ThaiPublica > เกาะกระแส > คลังกลับลำ ครั้งที่ 4 ไม่ยืมเงิน ธ.ก.ส. – ใช้งบฯปกติ 4.5 แสนล้าน แจก ‘ดิจิทัล วอลเล็ต’

คลังกลับลำ ครั้งที่ 4 ไม่ยืมเงิน ธ.ก.ส. – ใช้งบฯปกติ 4.5 แสนล้าน แจก ‘ดิจิทัล วอลเล็ต’

10 กรกฎาคม 2024


เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2567 นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง และนายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการกำกับการดำเนินโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet ครั้งที่ 7/2567 ณ ห้องประชุมวายุภักษ์ 1 กระทรวงการคลัง
ที่มาภาพ : www.mof.go.th/

คลังกลับลำครั้งที่ 4 ไม่ยืมเงิน ธ.ก.ส. 172,300 ล้าน – เปลี่ยนใช้งบฯปกติปี’67 – 68 วงเงิน 450,000 ล้านบาท แจก 10,000 บาท ผ่าน ‘ดิจิทัล วอลเล็ต’ แทน ชง ‘เศรษฐา’ ประธานคณะกรรมการชุดใหญ่เคาะ 15 ก.ค.นี้

เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2567 นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง และนายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการกำกับการดำเนินโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet ครั้งที่ 7/2567 ณ ห้องประชุมวายุภักษ์ 1 กระทรวงการคลัง

ภายหลังการประชุมนายจุลพันธ์ กล่าวว่า วันนี้สำนักงบประมาณและกระทรวงการคลังได้มีข้อเสนอแนะใหม่เกี่ยวกับการจัดหาแหล่งเงินที่จะนำมาใช้ในโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet อาจจะไม่มีความจำเป็นต้องใช้แหล่งเงินจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) แล้ว ซึ่งจากการศึกษาข้อมูลการดำเนินโครงการตามนโยบายรัฐในอดีตที่ผ่านมา พบว่ามีประชาชนมาลงทะเบียนไม่ถึง 100% และมีผู้ใช้สิทธิใช้จ่ายเงินประมาณ 80 – 90% เท่านั้น ส่วนโครงการดิจิทัล วอลเล็ตของรัฐบาลชุดนี้ ยังคงยืนยันกลุ่มเป้าหมายที่ 50 ล้านคนเหมือนเดิม แต่การจัดหาแหล่งเงินที่จะนำมาใช้ในโครงการนี้ อาจใช้ไม่ถึง 90% ของวงเงิน 500,000 ล้านบาท หรือ ใช้เงินประมาณ 450,000 ล้านบาท ดังนั้น สำนักงบประมาณและกระทรวงการคลังจึงเสนอให้ใช้แหล่งเงินจากงบประมาณปกติ มีรายละเอียดดังนี้

    1. การบริหารงบประมาณรายจ่ายปี 2567 วงเงิน 1.65 แสนล้านบาท ประกอบไปด้วยแหล่งเงินจากงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมกลางปี 2567 วงเงิน 1.22 แสนล้านบาท และที่เหลืออีก 4.3 หมื่นล้านบาท ใช้วิธีการบริหารจัดการงบประมาณรายจ่ายปี 2567 และ

    2. การบริหารงบประมาณรายจ่ายปี 2568 วงเงิน 2.85 แสนล้านบาท ประกอบไปด้วย งบประมาณรายจ่ายปี 2568 ที่ตั้งไว้แล้ว 152,700 ล้านบาท และที่เหลืออีก 132,300 ล้านบาท ใช้วิธีการบริหารจัดการงบประมาณรายจ่ายปี 2568

โดยคณะอนุกรรมการฯจะนำข้อเสนอแนะของสำนักงบประมาณ และกระทรวงการคลัง ส่งให้ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet ที่มีนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เป็นประธานฯในวันที่ 15 กรกฎาคม 2567 จากนั้นนายกรัฐมนตรีแถลงรายละเอียดในวันที่ 24 กรกฎาคม 2567 และเสนอที่ประชุม ครม.พิจารณาอนุมัติในวันที่ 30 กรกฎาคม 2567

อนึ่ง ความเป็นของโครงการนี้เริ่มขึ้นตั้งแต่ช่วงต้นปีที่แล้ว เมื่อพรรคเพื่อไทยประกาศนโยบายหาเสียง ชูโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet เป็นเรือธงในการพลิกฟื้นเศรษฐกิจ โดยการกระจายเม็ดเงิน 560,000 ล้านบาท เข้าสู่ชุมชนอย่างพร้อมเพรียงกันทั่วประเทศ เพื่อสร้างเงินหมุน และนำพาประเทศก้าวสู่เศรษฐกิจดิจิทัล โดยแจ้งแหล่งเงินที่จะนำมาใช้ในโครงการนี้กับสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ว่ามาจาก 4 แหล่ง

    1. รายได้จากการจัดเก็บภาษีในปี 2567 ที่เพิ่มขึ้น 260,000 ล้านบาท
    2. ภาษีที่เก็บได้จากผลคูณทางเศรษฐกิจ 100,000 ล้านบาท
    3. การบริหารจัดการงบประมาณ 110,000 ล้านบาท
    4. การบริหารงบประมาณที่ซ้ำซ้อน 90,000 ล้านบาท โดยที่ไม่ได้ระบุว่าจะใช้วิธีการกู้ยืมเงิน แต่อย่างใด

กลับลำครั้งแรก ออก พ.ร.บ.กู้ 5 แสนล้าน แทนงบฯปกติ

แต่หลังจากได้เป็นรัฐบาล ปรากฏว่านายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี แถลงนโยบายต่อรัฐสภา และทำเนียบรัฐบาล โดยมีการปรับเงื่อนไขรายละเอียดของโครงการ Digital Wallet ใหม่ จากเดิมใช้วิธีบริหารงบประมาณรายจ่าย เปลี่ยนมาเป็น การออก พ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้ยืมเงิน 500,000 ล้านบาท แทน โดยอ้างเหตุวิกฤติเศรษฐกิจ รวมทั้งเพิ่มคุณสมบัติผู้มีสิทธิรับเงิน 10,000 บาท จากเดิมแจกทุกคนที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไป เปลี่ยนเป็นแจกเงินเฉพาะผู้ที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไป แต่ต้องมีรายได้ไม่ถึง 70,000 บาท และมีเงินฝากต่ำกว่า 500,000 บาท ทำให้จำนวนผู้มีสิทธิรับเงินลดลงจาก 56 ล้านคน เหลือ 50 ล้านคน

โดยเหตุผลที่รัฐบาลใช้เป็นข้ออ้างในการยกร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน 500,000 ล้านบาท กลายเป็นประเด็นที่มีการวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวางว่า เศรษฐกิจไทย วิกฤติ หรือ ไม่วิกฤติ ทาง ป.ป.ช.จึงไปรวบรวมความเห็นหน่วยงานงานที่ทำหน้าที่ประเมินภาพรวมเศรษฐกิจ อาทิ กระทรวงการคลัง สภาพัฒน์ฯ แบงก์ชาติ และนักวิชาการเศรษฐกิจจากมหาวิทยาลัยต่าง ๆ จนกระทั่งได้สรุปและจัดทำข้อเสนอแนะของ ป.ป.ช.ส่งให้รัฐบาลพิจารณา สรุปว่า “เศรษฐกิจไทยไม่เข้าข่ายวิกฤติ และไม่มีสัญญาณว่าจะเกิดวิกฤติ…ตามนิยามของธนาคารโลก และ IMF … เพียงแต่มีอัตราการเจริญเติบในอัตราที่ชะลอตัว หรือ ต่ำกว่าศักยภาพ”

จากนั้น ป.ป.ช.ได้มีข้อเสนอแนะถึงรัฐบาลว่า “หากยังคงเดินหน้าออก พ.ร.บ.กู้เงิน 500,000 ล้านบาท มาทำโครงการดิจิทัล วอลเล็ตต่อไป อาจมีความเสี่ยงผิดเงื่อนไข พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังฯ มาตรา 53 และ รัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 140 เนื่องจากสถานการณ์ของประเทศยังไม่มีวิกฤติเศรษฐกิจ ถึงขั้นที่จะต้องตรากฎหมายพิเศษมากู้เงินแต่อย่างใด และโครงการนี้ไม่อยู่ในข่ายกรณีจำเป็นเร่งด่วน ตั้งงบประมาณไม่ทัน แต่เป็นการจ่ายเงินครั้งเดียวในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ ไม่ต่อเนื่อง … หากมีความจำเป็นต้องช่วยเหลือประชาชน ควรช่วยเหลือเฉพาะกลุ่มที่เปราะบาง โดยใช้แหล่งเงินจากงบประมาณปกติ…”

หลังจากที่ประชุม ครม.ได้พิจารณาข้อเสนอของ ป.ป.ช.เสร็จ ก็ได้มอบหมายให้คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet นำข้อเสนอแนะของ ป.ป.ช.ไปศึกษา และนำกลับมาเสนอที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet ที่มีนายกรัฐมนตรี เป็นประธานฯ ในวันที่ 10 เมษายน 2567

กลับลำครั้งที่ 2 ไม่กู้ เปลี่ยนมาใช้เงิน ธ.ก.ส.ผสมงบฯปกติแทน

ผลปรากฏว่า ไปต่อไม่ไหว นายกฯ จึงกลับลำไม่ออก พ.ร.บ.กู้เงิน 500,000 ล้านบาทแล้ว กลับไปใช้วิธีบริหารจัดการงบประมาณ หรือ “งบฯปกติ” แทนเหมือนตอนที่เคยประกาศไว้ในช่วงหาเสียง และที่เคยแจ้งต่อ กกต. โดยที่ประชุม ครม.เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2567 ได้มีมติรับทราบแหล่งเงินที่จะนำมาใช้ในโครงการดิจิทัล วอลเล็ต ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยใช้แหล่งเงิน 3 ส่วน คือ

1) เงินงบประมาณรายจ่ายปีงบประมาณ 2568 วงเงิน 152,700 ล้านบาท ซึ่งได้ขยายกรอบวงเงินงบประมาณและบรรจุรายการใช้จ่ายเงินในโครงการดังกล่าวไว้ในงบประมาณรายจ่ายปี 2568 เรียบร้อยแล้ว

2) การดำเนินโครงการผ่านหน่วยงานของรัฐวงเงิน 172,300 ล้านบาท โดยให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ดูแลกลุ่มประชาชนที่เป็นเกษตรกร จำนวน 17 ล้านคนเศษ ผ่านกลไกมาตรา 28 แห่ง พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐฯ 2561 ภายใต้กรอบวงเงินงบประมาณปี 2568 และ

3) การบริหารจัดการเงินงบประมาณรายจ่ายปีงบประมาณ 2567 วงเงิน 175,000 ล้านบาท ซึ่งงบประมาณปี 2567 เพิ่งเริ่มใช้ จึงมีเวลาที่รัฐบาลจะพิจารณาว่ารายการใดที่จะสามารถปรับเปลี่ยนได้ รวมถึงงบกลาง ซึ่งอาจนำมาใช้เพิ่มเติมในส่วนนี้ กรณีวงเงินไม่เพียงพอ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปพิจารณาดำเนินการให้ถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติ ครม.ที่เกี่ยวข้องต่อไป

สำหรับข้อเสนอของกระทรวงการคลังที่ให้ใช้แหล่งเงินจาก ธ.ก.ส. 172,300 ล้านบาทนั้น สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเคยทำหนังสือด่วนที่สุด ลงวันที่ 23 เมษายน 2567 ส่งถึงเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เพื่อเสนอที่ประชุม ครม.ใช้ประกอบการพิจารณา โดยสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา มีความเห็นว่า “แหล่งเงินโดยการดำเนินโครงการผ่านหน่วยงานของรัฐ 172,300 ล้านบาทนั้น หากเป็นการมอบหมายให้ ธ.ก.ส.ดำเนินโครงการ จะต้องเป็นการดำเนินการที่อยู่ภายในขอบเขตวัตถุประสงค์ และในหน้าที่ และอำนาจตามกฎหมายของ ธ.ก.ส. ตามพ.ร.บ.ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร พ.ศ. 2509 ทั้งนี้ ตามนัยมาตรา 28 แห่ง พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 และกระทรวงการคลังกับ ธ.ก.ส.จะต้องจัดทำแผนบริหารจัดการโครงการ ประมาณการรายจ่าย แหล่งเงินที่ใช้ตลอดระยะเวลาดำเนินการ ประมาณการสูญเสียรายได้ และประโยชน์ที่ได้รับ และเสนอ ครม.เพื่ออนุมัติในรายละเอียด ก่อนดำเนินโครงการตามนัย มาตรา 27 แห่ง พ.ร.บ.ดังกล่าวต่อไปด้วย

ต่อมาเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2567 กระทรวงการคลังโดยสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) จัดประชุมหารือกับสำนักงบประมาณ (สำนักงบฯ) ตามที่ ครม.มอบหมาย ได้ข้อสรุปว่า หลังจากที่ พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายปี 2567 วงเงิน 3,480,000 ล้านบาท มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 26 เมษายน 2567 เป็นต้นมา สำนักงบประมาณได้จัดสรรงบฯให้หน่วยรับงบประมาณไปแล้วทั้งสิ้น 3,457,941 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 99.37% ของวงเงินงบประมาณในปี 2567 ในจำนวนนี้ได้มีการเบิกจ่ายงบประมาณออกไปใช้จ่ายแล้ว 1,749,963 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 50.61% ของวงเงินงบประมาณที่ได้รับจัดสรรจากสำนักงบฯ ที่เหลืออีกครึ่งมีเวลาใช้จ่ายเงินอีก 5 เดือน ประกอบกับกรมบัญชีกลางได้มีมาตรการเร่งรัดการเบิกจ่าย โดยกำหนดให้หน่วยงานของรัฐต้องจัดซื้อจัดจ้างประเภทรายการปีเดียว และเบิกจ่ายภายในเดือนกันยายน 2567 ส่วนรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ ควรก่อหนี้ผูกพันให้แล้วเสร็จภายในเดือนพฤษภาคม 2567

กลับลำครั้งที่ 3 ไม่พับงบฯ เปลี่ยนจัดงบฯกลางปี’67 แทน

ดังนั้น การบริหารจัดการงบประมาณปี 2567 เพื่อหาเงิน 175,000 ล้านบาท มาใช้ในโครงการดิจิทัล วอลเล็ต ตามที่ ครม.เคยมีมติเมื่อวันที่ 23 เมษายน 2567 โดยเฉพาะการใช้วิธีปรับลดงบประมาณหน่วยรับงบประมาณที่เบิกจ่ายไม่ทัน หรือ หมดความจำเป็นไปให้หน่วยงานอื่น ตามกฎหมายต้องออกเป็น พ.ร.บ.โอนงบประมาณรายจ่ายเท่านั้น ปรากฎว่าในทางปฏิบัติก็มีข้อจำกัดในเรื่องวงเงินงบประมาณที่ได้จัดสรรไปแล้ว และอาจส่งผลให้เศรษฐกิจที่กำลังฟื้นตัว ต้องหยุดชะงัก หรือ ชะลอตัวลง เนื่องจากในระหว่างที่ยกร่าง พ.ร.บ.โอนงบประมาณรายจ่ายฯ นั้น หน่วยรับงบประมาณทุกหน่วยต้องชะลอกการเบิกจ่าย การโอน หรือ เปลี่ยนแปลงวงเงินงบประมาณที่ได้รับจัดสรรทุกกรณีไปจนกว่ากระบวนการพิจารณาโอนงบ ฯ จะแล้วเสร็จ คาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 2 เดือน

ดังนั้น สำนักงบฯจึงทำเรื่องเสนอที่ประชุม ครม.เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2567 มีมติเห็นชอบการจัดทำ พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ 2567 หรือ “งบฯกลางปี 2567” แทนการยกร่าง พ.ร.บ.โอนงบฯ ทั้งนี้ เนื่องจากติดปัญหาตามที่กล่าวข้างต้น

และล่าสุดนี้ คณะอนุกรรมการฯเตรียมนำความเห็นของสำนักงบประมาณ และกระทรวงการคลัง เสนอให้ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet ที่มีนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ในวันที่ 15 กรกฎาคมนี้ เพื่อพิจารณาอนุมัติ โดยให้กระทรวงการคลังกลับไปงบประมาณปกติแทนการใช้แหล่งเงินจาก ธ.ก.ส. รวมทั้งปรับลดวงเงินงบประมาณที่จะนำมาใช้ในโครงการนี้ลงเหลือ 450,000 ล้านบาท

  • เงินดิจิทัล 10,000 บาท แจก 5.6 แสนล้านบาท บริหารอย่างไร-ไม่ต้องกู้
  • ครม.กลับลำจัดงบกลางปี’67 ทำ ‘ดิจิทัล วอลเล็ต’ แทนโยกงบ กู้ชดเชยขาดดุลได้ 815,000 ล้าน-เคาะวงเงิน 28 พ.ค.นี้
  • สภาพัฒน์ฯหั่น GDP ปี’67 เหลือ 2.5% หลังเศรษฐกิจไทย Q1 โตแค่ 1.5%
  • การบริหารเศรษฐกิจ แบบเพี้ยนๆของ ‘รัฐบาลเศรษฐา’
  • กลเกมหาแหล่งเงินรัฐบาลเศรษฐา! 10 เม.ย.นี้ เคาะ ‘ดิจิทัล วอลเล็ต’ มาจากไหน?
  • รัฐบาล“เศรษฐา” กลับลำสั่งคลัง-สำนักงบฯ หา 5 แสนล้าน ลุย ‘Digital Wallet’- คาดใช้ 3 แนวทาง
  • ‘เพื่อไทย’ แจ้ง กกต. 70 นโยบาย ใช้เงินจากไหน ?
  • ครม.เร่งล้างท่องบฯปี’67 จี้ทำสัญญา พค.นี้ – ปรับบำนาญ ขรก.เป็น 11,000 บาท เริ่ม 1 พ.ค.นี้