม”
สอดคล้องกับที่นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง เคยให้สัมภาษณ์ก่อนหน้านี้ว่า จากปัญหาเศรษฐกิจไทยที่โตต่ำกว่าศักยภาพ ทำให้รัฐบาลเก็บภาษีได้น้อยกว่าที่ควรจะเป็น ขณะที่รัฐบาลมีความจำเป็นต้องจัดทำงบประมาณแบบขาดดุล เพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ทำให้หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจนมายืนอยู่ในระดับสูง กระทรวงการคลังไม่ได้คิดจะกู้อย่างนี้ต่อไปเรื่อย ๆ วันนี้เรากู้มาเกือบสุดซอยแล้ว หากกู้ไปมากกว่านี้ หรือ เบ่งงบประมาณเพื่อให้ได้วงเงินงบประมาณเยอะๆ อาจกระทบกับความยั่งยืนทางการคลังในอนาคต เราก็ไม่อยากใช้แนวทางนี้แล้ว
“การจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี ทั้งเรื่องการประมาณการรายได้ และวงเงินงบประมาณรายจ่าย ควรสะท้อนความเป็นจริง หากรายได้ไม่โต รายจ่ายก็ต้องไม่โตเหมือนกัน ถึงเวลาแล้วที่เราต้องยอมรับความจริง ไม่ใช่งบประมาณรายจ่ายต้องโตขึ้นไปทุกปี เราต้องกลับมาคิดกันใหม่ หากต้องการให้งบประมาณรายจ่ายโต ก็ต้องคิดหาเครื่องมือทางภาษีใหม่ ๆขึ้นมา เพื่อหารายได้เพิ่ม”
ปรับลด GDP สะท้อนความเป็นจริง
สำหรับแผนการคลังระยะปานกลาง ปีงบประมาณ 2569 – 2572 ฉบับนี้ คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทย (GDP) ในปี 2568 จะขยายตัวอยู่ในช่วง 2.3 – 3.3% หรือ ขยายตัวเฉลี่ยอยู่ที่ 2.8% ต่อปี อัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยอยู่ในช่วง 0.5-1.5% ส่วนปี 2569 – 2571 คาดว่า GDP ขยายตัว 2.3 – 3.3% หรือ ขยายตัวเฉลี่ยอยู่ที่ 2.8% ต่อปี ขณะที่ปี 2572 คาดว่า GDP ขยายตัวในช่วง 2.5 – 3.5% หรือ ขยายตัวเฉลี่ยอยู่ที่ 3% ต่อปี สำหรับอัตราเงินเฟ้อปี 2569 – 2570 คาดว่าจะอยู่ในช่วง 0.7 – 1.7% และปี 2571- 2572 คาดว่าอัตราเงินเฟ้อจะอยู่ในช่วง 0.8 – 1.8%
คาดปี’70 คลังกระเป๋าตุง – รายได้พุ่ง 1.76 แสนล้าน
ในส่วนของการประมาณการสถานะทางการคลัง : คาดว่าในปีงบประมาณ 2569 รัฐบาลจะมีรายได้สุทธิ 2,920,600 ล้านบาท เพิ่มจากปีที่ผ่านมา 1.2% , ปีงบประมาณ 2570 มีรายได้สุทธิ 3,096,400 ล้านบาท เพิ่มจากปีที่ผ่านมาถึง 175,800 ล้านบาท หรือ เพิ่มขึ้นสูงถึง 6% , ปีงบประมาณ 2571 มีรายได้สุทธิอยู่ที่ 3,244,100 ล้านบาท เพิ่มจากปีที่ผ่านมา 4.8 % และ ปีงบประมาณ 2572 มีรายได้สุทธิ 3,389,700 ล้านบาท เพิ่มจากปีที่ผ่านมาอีก 4.5%
ประมาณการวงเงินงบประมาณรายจ่าย : ปีงบประมาณ 2569 มีวงเงินงบประมาณรายจ่ายอยู่ที่ 3,378,600 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา 0.7 % , ปีงบประมาณ 2570 มีวงเงิน 3,855,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา 2.0 % , ปีงบประมาณ 2571 มีวงเงิน 3,966,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา 2.9 % และ , ปีงบประมาณ 2572 มีวงเงิน 4,093,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา 3.2 %
ทยอยปรับลดวงเงินกู้ชดเชยการคลัง
ประมาณการยอดขาดดุลการคลัง จากประมาณการรายได้สุทธิ และวงเงินงบประมาณรายจ่ายตามที่กล่าวข้างต้น จะทำให้การจัดทำงบประมาณในปีงบประมาณ 2569 มียอดขาดดุลอยู่ที่ 860,000 ล้านบาท ลดลงจากปีที่ผ่านมา 5,700 ล้านบาท หรือลดลง 0.7% เทียบกับ GDP คิดเป็นสัดส่วน 4.3% , ปีงบประมาณ 2570 มียอดขาดดุลอยู่ที่ 758,600 ล้านบาท ลดลงจากปีที่ผ่านมา 101,400 ล้านบาท หรือลดลง 11.8% เทียบกับ GDP คิดเป็นสัดส่วน 3.6% , ปีงบประมาณ 2571 มียอดขาดดุลอยู่ที่ 721,900 ล้านบาท ลดลงจากปีที่ผ่านมา 36,700 ล้านบาท หรือลดลง 4.8% เทียบกับ GDP คิดเป็นสัดส่วน 3.3% และปีงบประมาณ 2572 มียอดขาดดุลอยู่ที่ 703,300 ล้านบาท ลดลงจากปีที่ผ่านมา 18,600 ล้านบาท หรือลดลง 2.6% เทียบกับ GDP คิดเป็นสัดส่วน 3.1%
ประมาณการหนี้สาธารณะคงค้าง ณ สิ้นปีงบประมาณ 2567 (30 ก.ย.2567) มียอดหนี้คงค้างอยู่ที่ 11,627,854 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 63.3% ของ GDP คาดว่าปีงบประมาณ 2568 หนี้สาธารณะจะมียอดคงค้างอยู่ที่ 12,605,834 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 65.6% ของ GDP , ปีงบประมาณ 2569 มียอดหนี้คงค้างอยู่ที่ 13,461,963 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 67.3% ของ GDP , ปีงบประมาณ 2570 มียอดหนี้คงค้างอยู่ที่ 14,242,312 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 68.5% ของ GDP , ปีงบประมาณ 2571 มียอดหนี้คงค้างอยู่ที่ 14,983,098 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 69.2% ของ GDP และ ปีงบประมาณ 2572 มียอดคงค้างอยู่ที่ 15,642,927 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 69.3% ของ GDP
เปรียบเทียบแผนการคลังระยะปานกลางในปีงบประมาณ 2569 – 2572 (ฉบับใหม่) กับแผนกาคลัง ฯ ในปีงบประมาณ 2567 – 2571 ทบทวนครั้งที่ 2 (ฉบับเก่า) จะเห็นว่า กระทรวงการคลังได้มีการปรับปรุงประมาณการรายได้รัฐบาลสุทธิในแผนการคลังฯฉบับใหม่ให้สอดคล้องกับประมาณการ GDP มากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในปีงบประมาณ 2569 ได้มีการปรับลดประมาณการรายได้รัฐบาลสุทธิลงมาจากแผนเดิม 119,400 ล้านบาท ขณะที่วงเงินงบประมาณรายจ่ายของแผนการคลังฯฉบับใหม่ในปีนี้ เพิ่มขึ้นจากแผนเดิม 37,600 ล้านบาท ทำให้วงเงินกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลการคลัง เพิ่มขึ้นจากแผนเดิม 157,000 ล้านบาท เนื่องจากรายได้สุทธิของรัฐบาลลดลงตามประมาณการ GDP ที่ปรับปรุงใหม่
หลังจากปรับฐานประมาณการรายได้ให้สอดคล้องกับความเป็นจริงแล้ว จะเห็นว่าในปีงบประมาณ 2570 ประมาณการรายได้รัฐบาลสุทธิเร่งตัวขึ้นมาอย่างรวดเร็ว หากเปรียบเทียบกับปีที่ผ่านมามีอัตราการเพิ่มขึ้นถึง 6% เข้าใจว่าอาจจะเป็นผลมาจากมาตรการเพิ่มสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้ โดยการขยายฐานภาษี และปรับโครงสร้างอัตราภาษีตามที่กำหนดไว้ในแผนการคลังฯฉบับนี้
แต่อย่างไรก็ตาม รัฐบาลยังคงเดินหน้าจัดทำงบประมาณแบบขาดดุลต่อไป และพยายามลดขนาดการขาดดุลการคลังลงมา โดยเฉพาะในปีงบประมาณ 2570 ประมาณการยอดขาดดุลการคลังลดลงไป 101,400 ล้านบาท ทั้งนี้ เป็นผลมาจากประมาณรายได้รัฐบาลสุทธิที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นตามที่กล่าวข้างต้น เพื่อชะลอการเพิ่มขึ้นของหนี้สาธารณะ ถึงแม้กระทรวงการคลังทยอยปรับลดยอดการขาดดุลการคลังลงมาแล้วก็ตาม แต่เนื่องจากมีการปรับลดประมาณการ GDP ให้สอดคล้องสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ ทำให้สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง คาดว่าในปีงบประมาณ 2572 จะมีสัดส่วนอยู่ที่ 69.3% ของ GDP
ติดหนี้แบงก์รัฐกว่า 1 ล้านล้าน – สปส. 6.6 หมื่นล้าน – อปท. 3.5 หมื่นล้าน
ส่วนภาระผูกพันทางการเงินการคลังของรัฐบาล จะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ
1. ภาระผูกพันโดยตรง (Direct Liabilities) เป็นภาระผูกพันของรัฐบาลที่มีกฎหมาย สัญญา หรือข้อตกลงที่รัฐบาลจะต้องจัดสรรงบประมาณให้อย่างชัดเจน ประกอบด้วย
-
1.1 หนี้สาธารณะที่รัฐบาลรับภาระโดยตรง (ในการชำระเงินต้น และ/หรือ ดอกเบี้ย) ณ สิ้นปีงบประมาณ 2567 มีวงเงินรวมทั้งสิ้น 9,866,251 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 53.72% ของ GDP ประกอบด้วย
-
(1) หนี้ที่รัฐบาลกู้โดยตรง จำนวนรวมทั้งสิ้น 9,284,316 ล้านบาท
(2) หนี้รัฐวิสาหกิจที่รัฐบาลกู้ให้กู้ต่อ และรับภาระ 374,965 ล้านบาท และ
(3) หนี้รัฐวิสาหกิจที่รัฐบาลค้ำประกันและรับภาระ 206,970 ล้านบาท
ทั้งนี้ ในปีงบประมาณ 2568 มีรายจ่ายในการชำระเงินต้น 150,100 ล้านบาท และดอกเบี้ยอยู่ที่ 259,254 ล้านบาท
1.2 หนี้โครงการนโยบายรัฐบาล ตามมาตรา 28 แห่ง พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลังฯ ณ สิ้นปีงบประมาณ 2567 หนี้ดังกล่าวมียอดคงค้างอยู่ที่ 1,028,279 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 28.55% วงเงินงบประมาณปี 2567 ซึ่งยังอยู่ภายใต้กรอบของกฎหมายที่คณะกรรมการฯกำหนดเอาไว้ไม่เกิน 32% ของวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี โดยในปีงบประมาณ 2568 รัฐบาลจัดสรรงบประมาณไปชำระคืนหนี้ตามมาตรา 28 วงเงิน 36,957 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 0.98% ของวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี
1.3 ภาระผูกพันด้านสวัสดิการด้านหลักประกันสุขภาพ ประกันสังคม และบำเหน็จบำนาญ โดยในปีงบประมาณ 2568 รัฐบาลมีภาระในการจัดสรรงบฯมาใช้ในรายการดังกล่าว 857,832 ล้านบาท คิดสัดส่วน 22.86% ของงบประมาณรายจ่ายประจำปี และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่องตามการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ นอกจากนี้ รัฐบาลยังมีภาระค้างจ่ายเงินสมทบกองทุนประกันสังคมอีก 66,452 ล้านบาท
1.4 ภาระผูกพันด้านรายจ่ายบุคลากรภาครัฐ ในปีงบประมาณ 2568 รัฐบาลมีภาระค่าใช้จ่ายดังกล่าว 800,970 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 21.34%
1.5 ภาระผูกพันในการชดเชยค่าใช้จ่าย และความเสียหาย ตาม พ.ร.ก.การให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากโควิดฯ พ.ศ. 2563 (พ.ร.ก. Soft Loan) ในปีงบประมาณ 2567 รัฐบาลได้จัดสรรงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ไปชดเชยค่าใช้จ่ายและความเสียหายรอบแรกแล้ว 1,453.11 ล้านบาท โดยยังมีประมาณการภาระผูกพันในการชดเชยค่าใช้จ่ายและความเสียหายรอบที่สองอีก 100 ล้านบาท
1.6 ภาระผูกพันจากการชดเชยค่าใช้จ่าย และความเสียหาย ตาม พ.ร.ก.การให้ความช่วยเหลือและฟื้นฟูผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากการโควิดฯ พ.ศ. 2564 (พ.ร.ก. ฟื้นฟู) ที่ผ่านมารัฐบาลได้จัดสรรงบไปชดเชยค่าใช้จ่าย และความเสียหายดังกล่าวแล้ว 2,705 ล้านบาท คงเหลือภาระผูกพันที่ต้องจ่ายชดเชยอีกไม่เกิน 61,328 ล้านบาท
2. ภาระผูกพันที่อาจเกิดขึ้น (Contingent Liabilities) เป็นภาระผูกพันที่รัฐบาลอาจต้องจ่าย หรือชำระหนี้แทนตามกฎหมาย สัญญา หรือ ข้อตกลง รวมไปถึงความคาดหวังจากสังคม หากเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดขึ้น ประกอบด้วย
-
2.1 หนี้สาธารณะที่รัฐบาลไม่ได้รับภาระ วงเงินรวม 1,761,602.41 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 9.59% ของ GDP ประกอบด้วย
-
2.1.1 หนี้ที่รัฐบาลกู้เงินเพื่อชดใช้ความเสียหายให้แก่กองทุนเพื่อการฟื้นฟู และพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF) วงเงิน 552,627 ล้านบาท ลดลงต่อเนื่อง โดยมีแหล่งเงินหลักในการชำระหนี้มาจากเงินนำส่งจากสถาบันการเงิน ตาม พ.ร.ก.ปรับปรุงการบริหารหนี้เงินกู้ที่กระทรวงการคลังกู้เพื่อช่วยเหลือ FIDF พ.ศ. 2555
2.1.2 หนี้เงินกู้ของรัฐวิสาหกิจ หรือ หน่วยงานของรัฐที่รัฐบาลให้กู้ต่อ/ค้ำประกัน แต่รัฐบาลไม่รับภาระ วงเงินรวม 641,597 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่เป็นหนี้ของรัฐวิสาหกิจที่มีปัญหาฐานะการเงิน และอยู่ภายใต้แผนฟื้นฟูกิจการภายใต้คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ เช่น การรถไฟแห่งประเทศไทย องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ เป็นต้น และ
2.1.3 หนี้รัฐวิสาหกิจที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน และหน่วยงานของรัฐที่รัฐบาลไม่ได้ค้ำประกัน วงเงินรวม 567,379 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นหนี้ของรัฐวิสาหกิจที่มีฐานะการเงินที่มั่นคง เช่น บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย การไฟฟ้านครหลวง เป็นต้น
2.2 ชดเชยการสูญเสียรายได้จากมาตรการลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างให้กับ อปท. ตามความจำเป็นและสมควร ที่ผ่านมารัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณเพื่อชดเชยการสูญเสียรายได้ดังกล่าวไปแล้ว 30,489 ล้านบาท คงเหลือภาระผูกพันในการพิจารณาชดเชยอีกไม่เกิน 34,627 ล้านบาท
เตรียมรื้อโครงสร้างภาษี – ปรับปรุงค่าลดหย่อน เพิ่มประสิทธิภาพจัดเก็บรายได้
สำหรับแนวนโยบายและมาตรการที่กระทรวงการคลังจะดำเนินการต่อไปในระยะปานกลางมีรายละเอียดดังนี้
1. ด้านการจัดเก็บรายได้ กระทรวงการคลังมีแผนเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้ โดยขยายฐานภาษีและปรับปรุงโครงสร้างการจัดเก็บให้สอดคล้องกับเศรษฐกิจปัจจุบัน เพื่อความยั่งยืนทางการคลังระยะยาว ประกอบไปด้วย
-
1.1 เพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บภาษี โดยเชื่อมโยงข้อมูลกับหน่วยงานภาครัฐและหน่วยงานภาคนอก เพื่อให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบภาษีได้อย่างรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพในการตรวจสอบ รวมทั้งส่งเสริมความร่วมมือในจัดเก็บภาษีระหว่างประเทศ และอำนวยความสะดวกแก่ผู้เสียภาษี
1.2 ขยายฐานภาษี ตรวจสอบภาษีเชิงรุกให้ครอบคลุมกลุ่มผู้ประกอบการที่อยู่นอกระบบ และผู้ประกอบการรายใหม่ รวมทั้งสร้างแรงจูงใจให้ผู้ประกอบการที่อยู่นอกระบบเข้าสู่ระบบภาษี เพื่อสร้างความเป็นธรรมทางภาษี โดยใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่มาบูรณาการข้อมูลจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
1.3 ปรับปรุงโครงสร้างการจัดเก็บรายได้ ปรับโครงสร้างภาษีให้เหมาะสมกับเศรษฐกิจ ส่งเสริมการกระจายรายได้อย่างเหมาะสม โดยการปรับปรุงวิธีรการคำนวณภาษี ค่าลดหย่อนภาษี รายการยกเว้นภาษีบางประเภท และทบทวนมาตรการชั่วคราวที่ทำให้รัฐบาลสูญเสียรายได้โดยไม่จำเป็น รวมถึงการใช้นโยบายภาษีเพื่อส่งเสริมสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ
2. ด้านการจัดสรรงบประมาณรายจ่าย
-
2.1 เน้นนโยบายสำคัญของรัฐบาล นโยบายเร่งด่วน ระยะกลางและระยะยาว ดำเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติ และแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยนำหลักเศรษฐกิจพอเพียงมาเป็นแนวทางในการจัดสรรงบประมาณ
2.2 จัดทำงบประมาณพิจารณาตามลำดับความสำคัญ จำเป็นเร่งด่วน และพิจารณาศักยภาพการดำเนินงานของหน่วยรับงบประมาณในปีที่ผ่านมา โดยให้ความสำคัญกับความคุ้มค่าทางการเงินและสนับสนุนโอกาสในการพัฒนาประเทศ ควรพิจารณาจัดสรรงบประมาณที่มุ่งเน้นการสร้างโอกาส และความเสมอภาคทางเศรษฐกิจและสังคม ต่อยอดการพัฒนาของภาคการผลิตและบริการ เพิ่มความสามารถในการแข่งขัน ควบคู่ไปกับวางยุทธศาสตร์ให้ประเทศเป็นศูนย์กลางการผลิตทั้งอุตสาหกรรมและการเกษตร พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อขยายโอกาส การดูแลคุณภาพชีวิตและความมั่นคงให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีมีสวัสดิการที่เหมาะสม รวมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินการภาครัฐโดยการใช้นวัตกรรม เทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์สูงสุด
2.3 การจัดทำแผนงาน โครงการต่าง ๆ ต้องกำหนดเป้าหมาย ตัวชี้วัด ผลลัพธ์ที่จะเป็นประโยชน์ต่องประชาชนไว้อย่างชัดเจน และให้ความสำคัญกับจากจัดทำงบประมาณมิติดพื้นที่ (Area) โดยการขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่าย ให้หน่วยรับงบประมาณพิจารณาลำดับความสำคัญ ความจำเป็นเร่งด่วน และความพร้อมของพื้นที่ รวมทั้งให้หน่วยรับงบประมาณดำเนินการตามหลักเกณฑ์ของกฎหมายให้ครบถ้วนก่อนมายื่นคำขอรับการจัดสรรงบประมาณ เช่น ข้อกำหนดเกี่ยวกับผังเมือง ข้อกำหนดด้านสิ่งแวดล้อม เกณฑ์มาตรฐานอาคารด้านพลังงาน (BEC) เป็นต้น
2.4 การจัดทำงบประมาณให้พิจารณาแหล่งเงินทุกประเภท โดยให้หน่วยรับงบประมาณนำเงินนอกงบประมาณมาใช้ในการดำเนินภารกิจของหน่วยรับงบประมาณ เป็นลำดับแรก รวมทั้งพิจารณาแหล่งเงินอื่นมาใช้ดำเนินโครงการภาครัฐ เช่น เงินกู้ การร่วมทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน (PPP) เป็นต้น เพื่อลดภาระงบประมาณของประเทศ
3. ด้านการบริหารหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลังควรบริหารหนี้สาธารณะเชิงรุก (Proactive Debt) และ รักษาวินัยในการชำระหนี้ (Debt Repayment Discipline) รวมทั้งคำนึงถึงความสามารถในการชำระหนี้ (Debt Affordability) เพื่อความยั่งยืนทางการคลัง ดังนี้:
-
3.1 บริหารหนี้เชิงรุก โดยประเมินสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบัน และคาดการณ์ล่วงหน้า เพื่อปรับกลยุทธ์การระดมทุนของรัฐบาลให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์เศรษฐกิจ เพื่อรองรับความผันผวนของอัตราดอกเบี้ยโลก เพื่อบรรเทาผลกระทบทั้งในเชิงต้นทุน และความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ย และการปรับโครงสร้างหนี้ของรัฐบาล
3.2 รักษาวินัยในการชำระหนี้ทั้งเงินต้น และดอกเบี้ย เพื่อลดความเสี่ยงทางการคลังและภาระดอกเบี้ย ซึ่งอาจเป็นข้อจำกัดในการบริหารรายจ่ายประจำในอนาคต โดยเฉพาะในปัจจุบันที่รัฐบาลมีภาระหนี้เพิ่มมากขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากการดำเนินมาตรการทางการคลังในช่วงวิกฤติโควิด-19 ทำให้มีภาระต้นเงินกู้ที่สูงขึ้นมาก ดังนั้นตั้งแต่ปี 2568 หากเศรษฐกิจฟื้นตัวและการจัดเก็บรายได้ปรับตัวดีขึ้น รัฐบาลควรพิจารณาจัดสรรงบชำระต้นเงินกู้ เพื่อชดเชยงบชำระต้นเงินกู้ที่จัดสรรให้ต่ำไปในช่วงปีก่อนหน้าด้วย โดยเฉพาะต้นเงินกู้เฉพาะของหนี้รัฐบาลที่มีวงเงินกู้ที่สูงขึ้นมากในช่วงวิกฤติโควิด-19 จึงควรได้รับการชดเชยในสัดส่วนที่สูงขึ้น และให้สอดคล้องกับขนาดของมูลหนี้ที่ครบกำหนดชำระในปีงบประมาณนั้น อย่างน้อยควรจัดสรรงบชำระต้นเงินกู้เฉพาะของหนี้รัฐบาลไม่ต่ำกว่า 3% ของงบประมาณรายจ่ายประจำปี มิฉะนั้นความสามารถในการชำระหนี้ในระยะปานกลางอาจปรับลดลง และอาจกระทบกับอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศได้
นอกจากนี้ เพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของ พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลังฯ จะต้องจัดสรรงบประมาณรายจ่ายเพื่อการชำระดอกเบี้ยอย่างพอเพียง เนื่องจากดอกเบี้ยเป็นภาระต่องบประมาณที่จะต้องจ่ายทั้งจำนวนโดยไม่สามารถปรับโครงสร้างหนี้ได้ จึงควรจัดสรรงบประมาณสำหรับงบชำระดอกเบี้ยให้มีความยืดหยุ่น รองรับความผันผวนสูงของอัตราดอกเบี้ยในตลาดการเงิน ซึ่งกระทบกับภาระดอกเบี้ยจ่ายโดยตรงในอนาคต เพื่อให้ประเทศยังคงมีเสถียรภาพทางการคลังอย่างยั่งยืน
3.3 ความสามารถในการชำระหนี้ เป็นตัวชี้วัดที่บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศให้ความสำคัญ โดยประเมินจากภาระดอกเบี้ยเปรียบเทียบกับประมาณการรายได้ในแต่ละปี หากสัดส่วนดังกล่าวสูงเกินกว่า 10% (เทียบเท่าระดับ A- (Upper Medium Investment Grade)) อาจส่งผลกระทบต่อการจัดสรรงบประมาณในภาพรวม ซึ่งอาจทำให้ต้องลดงบประมาณในส่วนอื่น หรือ ปรับลดงบลงทุน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการดำเนินนโยบายการคลัง เพื่อพัฒนาประเทศในระยะยาวได้ ทางสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะจึงได้กำหนดเป็นเกณฑ์ภายในสำหรับการติดตามสัดส่วนดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง โดย ณ สิ้นปีงบประมาณ 2567ตัวชี้วัดดังกล่าวมีสัดส่วนอยู่ที่ 9.59% ถือว่ายังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี
หลังจากที่ประชุม ครม.นัดสุดท้ายของปี 2567 ได้พิจารณาเห็นชอบแผนการคลังระยะปานกลาง ปีงบประมาณ 2569 – 2572 นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ฝากข้อสังเกตให้คณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐที่มีนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานฯ รวมทั้งกระทรวงการคลัง รับไปดำเนินการ เพื่อนำไปสู่ความยั่งยืนทางการคลังในระยะยาวดังนี้
-
1. ให้กระทรวงการคลัง เพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้ให้เหมาะสม และสอดคล้องกับประเทศที่มีระดับรายได้ใกล้เคียงกัน
2. ให้หน่วยงานรับงบประมาณ เพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายงบประมาณให้มีความคุ้มค่า ประหยัด และเกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชน
3. ให้หน่วยงานรับงบประมาณ นำเงินนอกงบประมาณ เงินรายได้ หรือ เงินที่สะสม มาใช้ดำเนินการภารกิจ เป็นลำดับแรก
4. เร่งรัดการเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจ และสนับสนุนให้รัฐวิสาหกิจลงทุนในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน