ThaiPublica > เกาะกระแส > นายกฯสั่ง ‘เผ่าภูมิ’ สร้างบ้านพัก ขรก.ให้ทุกหน่วย-มติ ครม.ตรึงค่าไฟ 4.18 บาทถึงสิ้นปี-ดีเซล 33 บาทแค่ ต.ค.นี้

นายกฯสั่ง ‘เผ่าภูมิ’ สร้างบ้านพัก ขรก.ให้ทุกหน่วย-มติ ครม.ตรึงค่าไฟ 4.18 บาทถึงสิ้นปี-ดีเซล 33 บาทแค่ ต.ค.นี้

23 กรกฎาคม 2024


เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2567 นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี พร้อมนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ณ ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล
ที่มาภาพ : www.thaigov.go.th/
  • นายกฯสั่ง ‘เผ่าภูมิ’ ลุยสร้างบ้านพัก ขรก.ให้ครบทุกหน่วย
  • หนุนหยุดยิงช่วงแข่งขันโอลิมปิก – วอน ‘ฮามาส’ ปล่อยชาวไทย 6 คน
  • กำชับ รมต.งดตอบโต้การเมืองตลอดสัปดาห์เฉลิมพระชนมพรรษา
  • มติ ครม.ตรึงค่าไฟ 4.18 บาท ถึงสิ้นปี – ดีเซล 33 บาท แค่ ต.ค.นี้
  • ยกร่าง พ.ร.บ.ยุบเลิกประกาศ – คำสั่ง คสช. 24 ฉบับ
  • ยธ.แจงผลงาน 3 ปี จำคุกกว่า 8.7 แสน ปล่อยตัวแล้วทำผิดซ้ำ 9 หมื่นราย
  • ทุ่ม 300 ล้าน สร้างแฟลตตำรวจ 2 หลัง – ที่จอดรถ 8 ชั้น
  • ไฟเขียวใช้ที่ สปก. 3,455 ไร่ สร้างทางรถไฟ 2 โครงการ
  • แก้กฎหมาย ป.ป.ช. คุ้มครองผู้แจ้งเบาะแส – กันเป็นพยาน
  • เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2567 นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ณ ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล ภายหลังการประชุม ครม. เสร็จสิ้น นายเศรษฐาให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน และมอบหมายให้นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน แถลงแนวทางการตรึงราคาค่าไฟฟ้า และน้ำมันดีเซล และนายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี รายงานข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี

    เชิญชวน ปชช. จองเหรียญกษาปณ์ ฯเฉลิมเกียรติในหลวง ร.10

    นายเศรษฐา กล่าวว่า เนื่องในโอกาสพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ ในวันที่ 28 กรกฎาคม 2567 จึงขอเชิญชวนประชาชน องค์กรมูลนิธิ และภาคเอกชนร่วมกันแสดงพลังความจงรักภักดี และสามัคคีของปวงชนชาวไทย เนื่องในโอกาสมหามงคล รวมถึงเข้าร่วมโครงการเฉลิมพระเกียรติต่างๆ ที่ร่วมกันจัดทำทุกภาคส่วน เพื่อให้พี่น้องประชาชนได้รับความสุข และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เพื่อเทิดพระเกียรติแก่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอันเป็นที่รักยิ่งของเราทุกคน

    นายเศรษฐา กล่าวต่อว่า รัฐบาลได้จัดทำเหรียญกษาปณ์ที่ระลึก และเหรียญเฉลิมพระเกียรติ เพื่อน้อมนำพระราชดำรัสและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ได้แก่ เหรียญทองคำขัดเงา เหรียญเงินขัดเงา เหรียญโลหะสีขาว เหรียญโลหะสีขาวขัดเงา เหรียญโลหะสีขาว

    “รัฐบาลขอเชิญชวนพี่น้องทุกท่าน โดยจะเริ่มจำหน่ายในวันพรุ่งนี้เป็นต้นไป (24 ก.ค.67) รายได้หลังหักค่าใช้จ่ายจะทูลเกล้าถวายต่อไป” นายเศรษฐา กล่าว

    เห็นชอบ MOU ส่งแรงงานไทยไปเกาหลี

    นายเศรษฐา กล่าวต่อว่า ที่ประชุม ครม. มีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ เพื่อจัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการจัดส่งแรงงานไปประเทศเกาหลี เพื่อรักษากรอบความร่วมมือชัดเจนระหว่างประเทศไทย-เกาหลี ตามกฎหมายการจ้างแรงงานต่างชาติ รวมทั้งเพื่อความโปร่งใสในกระบวนการจัดส่งคนงานจากไทยไปเกาหลี ตั้งแต่ประมวลการจัดสรรแรงงาน ทดสอบฝีมือแรงงาน กำหนดค่าธรรมเนียม หรือ ค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปทำงาน การตรวจลงตราและการเข้าเมือง การทำงานและการพำนัก

    เผย ICAO เล็งยกระดับสนามบินไทยขึ้นเป็น ‘CAT 1’

    นายเศรษฐา กล่าวต่อว่า ที่ประชุม ครม. มีมติอนุมัติตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ในการลงนามร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งสหราชอาณาจักรไทยกับองค์กรการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) เพื่อบริหารโครงการฝึกอบรม สำหรับประเทศกำลังพัฒนา โดยกำหนดความร่วมมือในการบริหารจัดการหลักสูตรการบิน และให้ทุนแก่ผู้เข้าร่วมฝึกอบรม เพื่อยกระดับให้สนามบิน และเจ้าหน้าที่การบินของไทยมีคุณภาพ และมาตรฐานตามสากล

    “กระทรวงคมนาคมอยู่ในช่วงการขอให้เขามารีวิวเพิ่ม จาก CAT 2 (Category 2) มาสู่ CAT 1 (Category 1) ถือเป็นผลกระทบเชิงบวก ถ้าเราสามารถยกระดับเป็น CAT 1 ได้ สายการบินก็จะเข้ามา ซึ่งจะเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวต่อไป” นายเศรษฐา กล่าว

    สั่ง ‘เผ่าภูมิ’ ลุยสร้างบ้านพัก ขรก.ให้ครบทุกหน่วย

    นายเศรษฐา กล่าวต่อว่า ที่ประชุม ครม. มีมติอนุมัติตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอ ให้ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 งบกลางจำนวน 300 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าก่อสร้างอาคารที่พักอาศัยส่วนกลาง 68 ครอบครัว จำนวน 2 อาคาร และอาคารที่จอดรถชั้นสูง 8 ชั้น จำนวน 1 หลัง เพื่อเป็นการยกระดับสวัสดิการเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยปัจจุบันมีผู้รอรับการจัดสรรบ้านเกือบ 4,000 คน

    นายเศรษฐา กล่าวต่อว่า โครงการก่อสร้างดังกล่าวเป็นโครงการนำร่อง โดยในอนาคตรัฐบาลจะยกระดับที่อยู่อาศัยให้ครบทุกหน่วยงาน

    “รัฐบาลมีความตั้งใจจะผลักดันเป็นโครงการยกระดับที่อยู่อาศัยให้ครบทุกหน่วยงาน เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจให้กับข้าราชการทุกกระทรวง ทบวง กรม ยืนยันว่าไม่ได้ให้แค่ตำรวจ หรือ ทหารอย่างเดียว แต่เป็นโครงการนำร่องเพื่อดูวิธีการ โดยสั่งการให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง (นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล) ไปศึกษาการพัฒนาที่อยู่อาศัยให้ข้าราชการทั้งหมด” นายเศรษฐา กล่าว

    หนุนหยุดยิงช่วงแข่งขันโอลิมปิก – วอน ‘ฮามาส’ ปล่อยชาวไทย 6 คน

    นายเศรษฐา กล่าวต่อว่า ที่ประชุม ครม. เห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ให้จัดทำเอกสาร National Commitment ให้การประชุมสุดยอดว่าด้วยการกีฬาเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนในช่วงการแข่งขันโอลิมปิกฤดูร้อน 2024 ในกรุงปารีส

    “รัฐบาลได้เน้นย้ำเรื่องการยุติการยิงระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮามาส ในระหว่างจัดแข่งกีฬา ที่เป็นความตั้งใจของรัฐบาลไทย และประธานาธิบดี เอ็มมานูแอล มาครง รวมถึงตอกย้ำให้กระทรวงการต่างประเทศพิจารณาให้ส่งตัวประกันชาวไทยที่เหลือทั้ง 6 คน” นายเศรษฐา กล่าว

    มอบ ‘พีระพันธุ์’ แถลงตรึงค่าไฟ-ดีเซล

    นายเศรษฐา กล่าวต่อว่า ที่ประชุม ครม. รับทราบตามที่กระทรวงพลังงานเสนอเกี่ยวกับมาตรการลดราคาพลังงาน โดย นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน จะเป็นผู้แถลงรายละเอียดต่อไป

    ไม่มีทางกดค่าไฟเหลือ 3 บาท เว้นเจอแหล่งพลังงานใหม่

    ด้านนายชัย ตอบคำถามผู้สื่อข่าวถึงรายละเอียดมาตรการลดราคาพลังงาน ภายหลังการแถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรีว่า ครม. ยังไม่ได้กำหนดว่าจะเป็นแนวทางไหน แต่ประเด็นหนึ่งที่ไม่ได้เป็นมติ แต่เป็นข้อแลกเปลี่ยนและที่ประชุม ครม. มีท่าทีเห็นพ้องต้องกันคือ ไม่สามารถลดค่าไฟฟ้าให้ราคาต่ำลง หรือเหลือประมาณ 3 บาทต่อหน่วยได้ หากไม่มีแหล่งพลังงานในประเทศ

    “ตราบใดที่แหล่งพลังงานในบ้านมีไม่พอ ต้องนำเข้า การเปลี่ยนโครงสร้างราคาให้ประหยัดลง อย่างเป็นเนื้อเป็นหนัง เช่น ค่าไฟให้มันต่ำลงไปเห็นๆ เลย เหลือสัก 3 บาทนิดหน่อย ถ้าไม่มีแหล่งพลังงานเองแทบจะเป็นไปไม่ได้ ยาก” นายชัย กล่าว

    “ในที่ประชุมบอกว่าอยากให้มีการพิจารณาเรื่องขุมพลังงานมหาศาลที่อยู่ใกล้ประเทศเพื่อนบ้าน ดูเหมือนที่ประชุมก็เห็นคล้อยกันว่าถ้าต้องการหลุดพันจากค่าใช้จ่ายไฟฟ้าในระดับนี้ และอยากเห็นประหยัดมากๆ มันหนี้ไม่พ้นที่เราจะต้องมีแหล่งพลังงานในประเทศ” นายชัย กล่าว

    ทั้งนี้ เมื่อถามถึงประเทศที่จะเป็นแหล่งพลังงานใหม่ นายชัย ตอบว่า ในที่ประชุมไม่ได้มีการระบุ โดยระบุเพียง ‘ใกล้ประเทศเพื่อนบ้าน’

    กำชับ รมต.งดตอบโต้การเมืองตลอดสัปดาห์เฉลิมพระชนมพรรษา

    นายชัย รายงานว่า เนื่องจากสัปดาห์นี้เป็นสัปดาห์ที่สำคัญอย่างยิ่ง เพราะเป็นสัปดาห์ที่ตรงกับโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ โดยนายกฯ ได้กำชับถึงรัฐมนตีทุกท่านในที่ประชุม ครม. ว่าสัปดาห์นี้.ให้งดเว้นการให้สัมภาษณ์ตอบโต้ทางการเมือง

    “ขอเพียงแค่รายงานให้ประชาชนรับทราบว่ารัฐบาลคิดจะทำอะไร ทำอะไรไปแล้วบ้าง และผลลัพธ์เป็นอย่างไรเท่านั้น ขอให้หลีกเลี่ยงการวิพากษ์วิจารณ์การตอบโต้ทางการเมืองโดยเด็ดขาดตลอดสัปดาห์นี้” นายชัย รายงาน

    มติ ครม.มีดังนี้

    นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกฯ , นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และนางสาวเกณิกา อุ่นจิตร์ รองโฆษกฯ ร่วมกันแถลงผลการประชุม ครม. ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ทำเนียบรัฐบาล
    ที่มาภาพ : www.thaigov.go.th

    ตรึงค่าไฟ 4.18 บาท ถึงสิ้นปี – ดีเซล 33 บาท แค่ ต.ค.นี้

    นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า ที่ประชุม ครม. มีมติเห็นชอบให้ขยายระยะเวลาตรึงราคา 4.18 บาทต่อหน่วยเหมือนเดิมไป โดยตรึงออกไปอีก 4 เดือน (กันยายน-ธันวาคม 2567) และมีมาตรการต่อเนื่องเพื่อช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 300 หน่วยต่อเดือนอยู่ที่ 3.99 บาทต่อหน่วยเช่นเดิม

    “ค่าไฟฟ้าในงวดต่อไปเหมือนเดิมทุกอย่าง ไม่เปลี่ยนแปลง ส่วนที่เคยบอกว่าจะขึ้นค่าไฟฟ้านั้นไม่มี” นายพีระพันธ์ กล่าว

    นายพีระพันธ์ ยังกล่าวถึงมาตรการลดราคาพลังงานเรื่อง ‘น้ำมัน’ ว่า รัฐบาลตรึงราคาน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 33 บาทต่อลิตร โดยใช้มาตรการจากสำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ต่อเนื่องจากกระทรวงพลังงานได้นำเสนอคณะรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบ

    ผู้สื่อข่าวถามว่าจะตรึงราคาน้ำมันดีเซล และค่าไฟฟ้าได้นานแค่ไหน นายพีระพันธ์ ตอบว่า “ตรึงค่าไฟฟ้าไปจนถึงสิ้นปี ตามงวดการคำนวณค่า FT ทุก 4 เดือน ต้องปรับราคาตามราคาที่ต้องมาพิจารณาเรื่องราคาก๊าซธรรมชาติทุก 4 เดือน เลยทำให้เราต้องปรับค่าไฟฟ้าทุก 4 เดือน แต่สำหรับงวดเดือนกันยายน-ธันวาคม 2567 นั้น ยังคงที่ 4.18 บาทต่อหน่วย ไม่ขึ้น ส่วนการตรึงราคาน้ำมันนั้นจะตรึงตามความสามารถของกองทุนน้ำมัน ฯไปจนถึงวันที่ 31 ตุลาคม 2567”

    ถามต่อว่า มีวิธีการทำอย่างไรให้ค่าไฟฟ้าลดลงมาเหลือ 4.18 บาทต่อหน่วยอย่างไร นายพีระพันธ์ ตอบสั้นๆ ว่า “มีวิธีการ ไม่มีใครเดือดร้อน”

    ผู้สื่อข่าวจึงถามย้ำว่า ใช้งบประมาณหรือมีแนวทางอย่างไร นายพีระพันธ์ ยังคงตอบว่า “ไม่ได้ใช้อะไรเลย”

    เมื่อถามว่า ให้ กฟผ. (การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย) แบกรับหรือไม่ นายพีระพันธ์ ตอบว่า “ไม่ได้แบกครับ ได้เงินส่วนต่างไปจ่าย แต่ว่าจ่ายน้อยลง”

    ถามต่อว่า ได้เงินส่วนต่างจากไหนมาชดเชยค่าไฟ นายพีระพันธุ์ ตอบว่า “ส่วนต่างจากค่าไฟฟ้า โดยค่าไฟ 4.18 บาทต่อหน่วย ทาง กฟผ.ได้รับเงินไปชำระหนี้อยู่แล้วในส่วนนั้นที่เขาเคยคำนวณไว้ ซึ่งคิดแบบเต็มๆ จ่ายงวดเดียวหมด แต่ไม่จำเป็นต้องจ่ายงวดเดียวหมด”

    ผู้สื่อข่าวถามว่า หมายความทยอยจ่ายหนี้ให้ กฟผ. ใช่หรือไม่ นายพีระพันธ์ ตอบว่า “ค่าไฟฟ้าที่ กฟผ.ได้รับ ก็มีส่วนต่าง และส่วนต่างดังกล่าว ก็เอาไปชำระหนี้เท่านั้นเอง”

    นายพีระพันธุ์ กล่าวต่อว่า “จ่ายตามงวดค่าไฟฟ้า คือ ตอนที่เขาคำนวณ เขาคำนวณแบบใช้หนี้งวดเดียวหมด แต่การใช้หนี้ไม่จำเป็นต้องงวดเดียวหมด การที่จ่ายงวดเดียวหมด ก็ต้องให้ประชาชนแบกหนี้ ซึ่งไม่มีเหตุจำเป็นขนาดนั้น สามารถทยอยจ่ายเป็นงวดๆ มีค่าเท่ากัน”

    เมื่อถามถึงมาตรการตรึงราคาน้ำมันดีเซล นายพีระพันธ์ กล่าวว่า “กลไกน้ำมันเป็นเช่นนี้มานานเกือบ 50 ปี ซึ่งผมก็ไม่เข้าใจ แต่ปล่อยกันมาแบบนี้ไม่มีใครคิดจะแก้ไข วันนี้ผมกำลังดำเนินการอยู่ ระบบแบบนี้มีมานานมาก และปล่อยกันมาแบบนี้ อยู่กันมาแบบนี้ อย่างที่ผมบอก ตอนแรกไม่รู้เลยว่าต้นทุนราคาน้ำมันเขาเท่าไร แม้แต่ขึ้นราคามาม่า ยังต้องรู้ต้นทุนเลย แต่น้ำมันมีผลกระทบต่อชีวิต เศรษฐกิจ และประชาชน กลับไม่มีกฎหมายควบคุมอะไรเลย แล้วอยู่แบบนี้ อยู่กันมากี่ปี ซึ่งตอนนี้ผมกำลังดำเนินการใกล้เสร็จแล้ว แต่ตอนนี้อยู่แบบนี้ไปก่อน เพราะว่ากฎหมายเป็นแบบนี้ ระบบระเบียบเป็นแบบนี้”

    นายพีระพันธุ์ เสริมว่า เบื้องต้นได้ร่างกฎหมายต้นฉบับเสร็จเรียบร้อยแล้ว กำลังส่งให้ฝ่ายกฎหมายของทีมตรวจสอบ และจะส่งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจสอบอีกครั้ง เมื่อเสร็จแล้วที่จะแก้ไขปัญหาเรื่องราคาน้ำมันที่ขึ้นอยู่ได้

    ผู้สื่อข่าวถามว่า ร่างกฎหมายดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ได้ก่อนวันที่ 31 ตุลาคม 2567 หรือไม่ นายพีระพันธ์ ตอบว่า “จะทันได้อย่างไร ถ้าเป็นระบบปกติไม่ทันอยูแล้ว เพราะต้องส่งเข้าสู่สภาผู้แทนราษฎรพิจารณา แต่อย่างน้อยก็มีร่างกฎหมาย เพราะที่ผ่านมา 50 ปี ไม่เคยมีร่างกฎหมายนี้”

    ถามว่า หลังวันที่ 31 ตุลาคม 2567 จะมีการบริหารเรื่องราคาน้ำมันอย่างไร ในระหว่างกำลังยกร่างกฎหมายฉบับนี้ นายพีระพันธุ์ ตอบว่า “เมื่อกฎหมายเป็นแบบนี้ ก็ต้องเป็นแบบนี้ไปก่อน แต่หากมีการเปลี่ยนแปลงเมื่อไร ก็มีการปรับระบบทั้งหมด”

    ผู้สื่อข่าวถามว่าหลังวันที่ 31 ตุลาคมนี้ กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงยังจะแบกรับไหว ก็ปล่อยให้ขึ้นไปก่อนหรือไม่ นายพีระพันธุ์ ตอบว่า “ยังต้องแบกไหวอยู่ แต่วิธีการต้องไปพูดคุยกับกระทรวงการคลังว่าจะมีวิธีการอย่างไรต่อไป”

    ถามย้ำว่า ระหว่างนี้จะใช้เงินจากไหนมาช่วยกองทุนน้ำมัน นายพีระพันธุ์ ตอบว่า “ก็ใช้ระบบเดิม คือกองทุนน้ำมันมีมานานมากพอๆ กับปัญหาที่บอกคือประมาณ 40 – 50 ปี แต่ว่าเดิมกองทุนน้ำมันไม่มีกฎหมายรองรับ จัดตั้งขึ้นมาโดยคำสั่งของสำนักนายกรัฐมนตรี และมีการเรียกเก็บเงิน เก็บภาษี เก็บโน่น เก็บนี่”

    “มีการท้วงติงกันมาเป็นระยะว่า ถ้าเป็นลักษณะแบบนี้น่าจะเป็นกฎหมายไม่ใช่คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี จนสุดท้ายมีการแก้ไขออกมาเป็นพระราชบัญญัติกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเมื่อปี 2562 ตรงนี้คือจุดเริ่มต้นของปัญหา เพราะว่าแต่เดิมกองทุนน้ำมันมีอำนาจ 2 อย่าง” นายพีระพันธุ์ กล่าว

    นายพีระพันธุ์ กล่าวถึงปัญหาแรกคือ ‘อำนาจในการดูแลราคาน้ำมัน’ ซึ่งราคาน้ำมันประกอบด้วย 3 ส่วน ส่วนที่หนึ่งคือ เนื้อน้ำมันแท้ๆ เนื่องจากเนื้อน้ำมันแท้ ๆ ของประเทศไทย ไม่ได้ต่างจากประเทศอื่น เหมือนที่บางคนไปพูดถึงประเทศนั้นประเทศนี้ ซึ่งเนื้อน้ำมันแท้ๆ ไม่ได้ต่างกัน โดยเนื้อน้ำมันประเทศไทยอยู่ที่ราคาประมาณ 20 บาทเศษเท่านั้นเอง แต่ที่เราไปจ่าย 38 บาท 40 บาท เพราะตัวเนื้อน้ำมันของประเทศไทย ต้องเอาไบโอดีเซลหรือเอทานอลมาผสม

    นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน

    “สมัยก่อน ราคาเอทานอล กับไบโอดีเซลมีราคาถูกกว่าน้ำมัน แต่เอามาผสมเพื่อให้ปริมาณน้ำมันมากขึ้น และทำให้ราคาถูกลง แต่วันนี้สองอย่างราคาแพงกว่าน้ำมัน เลยกลายเป็นว่าต้องเอาของที่แพงกว่าไปผสม มันก็เลยทำให้เนื้อน้ำมันในประเทศไทยแพงกว่าประเทศอื่น ที่เหลือคือเรื่องของภาษีเข้ากองทุน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ประชาชนต้องแบก เนื้อน้ำมันจริงๆ ราคาเพียง 20 กว่าบาท แต่จ่ายค่าน้ำมันราคา 30 – 40 บาท เพราะระบบภาษี ณ วันที่ 17 กรกฎาคม 2567 ประเทศไทยจ่ายภาษีสรรพสามิตลิตรละ 5.99 บาท ส่วนที่สิงค์โปร์จ่าย 5.54 บาท เวียดนามจ่าย 1.70 บาท”

    แจงกองทุนน้ำมันฯติดลบกว่า 1 แสนล้าน

    นายพีระพันธุ์ กล่าวต่อว่า “จากเดิมกองทุนน้ำมัน มี 2 ขา ขาหนึ่งเป็นคนกำหนดเพดานว่าควรจะเป็นเท่าไร แต่พอมาเป็นกฎหมายกองทุนน้ำมันได้เอาอำนาจตรงนี้ออกไป เหลือแต่ต้องใช้เงินอย่างเดียว ทำให้เหมือนกับคนสองขาโดนตัดไปหนึ่งขา ตรงนี้เลยทำให้หนี้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงพุ่งขึ้นมา ก็ไม่มีมาตรการอื่นที่จะใช้ได้ เหลือแต่ต้องใช้เงินจากกองทุน ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำไมกองทุนน้ำมันติดลบเยอะ เพราะเหลืออยู่ขาเดียว”

    “ตอนที่รัฐบาลนี้มารับตำแหน่งกฎหมายนี้มีผลบังคับมาแล้ว ซึ่ง ณ วันนั้นเป็นหนี้อยู่แล้ว 5 หมื่นกว่าล้านบาท และทุกวันนี้ติดลบประมาณแสนกว่าล้าน โดยเดิมที่ผมมารับตำแหน่งติดลบอยู่แล้วประมาณ 5 หมื่นล้านบาท เพราะว่าเดินขาเดียว ซึ่งเป็นอีกส่วนหนึ่งที่ผมต้องแก้ไข” นายพีระพันธุ์ กล่าว

    ผู้สื่อข่าวถามว่า หลังวันที่ 31 ตุลาคมนี้ ใช้กลไกของลดภาษีสรรพสามิตมาช่วยใช่หรือไม่ โดย นายพีระพันธุ์ ตอบว่า “ต้องหารือกันอีกครั้งหนึ่ง แต่ตอนนี้ใช้เหมือนเดิมระบบเดิมไปก่อน”

    เมื่อถามว่า โครงสร้างในการจัดเก็บราคาน้ำมัน จะเก็บผู้ใช้เบนซินมาจ่ายดีเซลหรือไม่ นายพีระพันธุ์ ตอบว่า “ไม่ใช่ ไม่ใช่ มันเก็บรวมกันอยู่ในกองทุน”

    ผู้สื่อข่าวถามว่า กฎหมายใหม่ที่จะออกมาจะมีการปรับสูตรอย่างไร นายพีระพันธุ์ ตอบว่า “ไม่ใช่ ไม่ใช่ มันแล้วแต่สถานการณ์ ไม่ได้ปรับสูตรอะไร เพราะตามกฎหมายปัจจุบันมีผลให้มีการผสมกันถึงแค่ปี 2569”

    เมื่อถามว่า จะได้รับความร่วมมือจากฝ่ายอื่นหรือไม่ ในการออกกฎหมายใหม่ออกมาและมีการคัดค้านไม่เห็นด้วย นายพีระพันธุ์ ตอบว่า “ไม่มี เพราะเรื่องนี้เป็นผลประโยชน์ประชาชน คงไม่มีใครมาขัดประโยชน์ ประชาชนคือผู้ได้ผลประโยชน์โดยรวม ไม่มีใครได้ประโยชน์จากกฎหมายนี้ คนที่ได้ประโยชน์คือประชาชนเท่านั้น”

    สุดท้ายถามว่า มีการพูดคุยกับพรรคร่วมรัฐบาลหรือไม่ นายพีระพันธุ์ ทิ้งท้ายว่า “ก็ไม่มีใครมีปัญหา ได้พูดในครม.ว่าต้องมีกฎหมายใหม่ ส่วนที่กระทบเกษตรกร ก็ต้องหาวิธีการต่อไปว่าจะทำอย่างไร”

    แก้ระเบียบจัดซื้อแบบเจาะจง – จ้างบริษัทลูก หน่วยงานรัฐต้องถือหุ้นเกิน 50%

    นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่าวันนี้ ที่ประชุม ครม.มีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดกรณีการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุโดยวิธีเฉพาะเจาะจง (ฉบับที่…) พ.ศ. … ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (สคก.) ตรวจพิจารณาแล้ว เพื่อให้การดำเนินการเกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุของรัฐวิสาหกิจมีความโปร่งใสมากขึ้น ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ

    โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ร่างกฎกระทรวงฯ ดังกล่าว มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงกำหนดกรณีการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุโดยวิธีเฉพาะเจาะจง พ.ศ. 2561 เกี่ยวกับหลักเกณฑ์การจัดซื้อจัดจ้างพัสดุโดยวิธีเฉพาะเจาะจง กรณีการจัดซื้อจัดจ้างจากรัฐวิสาหกิจหรือนิติบุคคลในเครือของหน่วยงานของรัฐเดียวกัน โดยเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นของหน่วยงานของรัฐในรัฐวิสาหกิจหรือบริษัทที่เป็นนิติบุคคลในเครือของหน่วยงานของรัฐเดียวกัน จากเดิมที่กำหนดไว้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 25 ของทุนทั้งหมด เป็นไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ของทุนทั้งหมด

    การแก้ไขร่างกฎกระทรวงดังกล่าวเพื่อให้การดำเนินการเกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุของหน่วยงานของรัฐหรือรัฐวิสาหกิจจากรัฐวิสาหกิจ หรือ บริษัทที่เป็นนิติบุคคลในเครือของหน่วยงานเดียวกันมีความโปร่งใสมากขึ้น เนื่องจากปัจจุบันมีรัฐวิสาหกิจ หรือ หน่วยงานของรัฐบางแห่งไปจัดตั้งหรือไปถือหุ้นในรัฐวิสาหกิจหรือนิติบุคคลต่างๆ แล้วเลือกจัดซื้อจัดจ้างกับบริษัทที่ตนจัดตั้งขึ้น หรือ ถือหุ้นอยู่โดยใช้วิธีเฉพาะเจาะจง เพื่อที่จะไม่ต้องดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างด้วยวิธีการประกาศเชิญชวนทั่วไป หรือวิธีการคัดเลือก ตามที่กำหนดใน พ.ร.บ. การจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 โดยเมื่อแก้ไขกฎหมายแล้วจะช่วยลดช่องว่างทางกฎหมายเพื่อจัดซื้อจัดจ้าง โดยวิธีเฉพาะเจาะจงกับรัฐวิสาหกิจที่ถือหุ้นอยู่กับนิติบุคคลที่เป็นบริษัทในเครือ อันจะเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการภายนอกเข้าแข่งขันได้ด้วย ประกอบกับคณะกรรมการวินิจฉัยปัญหาการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐเห็นชอบด้วยแล้ว

    ออกสลากการกุศล 11 โครงการ 837 ล้าน

    นายชัย กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติเห็นชอบและมอบหมาย ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ ดังนี้

    1.1 การออกสลากการกุศล (สลากฯ) เพื่อสนับสนุนโครงการที่ผ่านการกลั่นกรองจากคณะกรรมการพิจารณาโครงการสลากฯ (คณะกรรมการฯ) จำนวน 11 โครงการ วงเงินรวม 837.65 ล้านบาท

    1.2 ให้ สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล (สำนักงานสลากฯ) ดำเนินการดังนี้

      1.2.1 เป็นผู้จัดพิมพ์จัดจำหน่ายและจ่ายเงินรางวัลสลากฯ
      1.2.2 ประสานงานกับหน่วยงานเจ้าของโครงการที่ได้รับการสนับสนุนเพื่อดำเนินการตามขั้นตอนการออกสลากฯ การขออนุญาตการออกสลากฯ โดยปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และการนำส่งเงินให้หน่วยงานเจ้าของโครงการตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ โดยให้ผู้รับใบอนุญาตการออกสลากฯ เสียภาษีการพนันเหลือร้อยละ 0.5 แห่งยอดราคาสลากซึ่งมีผู้รับซื้อก่อนหักรายจ่ายตามข้อ 12 (4) ของกฎกระทรวงมหาดไทย ฉบับที่ 17 (พ.ศ. 2503) ออกตามความในพระราชบัญญัติการพนัน พุทธศักราช 2478 และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยกระทรวงมหาดไทยฉบับที่ 43 (พ.ศ. 2543)
      1.2.3 จัดทำแผนการออกสลากฯ และแผนการใช้เงินของแต่ละโครงการและรายงานต่อคณะกรรมการฯ เพื่อประโยชน์ในการกรรม ติดตามการดำเนินโครงการที่ได้รับการสนับสนุนให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์และเป้าหมายที่กำหนดไว้
      1.2.4 บริหารการจ่ายเงินให้หน่วยงานที่ได้รับการสนับสนุนเงินจากโครงการสนตามความเหมาะสมและเร่งด่วนเพื่อให้โครงการสลากสามารถเบิกจ่ายเงินได้อย่างรวดเร็ว

    1.3 ให้คณะกรรมการฯ ดำเนินการดังนี้

      1.3.1 กำหนดระยะเวลาในการผูกพันวงเงินของโครงการที่ได้รับการสนับสนุน และหากเกิดกรณีที่หน่วยงานเจ้าของโครงการไม่สามารถผูกพันวงเงินได้ตามกำหนดให้คณะกรรมการฯ พิจารณาให้ความเห็นชอบการขอขยายระยะเวลาผูกพันวงเงินหรือหากคณะกรรมการฯ พิจารณาแล้วเห็นว่าโครงการดังกล่าวไม่สามารถบรรลุวัตถุประสงค์ได้ ให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณายกเลิกวงเงินทรัพย์สินโครงการดังกล่าว
      1.3.2 เปลี่ยนแปลงรายละเอียดการใช้เงินภายในโครงการที่ได้รับการสนับสนุนโดยจะต้องไม่เปลี่ยนแปลงเป็นกิจกรรมที่แตกต่างจากโครงการที่นำเสนอคณะ รัฐมนตรี ให้ความเห็นชอบ

    สคร. และสำนักงานสลากฯ ได้ประชาสัมพันธ์เผยแพร่หลักเกณฑ์ฯ และรายละเอียดของข้อมูลโครงการที่ขอรับการสนับสนุนเงินฯ ตามมติคณะกรรมการฯ ดังกล่าวในเว็บไซต์ สคร. และสำนักงานสลากฯ เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2566 พร้อมทั้งกำหนดให้หน่วยงานที่ประสงค์ขอรับการสนับสนุนยื่นขอรับการสนับสนุนตามรายละเอียดข้อมูลโครงการที่ขอรับการสนับสนุนเงินฯ มายัง สคร. ระหว่างวันที่ 13 ธันวาคม 2566 ถึงวันที่ 26 มกราคม 2567 ด้วย ณ วันที่ 26 มกราคม 2567 มีหน่วยงานยื่นข้อเสนอโครงการที่ขอรับการสนับสนุนเงินฯ จำนวนรวมทั้งสิ้น 25 โครงการวงเงิน 3,698.65 ล้านบาท

    คณะกรรมการการประชุมครั้งที่ 1/2567 เมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2567 และครั้งที่ 2/2567 เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2567 มีมติเห็นชอบผลการกลั่นกรองโครงการที่ขอรับการสนับสนุนเงินฯจำนวน 11 โครงการ วงเงิน 837.75 ล้านบาท ตามที่คณะทำงานการกรองโครงการสลากฯ เสนอและเห็นชอบให้นำเสนอ กค. เพื่อพิจารณานำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบโครงการที่ได้รับการสนับสนุน โดยมีรายละเอียดสรุปได้ดังนี้

      1. โครงการก่อสร้างโรงอาหารคุณภาพ สะอาด ปลอดภัย โดยให้การสนับสนุนค่าก่อสร้างโรงอาหารขนาดเล็ก 260 ที่นั่ง พร้อมโต๊ะอาหารจำนวน 44 ตัว และเก้าอี้จำนวน 88 ตัว หน่วยงานเจ้าของโครงการ โรงเรียนคีรีราษฎร์พัฒนา จังหวัดนครศรีธรรมราช วงเงิน 4.13 ล้านบาท

      2. โครงการก่อสร้างหลังคาคลุมลานอเนกประสงค์ โดยให้การสนับสนุนค่าก่อสร้างหลังคาคลุมลานอเนกประสงค์ สำหรับนักเรียน ครู บุคลากร และประชาชนในพื้นที่ เพื่อใช้ทำกิจกรรม หน่วยงานเจ้าของโครงการ โรงเรียนเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระศรีนครินทร์ จังหวัดนครศรีธรรมราช วงเงิน 19.01 ล้านบาท

      3. โครงการขอสนับสนุนเครื่องมือและครุภัณฑ์ทางการแพทย์ สำหรับอาคารวัฒนเวชและศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะโรค โดยให้การสนับสนุนงบประมาณเพื่อจัดซื้อครุภัณฑ์ทางการแพทย์สำหรับ 7 ศูนย์ความเชี่ยวชาญ และ 6 หน่วยบริการจำนวน 38 รายการ หน่วยงานเจ้าของโครงการโรงพยาบาลราชบุรีราชบุรี จังหวัดราชบุรี วงเงิน 100.50 ล้านบาท

      4. โครงการพัฒนาการตรวจและรักษาผู้ป่วยโดยใช้เทคโนโลยีนวัตกรรมส่องกล้องตรวจรักษาที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัย โดยให้การสนับสนุนงบประมาณเพื่อจัดซื้อครุภัณฑ์ทางการแพทย์จำนวน 5 รายการ หน่วยงานเจ้าของโครงการ โรงพยาบาลเกาะสมุย วงเงิน 10.10 ล้านบาท

      5. โครงการพัฒนาการสาธารณสุขมูลฐานและระบบบริการสาธารณสุขปฐมภูมิ ศูนย์บริการสาธารณสุขเทศบาลนครเชียงราย โดยให้การสนับสนุนงบประมาณเพื่อจัดหาครุภัณฑ์จำนวน 42 รายการ ในการให้บริการประชาชนในศูนย์บริการสาธารณสุขทั้ง 4 แห่ง รวมถึงจัดหาครุภัณฑ์ให้อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน เพื่อดูแลดูแลส่งเสริมสุขภาพแก่คนในชุมชนทั้ง 65 ชุมชน หน่วยงานเจ้าของโครงการ เทศบาลนครเชียงราย วงเงิน 22.93 ล้านบาท

      6. โครงการพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศกับงานวินิจฉัยโรคทางพยาธิวิทยา และนวัตกรรมทางการธนาคารเลือด โดยให้การสนับสนุนงบประมาณเพื่อพัฒนาระบบสารสนเทศและอำนวยความสะดวกในการให้บริการทางห้องปฏิบัติการทางการแพทย์และจัดหาครุภัณฑ์จำนวน 14 รายการ จัดจ้างเป็นสัญญาเดียว หน่วยงานเจ้าของโครงการ มูลนิธิสถาบันพยาธิวิทยา วงเงิน 47 ล้านบาท

      7. โครงการเพิ่มศักยภาพบริการทางการแพทย์โรงพยาบาลหัวไทร สู่ความเป็นโรงพยาบาลชั้นนำ โดยให้การสนับสนุนงบประมาณเพื่อดำเนินกิจกรรมที่ 5 ก่อสร้างอาคารโรงซ่อมบำรุงพัสดุ หน่วยงานเจ้าของโครงการ โรงพยาบาลหัวไทร จังหวัดนครศรีธรรมราช วงเงิน 8.51 ล้านบาท

      8. โครงการจัดซื้อเครื่องมือแพทย์ ครุภัณฑ์ที่จำเป็นและปรับปรุงอาคารสถานที่เพื่อเพิ่มขีดความสามารถ และพัฒนาศักยภาพในการรักษาพยาบาลของโรงพยาบาลทหารผ่านศึก โดยให้การสนับสนุนงบประมาณเพื่อดำเนินกิจกรรม 2 กิจกรรม ดังนี้ 8.1 จัดซื้อครุภัณฑ์ทางการแพทย์และครุภัณฑ์ที่จำเป็นเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการรักษาพยาบาล ระยะเวลาดำเนินการภายในปี 2567 และ 8.2 การปรับปรุงอาคารสถานที่ภายในโรงพยาบาลทหารผ่านสึก และศูนย์อายุรวัฒน์ทหารผ่านศึก และผู้สูงอายุ หน่วยงานเจ้าของโครงการ องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึกในพระบรมราชูปถัมภ์ วงเงิน 162.84 ล้านบาท

      9. โครงการพัฒนาศักยภาพการผ่าตัดผู้ป่วยโรคหัวใจ มะเร็ง และอุบัติเหตุ โดยให้การสนับสนุนงบประมาณเพื่อจัดซื้อครุภัณฑ์ทางการแพทย์ จำนวน 35 รายการ สำหรับผ่าตัดในห้องผ่าตัดและห้องตรวจโซนหัวใจชั้น 5 ห้องผ่าตัดเพิ่มและห้องพักฟื้น ชั้น 6 และ 7 ที่ยังไม่มีงบประมาณสำหรับครุภัณฑ์ ระยะเวลาดำเนินการปี 2567-2568 หน่วยงานเจ้าของโครงการ โรงพยาบาลวชิระภูเก็ตจังหวัดภูเก็ต วงเงิน 196.20 ล้านบาท

      10. โครงการสลากเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา ผ่านการสร้างโอกาสทางการศึกษาสายอาชีพและการเรียนรู้สำหรับผู้พิการ เด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษา โดยให้การสนับสนุนงบงบประมาณเพื่อดำเนินกิจกรรมตามแผนงานจำนวน 2 แผนงาน ได้แก่ แผนงานที่ 1 แผนการพัฒนาและศึกษาต่อในระดับสูงกว่าการศึกษาขั้นพื้นฐาน (หลักสูตรผู้ช่วยพยาบาล/ผู้ช่วยทันตแพทย์ ประเภททุน 1 ปี) และแผนงานที่ 3 แผนการพัฒนาการเรียนรู้และอาชีพแก่เด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษาโดยใช้พื้นที่เป็นฐาน หน่วยงานเจ้าของโครงการ กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา วงเงิน 135.98 ล้านบาท และ

      11. โครงการปรับปรุงห้องผ่าตัดอาคารศัลยกรรม โดยให้การสนับสนุนงบประมาณเพื่อการจัดหาครุภัณฑ์ทางการแพทย์จำนวน 8 รายการ เพื่อทดแทนและเพิ่มศักยภาพในด้านการบริการทางการแพทย์ภายในห้องผ่าตัดอาคารศัลยกรรม คณะแพทย์ศาสตร์บริเวณชั้น 5 และชั้น 6 เพื่อให้บริการด้านการพยาบาลผู้ป่วยผ่าตัดศัลยกรรม หน่วยงานเจ้าของโครงการ คณะแพทยศาสตร์ วชิรพยาบาล มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช วงเงิน 130.45 ล้านบาท รวม 837.65 ล้านบาท

    หมายเหตุ: เป็นโครงการที่ได้รับเงินสนับสนุนเพียงเพียงบางส่วนรวม 4 โครงการ ส่วนโครงการที่เหลือจำนวน 7 โครงการได้รับเงินสนับสนุนเต็มจำนวน

    การดำเนินการโครงการสลากฯ จะช่วยสนับสนุนโครงการที่มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาด้านการสาธารณสุข การป้องกันและบรรเทาโรคติดต่อ และการลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม รวมทั้งก่อประโยชน์ให้แก่ประชาชนและสังคมที่ไม่ได้รับการจัดสรรงบประมาณจากภาครัฐอย่างทั่วถึงในวงกว้างหรือได้รับการจัดสรรแต่ไม่เพียงพอให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงิน ซึ่งจะทำให้ประชาชนได้รับการบริการสาธารณสุขและบริการขั้นพื้นฐานที่มีประสิทธิภาพอย่างทั่วถึงและสามารถยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนให้ดีขึ้น รวมทั้งลดความเหลื่อมล้ำทางสังคมได้อีกทางหนึ่ง

    ไฟเขียว MOU ส่งแรงงานไทยไปเกาหลี

    นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ มีรายละเอียดดังนี้ 1. ร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงแรงงานแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงแรงงานแห่งสาธารณรัฐเกาหลี ด้านการส่งแรงงานไทยไปสาธารณรัฐเกาหลี ภายใต้ระบบการจ้างแรงงานต่างชาติ (Employment Permit System : EPS (ร่างบันทึกความเข้าใจฯ ) ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขเพิ่มเติมร่างบันทึกความเข้าใจดังกล่าว ในส่วนที่มิใช่สาระสำคัญหรือขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศ 2. ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ

    นายคารม กล่าวว่า กระทรวงแรงงานและกระทรวงแรงงานและการจ้างงานฯ ได้ลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการจัดส่งแรงงานไทยไปสาธารณรัฐเกาหลี ภายใต้ระบบ EPS มาแล้ว จำนวน 6 ฉบับ โดยบันทึกความเข้าใจฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ทั้งสองฝ่ายมีกรอบความร่วมมือที่ชัดเจนในการจัดส่งแรงงานไทยไปทำงานสาธารณรัฐเกาหลีภายใต้ระบบการจ้างแรงงานต่างชาติให้มีประสิทธิภาพ ตั้งแต่กระบวนการสรรหาแรงงาน การทำสอบภาษาและการทดสอบฝีมือแรงงาน การกำหนดค่าธรรมเนียม หรือ ค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปทำงาน การตรวจลงตราและการเข้าเมือง การทำงานและการพำนักในสาธารณรัฐเกาหลี ตลอดจนการเดินทางกลับประเทศไทยเมื่อครบกำหนดระยะเวลาที่กำหนดเพื่อเป็นการป้องกันการอยู่ในสาธารณัฐเกาหลีอย่างผิดกฎหมาย โดยบันทึกความเข้าใจฯ ฉบับล่าสุด ซึ่งลงนามเมื่อวันที่ 6 กันยายน 2562 ได้สิ้นสุดการบังคับใช้แล้วเมื่อวันที่ 5 กันยายน 2564 แต่ยังคงมีผลบังคับใช้ระหว่างที่มีการดำเนินการเพื่อต่ออายุ เว้นแต่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะร้องขอให้มีการสิ้นสุดการมีผลบังคับใช้ ทั้งนี้ ตั้งแต่มีการลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ ฉบับแรกในปี 2547 จนถึงวันที่ 22 มกราคม 2567 พบว่า มีการจัดส่งแรงงานไทยไปทำงานที่สาธารณรัฐเกาหลี รวมทั้งสิ้น 94,764 คน โดยทำงานในภาคอุตสาหกรรม 68,357 คน (ร้อยละ 72.13) ภาคเกษตรและปศุสัตว์ 10,450 คน (ร้อยละ 11.03) ภาคก่อสร้าง 9,326 คน (ร้อยละ 9.84) ภาคประมง 23 คน (ร้อยละ 0.02) และได้รับการคัดเลือกให้ไปทำงานซ้ำ (Re-Entry) จำนวน 6,608 คน (ร้อยละ 6.97)

    “กระทรวงแรงงานและกระทรวงแรงงานและการจ้างงานฯ ได้เจรจาเพื่อจัดทำบันทึกความเข้าใจฯ ฉบับนี้ (ฉบับที่ 7) มาอย่างต่อเนื่อง โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีสาระสำคัญเช่นเดียวกับทั้ง 6 ฉบับที่ผ่านมา แต่มีการเพิ่มรายละเอียดบางประการ เช่น เพิ่มเติมให้กระทรวงแรงงานและการจ้างงานแห่งสาธารณรัฐเกาหลีสามารถร้องขอให้กระทรวงแรงงานสนับสนุนสิ่งที่จำเป็นจากต่างประเทศให้แก่แรงงานเมื่อเดินทางถึงสาธารณรัฐเกาหลีภายใต้สถานการณ์ที่ไม่สามารถคาดเดาได้ เช่น โรคระบาด เพื่อให้เกิดความมั่นใจในความต่อเนื่องของกระบวนการ EPS และเพื่อป้องกันโรคติดเชื้อภายใต้สถานการณ์นั้น ทั้งนี้ คณะทำงานพิจารณาและจัดทำร่างข้อตกลงที่เกี่ยวกับบันทึกความเข้าใจการจัดส่งแรงงานไทยไปสาธารณรัฐเกาหลี ภายใต้ระบบ EPS ได้พิจารณาบันทึกความเข้าใจฯ ที่สาธารณรัฐเกาหลีเสนอขอปรับแก้จนได้ข้อยุติแล้ว รวมทั้งได้แจ้งให้ฝ่ายสาธารณรัฐเกาหลีทราบด้วยแล้ว” นายคารม ระบุ

    ยกร่าง พ.ร.บ.ยุบเลิกประกาศ – คำสั่ง คสช. 24 ฉบับ

    นายคารม กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติยกเลิกประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติและคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติบางฉบับที่หมดความจำเป็น และไม่เหมาะสมกับกาลปัจจุบัน พ.ศ. …. ซึ่งมีสาระสำคัญเป็นการยกเลิกประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ และคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติบางฉบับที่หมดความจำเป็นและไม่เหมาะสมกับกาลปัจจุบัน จำนวน 24 ฉบับ ทั้งนี้ เพื่อเป็นการลดภาระที่เกิดขึ้นจากการบังคับใช้กฎหมายที่ไม่จำเป็น อันจะทำให้การบังคับใช้กฎหมายในภาพรวมของประเทศเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ สอดคล้องกับสภาพการทางเศรษฐกิจและสังคมในปัจจุบัน ลดภาระต่อรัฐในเรื่องงบประมาณในการบังคับใช้กฎหมาย ตลอดจนเป็นการลดอุปสรรคต่อการดำรงชีวิตหรือการประกอบอาชีพของประชาชน

    ออก กม.ป้องกันค้ามนุษย์ในสถานประกอบการ

    นายคารม กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติเห็นชอบร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง มาตรการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ในสถานประกอบกิจการ โรงงาน และยานพาหนะ ซึ่งมีสาระสำคัญเป็นการกำหนดมาตรการในการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ในสถานประกอบกิจการ โรงงาน และยานพาหนะ และการบังคับใช้แรงงาน หรือ บริการให้มีความเหมาะสมยิ่งขึ้น

    นายคารม กล่าวว่า กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เสนอว่า พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. 2551 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2558 มาตรา 16/1 กำหนดให้นายกรัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีมีอำนาจออกประกาศกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ในสถานประกอบกิจการ โรงงาน และยานพาหนะ และประกาศกำหนดให้สถานประกอบกิจการ โรงงาน และยานพาหนะใด ๆ ต้องอยู่ภายใต้บังคับของมาตรการดังกล่าว ซึ่งปัจจุบันได้มีประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง มาตรการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ในสถานประกอบกิจการ โรงงาน และยานพาหนะ ลงวันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558 กำหนดมาตรการตามพระราชบัญญัติดังกล่าว เช่น

      1. ให้สถานที่ที่ใช้ในการประกอบกิจการ โรงงาน และยานพาหนะ ได้แก่ สถานบริการตามกฎหมายว่าด้วยสถานบริการ โรงแรมตามกฎหมายว่าด้วยโรงแรม อาคาร ที่พักอาศัยในเชิงพาณิชย์ประเภทหอพัก อาคารชุด หรือเกสต์เฮาส์ (Guest House) ที่ให้ผู้อื่นเช่าโรงงานตามกฎหมายว่าด้วยแรงงาน เรือประมงต่างประเทศที่เข้ามาในน้ำน่านไทย อยู่ภายใต้บังคับของมาตรการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์

      2. ให้เจ้าของ ผู้ครอบครอง หรือผู้ดำเนินกิจการสถานประกอบกิจการโรงงาน และยานพาหนะ ต้องชี้แจงหรือจัดให้มีการอบรมลูกจ้างเกี่ยวกับการคุ้มครองสวัสดิภาพผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ ต้องอนุญาตให้ใช้เครื่องมือติดต่อสื่อสารระหว่างลูกจ้างกับบุคคลภายนอก

    นายคารม กล่าวต่อไปว่า ต่อมาได้มีพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติป้องกันและปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. 2551 พ.ศ. 2562 บัญญัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานร่วมรักษาการ เพิ่มความผิดและมาตรการในการคุ้มครองผู้เสียหายจากการบังคับใช้แรงงาน หรือบริการ และกำหนดลักษณะการกระทำที่เป็นความผิดฐานบังคับใช้แรงงานหรือบริการ รวมทั้งกำหนดอัตราโทษให้เหมาะสม ด้วยเหตุดังกล่าว พม. จึงได้เสนอร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง มาตรการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ในสถานประกอบกิจการโรงงาน และยานพาหนะ ลงวันที่ 15พฤศจิกายน พ.ศ. 2558 ให้สอดคล้องกับพระราชกำหนดดังกล่าว และเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ และการบังคับใช้แรงงานหรือบริการให้มีความเหมาะสมยิ่งขึ้น ซึ่งร่างประกาศดังกล่าวมีสาระสำคัญ ดังนี้

    1. กำหนดให้ พม. กระทรวงแรงงาน และหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องกับสถานประกอบกิจการ โรงงาน และยานพาหนะตามกฎหมายนั้น กำกับ ดูแลให้เจ้าของผู้ครอบครอง หรือผู้ดำเนินกิจการ ดำเนินการให้ความรู้เกี่ยวกับการปฏิบัติให้เป็นไปตามมาตรการป้องกัน และปราบปรามการค้ามนุษย์ในสถานประกอบกิจการ โรงงาน และยานพาหนะดังต่อไปนี้

      (1) ชี้แจงหรือให้ความรู้แก่ลูกจ้าง หรือผู้รับบริการ อย่างน้อยปีละครั้ง
      (2) อนุญาตให้ลูกจ้างติดต่อสื่อสารกับบุคคลภายนอกได้
      (3) ตรวจสอบและให้ความช่วยเหลือ ในกรณีที่ลูกจ้างหรือบุคคลอื่นใดกล่าวอ้างว่ามีการใช้กำลังบังคันหรือทำร้ายเพื่อกระทำความผิดฐานค้ามนุษย์หรือฐานบังคับใช้แรงงานหรือบริการ
      (4) อำนวยความสะดวกแก่พนักงานเจ้าหน้าที่ในการเข้าไปในสถานประกอบก็จะกร โรมงาน หรือ ยานพาหนะ ที่สนเป็นเจ้าของ หรือผู้ครอง
      (5) ควบคุม สอดส่อง และดูแล ไม่ให้มีการกระทำความผิดฐานค้ามนุษย์หรือฐานบังคับใช้แรงงานหรือบริการ
      (6) แจ้งพนักงานเจ้าหน้าที่ เมื่อพบว่ามีการกระทำความผิดฐานค้ามนุษย์ หรือ ฐานบังคับใช้แรงงานหรือบริการ หรือ ให้ข้อมูลข่าวสาร หรือพฤติการณ์ต่าง ๆ ของบุคคลซึ่งมีเหตุอันควรสงสัยหรือควรเชื่อได้

    2. กำหนดให้สถานที่ที่ใช้ใช้ในการประกอบกิจการ โรงงาน และยานพาหนะ ได้แก่ สถานบริการตามกฎหมายว่าด้วยสถานบริการ อาคารที่พักอาศัยในเชิงพาณิชย์ประเภทหอพัก อาคารชุด หรือเกสต์เฮาส์ (Guest House) ที่ให้ผู้อื่นเช่า โรงงานตามกฎหมายว่าด้วยแรงงาน เรือประมงต่างประเทศที่เข้ามาในน้ำน่านไทย อยู่ภายใต้บังคับของมาตรการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์

    ขยายเวลาเปิด-ปิดจุดผ่านแดนประเทศเพื่อนบ้าน

    นายคารม กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติรับทราบการดำเนินการเกี่ยวกับการเปิด การขยายเวลา และการปิดจุดผ่านแดนระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน ตามที่สำนักงานสภาความมั่นคง (สมช.) เสนอดังนี้

      1. รับทราบการเปิดจุดผ่านแดนถาวรสะพานมิตรภาพไทย-กัมพูชา (หนองเอี่ยน-สตึงบท) อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว เพื่อไม่ให้เสียโอกาสและประโยชน์ทางการค้าของประเทศ ประกอบกับลดความแออัดด้านการจราจรที่ด่านผ่านแดนถาวรบ้านคลองลึก-ปอยเปต ซึ่งสอดคล้องกับท่าทีของรัฐบาลกัมพูชาที่เห็นด้วยที่จะมีการเปิดใช้จุดผ่านแดนถาวรสะพานมิตรภาพไทย-กัมพูชา (หนองเอี่ยน-สตึงบท) ไปพลางก่อน

      2. รับทราบการปรับเวลาเปิดทำการจุดผ่านแดนถาวรดู่ อำเภอบ้านโคก จังหวัดอุตรดิตถ์ จากเดิมเวลา 06.00 – 20.00 น. ของทุกวัน เป็นเวลา 08.00 – 18.00 น. ของทุกวัน เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกในการเข้า-ออก และเป็นเอกภาพในการปฏิบัติงานร่วมกัน ทั้งนี้ เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพการใช้งานในปัจจุบันและสถานะของด่านคอนผึ้ง บ้านจอมแก้ว เมืองแก่นท้าว แขวงไชยะบุลี ลาว

      3. รับทราบการขยายเวลาเปิด-ปิด จุดผ่านแดนถาวรช่องสะงำ อำเภอภูสิงห์ จังหวัดศรีษะเกษ เป็นเวลา 07.00 – 22.00 น.

      4. รับทราบการปิดจุดผ่านแดนถาวรบ้านปากห้วย ตำบลหนองผือ อำเภอท่าลี่ จังหวัดเลย

      5. การดำเนินการใด ๆ บริเวณพื้นที่ชายแดน จะต้องระมัดระวังมิให้เกิดความเสียหายและผลกระทบต่อความมั่นคง โดยส่วนราชการที่เกี่ยวข้องจะต้องปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2542 (เรื่องแนวปฏิบัติกับการก่อสร้างถนนหรือกิจการใด ๆ ตามบริเวณชายแดน) และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2548 (เรื่อง การระงับการก่อสร้างถนนบริเวณจุดผ่านแดนถาวรช่องจอม จังหวัดสุรินทร์) อย่างเคร่งครัด

      6. ให้กระทรวงมหาดไทย (มท.) ออกประกาศตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองและดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง รวมถึงแจ้งให้จังหวัดรับทราบ

    ยธ.แจงผลงาน 3 ปี

    นายคารม กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติรับทราบรายงานประจำปีคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ตามที่กระทรวงยุติธรรม (ยธ.) เสนอ ภาพรวมสถาการณ์กระบวนการยุติธรรมของประเทศไทย ในช่วงปี พ.ศ. 2563 – 2565 ข้อมูลสถิติจำนวนคดี บุคคลที่เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมในขั้นตอนต่าง ๆ รวมทั้งการรับแจ้งความและจับกุมผู้ต้องหา

    นายคารม กล่าวว่า จากการพิจารณารวบรวมและพิจารณาสถิติต่าง ๆ เกี่ยวกับอาชญากรรมและกระบวนการยุติธรรมประจำปี พ.ศ. 2565 อันจะส่งผลกระทบต่อบริบทสังคมโลกและสังคมไทยพบว่า (1) คดียาเสพติดยังเป็นฐานความผิดที่พบมากที่สุด ซึ่งผู้ที่เข้ารับการฟื้นฟูและควรได้รับการพัฒนาต่อไปในอนาคต (2) มีการบรรจุข้อมูลฐานทำความผิดฉ้อโกงผ่านคอมพิวเตอร์และฐานความผิดการพนันที่กระทำผ่านระบบคอมพิวเตอร์เป็นครั้งแรกในฐานความผิดพิเศษและฐานความผิดที่รัฐเป็นผู้เสียหาย ซึ่งควรมีการติดตามฐานความผิดต่อไปอย่างใกล้ชิด

    “สำหรับการให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายแก่ประชาชนและการเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบเพื่อให้มีการสนับสนุนเงินหรือค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการให้ความช่วยเหลือประชาชนในด้านกฎหมาย การฟ้องร้องการดำเนินคดี หรือการบังคับคดี การคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพข้องผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนไม่ได้รับความเป็นธรรม เช่น การประกันการปล่อยตัวชั่วคราวการจ้างทนายความว่าความในดีอาญา คดีแพ่ง คดีปกครอง หรือการบังคับคดี ค่าธรรมเนียมขึ้นศาล ผ่านพระราชบัญญัติกองทุนยุติธรรม พ.ศ. 2558 ระหว่าง พ.ศ. 2563 – 2565 จำนวนทั้งสิ้น 1,812.32 ล้านบาท รวมทั้งให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้เสียหายและจำเลยในคดีอาญา เช่น ค่ารักษาพยาบาล ค่าขาดประโยชน์ ค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดี ค่าทดแทนการถูกคุมขังค่าตอบแทนความเสียหายผ่านพระราชบัญญัติค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทน และค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา พ.ศ. 2544 และที่แก้ไขเพิ่มเติม จำนวนทั้งสิ้น 1,231.22 ล้านบาท” นายคารม ระบุ

    ทุ่ม 300 ล้าน สร้างแฟลตตำรวจ 2 หลัง – ที่จอดรถ 8 ชั้น

    นางสาวเกณิกา อุ่นจิตร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติอนุมัติจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน 300 ล้านบาท เพื่อก่อสร้างอาคารที่พักอาศัยส่วนกลาง ขนาด 68 ครอบครัว จำนวน 2 อาคาร และอาคารที่จอดรถสูง 8 ชั้นจำนวน 1 หลัง แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กรุงเทพมหานคร เพื่อเป็นการพัฒนาคุณภาพชีวิตสวัสดิการ และบรรเทาความเดือดร้อนด้านค่าใช้จ่าย รวมทั้งเป็นการสร้างขวัญและกำลังใจให้กับข้าราชการตำรวจต่อไป ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) เสนอ

    รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ตร. มีภารกิจด้านการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรม การรักษาความสงบเรียบร้อยภายใน การรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินให้กับประชาชน และการควบคุมฝูงชนหรือกลุ่มผู้ชุมนุม ซึ่งมีความจำเป็นที่จะต้องระดมกำลังข้าราชการตำรวจไปปฏิบัติหน้าที่และภารกิจดังกล่าวได้ตลอด 24 ชั่วโมง และมีความจำเป็นที่จะต้องมีสถานที่พักที่ใกล้กับสถานที่ทำงานเพื่อให้สามารถระดมกำลังเจ้าหน้าที่ไปปฏิบัติหน้าที่ได้ทันทีตลอด 24 ชั่วโมง ทั้งนี้ ปัจจุบัน ตร. มีอาคารบ้านพักส่วนกลาง จำนวน 7 แห่ง รวมจำนวน 86 อาคาร ห้องพักจำนวน 5,718 ห้อง ซึ่งไม่เพียงพอกับจำนวนข้าราชการตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่ในปัจจุบัน โดยมีผู้รอรับการจัดสรรที่พักอาศัย (ส่วนกลาง) จำนวน 3,963 คน ทำให้ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเช่าบ้านประมาณ 8.16 ล้านบาทต่อปี

    เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2567 นายกรัฐมนตรีได้เข้าตรวจเยี่ยมอาคารบ้านพักส่วนกลาง ตร. (เฉลิมลาภ) ซึ่งอาคารบ้านพักดังกล่าวมีอายุการใช้งานมานานกว่า 45 ปี ส่งผลให้อาคารทรุดโทรมไม่เหมาะสมต่อการพักอาศัย และไม่คุ้มค่าต่อการซ่อมแซมปรับปรุง นายกรัฐมนตรีจึงมีดำริ ให้ ตร. ปรับปรุงแก้ไขแบบรูปรายการก่อสร้างอาคารที่พักอาศัยให้มีความทันสมัย สอดรับกับพื้นที่อาศัยในปัจจุบัน และจัดสรรสวัสดิการบ้านพักอาศัยให้กับข้าราชการตำรวจชั้นผู้น้อย เพื่อแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่าย เพิ่มพื้นที่สีเขียวรอบบริเวณที่พักอาศัย และลดขยะและมลภาวะ ต่อมาคณะกรรมการพิจารณากำหนดนโยบายการใช้ที่ดินและอาคาร สถานที่ ตร. ในคราวประชุมครั้งที่ 3/2567 ได้มีมติให้นำที่ดินราชพัสดุ ซึ่งเป็นพื้นที่ว่าง (บริเวณสนามฟุตบอล) ที่อยู่ในความครอบครองของ ตร. อยู่ในบริเวณอาคารพักอาศัยส่วนกลาง ตร. (เฉลิมลาภ) แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กรุงเทพมหานคร มาพัฒนาตามนโยบายของนายมนตรีดังกล่าว

    แต่เนื่องจาก ตร. ไม่สามารถปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณได้ เนื่องจากมีภารกิจจำเป็น เช่น การติดตามจับกุมคนร้ายในคดีสำคัญ คดีที่ประชาชนให้ความสนใจ การแก้ปัญหาด้านการจราจร การก่อการร้าย การค้ามนุษย์ อาชญากรรมข้ามชาติ ตร. จึงได้เสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน 300 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าก่อสร้างอาคารที่พักอาศัยส่วนกลาง และอาคารที่จอดรถ โดยกำหนดระยะเวลาเริ่มดำเนินการก่อสร้างภายในปีงบประมาณพ.ศ. 2567 กำหนดแล้วเสร็จภายใน 12 เดือน โดยมีรายละเอียด ดังนี้

      1. อาคารที่พักอาศัยส่วนกลาง จำนวน 2 อาคาร ประกอบด้วย อาคารสำหรับข้าราชการตำรวจชั้นประทวน จำนวน 1 อาคาร และอาคารสำหรับข้าราชการตำรวจชั้นสัญญาบัตร จำนวน 1 อาคาร มีห้องพักจำนวน 68 ห้องต่ออาคาร พื้นที่ใช้สอยจำนวน 3,995 ตารางเมตรต่ออาคาร ซึ่ง ตร. แจ้งว่าไม่เข้าข่ายโครงการที่ต้องจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม

      2. อาคารที่จอดรถ จำนวน 1 หลัง ความสูง 8 ชั้น (22.40 เมตร) จอดรถได้ 136 คัน

    ไฟเขียวใช้ที่ สปก. 3,455 ไร่ สร้างทางรถไฟ 2 โครงการ

    นางสาวเกณิกา กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติอนุมัติการใช้ที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมเพื่อดำเนินโครงการก่อสร้างทางรถไฟสายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ ในเขตปฏิรูปที่ดิน เนื้อที่รวมประมาณ 1,537-3-04 ไร่ และโครงการก่อสร้างทางรถไฟ สายบ้านไผ่-มหาสารคาม-ร้อยเอ็ด-มุกดาหาร-นครพนม เนื้อที่รวมประมาณ 1,917-3-75 ไร่ ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เพื่อให้ รฟท. สามารถดำเนินงานโครงการก่อสร้างได้ตามกรอบระยะเวลาที่กำหนด และคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (คปก.) จะได้พิจารณาให้ความยินยอมหรืออนุญาตให้ใช้ประโยชน์ที่ดินตามที่กฎหมายกำหนดต่อไป ตามที่ คปก. เสนอ

    รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า คปก. รายงานว่าการดำเนินโครงการก่อสร้างทางรถไฟสายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ และโครงการก่อสร้างทางรถไฟสายบ้านไผ่-มหาสารคาม-ร้อยเอ็ด-มุกดาหาร-นครพนม ของรฟท. ทั้ง 2 โครงการ เป็นโครงการของรัฐที่คณะรัฐมนตรีได้เคยมีมติอนุมัติให้ดำเนินการแล้ว ซึ่งเป็นประโยชน์ส่วนรวมของประเทศในด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งและระบบโลจิสติกส์ และมีความจำเป็นต้องขอความยินยอมหรือขออนุญาตใช้ประโยชน์ที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อดำเนินการก่อสร้าง โดยมีสาระสำคัญสรุปได้ดังนี้

      1. โครงการก่อสร้างทางรถไฟสายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ เป็นโครงการก่อสร้างทางรถไฟทางคู่สายใหม่ ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ 4 จังหวัด 17 อำเภอ 59 ตำบล แบ่งเป็นทางรถไฟระยะทาง 323.10 กิโลเมตร อุโมงค์รถไฟจำนวน 4 แห่ง รวม 14.415 กิโลเมตร คันทางคู่สูงเฉลี่ย 4 เมตร ป้ายหยุดรถไฟจำนวน 13 แห่ง สถานีรถไฟขนาดเล็ก จำนวน 9 แห่ง และสถานีรถไฟขนาดใหญ่ จำนวน 4 แห่ง รวมทั้งทั้งสิ้น 6 สถานี ลานบรรทุกตู้สินค้าจำนวน 5 แห่ง ถนนยกข้ามทางรถไฟ จำนวน 39 แห่ง ถนนลอดใต้ทางรถไฟจำนวน 103 แห่ง พร้อมการติดตั้งระบบอาณัติสัญญาณและโทรคมนาคม และสร้างรั้วสองแนวข้างทางตลอดเส้นแนวทางรถไฟ ซึ่งต่อมา รฟท. ได้ลงนามสัญญาจ้างก่อสร้างโครงการดังกล่าวจำนวน 3 สัญญา ได้แก่ สัญญาที่ 1 ช่วงเด่นชัย-งาว สัญญาที่ 2 ช่วงงาว-เชียงราย และสัญญาที่ 3 เชียงราย-เชียงของ พื้นที่ของโครงการที่ต้องขอความยินยอมหรือขออนุญาตใช้ประโยชน์ที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดิน 1,537-3-04 ไร่

      2. โครงการก่อสร้างทางรถไฟ สายบ้านไผ่-มหาสารคาม-ร้อยเอ็ด-มุกดาหาร-นครพนม เป็นโครงการก่อสร้างทางรถไฟใหม่จำนวน 2 เส้นทาง ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ 6 จังหวัด 19 อำเภอ 70 ตำบล โดยแบ่งเป็น 1. ทางรถไฟระดับดินระยะทาง 346 กิโลเมตร คันทางรถไฟสูงเฉลี่ย 4 เมตรและ 2. เป็นโครงสร้างทางรถไฟยกระดับ 9 กิโลเมตร ก่อสร้างป้ายหยุดรถไฟจำนวน 12 แห่ง สถานีรถไฟขนาดเล็ก จำนวน 9 แห่ง สถานีรถไฟขนาดกลาง จำนวน 5 แห่ง และสถานีรถไฟขนาดใหญ่ จำนวน 4 แห่ง รวมทั้งทั้งสิ้น 18 สถานี มีลานบรรทุกตู้สินค้า จำนวน 3 แห่ง มีย่านกองเก็บตู้สินค้า จำนวน 3 แห่ง ถนนยกข้ามทางรถไฟ จำนวน 81 แห่ง ถนนลอดใต้ทางรถไฟ จำนวน 245 แห่ง พร้อมการติดตั้งระบบอาณัติสัญญาณและโทรคมมนาคม และสร้างรั้วสองแนวข้างทางตลอดเส้นแนวทางรถไฟ ซึ่งต่อมา รฟท. ได้ลงนามสัญญาจ้างก่อสร้างโครงการดังกล่าวจำนวน 2 สัญญาได้แก่ สัญญาที่ 1 บ้านไผ่-หนองพอก และสัญญาที่ 2 หนองพอก-สะพานมิตรภาพ 3 พื้นที่ของโครงการที่ต้องขอความยินยอมหรือขออนุญาตใช้ประโยชน์ที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดิน 1,917 -3-75 ไร่ รวมทั้งสิ้น 3,455-2-79 ไร่

    การดำเนินโครงการก่อสร้างทางรถไฟของ รฟท. ทั้ง 2 เส้นทางจะต้องเข้าดำเนินการในพื้นที่เขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมเนื้อที่รวมประมาณ 3,455-2-79 ไร่ โดย รฟท. ซึ่งเป็นผู้ประสงค์จะใช้ที่ดินจะต้องยื่นคำขอรับความยินยอมหรือขออนุญาตใช้ประโยชน์ที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินต่อ คปก. ก่อนส่งมอบพื้นที่ให้แก่ผู้รับจ้างเข้าดำเนินการก่อสร้าง ทั้งนี้ ก่อนที่ คปก. จะพิจารณาให้ความยินยอมหรืออนุญาตให้ใช้ที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมจะต้องดำเนินการเสนอต่อคณะรัฐมนตรี เพื่อมีมติอนุมัติให้ใช้ที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดิน เพื่อดำเนินโครงการดังกล่าวก่อน เพื่อให้ คปก. สามารถพิจารณาให้ความยินยอมหรืออนุญาตให้ รฟท. ใช้ที่ดินตามที่กฎหมายกำหนดให้ดำเนินโครงการดังกล่าวสัมฤทธิ์ผลและเป็นไปตามแนวนโยบายของรัฐต่อไป

    จากการดำเนินโครงการดังกล่าวส่งผลให้รัฐต้องสูญเสียที่ดินเพื่อการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมบางส่วน และส่งผลต่อเกษตรกรผู้ได้รับการจัดที่ดินจากการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม แต่ในขณะเดียวกัน สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) จะให้ รฟท. ซึ่งเป็นผู้ขอใช้ประโยชน์ที่ดิน เยียวยาหรือจ่ายค่าชดเชยการสูญเสียโอกาสจากการใช้ที่ดินเพื่อก่อสร้างทางรถไฟให้แก่เกษตรกรที่ได้รับการจัดสรรที่ดินจาก ส.ป.ก. ตามข้อตกลงระหว่าง รฟท. กับเกษตรกรผู้ได้รับผลกระทบ ซึ่งกำหนดเป็นจำนวนเงินหรือประโยชน์อย่างอื่นเพื่อค่าทดแทนความเสียหายจากการรอนสิทธิเกษตรกร หรือการสูญเสียโอกาสในการใช้ที่ดินของเกษตรกรบรรดาผู้มีสิทธิในที่ดินนั้น และเมื่อได้รับอนุญาตให้ใช้ที่ดินตามกฎหมายแล้ว รฟท. จะต้องนำส่งค่าตอบแทนใช้ประโยชน์ที่ดินให้กับ ส.ป.ก. เพื่อนำเข้ากองทุนการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมตามกฎหมายว่าด้วยการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม โดยไม่ต้องนำส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน ตามระเบียบ คปก. ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ในการใช้และค่าตอบแทนการใช้ประโยชน์ที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินพ.ศ. 2561 และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดย ส.ป.ก. จะนำค่าตอบแทนดังกล่าวมาใช้เพื่อเป็นทุนหมุนเวียนในการดำเนินการปฏิรูปที่ดิน เพื่อเป็นประโยชน์ต่อเกษตรกรและประชาชนในเขตปฏิรูปที่ดินต่อไป

    แก้กฎหมาย ป.ป.ช. คุ้มครองผู้แจ้งเบาะแส – กันเป็นพยาน

    นางสาวเกณิกา กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (ฉบับที่…) พ.ศ…. ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (สศก.) ตรวจพิจารณาแล้ว และมีมติรับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญดังกล่าว ตามที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (สำนักงาน ป.ป.ช.) เสนอ

    รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สำนักงาน ป.ป.ช. เสนอว่าได้พิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญที่ สศก. ตรวจพิจารณาแล้ว ยืนยันให้ดำเนินการร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญดังกล่าวต่อไป ซึ่งร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญดังกล่าวเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 โดยบัญญัติเพิ่มเติมหลักการในการจัดให้มีมาตรการและกลไกที่มีประสิทธิภาพเพื่อป้องกัน และขจัดการทุจริตและประพฤติมิชอบอย่างเข้มงวด รวมทั้งกลไกส่งเสริมให้ประชาชนรวมตัวกัน เพื่อมีส่วนร่วมในการรณรงค์ ให้ความรู้ ต่อต้าน หรือ ชี้เบาะแส โดยได้รับความคุ้มครองจากรัฐตามที่กฎหมายบัญญัติ พร้อมทั้งกำหนดกลไกในการให้ความคุ้มครองและช่วยเหลือแก่ผู้ให้ถ้อยคำ แจ้งข้อมูล หรือเบาะแส หรือแสดงความคิดเห็นแก่คณะกรรมการ ป.ป.ช. หรือพนักงานเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดที่อยู่ในหน้าที่ และอำนาจของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในกรณีที่ประชาชนถูกร้อง ถูกกล่าวโทษ ถูกฟ้องคดี หรือ ถูกดำเนินการทางวินัยจากการให้ถ้อยคำดังกล่าว

    ร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ได้ดำเนินการตามแนวทางการจัดทำ และการเสนอร่างกฎหมายตามบทบัญญัติ มาตรา 77 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยแล้ว โดยมีการรับฟังความคิดเห็นก่อนเสนอคณะรัฐมนตรี และในชั้นการตรวจพิจารณาของ สศก. ได้มีการเปิดรับฟังความคิดเห็นเพิ่มเติมทางเว็บไซต์ของ สศก. รวมทั้งจัดทำหนังสือเพื่อขอความคิดเห็นจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งนี้ ได้จัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากกฎหมายตามแนวทางมติคณะมนตรี (19 พฤศจิกายน 2562) เรื่องการดำเนินการเพื่อรองรับและขับเคลื่อนการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมาย และการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ. 2562 และได้เผยแพร่ผลการรับฟังความคิดเห็นพร้อมการวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากกฎหมายผ่านทางเว็บไซต์เพื่อให้ประชาชนได้รับทราบแล้ว

    สำนักงาน ป.ป.ช. ได้เสนอแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ต้องออกตามร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญในเรื่องนี้ จำนวน 1 ฉบับ โดยออกเป็นร่างอนุบัญญัติที่ต้องออกตามมาตรา 132/2 เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ในการให้ความช่วยเหลือ การขอรับความช่วยเหลือ และการยกเลิกการให้ความช่วยเหลือ

    สาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 โดยบัญญัติเพิ่มเติมหลักการในการจัดให้มีมาตรการและกลไกที่มีประสิทธิภาพ เพื่อป้องกันและขจัดการทุจริตและประพฤติมิชอบอย่างเข้มงวด รวมทั้งกลไกส่งเสริมให้ประชาชนรวมตัวกันเพื่อมีส่วนร่วมในการรณรงค์ ให้ความรู้ ต่อต้าน หรือชี้เบาะแส โดยได้รับความคุ้มครองจากรัฐตามที่กฎหมายบัญญัติ พร้อมทั้งกำหนดกลไกในการให้ความคุ้มครองและช่วยเหลือแก่ผู้ให้ถ้อยคำ แจ้งข้อมูล หรือเบาะแส หรือแสดงความคิดเห็นแก่คณะกรรมการ ป.ป.ช. หรือพนักงานเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดที่อยู่ในหน้าที่และอำนาจของคณะกรรม ป.ป.ช. ในกรณีที่บุคคลดังกล่าวถูกร้องทุกข์ ถูกกล่าวโทษ ถูกฟ้องคดี หรือ ถูกดำเนินการทางวินัยจากการดำเนินการดังกล่าว

    ตั้ง ‘มหัทธนะ อัมพรพิสิฏฐ์’ นั่ง ผอ.สถาบันคุ้มครองเงินฝาก

    นางสาวเกณิกา กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติอนุมัติ/เห็นชอบ การแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการและผู้บริหารระดับสูงของหน่วยงานรัฐมีรายละเอียดดังนี้
    (1) คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน 2 ราย เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่างและสับเปลี่ยนหมุนเวียน ดังนี้

      1. นางอรนุช หล่อเพ็ญศรี อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำบาดาล ดำรงตำแหน่ง รองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
      2. นายภาดล ถาวรกฤชรัตน์ อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำ ดำรงตำแหน่ง อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำบาดาล

    ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป

    (2) คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอ โดยแต่งตั้ง นายมหัทธนะ อัมพรพิสิฏฐ์ ให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสถาบันคุ้มครองเงินฝาก แทนผู้อำนวยการสถาบันคุ้มครองเงินฝากเดิมที่พ้นจากตำแหน่งก่อนครบวาระ เนื่องจากขอลาออก โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 23 กรกฎาคม 2567 เป็นต้นไป

    (3) คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) เสนอแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา จำนวน 3 คน เนื่องจากกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมได้ดำรงตำแหน่งครบวาระสี่ปี เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2567 ดังนี้

      1. คุณหญิงกษมา วรวรรณ ณ อยุธยา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิภาควิชาการ
      2. นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิภาคเอกชน
      3. นายสรวิศ ไพบูลย์รัตนากร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิภาคประชาสังคม

    ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 23 กรกฎาคม 2567 เป็นต้นไป

    (4) คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ จำนวน 7 คน และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการควบคุมคุณภาพและมาตรฐานบริการสาธารณสุข จำนวน 6 คน รวมจำนวน 13 คน เนื่องจากกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเติมได้ดำรงตำแหน่งครบวาระสี่ปี เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2567 ดังนี้

    1. กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ จำนวน 7 คน

      1.1 นายวิโรจน์ ตั้งเจริญเสถียร ด้านประกันสุขภาพ
      1.2 ศาสตราจารย์ปิยะมิตร ศรีธรา ด้านการแพทย์และสาธารณสุข
      1.3 นายพรเทพ ศิริวนารังสรรค์ ด้านการแพทย์แผนไทย
      1.4 นายประทีป ธนกิจเจริญ ด้านการแพทย์ทางเลือก
      1.5 นางมานิดา ภู่เจริญ ด้านการเงินการคลัง
      1.6 นายสุวิช ชูตระกูล ด้านกฎหมาย
      1.7 รองศาสตราจารย์อภิญญา เวชยชัย ด้านสังคมศาสตร์

    2. กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการควบคุมคุณภาพและมาตรฐานบริการสาธารณสุข จำนวน 6 คน

      2.1 นายวิชัย อัศวภาคย์ สาขาเวชศาสตร์ครอบครัว
      2.2 นางสาวโชษิตา ภาวสุทธิไพศิฐ สาขาจิตเวช
      2.3 นายธงชัย เลิศวิไลรัตนพงศ์ สาขาการแพทย์แผนไทย
      2.4 ศาสตราจารย์คลินิกสุพรรณ ศรีธรรมมา สาขาเวชศาสตร์ป้องกัน
      2.5 นางวัชรา ริ้วไพบูลย์ สาขาเวชศาสตร์ฟื้นฟู
      2.6 ศาสตราจารย์ภิเศก ลุมพิกานนท์ สาขาสูติศาสตร์และนรีเวชวิทยา

    ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 23 กรกฎาคม 2567 เป็นต้นไป

    อ่าน มติ ครม. ประจำวันที่ 23 กรกฎาคม 2567 เพิ่มเติม