ThaiPublica > ประเด็นสืบสวน > รื้อโครงสร้างภาษีรอบที่ 3 ยาสูบ หวั่น ‘บุหรี่เถื่อน – ไฟฟ้า’ ทะลัก

รื้อโครงสร้างภาษีรอบที่ 3 ยาสูบ หวั่น ‘บุหรี่เถื่อน – ไฟฟ้า’ ทะลัก

17 พฤศจิกายน 2024


รื้อโครงสร้างภาษีบุหรี่รอบ 3 “โรงงานยาสูบ” เตรียมปรับกลยุทธ์รักษามาร์เก็ตแชร์ ชี้ “บุหรี่นอก” ไม่น่ากลัว แต่กลัว ‘บุหรี่เถื่อน – บุหรี่ไฟฟ้า’ ทะลัก เพราะอยู่นอกกติกา – ไม่ได้รับผลกระทบจากการปรับภาษี

7 ปี หลังจากกระทรวงการคลังปรับโครงสร้างภาษีบุหรี่ไป 2 ครั้ง ทุกๆ 2 ปี ได้ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมยาสูบอย่างรุนแรง เนื่องจากการปรับโครงสร้างภาษีในแต่ละครั้ง ทำให้บุหรี่ที่ถูกกฎหมายทุกยี่ห้อปรับราคาเพิ่มขึ้น บรรดาสิงห์อมควันทั้งหลายก็เลยต้องปรับตัว หันไปบริโภคสินค้าทดแทน อย่างเช่น บุหรี่เถื่อน บุหรี่ไฟฟ้า หรือ ยาเส้นมวนเอง ซึ่งมีราคาถูกกว่า 2-3 เท่าตัว บางรายก็เลิกสูบ ทำให้ยอดขายบุหรี่ที่ถูกกฎหมายทั้งตลาดลดลงอย่างต่อเนื่องทุกครั้งที่มีการปรับโครงสร้างอัตราภาษี โดยเฉพาะการยาสูบแห่งประเทศไทย หรือ “โรงยาสูบ” ต้องสูญเสียส่วนแบ่งการตลาดให้กับบุหรี่นำเข้าจากต่างประเทศ ส่งผลกระทบต่อผลประกอบการของโรงงานยาสูบ ทั้งรายได้จากการขายบุหรี่ กำไรสุทธิ และเงินรายได้ที่ต้องนำส่งคลัง รวมไปถึงการจัดเก็บภาษีสรรพสามิต , ภาษีมูลค่าเพิ่ม , ภาษีท้องถิ่น และการนำส่งเงินบำรุงกองทุนต่างๆ มีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง นอกจากจะเก็บภาษีไม่ได้แล้ว รัฐบาลยังต้องจัดงบประมาณไปช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการปรับลดโควตาการรับซื้อปลูกใบยาสูบด้วย

ดร.เผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง

ล่าสุด เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2567 ดร.เผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ได้มอบนโยบายให้กรมสรรพสามิตศึกษาเรื่องการปรับโครงสร้างภาษีบุหรี่เป็นครั้งที่ 3 แต่ยังคงหลักการจัดเก็บภาษีแบบผสมเหมือนเดิม (เก็บภาษีทั้งตามมูลค่าและตามปริมาณรวมกัน) แต่การจัดเก็บภาษีตามมูลค่า ซึ่งปัจจุบันมี 2 อัตรานั้น ดร.เผ่าภูมิ สั่งให้กรมสรรพสามิตไปศึกษาปรับปรุงโครงสร้างภาษีบุหรี่จาก 2 อัตรา ให้เหลือเพียงอัตราเดียว (Single Rate) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อลดการบิดเบือนของกลไกราคาบุหรี่เป็นหลักการสำคัญ โดยให้คำนึงถึงความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการ และสนับสนุนเกษตรกรผู้ปลูกใบยาสูบในประเทศ รวมทั้งนำระบบตรวจ ติด ตาม บุหรี่ โดยใช้ระบบ QR Code ในบุหรี่ เพื่อป้องกันบุหรี่เถื่อนทั้งระบบ พร้อมทั้งให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตรวจสอบข้อมูลการเสียภาษี และแหล่งที่มาของบุหรี่ เพื่อให้ผู้บรโภคเกิดความมั่นใจได้ว่าเป็นบุหรี่ที่ได้มาตรฐาน และผ่านการตรวจสอบโดยกรมสรรพสามิต

  • ‘เผ่าภูมิ’ สั่งสรรพสามิตรื้อโครงสร้างภาษี “รถอีวี – น้ำมัน – สุขภาพ – แบตเตอรี่ – บุหรี่”
  • แหล่งข่าวจากการยาสูบแห่งประเทศไทย กล่าวว่า โครงสร้างภาษีบุหรี่ที่มีผลบังคับใช้ในปัจจุบันนั้น บุหรี่ทุกยี่ห้อจะต้องเสียภาษีตามปริมาณ (Specific Rate) ให้กับกรมสรรพสามิตมวนละ 1.25 บาท หรือ ซองละ 25 บาทก่อน จากนั้นกรมสรรพสามิตก็เก็บภาษีตามมูลค่าอีก (Ad Valorem Rate) โดยแยกออกเป็น 2 อัตรา หรือ “2 Tiers” คำนวณภาษีบนฐานราคาขายปลีกแนะนำ หากตั้งราคาขายปลีกแนะนำไม่เกินซองละ 72 บาท เสียภาษีในอัตรา 25% ของราคาขายปลีกแนะนำ แต่ถ้าตั้งราคาขายปลีกแนะนำเกินซองละ 72 บาท เสียภาษีที่อัตรา 42% ของราคาขายปลีกแนะนำ ตามนโยบายของรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังมอบหมายให้กรมสรรพสามิตปรับปรุงโครงสร้างภาษีบุหหรี่จาก 2 อัตรา ให้เหลือเพียงอัตราเดียว (Single Rate) ซึ่งในขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษา ยังไม่รู้ว่ากรมสรรพสามิตจะเก็บภาษีบุหรี่ในอัตราเท่าไหร่ แต่การปรับโครงสร้างภาษีบุหรี่ 2 ครั้งที่ผ่านมา มีการปรับอัตราภาษีเพิ่มขึ้น ทำให้บุหรี่ที่ถูกกฎหมายปรับราคาเพิ่มขึ้นทั้งตลาด และโครงสร้างของตลาดบุหรี่แบ่งออกเป็นเป็น 2 กลุ่ม คือ ตลาดบน กับตลาดล่าง หากมีการปรับโครงสร้างภาษีบุหรี่ครั้งที่ 3 เหลืออัตราเดียว คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อยอดขายบุหรี่ของโรงงานยาสูบอย่างแน่นอน ซึ่งบุหรี่ของโรงงานยาสูบส่วนใหญ่จะครองมาร์เก็ตแชร์ในตลาดล่าง ก็ต้องปรับราคาเพิ่มขึ้นไปตามโครงสร้างภาษีใหม่ ขณะที่บุหรี่ตลาดบน หรือ บุหรี่นอก ก็จะปรับราคาลดลงมาขายแข่งกับบุหรี่ของโรงงานยาสูบ

    “แต่อย่างไรก็ตาม โรงงานยาสูบไม่กลัวบุหรี่นอก เข้ามาแย่งชิงมาร์เก็ตแชร์ เพราะแข่งขันภายใต้เงื่อนไขและกติกาเดียวกัน ซึ่งทางโรงงานยาสูบพร้อมที่จะปรับกลยุทธ์สู้ แต่ที่กลัวคือบุหรี่เถื่อน และบุหรี่ไฟฟ้าที่อยู่นอกกติกามากกว่า เพราะมีราคาถูกกว่าบุหรี่ถูกกฎหมาย 2-3 เท่าตัว และไม่ได้รับผลกระทบใดๆจากการปรับโครงสร้างภาษีเหลืออัตราเดียว แม้กรมสรรพสามิตจะพิมพ์ QR Code บนแสตมป์บุหรี่ สำหรับใช้ในการตรวจสอบว่าซองไหนเป็นบุหรี่ของจริง หรือ ของปลอม แต่บุหรี่เถื่อนที่แอบลักลอบนำเข้ามาโพสต์ขายบนแพลตฟอร์มออนไลน์นั้น ไม่ได้ติดแสตมป์”

  • สรรพสามิตเปิดตัว ‘แสตมป์ QR Code’ สกัดบุหรี่เถื่อนทะลัก – เพิ่มประสิทธิภาพจัดเก็บภาษี
  • จากผลสำรวจสถานการณ์บุหรี่ที่ผิดกฎหมายจัดทำโดยบริษัท ฟิลลิป มอร์ริส เทรดดิ้ง (ไทยแลนด์) ร่วมกับ Nelsen Consumer LLC. ได้สุ่มเก็บซองบุหรี่เปล่าตามแหล่งขยะและท้องถนนกระจายตามภูมิภาคต่างๆ 36 จังหวัด ครอบคลุมจำนวนประชากร 67% พบว่า การบริโภคบุหรี่หนีภาษี หริอ “บุหรี่เถื่อน” มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่กรมสรรพสามิตนำระบบการจัดเก็บภาษีบุหรี่แบบผสมมาใช้ครั้งแรก มีผลตั้งแต่วันที่ 16 กันยายน 2560 เป็นต้นมา ปรากฎว่าการบริโภคบุหรี่เถื่อนทยอยปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2561 มีสัดส่วนอยู่ที่ 5.20% จนมาถึงไตรมาสที่ 2 ของปี 2566 เพิ่มขึ้นเป็น 22.30% ขณะที่บุหรี่ปลอมมีสัดส่วนอยุ่ที่ประมาณ 0.50 – 2.10%

    และจากข้อมูลยอดขายบุหรี่ของโรงงานยาสูบจะเห็นได้ว่า การปรับโครงสร้างภาษีบุหรี่ 2 ครั้งที่ผ่านมา ทำให้ยอดขายบุหรี่ที่ถูกกฎหมายมีแนวโน้มลดลงรวม 7 ปี มีอัตราเฉลี่ยอยู่ที่ 26.27% ก่อนการปรับโครงสร้างภาษีในปี 2560 ตลาดบุหรี่มียอดขายรวมอยู่ที่ 36,436 ล้านมวน บุหรี่ของโรงงานยาสูบครองมาร์เก็ตแชร์ 79.06% บุหรี่นอกมีส่วนแบ่งการตลาด 20.94% ของยอดขายบุหรี่ทั้งตลาดในปีนี้

    หลังปรับโครงสร้างภาษีบุหรี่ครั้งแรก ปี 2561 ยอดขายบุหรี่ทั้งตลาดลดลงมาเหลือ 31,010 ล้านมวน ส่วนแบ่งการตลาดของโรงงานยาสูบลดลงมาเหลือ 59.68% บุหรี่นำเข้ามีส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มขึ้นเป็น 40.32% พอตลาดบุหรี่เริ่มจะฟื้นตัวกรมสรรพสามิตก็มีการปรับโครงสร้างอัตราภาษี เป็นครั้งที่ 2 เริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2564 เป็นต้นมา ส่งผลทำให้ยอดขายบุหรี่ทั้งตลาดปรับตัวลดลงมาอีกรอบ จากปี 2564 มียอดขายรวมอยู่ที่ 34,417 ล้านมวน บุหรี่ของโรงงานยาสูบครองส่วนแบ่งการตลาด 54.41% บุหรี่นอกมีมาร์เก็ตแชร์ 45.59% พอมาถึงสิ้นปี 2565 ยอดขายบุหรี่ทั้งตลาดลดลงมาเหลือ 26,788 ล้านมวน ส่วนแบ่งการตลาดของโรงงานยาสูบลดลงมาเหลือ 50.18% บุหรี่นอกมาร์เก็ตแชร์เพิ่มขึ้นเป็น 49.82%

    ปี 2566 ยอดขายบุหรี่ทั้งตลาดปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 26,865 ล้านมวน และที่สำคัญปีนี้เป็นปีแรกที่โรงงานยาสูบสามารถช่วงชิงส่วนแบ่งการตลาดมาจากบุหรี่นอกมาได้เล็กน้อย โดยปีนี้โรงงานยาสูบมีมาร์เก็ตแชร์เพิ่มขึ้นเป็น 52.29% ส่วนบุหรี่นอกมีส่วนแบ่งการตลาดลดลง 47.71% พอสถานการณ์เริ่มจะดี ปรากฏว่ากระทรวงการคลังเตรียมปรับโครงสร้างภาษีบุหรี่รอบที่ 3 อีกแล้ว

    อนึ่ง กรมสรรพสามิตนำระบบการจัดเก็บภาษีแบบผสม (Compound Rate) เป็นครั้งแรก หลังจาก พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 16 กันยายน 2560 เป็นต้นไป กำหนดให้ กรมสรรพสามิตการจัดเก็บภาษีบุหรี่ทั้งตามปริมาณ และตามมูลค่ารวมกัน โดยใช้ “ราคาขายปลีกแนะนำ” เป็นฐานในการคำนวณภาษีตามมูลค่า ส่งผลทำให้บุหรี่ทุกยี่ห้อไม่ว่าจะผลิตในประเทศ หรือ นำเข้าจากต่างประเทศ ต้องเสียภาษีตามปริมาณมวนละ 1.20 บาทก่อน จากนั้นกรมสรรพสามิตจะเก็บภาษีตามมูลค่ามี 2 อัตรา ขึ้นอยู่กับการตั้งราคาขายปลีกแนะนำ กล่าวคือ หากผู้ประกอบการตั้งราคาขายปลีกไม่เกินซองละ 60 บาท เสียภาษีตามมูลค่าในอัตรา 20% ของราคาขายปลีก แต่ถ้าตั้งราคาขายปลีกเกินซองละ 60 บาท เสียภาษีที่อัตรา 40% ของราคาขายปลีก

    การปรับโครงสร้าง และปรับเปลี่ยนวิธีการจัดเก็บภาษีบุหรี่ครั้งนั้น ทำให้โครงสร้างของตลาดบุหรี่เดิมมี 3 กลุ่ม ประกอบด้วย 1) กลุ่ม Saving Price 2) กลุ่ม Regular Price และ 3) กลุ่ม Premium Price ปัจจุบันลดลงเหลือแค่ 2 กลุ่ม คือ กลุ่ม Saving Price และกลุ่ม Premium Price ตามโครงสร้างภาษีและฐานราคาขายปลีกที่กำหนดโดยกรมสรรพสามิต ทำให้ผู้ประกอบการไม่สามารถขายบุหรี่ราคาถูก ต่ำกว่าซองละ 42 บาทได้อีกต่อไป เนื่องจากมูลค่าภาษีที่ต้องชำระมันมากกว่าราคาขายปลีก บุหรี่ตลาดล่างซองละ 40 บาท จึงขยับขึ้นมาเป็นซองละ 58 – 60 บาท แต่ก็มีบุหรี่นำเข้าจากต่างประเทศบางยี่ห้อปรับราคาลดลง

    จากนั้น ที่ประชุม ครม.วันที่ 28 กันยายน 2564 ก็มีมติเห็นชอบให้มีการปรับโครงสร้างภาษีบุหรี่เป็นครั้งที่ 2 โดยปรับอัตราภาษีเพิ่มขึ้น ทั้งการจัดเก็บภาษีตามปริมาณจากเดิมมวนละ 1.20 บาท เพิ่มขึ้นเป็นมวนละ 1.25 บาท หรือ เก็บภาษีตามปริมาณซองละ 25 บาท รวมทั้งปรับราคาขายปลีกแนะนำที่จะนำไปใช้เป็นฐานในการคำนวณภาษี จากเดิมซองละ 60 บาท เพิ่มเป็น 72 บาท และปรับขึ้นอัตราภาษีตามมูลค่า ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้

      (1) บุหรี่ที่ตั้งราคาขายปลีกไม่เกินซองละ 72 บาท เสียภาษีตามมูลค่าในอัตรา 25% ของราคาขายปลีกแนะนำ
      (2) บุหรี่ที่ตั้งราคาขายปลีกเกินซองละ 72 บาท เสียภาษีที่อัตรา 42% ของราคาขายปลีกแนะ
    Thaipublica_โครงสร้างราคาบุหรี่ปัจจุบัน

    นอกจากนี้ที่ประชุม ครม.ครั้งนั้น ยังมีมติเห็นชอบให้จัดเก็บภาษียาเส้นที่มีปริมาณการผลิตไม่เกิน 12,000 กิโลกรัมต่อปี ในอัตรา 0.025 บาทต่อกรัม และยาเส้นที่มีปริมาณการผลิตเกิน 12,000 กิโลกรัม ในอัตราที่ 0.10 บาทต่อกรัม โดยโครงสร้างภาษีบุหรี่ดังกล่าวนี้ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2564 เป็นต้นไป ทั้งนี้ เพื่อรองรับกับการจัดเก็บภาษีตามมูลค่าแบบอัตราเดียวที่จะเกิดขึ้นในอนาคต แต่ไม่ได้ระบุว่าจะเริ่มเก็บภาษีอัตราเดียวเมื่อไหร่เหมือนครั้งแรก

    การปรับโครงสร้างภาษีบุหรี่ 2 ครั้ง ในรอบ 7 ปีที่ผ่านมา ส่งผลกระทบต่อภาพรวมของอุตสาหกรรมบุหรี่มาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะโรงงานยาสูบได้รับผลรับผลกระทบหนักที่สุด นอกจากจะเสียส่วนแบ่งการตลาดไปให้บุหรี่นำเข้าจากต่างประเทศแล้ว ยังได้รับผลกระทบจากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภค หันไปซื้อสินค้าทดแทนที่มีราคาถูกกว่ามาบริโภค อาทิ บุหรี่ต่างประเทศ ซึ่งมีราคาใกล้เคียงกับบุหรี่ของโรงงานยาสูบ , ยาเส้นซองละ 10-15 บาท , บุหรี่ไฟฟ้า และบุหรี่เถื่อน ที่วางขายตามตลาดนัด และตลาดออนไลน์ ซองละ 20-30 บาท เป็นต้น ทำให้โรงงานยาสูบยอดขายตก ต้องทยอยปรับลดโควตารับซื้อใบยาสูบจากเกษตรกรลง

    รวม 7 ปี โรงงานยาสูบปรับลดโควตารับซื้อใบยาสูบจากเกษตรกรไป 15.36 ล้านกิโลกรัม หรือ ลดลง 58.68% และส่งผลทำให้รายได้ของชาวไร่ยาสูบและผู้เกี่ยวข้องกว่า 500,000 ราย ลดลงไป 1,262 ล้านบาท หรือ ลดลง 57.30% ที่ผ่านมาโรงงานยาสูบจึงของบประมาณจากรัฐบาลไปอุดหนุนชาวไร่ยาสูบที่ได้รับผลกระทบจากการปรับลดโควตารับซื้อใบยาสูบกว่า 1,300 ล้านบาท ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ เป็นผลที่เกิดจากการปรับโครงสร้างภาษีบุหรี่ในช่วงผ่านมา อุตสาหกรรมยาสูบที่อยู่ในระบบได้รับผลกระทบกันอย่างถ้วนหน้า…

  • อัพเดท! ราคาบุหรี่ปัจจุบัน หลังคลังรื้อภาษี 2 ครั้ง
  • วิกฤติอุตสาหกรรมยาสูบ (1) : 7 ปี รื้อภาษีบุหรี่ โรงงานยาสูบฟุบ
  • วิกฤติอุตสาหกรรมยาสูบ (2) : 7 ปี รื้อภาษีบุหรี่ รายได้รัฐ-Earmarked Tax หาย 1.5 หมื่นล้าน-สินค้าทดแทนเกลื่อน
  • ‘สรรพสามิต’ ปูพรมค้น 4 จุด ยึดบุหรี่เถื่อน 5 หมื่นซอง ค่าปรับ 46 ล้านบาท
  • สมาคมการค้ายาสูบไทยเผยบุหรี่เถื่อนลามทั่วภูเก็ต ยังไม่สามารถตรวจสอบที่มาได้