ThaiPublica > เกาะกระแส > นายกฯเผยโผ ครม.นิ่งแล้ว ‘ถึงเวลาปรับ ก็ปรับ’ – มติ ครม.ไฟเขียวแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท

นายกฯเผยโผ ครม.นิ่งแล้ว ‘ถึงเวลาปรับ ก็ปรับ’ – มติ ครม.ไฟเขียวแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท

23 เมษายน 2024


เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2567 นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน ณ บริเวณโถงกลางตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล
ที่มาภาพ : www.thaigov.go.th/
  • นายกฯเผยโผ ครม.นิ่งแล้ว ‘ถึงเวลาปรับ ก็ปรับ’
  • ยังไม่ได้รับรายชื่อ รมต. โควตา พชปร.
  • ตั้ง ‘ปานปรีย์’ เป็นประธานฯ เกาะติดสถานการณ์สู้รบในเมียนมา
  • มอบคลัง – พม. – คค. หนุนคนจนมีบ้านเป็นของตนเอง
  • สั่งหารือ ‘กฤษฎีกา’ ปม ธ.ก.ส.สำรองจ่าย
  • มติ ครม.ไฟเขียวแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท
  • ทำประชามติ 3 ครั้ง รอบแรกใช้งบฯ 3,200 ล้าน
  • ผ่าน พรฎ.เลือกตั้ง สว. เปิดรับสมัคร 13 พ.ค. รู้ผล 2 ก.ค.นี้
  • จัดงบกลาง 227 ล้าน เลือกตั้ง สว.
  • ต่ออายุฟรีวีซ่านักท่องเที่ยวรัสเซียอยู่ไทยได้ 60 วัน
  • เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2567 นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่ากระทรวงการคลัง เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล ภายหลังการประชุม ครม. เสร็จสิ้น นายเศรษฐา มอบหมายให้นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี รายงานข้อสั่งการ

    มอบสำนักงบฯ – ธ.ก.ส. เคลียร์แหล่งเงินดิจิทัลฯ

    นายเศรษฐา กล่าวว่า ที่ประชุม ครม. วันนี้ ได้รับทราบผลการรวบรวมข้อมูล ข้อเท็จจริง และความเห็นของคณะทำงานและเห็นชอบหลักการของกรอบโครงการเติมเงิน 10,000 บาทผ่านดิจิทัล วอลเล็ต เรื่องการคัดเลือกกลุ่มเป้าหมาย แนวทาง เงื่อนไขการใช้จ่าย ประเภทสินค้า การลงทะเบียนร้านค้า รวมถึงแหล่งเงินการดำเนินโครงการ โดยกระทรวงการคลัง ธ.ก.ส. และสำนักงบประมาณจะศึกษาในรายละเอียดต่อไป

    นายเศรษฐา กล่าวถึงข้อห่วงใยของโครงการฯ พร้อมยกตัวอย่างเรื่องประเด็นอำนาจหน้าที่ของ ธ.ก.ส. โดยตนได้สั่งการว่า หากมีประเด็นข้อสงสัยใดๆ ให้ส่งเรื่องไปสอบถามยังสำนักงานคณะกรรมการกฎษฎีกา ซึ่งทุกพรรคร่วมรัฐบาลเห็นชอบในหลักการของโครงการดังกล่าว โดย นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง จะเป็นผู้ชี้แจงภายหลัง

    สั่ง ยธ.จัดกิจกรรมนำผู้ต้องขังบำเพ็ญประโยชน์

    นายเศรษฐา กล่าวต่อว่า ที่ประชุม ครม.ได้สั่งการให้กระทรวงยุติธรรมจัดกิจกรรมแสดงพลังในการทำความดีของกลุ่มผู้ต้องราชทัณฑ์ และผู้ที่อยู่ในกระบวนการยุติธรรมในลักษณะงานบริการสาธารณะ เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษาครบ 6 รอบ 72 พรรษา ในวันที่ 28 กรกฎาคม 2567 เพื่อชดเชยความเสียหายที่เคยได้กระทำกลับคืนสู่สังคม

    นายเศรษฐา กล่าวต่อว่า ตนได้สั่งการให้กระทรวงยุติธรรมประสานกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้กลุ่มผู้ต้องขังดังกล่าวร่วมดำเนินกิจกรรม เช่น การปลูกป่า การเก็บขยะพื้นที่ชายฝั่งทะเล การขุดลอกคูคลองท่อระบายน้ำ เป็นต้น

    มอบคลัง – พม. – คค. หนุนคนจนมีบ้านเป็นของตนเอง

    นายเศรษฐา กล่าวต่อว่า จากการลงพื้นที่แฟลตดินแดงเมื่อต้นเดือนเมษายน 2567 จึงให้ความสำคัญเรื่องการส่งเสริมและสนับสนุนให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี สามารถเข้าถึงที่อยู่อาศัย และมีที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเอง โดยเฉพาะประชาชนที่มีกลุ่มรายได้น้อยถึงปานกลาง ถือเป็นเรื่องสำคัญและควรเร่งดำเนินการ พร้อมกับมอบหมายให้หน่วยงานต่างๆ ดังนี้

      • กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดยการเคหะแห่งชาติ ตรวจสอบความต้องการที่อยู่อาศัยของประชาชนที่มีรายได้น้อย รวมถึงกลุ่มเปราะบางเพื่อส่งเสริมการเข้าถึงที่อยู่อาศัย และได้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง

      • กระทรวงคมนาคม โดยการรถไฟแห่งประเทศไทย ตรวจสอบที่ดินบริเวณทางรถไฟ และรถไฟฟ้าที่มีความเหมาะสมกับการสร้างที่อยู่อาศัย

      • กระทรวงการคลัง โดยธนาคารอาคารสงเคราะห์ ศึกษาแนวทางในการส่งเสริมให้ผู้มีรายได้น้อยสามารถเข้าถึงแหล่งเงินกู้ได้เหมาะสมและเป็นธรรม

    ตั้ง ‘ปานปรีย์’ เป็นประธานฯ เกาะติดการสู้รบในเมียนมา

    นายเศรษฐา กล่าวต่อว่าปัจจุบันสถานการณ์ความไม่สงบในเมียนมามีแนวโน้มทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น โดยอาจส่งผลกระทบต่อไทยในหลายมิติ ทั้งด้านความมั่นคง เศรษฐกิจและสังคม รวมถึงการดำเนินชีวิตของประชาชนบริเวณชายแดน

    ทั้งนี้ นายกฯ ในฐานะ ประธานสภาความมั่นคงแห่งชาติ ได้ออกคำสั่งสภาความมั่นคงแห่งชาติ แต่งตั้งคณะกรรมการเฉพาะกิจบริหารสถานการณ์อันเนื่องมาจากความไม่สงบในเมียนมา โดยมี นายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ เป็นประธาน เพื่อเป็นกลไกในการติดตาม ประเมิน และวิเคราะห์สถานการณ์ในภาพรวม รวมทั้งให้ความเห็นและข้อเสนอแนะต่างๆ ต่อสภาความมั่นคงแห่งชาติ นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี ให้ไทยสามารถดำเนินนโยบายการทูตเชิงรุกที่จำเป็น

    ไฟเขียวไทม์ไลน์เลือกตั้ง สว.

    นายเศรษฐา รายงานว่า ที่ประชุม ครม. มีมติเห็นชอบตามที่สำนักงาน กกต. เสนอร่างพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ดังนี้

      • จัดทำร่างแผนการเลือก สว. โดยจะประกาศวันรับสมัครวันที่ 13 พฤษภาคม 2567
      • วันเลือก สว. ระดับอำเภอ วันที่ 9 มิถุนายน 2567
      • วันเลือก สว. จังหวัด 16 มิถุนายน 2567
      • วันเลือก สว.ประเทศ 26 มิถุนายน 2567
      • กำหนดวันประกาศผลเลือกตั้ง สว. วันที่ 2 กรกฎาคม 2567

    เห็นชอบ FTA ไทย – บังคลาเทศ

    นายเศรษฐา กล่าวต่อว่า ที่ประชุม ครม. มีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอในกรอบความตกลงรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย และรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศว่าด้วยการยกเว้นตรวจลงตราสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางข้าราชการ รวมถึงเห็นชอบในร่างหนังสือแสดงความเจตจำนงที่จะเริ่มเจรจาความตกลงการค้าเสรี

    ฟรีวีซ่าดึงนักท่องเที่ยวรัสเซียเข้า ปท. 60 วัน

    นายเศรษฐา เสริมว่า ครม. ได้เห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ เรื่องการยกเว้นตรวจลงตราเรื่องการท่องเที่ยวให้แก่ผู้ถือหนังสือเดินทาง หรือ เอกสารใช้แทนหนังสือเดินทางสัญชาติรัสเซียเป็นกรณีพิเศษชั่วคราว และให้อยู่ในราชอาณาจักรไม่เกิน 60 วัน

    เห็นชอบทำประชามติแก้ รธน. 3 ครั้ง

    นายเศรษฐา กล่าวต่อว่า ที่ประชุม ครม. มีมติเห็นชอบในหลักการที่คณะกรรมการเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางในการทำประชามติ เพื่อแก้ไขความเห็นที่แตกต่างเรื่องรัฐธรรมนูญ โดยที่การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะเป็นการทำประชามติที่เห็นควรให้มีการออกเสียงประชามติจำนวน 3 ครั้ง และควรให้มีการแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ พ.ศ.2564 เพื่อให้กฎหมายดังกล่าวสามารถเป็นเครื่องมือประชาธิปไตยที่จะช่วยส่งเสริมประชาชนแสดงเจตจำนงโดยตรง

    โยน ‘จุลพันธ์’ แจงดิจิทัล วอลเล็ต

    ผู้สื่อข่าวถามถึงกรอบเวลาในการส่งประเด็นต่างๆ กฤษฎีกา เรื่องดิจิทัลวอลเล็ต โดยนายเศรษฐา ตอบว่า ประเด็นดังกล่าว นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง จะเป็นคนตอบ

    ยังไม่ได้รับรายชื่อ รมต. โควตา พชปร.

    เมื่อถามเรื่องการปรับ ครม. ว่าได้ข่าวว่า พรรคพลังประชารัฐส่งรายชื่อผู้ที่เหมาะสมกับรัฐมนตรี นายเศรษฐา ตอบว่า “เหรอ ไม่ทราบครับ”

    จากนั้นผู้สื่อข่าวพูดต่อว่า ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นผู้ให้ข่าว ทำให้นายเศรษฐา บอกว่า “ก็ต้องถามท่าน” และเมื่อผู้สื่อข่าวถามยืนยันว่านายกฯ ยังไม่ได้รับข่าวใช่หรือไม่ นายเศรษฐา ยืนยันว่า “ยังไม่ได้รับ”

    เผยโผ ครม.นิ่งแล้ว ‘ถึงเวลาปรับ ก็ปรับ’

    ถามอีกว่า ช่วงเวลาปรับ ครม. ที่ดีที่สุด ควรเป็นช่วงเวลาไหน นายเศรษฐา ตอบว่า “เมื่อมีความพร้อมในการปรับเพื่อที่จะดูแลปัญหาของพี่น้องประชาชน”

    ถามต่อว่า จำเป็นสอดรับกับช่วงเวลางบประมาณของประเทศด้วยไหม เพราะตั้งขุนพลใหม่กับงบฯต้องไปด้วยกัน นายเศรษฐา ตอบว่า “ไม่จำเป็นครับ”

    เมื่อถามว่ามีโอกาสเลื่อนปรับ ครม. ไปอีก 2 เดือนหรือไม่ นายเศรษฐา ตอบว่า “เมื่อไหร่เหมาะสมที่ผมจะปรับ ท่านพูดท่านทราบเองครับ”

    ถามต่อว่า นายกฯ มีแนวคิดที่จะดำรงตำแหน่งนายกฯ ตำแหน่งเดียว และไม่ควบตำแหน่งอื่นด้วยใช่หรือไม่ ทำให้นายเศรษฐาเงียบและไม่ตอบคำถาม ก่อนจะบอกว่า “คำถามต่อไป”

    ผู้สื่อข่าวถามว่า โผการปรับ ครม. ยังแกว่งอยู่หรือไม่ นายเศรษฐา ตอบว่า “ไม่มีแกว่ง ทุกอย่างนิ่งแล้ว เป็นไปตามที่บอกไป ถึงเวลาปรับ ก็ปรับ”

    เมื่อถามย้ำว่า แสดงว่าไทม์ไลน์นี้ยังไม่เหมาะสม นายเศรษฐา จึงบอกว่า “เปล่าครับ ไม่ได้บอกอย่างนั้น ผมบอกถึงเวลาปรับ ก็จะปรับ”

    เร่งหาสาเหตุไฟไหม่โรงงานสารเคมี ระยอง

    ผู้สื่อข่าวถามถึงสถานการณ์โรงงานเก็บสารเคมีที่ไฟไหม้ จ.ระยองว่า กระทรวงอุตสาหกรรมได้รายงานอะไร โดย นายเศรษฐา กล่าวว่า “มีความเป็นห่วงหน่วยงานที่เกิดขึ้น ให้หน่วยงานต่างๆ ระดมความช่วยเหลืออย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็น กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงสิ่งแวดล้อมฯ กระทรวงอุตสาหกรรม เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้มีการกำชับและค้นหาสาเหตุว่าเกิดขึ้นอย่างไร และขอให้ฝ่ายดำเนินการทำงาน หากเป็นเหตุที่มีการจงใจก็ต้องดำเนินการตามกฎหมายต่อไป แต่สิ่งที่ดำเนินการเร่งด่วนคือการประเมินผลกระทบสุขภาพของประชาชน และต้องเร่งด่วนในการจัดการสารเคมีและวัตถุอื่นที่ตกค้างเพื่อลดผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน”

    นายเศรษฐา กล่าวต่อว่า ตนได้มอบหมายให้ นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ไปวิเคราะห์และแก้ไขปัญหาต่างๆ รวมถึงการกำจัดกากของเสียจากภาคอุตสาหกรรมทั้งระบบ

    ถามต่อว่า จากข้อมูลเบื้องต้นมีความเป็นไปได้เรื่องความจงใจหรือไม่ นายเศรษฐา ตอบว่า “ยังไม่ทราบ ต้องคอยรายงานก่อน”

    กวดขันทัวร์จีนราคาถูก แม้มีแค่ 2%

    ผู้สื่อข่าวถามเรื่องขบวนการท่องเที่ยวกลุ่มจีนราคาถูกในประเทศไทย รัฐบาลจะตรวจสอบและสกัดกลุ่มนี้อย่างไร โดยนายเศรษฐา ตอบว่า “ก็มีการตรวจสอบอย่างดี และได้ยินมาว่ามีชาวต่างประเทศที่มีอาศัยอยู่ในประเทศไทยและทำธุรกิจไม่เหมาะสม เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาผมก็ไปพูดคุยกับท่านกงศุลกิตติมศักดิ์ที่ จ.ภูเก็ต และได้เน้นย้ำเรื่องการทำให้ถูกต้องตามกฎหมาย ได้ร่วมมือกับสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ตำรวจท่องเที่ยว เร่งตรวจสอบบริษัททัวร์ที่ทำผิดกฎหมาย และนำมาลงโทษตามกฎหมายต่อไป”

    “อย่างไรก็ตาม ยังมีบริษัททัวร์อีกมากที่ปฏิบัติตามกฎหมาย เลยไม่อยากให้กระทบกับภาพรวมของคนไทย แน่นอนครับ นักท่องเที่ยวมาต้องกินต้องใช้ต้องอยู่ โรงแรมก็ของคนไทยก็เยอะ อาจจะมีแค่ 1% หรือ 2% แต่เราต้องมากวดขันกับ 1% หรือ 2% เพื่อเมคชัวร์ว่าทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมาย” นายเศรษฐา กล่าว

    ‘จุลพันธ์’ ยังไว้เคาะวันแจกเงินหมื่น รอพัฒนาระบบก่อน

    ด้านนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ตอบคำถามสื่อมวลชนเรื่องดิจิทัล วอลเล็ต ซึ่งรัฐบาลไม่สามารถระบุวันของโครงการได้ ว่า “ยังเคาะวันไม่ได้ มันขึ้นกับการพัฒนาระบบด้วย แน่นอนว่าเราพยายามเร่งรัดที่สุดในกระบวนการทำทุกอย่าง แต่เราต้องรอบคอบโดยเฉพาะเรื่องความเสถียรของแอปพลิเคชัน รวมถึงความมั่นคงปลอดภัยทั้งเรื่องข้อมูลและราชการ รวมถึงการทำธุรกรรมต่างๆ ต้องมีความมั่นคงและปลอดภัย เพราะฉะนั้นเราจะเร่งเกินไป กำหนดเวลาเพื่อบีบ จนกระทั่งถึงเวลาเกิดปัญหา ก็เป็นสิ่งที่เราไม่ปฏิบัติ”

    “ยังยืนยันตามกรอบเดิม หนึ่ง การลงทะเบียนในไตรมาส 3 และการเปิดใช้ในไตรมาส 4” นายจุลพันธ์ กล่าว

    สั่งหารือ ‘กฤษฎีกา’ ปม ธ.ก.ส.สำรองจ่าย

    ถามต่อว่า นายกฯ สั่งให้เขียนไปถามกฤษฎีกาประเด็นดังกล่าวหรือไม่ นายจุลพันธ์ ตอบว่า “ไม่ได้กำหนดประเด็น แต่นายกฯ ได้สั่งการในที่ประชุมวันนี้ว่า หากมีข้อสงสัยประเด็นใดที่เป็นเรื่องข้อกฎหมาย ให้ดำเนินการส่งให้คณะกรรมการกฤษฎีกาในการวินิจฉัย”

    “คำถามเมื่อสักครู่ ผมเข้าใจว่าเป็นเรื่องของอำนาจหน้าที่ของ ธ.ก.ส. ซึ่งผมก็ได้ให้ข่าวไปหลายครั้ง…ได้ดูในรายละเอียดแล้วและมีความมั่นใจว่าเป็นไปตามกรอบของอำนาจหน้าที่ แต่หากจะทำให้เกิดความกระจ่างชัด การสอบถามไปยังกฤษฎีกาเป็นสิ่งที่เราพร้อมทำอยู่ตลอดเวลา” นายจุลพันธ์ กล่าว

    ดร.เผ่าภูมิ โรจนสกุล เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง

    “กระบวนการดำเนินการตามมาตรา 28 เป็นกระบวนการงบประมาณประเภทหนึ่ง เป็นการดำเนินการตามสิ่งที่เรียกว่านโยบายกึ่งการคลัง นโยบายนี้จะเริ่มดำเนินการได้ตามกรอบของมาตรา 28 ซึ่งจะเริ่มต้นประมาณเดือนตุลาคม ก็คงต้องใกล้ช่วงนั้นถึงจะมีการพิจารณาผ่านบอร์ด ผ่าน ครม. อีกครั้ง ระหว่างวันนี้จนถึงตุลาคมก็คงต้องดำเนินการอีกหลายอย่างในรายละเอียดให้ครบถ้วน”

    นายจุลพันธ์ กล่าวต่อว่า “ในส่วนของคณะกรรมการกำกับซึ่งตั้งขึ้นมาแล้วก็คงต้องไปประชุมหารือ เพื่อกำหนดรายละเอียดให้ครบ รวมถึงการสอบถามกฤษฎีกาเพื่อให้เกิดความกระจ่าง เราก็พร้อมดำเนินการในช่วงนี้ เหลือเวลาอีก 4 ถึง 5 เดือน มันเป็นกระบวนการที่ครม. เห็นชอบในหลักการ รายละเอียดต้องไปดำเนินการให้ครบถ้วนอยู่แล้ว”

    เล็งจัดงบฯเพิ่มทุน ธ.ก.ส. เสริมความแข็งแกร่ง

    ผู้สื่อข่าวถามเรื่องสภาพคล่อง ธ.ก.ส. และ ธ.ก.ส. อยากให้มีแผนการใช้เงินอย่างชัดเจนว่าจะเริ่มใช้เงินคืนเมื่อไร โดยนายจุลพันธ์ ตอบทันทีว่า “ถามคำถามอย่าชี้นำ เพราะคำถามคือ ธ.ก.ส.มาสอบถามว่าให้มีชัดเจน ธ.ก.ส.ไม่ได้สอบถามอะไรมาเลย”

    ผู้สื่อข่าวจึงบอกว่า สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ได้เข้ามายื่นหนังสือพร้อมสอบถามในรายละเอียดในการดำเนินโครงการดังกล่าว โดยนายจุลพันธ์ ตอบว่า “ไม่ใช่ครับ สหภาพไม่ได้ถามคำถามนั้น เขามีความพร้อมในการเดินหน้านโยบายนี้ เพราะเป็นประโยชน์กับเกษตรกร ส่วนสหภาพที่เป็นห่วงที่สุดคือกรอบอำนาจหน้าที่ ซึ่งเราก็เรียนอย่างที่มติมีมาคือส่งไปสอบถามเพื่อให้ทุกฝ่ายเกิดความสบายใจ”

    นายจุลพันธ์ กล่าวต่อว่า “ส่วนสภาพคล่อง ธ.ก.ส. มีความมั่นคง และอย่าลืมว่ารัฐบาลถือหุ้น 100% เรามีแต่เสริมความแข็งแกร่งให้ ธ.ก.ส. สิ่งที่ผมชี้แจงให้สหภาพ ธ.ก.ส. มี 3 ประเด็น”

      1. การดำเนินการต้องเป็นไปตามกรอบของกฎหมายทุกประการ รวมถึงอำนาจหน้าที่ของ ธ.ก.ส. หากมีข้อสงสัยใดในการดำเนินงานให้เกิดความกระจ่างชัด รัฐบาลยินดี

      2. เสถียรภาพของ ธ.ก.ส. มีความมั่นคงสูง สิ่งที่เราจะดำเนินการอยู่ในศักยภาพที่ธ.ก.ส. จะดำเนินการได้โดยไม่มีประเด็นปัญหาอะไร แต่รัฐบาลจะดำเนินการอะไรก็ตามจะมีแต่เสริมความแข็งแกร่งให้ธนาคารในกำกับ เพราะ ธ.ก.ส. เป็นปีกหลีกปีกหนึ่งในการดำเนินนโยบายของรัฐบาลในการช่วยเหลือเกษตรกร รัฐบาลทุกชุดที่ผ่านมาใช้บริการของธ.ก.ส. มาโดยตลอด รัฐบาลชุดนี้ก็เห็นความสำคัญ มีแต่จะทำให้แข็งแกร่งขึ้น
      3. สิ่งที่ดำเนินการจะไม่กระทบต่อสวัสดิภาพและสวัสดิการใดๆ ของพนักงานและลูกจ้างธ.ก.ส. โดยเด็ดขาด

  • สร.ธกส.จี้คลังส่ง ‘กฤษฎีกา’ ตีความปมสำรองจ่าย 1.7 แสนล้าน ผิด กม.?
  • “เรื่องนี้มีการพูดคุยกันในส่วนของเราเอง มีกระบวนการในการพูดคุย เวลาเราเติมทุนในธนาคารในกำกับเช่น ธ.ก.ส. เติม 1 บาทจะได้ 11 บาท เป็นววงเงินสินเชื่อให้เกษตรกร เป็นการเติมความแข็งแกร่งอย่างหนึ่งที่เราพิจารณาอยู่ ส่วนจะเท่าไรและเมื่อไ ขออนุญาตให้พิจารณาและมีการประชุมอีกครั้งสองครั้งเพื่อจะมีข้อสรุป” นายจุลพันธ์ กล่าว

    เมื่อถามว่า ในฐานะประธานบอร์ดของ ธ.ก.ส. ปัจจุบัน ธ.ก.ส. มีสภาพคล่องเท่าไร นายจุลพันธ์ ตอบว่า “อย่าถามหลายหมวก เพราะนี่เป็น ครม. อยู่ (หัวเราะ) มีสภาพคล่องเพียงพอ ยืนยัน”

    ยันไตรมาส 4 แจกเงินหมื่นแน่

    สุดท้ายถามว่า ประชาชนที่รอเบาใจได้หรือยัง นายจุลพันธ์ ตอบว่า “เบาใจได้ เรายืนยันในกรอบเวลาที่ประชาชนจะได้ใช้ในไตรมาส 4 แน่นอน…เราต้องการให้เกิดอิมแพคทางเศรษฐกิจ เมื่อลงไปแล้วลงไปทีเดียวจะเกิดการกระตุ้น การหมุนเวียน การลงทุน การจ้างงาน เราต้องการผลลัพธ์ตรงนั้น เรามองตอนนี้ไม่ได้ติดขัดอะไร ถึงเวลาก็ได้ดำเนินการตามที่ได้วางกรอบไว้”

    เตือน ปชช.เผ้าระวังอัคคีภัย

    ด้านนายชัย รายงานว่า นายกฯ ห่วงใยความเป็นอยู่และความปลอดภัยของประชาชนในช่วงสภาพอากาศที่ร้อนมากขึ้นในช่วงนี้ โดยเฉพาะความเสี่ยงในการเผชิญกับเหตุอัคคีภัย ซึ่งเป็นสาธารณภัยที่มีโอกาสเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาในทุกสถานที่ และสามารถทำให้เกิดความสูญเสียต่อทรัพย์สินและชีวิต พร้อมกำชับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำกับดูแลความปลอดภัยในพื้นที่ และแนะนำให้ประชาชนเตรียมความพร้อมรับมือป้องกัน และเฝ้าระวังการเกิดอัคคีภัย เพื่อป้องกันความสูญเสียที่อาจเกิดขึ้น

    นายชัย กล่าวต่อว่า กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) กระทรวงมหาดไทยได้แนะนำแนวทางการเตรียมการป้องกันและแก้ไขปัญหาอัคคีภัยในสถานที่กำจัดขยะมูลฝอยและบ่อขยะ โดยกำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เป็นผู้รับผิดชอบดำเนินการป้องกันไม่ให้มีการลักลอบเผากำจัดขยะและการเผาพื้นที่ในบริเวณใกล้เคียงสถานที่กำจัดขยะมูลฝอยและบ่อขยะ รวมถึงดูแลรักษาสถานที่เก็บรวบรวมวัสดุที่มีความเสียงต่อการเกิดอัคคีภัย ซึ่งรวมถึงโรงงาน พร้อมทั้งแนะนำให้กำหนดแนวทางการแจ้งเตือน การประสานงาน การอพยพ และการให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุอัคคีภัย ตลอดจนเตรียมความพร้อมในการปฏิบัติการเผชิญเหตุตลอด 24 ชั่วโมง

    ทั้งนี้ ได้ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนแจ้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทราบทันทีหากพบควันไฟ กลิ่นเหม็นไหม้ หรืออัคคีภัยในบริเวณสถานที่กำจัดขยะมูลฝอยและบ่อขยะ

    “นายกรัฐมนตรีห่วงใยประชาชนถึงความเสี่ยงต่อการเกิดอัคคีภัยในช่วงที่อากาศร้อนจัด แนะนำประชาชนเฝ้าระมัดระวังและป้องกันอัคคีภัยเชิงรุก ทั้งภัยที่อาจเกิดในบ้าน หรือ โรงงาน สถานประกอบการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถานที่เก็บรวบรวมวัสดุที่เสี่ยงต่อการเกิดอัคคีภัย พร้อมกำชับหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องสร้างความตระหนักรู้ถึงการป้องกันเหตุอัคคีภัย ให้แก่ประชาชน เตรียมพร้อมรับมือเหตุอัคคีภัยตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อให้สามารถให้ความช่วยเหลือประชาชนได้ทันท่วงที” นายชัย กล่าว

    มติ ครม. มีดังนี้

    นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกฯ , นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และนางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี ร่วมกันแถลงผลการประชุม ครม. ณ ตึกนารีสโมสร ทำเนียบรัฐบาล
    ที่มาภาพ : www.thaigov.go.th

    ไฟเขียวแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท

    นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า วันนี้ที่ประชุม ครม.มีมติรับทราบผลการรวบรวมข้อมูล ความเห็น ข้อเท็จจริง และข้อเสนอแนะของหน่วยงานต่างๆ และมีมติให้ความเห็นชอบในหลักการกรอบหลักการโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet ตามที่กระทรวงการคลัง ในฐานะฝ่ายเลขานุการ คณะกรรมการนโยบายโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet เสนอ โดย คกก.นโยบายฯ ในคราวประชุมครั้งที่ 3/2567 เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2567 มีมติ 3 ข้อดังนี้

    1. รับทราบผลการรวบรวมข้อมูล ความเห็น ข้อเท็จจริง และข้อเสนอแนะของหน่วยงานต่างๆ (เบื้องต้น) ที่คณะทำงานฯ ได้ดำเนินการ

    2. เห็นชอบในหลักการกรอบหลักการโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet ซึ่งมีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้

    • วัตถุประสงค์ เพื่อกระตุ้นเศราฐกิจด้วยการส่งเสริมให้มีเม็ดเงินหมุนเวียนในพื้นที่ และช่วยบรรเทาภาระค่าครองชีพและพัฒนาคุณภาพชีวิตให้แก่ประชาชน รวมทั้งสนับสนุนการพัฒนาให้เกิดนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อประโยชน์ต่อเศรษฐกิจและสังคม
    • กลุ่มเป้าหมายต้องมีคุณสมบัติ เช่น มีอายุเกิน 16 ปี ไม่เป็นผู้มีเงินได้พึงประเมินเกิน 840,000 บาทต่อปีภาษี และเป็นผู้มีเงินฝากไม่เกิน 500,000 บาท
    • แนวทางการเข้าร่วมโครงการฯ เช่น กลุ่มผู้ใช้สิทธิต้องยืนยันตัวตนผ่านแอปพลิเคชันในสมาร์ทโฟนเพื่อเข้าร่วมโครงการฯ และใช้แอปพลิเคชันเพื่อสแกน QR Code ณ ร้านค้าในพื้นที่ตามทะเบียนบ้าน
    • เงื่อนไขการใช้จ่าย เช่น ให้ประชาชนใช้จ่ายแบบพบหน้า (Face to Face) เพื่อซื้อสินค้ากับร้านค้าขนาดเล็กในพื้นที่เท่านั้น (การใช้จ่ายรอบที่ 1) แต่ไม่รวมถึงบริการทั้งนี้ ไม่กำหนดเงื่อนไขการใช้จ่ายเชิงพื้นที่ระหว่างร้านค้ากับร้านค้าในระดับอำเภอ
    • เงื่อนไขการถอนเงินสดจากโครงการฯ ของร้านค้า เช่น ต้องเป็นร้านค้าที่อยู่ในระบบภาษี ซึ่งร้านค้าไม่สามารถถอนเงินสดได้ทันทีหลังประชาชนใช้จ่าย
    • หน่วยงานผู้รับผิดชอบที่เกี่ยวข้องกับการลงทะเบียนร้านค้า
    • แหล่งเงินในการดำเนินโครงการฯ จำนวน 500,000 ล้านบาท แบ่งเป็น (1) เงินงบประมาณรายจ่ายปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 จำนวน 152,700 ล้านบาท (2) การดำเนินโครงการผ่านหน่วยงานของรัฐ จำนวน 172,300 ล้านบาท และ (3) การบริหารจัดการเงินงบประมาณรายจ่ายปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 จำนวน 175,000 ล้านบาท
    • ระยะเวลาการดำเนินโครงการฯ ต้องไม่เกินเดือนกันยายน 2569

    ทั้งนี้ ยังเห็นชอบแต่งตั้งคณะอนุกรรมการกำกับการดำเนินโครงการฯ โดยมอบหมายให้ กค. ในฐานะฝ่ายเลขานุการ คกก. นโยบายฯ นำเสนอเรื่องต่อ ครม. ต่อไป

    ทำประชามติ 3 ครั้ง รอบแรกใช้งบฯ 3,200 ล้าน

    นายชัย กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.ได้พิจารณารายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางในการทำประชามติ เพื่อแก้ไขปัญหาความเห็นที่แตกต่างในเรื่องรัฐธรรมนูญ (รธน.) สามารถสรุปผลการพิจารณาได้ 2 ประเด็น

    1. การจัดทำ รธน. ฉบับใหม่ และการทำประชามติ คกก.ฯ ให้ความเห็นว่า การจัดทำ รธน. ฉบับใหม่ที่จะเป็นไปโดยสอดคล้องกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญนั้น ต้องจัดให้ประชาชนออกเสียงประชามติเสียก่อนว่าสมควรมี รธน. ฉบับใหม่หรือไม่ จึงเห็นควรจัดให้มีการออกเสียงประชามติจำนวน 3 ครั้ง ได้แก่

      (1) การทำประชามติครั้งที่ 1 ว่าเห็นชอบหรือไม่ที่จะมีการจัดทำ รธน. ฉบับใหม่ โดยใช้งบประมาณ 3,200 ล้านบาท

      (2) การทำประชามติครั้งที่ 2 เป็นการทำประชามติในขั้นตอนการร่าง รธน. แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่..) พ.ศ…. (แก้ไขเพิ่มเติม ม. 256) เพื่อกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการจัดทำ รธน. ฉบับใหม่ และ

      (3) การทำประชามติครั้งที่ 3 เป็นการทำประชามติเมื่อร่าง รธน. ฉบับใหม่เสร็จแล้ว เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบกับร่าง รธน. ฉบับใหม่ โดยการจัดทำประชามติครั้งที่ 1 ควรกำหนดคำถามประชามติว่า “ท่านเห็นชอบหรือไม่ที่จะมีการจัดทำ รธน. ฉบับใหม่ โดยไม่แก้ไขหมวด 1 บททั่วไป หมวด 2 พระมหากษัตริย์” อย่างไรก็ตาม รัฐบาลไม่ควรกำหนดคำถามประชามติเกี่ยวกับการให้มีสภาร่าง รธน. เป็นผู้จัดทำ รธน. ฉบับใหม่ และไม่ควรเป็นผู้พิจารณาจำนวนและที่มาของสมาชิกสภาร่าง รธน. แต่ควรให้เป็นหน้าที่และอำนาจของรัฐสภาที่จะดำเนินการเมื่อถึงขั้นตอนการร่าง รธน. แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่..) พ.ศ…. (แก้ไขเพิ่มเติม ม. 256)

    2. การแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ พ.ศ. 2564 คกก.ฯ มีข้อห่วงใยเพิ่มเติมโดยเห็นควรให้มีการแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ พ.ศ. 2564 เพื่อให้กฎหมายดังกล่าวสามารถเป็นเครื่องมือทางประชาธิปไตยที่จะช่วยส่งเสริมให้ประชาชนสามารถแสดงเจตจำนงในเรื่องต่างๆ ได้โดยตรง โดยเห็นควรให้แก้ไขในประเด็นต่างๆ เช่น กำหนดแบ่งประเภทให้มีการออกเสียงประชามติที่มีลักษณะ เพื่อมีข้อยุติ และการออกเสียงประชามติที่มีลักษณะ เพื่อให้คำปรึกษาหารือแก่ ครม. เป็นต้น

    ผ่าน พรฎ.เลือกตั้ง สว. เปิดรับสมัคร 13 พ.ค. รู้ผล 2 ก.ค.นี้

    นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. …. ซึ่งมีสาระสำคัญเป็นการให้ดำเนินการเลือกสมาชิกวุฒิสภาตามมาตรา 107 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย เนื่องจากอายุของวุฒิสภาสิ้นสุดลง ซึ่งตามรัฐธรรมนูฐแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 269 (4) บัญญัติให้อายุของวุฒิสภาตามมาตรานี้ มีกำหนด 5 ปี นับแต่วันที่มีพระบรมราชโองการแต่งตั้ง และได้มีพระบรมราชโองการประกาศแต่งตั้งสมาชิกวุฒิสภา เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2562 อายุของวุฒิสภาจึงครบกำหนด 5 ปี และจะสิ้นสุดลงในวันที่ 10 พฤษภาคม 2567 แต่ยังอยู่ในตำแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าจะมีสมาชิกวุฒิสภาขึ้นใหม่

    ดังนั้น เมื่ออายุของวุฒิสภาสิ้นสุดลง ให้ดำเนินการเลือกสมาชิกวุฒิสภาโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกาตามมาตรา 107 วรรค 5 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ซึ่งบัญญัติให้การเลือกสมาชิกวุฒิสภาให้ตราเป็นพระราชกฤษฎีกา และภายใน 5 วัน นับแต่วันที่พระราชกฤษฎีกามีผลใช้บังคับ ให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กำหนดวันเริ่มดำเนินการเพื่อเลือกไม่ช้ากว่า 30 วัน นับแต่วันที่พระราชกฤษฎีกาดังกล่าวมีผลใช้บังคับ

    “เพื่อให้การเลือกสมาชิกวุฒิสภา (สว.) เป็นไปตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 107 วรรคห้า และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561 มาตรา 21 จึงได้จัดทำร่างพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. …. ขึ้น โดยมีสาระสำคัญเป็นการให้ดำเนินการเลือกสมาชิกวุฒิสภา โดยมีสาระสำคัญเป็นการให้ดำเนินการเลือก สว. และจัดทำร่างแผนการจัดการเลือก สว. ทั้งนี้ ภายใน 5 วันนับตั้งแต่ที่มีพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือก สว. ใช้บังคับ กกต.จะกำหนดวันเริ่มดำเนินการเพื่อเลือกไม่ช้ากว่า 30 วัน นับแต่วันที่พระราชกฤษฎีกาดังกล่าวมีผลใช้บังคับ ซึ่ง กกต.คาดว่า พระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือก สว. จะมีผลใช้บังคับในวันที่ 11 พฤษภาคม 2567 ประกาศกำหนดวันเลือกและวันรับสมัครในวันที่ 13 พฤษภาคม 2567 กำหนดวันเลือก สว.ระดับอำเภอในวันที่ 9 มิถุนายน 2567 กำหนดวันเลือก สว.ระดับจังหวัดในวันที่ 16 มิถุนายน 2567 กำหนดวันเลือก สว. ระดับประเทศในวันที่ 26 มิถุนายน 2567 และกำหนดวันที่จะประกาศผลการเลือกสมาชิกวุฒิสภาในวันที่ 2 กรกฎาคม 2567” นายคารม กล่าว

    เพิ่มวงเงินสร้างระบบระบายน้ำฯเมืองพัทยาเป็น 680 ล้าน

    นายคารม กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติอนุมัติวงเงินก่อนหนี้ผูกพันประมาณรายการการก่อสร้างระบบระบายน้ำถนนเลียบทางรถไฟฝั่งตะวันออก ระยะที่ 1 เมืองพัทยา อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี (โครงการสร้างระบบระบายน้ำฯ) จากเดิม 655.20 ล้านบาท เป็น 680.20 ล้านบาท ซึ่งเกินกว่าวงเงินที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติให้ก่อหนี้ผุกพันข้ามปีงบประมาณไว้เดิมจำนวน 25 ล้านบาท รวมทั้งอนุมัติขยายระยะเวลาการก่อหนี้ผูกพันงบประมาณรายการดังกล่าว จากปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 – 2565 เป็นปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 – 2567 ตามที่กระทรวงมหาดไทย (มท.) เสนอ

    นายคารม กล่าวว่า การก่อสร้างโครงการสร้างระบบระบายน้ำฯ การรถไฟแห่งประเทศไทยได้ขอนัดสำรวจชี้แนวท่อระบายน้ำสถานีพัทยาและท่อน้ำประปาของการประปาส่วนภูมิภาคที่กีดขวางการก่อสร้างโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน ซึ่งเมืองพัทยา การรถไฟแห่งประเทศไทย การประปาส่วนภูมิภาค และเอกชนคู่สัญญาโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบินได้ร่วมสำรวจชี้แนวท่อประปา และท่อระบายน้ำที่กีดขวางการก่อสร้างโครงการดังกล่าว พบว่ามีท่อระบายน้ำเสียแรงนของเมืองพัทยาและท่อส่งน้ำประปาของการประปาส่วนภูมิภาคกีดขวางการดำเนินงาน รวมถึงแนวการก่อสร้างท่อระบายน้ำในโครงการสร้างระบบระบายน้ำฯ อยู่ในพื้นที่ทับซ้อนกับการก่อสร้างสถานีรถไฟความเร็วสูง คณะกรรมการตรวจรับพัสดุจึงได้มีมติให้แก้ไขปัญหาเรื่องท่อน้ำเสียแรงดันและท่อส่งน้ำประปาที่กีดขวางการก่อสร้างก่อน จึงได้มีการแก้ไขสัญญาเพิ่มเติม โดยเปลี่ยนแปลงรูปแบบการก่อสร้างแต่ไม่เปลี่ยนแปลงวงเงินงบประมาณ และให้ขยายเวลาการดำเนินงานตามสัญญาออกไปอีก 40 วัน รวมระยะเวลาดำเนินงานที่เปลี่ยนแปลง 640 วัน

    ทั้งนี้ เมืองพัทยาได้ทำการออกแบบเปลี่ยนแปลงแนวการก่อสร้างจากเดิมที่ขนานกับถนนเลียบทางรถไฟฝั่งตะวันออก ไปเป็นการก่อสร้างวางท่อระบายน้ำเพื่อเบี่ยงหลบอาคารสถานีรถไฟความเร็วสูง โดยก่อสร้างตามแนวขอบที่ดินใหม่ของการรถไฟแห่งประเทศไทยที่ได้มีการเวนคืนที่ดิน เพื่อก่อสร้างอาคารสถานี ส่งผลให้ความยาวของการวางท่อระบายน้ำมีความยาวเพิ่มขึ้นประมาณ 200 เมตร จากเดิม 5,291 เมตร เป็น 5,491 เมตร และต้องเปลี่ยนชนิดท่อระบายน้ำจาก HDPE ชนิดลอนเสริมเหล็ก ขนาด 2,000 มิลลิเมตร เป็นท่อเหล็กรับแรงดันขนาด 1,800 มิลลิเมตร เนื่องจากระดับท่อที่จะทำการก่อสร้างใหม่ไม่สามารถระบายน้ำ โดยอาศัยแรงโน้มถ่วงตามธรรมชาติได้จึงต้องใช้วิธีการสูบส่งแทน ส่งผลให้ต้องเพิ่มวงเงินงบประมาณตามสัญญาในการก่อสร้างโครงการสร้างระบบระบายน้ำฯ เป็นจำนวนเงิน 59.20 ล้านบาท และจะทำให้งบประมาณโดยรวมเปลี่ยนแปลง จากเดิม 621.00 ล้านบาท เป็น 680.20 ล้านบาท ซึ่งเกินกว่าวงเงินการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ (รวมเงินสำรองเผื่อเหลือเผื่อขาด) ที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติไว้ จำนวน 655.20 ล้านบาท (3 มีนาคม 2563) เป็นเงิน 25.00 ล้านบาท รวมถึงต้องขยายระยะเวลาการก่อหนี้ผูกพันงบประมาณจากปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 – 2565 เป็นปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 – 2567

    จัดงบกลาง 227 ล้าน เลือกตั้ง สว.

    นายคารม กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติเห็นชอบการขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการให้ได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา รวมทั้งสิ้น 227,105,500 บาท โดยเป็นค่าใช้จ่ายที่สำนักงาน กกต. ดำเนินการเอง จำนวน 100,949,700 บาท และเป็นค่าใช้จ่ายของหน่วยงานสนับสนุน 5 หน่วยงานจำนวน 126,155,800 บาท

    นายคารม กล่าวว่า สำนักงาน กกต.ได้รับจัดสรรงบประมาณในส่วนของค่าใช้จ่ายในการดำเนินการให้ได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภาตามร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567 เป็นจำนวนเงิน 1,198,866,800 บาท แต่เนื่องจากสำนักงาน กกต.มีค่าใช้จ่ายในภารกิจที่จำเป็นต้องดำเนินการก่อนมีพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกสมาชิกวุฒิสภา เช่น การเผยแพร่ความรู้ รณรงค์ประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับคุณสมบัติของผู้สมัคร การเตรียมความพร้อมในเรื่องต่าง ๆ ที่จำเป็นเกี่ยวกับการเลือกสมาชิกวุฒิสภาอีกจำนวน 317,551,300 บาท รวมค่าใช้จ่ายในการดำเนินการให้ได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา จำนวนเงินทั้งสิ้น 1,516,418,100 บาท แต่สำนักงาน กกต.มีเงินนอกงบประมาณคงเหลือเพียง 90,445,800 บาท ซึ่งเมื่อนำมาสมทบกับงบประมาณที่ได้รับจัดสรรในปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ยังคงไม่เพียงพอต่อการดำเนินการดังกล่าว โดยยังขาดอยู่อีกจำนวน 227,105,500 บาท ดังนั้น เพื่อให้การดำเนินการให้ได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภาเป็นไปด้วยคามเรียบรอบและมีประสิทธิภาพ คณะกรรมการการเลือกตั้ง จึงขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายการจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน 227,105,500 บาท

    มอบ อว.ออก กม.คุ้มครองนักศึกษาฝึกงาน

    นายคารม กล่าวว่า กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติรับทราบรายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง แนวทางการแก้ไขปัญหาการฝึกงานของนักเรียน นิสิต นักศึกษา ของคณะกรรมาธิการการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม วุฒิสภา โดยคณะกรรมาธิการฯ เห็นว่า การฝึกงานเป็นการจัดระบวนการเรียนรู้เพื่อฝึกทักษะ กระบวนการคิด การจัดการ การเผชิญสถานการณ์และการประยุกต์ความรู้ที่เรียนมาใช้ เพื่อป้องกันและแก้ปัญหา โดยการฝึกปฏิบัติงานของนักศึกษาฝึกงานไม่มีลักษณะเป็น “ลูกจ้าง” ตามสัญญาจ้างแรงงาน มีวัตถุประสงค์ในการทำงานเพื่อเป็นการฝึกปฏิบัติงานโดยถือเป็นส่วนหนึ่งของ “การศึกษาเพื่อให้สำเร็จตามหลักสูตร” เท่านั้น จึงไม่ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายแรงงานเช่นเดียวกับลูกจ้าง และปัจจุบันยังไม่มีกฎหมายที่คุ้มครองการฝึกปฏิบัติงานของนักศึกษาฝึกงานในระดับอุดมศึกษาโดยตรง ปัญหาการฝึกงานของนักเรียน นิสิต นักศึกษาที่ยังไม่มีกฎหมายควบคุมอย่างเป็นทางการ เป็นประเด็นปัญหาที่สำคัญที่จะต้องหาแนวทางการแก้ไข เพื่อให้เกิดการจัดทำกฎหมายที่เกี่ยวข้อง จึงได้มีข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะ 4 ประเด็น ดังนี้

      1. สิทธิของนักเรียน นิสิตและนักศึกษาฝึกงาน การกำหนดค่าตอบแทนเป็นเบี้ยเลี้ยง การจัดทำประกันอุบัติเหตุการมีสวัสดิการขั้นพื้นฐานในที่ทำงานแก่ผู้รับการฝึกอบรมฝีมือแรงาน และผู้ฝึกงานอาชีวศึกษาแต่ปัจจุบันยังไม่มีกฎหมายคุ้มครองนักศึกษาฝึกงานระดับอุดมศึกษาโดยตรง ซึ่งหากกรณีมีปัญหาเกิดขึ้นโดยเฉพาะกรณีค่าตอบแทน การประสบอันตราย หรือการเจ็บป่วยจากการฝึกปฏิบัติงานอาจต้องเทียบเคียงจากกฎหมายที่เกี่ยวข้องซึ่งย่อมจะเกิดความยุ่งยากหรือเกิดปัญหาการตีความ ซึ่งจะทำให้นักศึกษาฝึกงานไม่ได้รับความคุ้มครองอย่างเหมาะสม

      2. การคุ้มครองนักเรียน นิสิตและนักศึกษาฝึกงาน เพื่อให้นักเรียน นักศึกษาฝึกงานได้รับความคุ้มครองตามฎหมาย นั้น นักเรียนระดับอาชีวศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาได้ออกประกาศคณะกรรมการการอาชีวศึกษา เรื่อง หลักเกณฑ์การฝึกงานหลักสูตรการอาชีวศึกษาและการฝึกอบรมวิชาชีพในสถานประกอบการ พ.ศ. 2565 เรียบร้อยแล้ว ส่วนนักศึกษาระดับปริญญาตรี ควรมอบหมายให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เป็นหน่วยงานหลักในการพิจารณาจัดทำหลักเกณฑ์เกี่ยวกับเรื่องการกำหนดมาตรฐานการส่งนักศึกษาที่เข้ารับการฝึกงานในสถานประกอบการ เพื่อให้นักศึกษาได้รับการคุ้มครองในระหว่างการฝึกงาน ซึ่งเป็นหลักเกณฑ์มาตรฐานกลาง เพื่อเป็นแนวทางให้สถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษาแต่ละแห่งจัดทำเป็นหลักเกณฑ์เกี่ยวกับเรื่องมาตรฐานการส่งนักศึกษา เข้ารับการฝึกงานในสถานประกอบการและการคุ้มครองนักศึกษาระหว่างการฝึกงานให้เหมาะสมกับหลักสูตรการเรียนการสอน โดยกระทรวงแรงงาน สนับสนุนข้อมูลเกี่ยวกับการกำหนดหลักเกณฑ์การคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของนักศึกษาฝึกงาน ให้สอดคล้องกับกฎหมายแรงงาน

      3. ปัญหาการล่วงละเมิด หรือ คุกคามทางเพศในการทำงาน ควรสร้างและรักษาสภาพแวดล้อมในการทำงานให้ปราศจากการล่วงละเมิดทางเพศด้วยการสร้างความตระหนักการสร้างความรู้ความเข้าใจ การกำหนดมาตรการป้องกันและจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้น และตำเนินการเมื่อเกิดกรณีการร้องเรียนเรื่องการล่วงละเมิดหรือคุกคามทางเพศอย่างทันท่วงที รวมทั้งการจัดสภาพแวดล้อมและมาตรการต่าง ๆ เพื่อลดความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดการล่วงละเมิดหรือคุกคามทางเพศขึ้น

      4. ข้อเสนอการยกระดับการคุ้มครองการฝึกงานในประเทศไทยของศูนย์วิจัยเฉพาะทางสหวิทยาการ ด้านรัฐสวัสดิการและความเป็นธรรม ศูนย์วิจัยเฉพาะทางสหวิทยาการด้านรัฐสวัสดิการและความเป็นธรรมร่วมกับอีกหลายหน่วยงานในภาคีได้ผลักดันร่างพระราชบัญญัติการฝึกงาน พ.ศ. …. เพื่อให้ได้รับความคุ้มครองและรักษาสิทธิประโยชน์ที่ควรได้ ในฐานะลูกจ้างคนหนึ่ง โดยสถาบันอุดมศึกษาอาจอนุญาตให้บุคลากรและผู้เรียนไปปฏิบัติงานในหน่วยงานต่าง ๆ ได้ตามระเบียบที่สภาสถาบันอุดมศึกษากำหนดตามมาตรา 35 แห่งพระราชบัญญัติการอุดมศึกษา พ.ศ. 2562 ดั้งนั้น สภาสถาบันอุดมศึกษา อว. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ควรกำหนดระเบียบการฝึกงาน หรือ เงื่อนไขหลักเกณฑ์การฝึกงานของนักเรียน นักศึกษาฝึกงาน ให้ครอบคลุมเนื้อหา และรายละเอียดเกี่ยวกับการใช้แรงงานเด็ก ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 และสอดคล้องกับพระราชบัญญัติการอุดมศึกษา พ.ศ. 2562

    เลื่อนจัดแข่งขันกีฬาเอเชียนอินดอร์ฯเป็น 21 – 30 พ.ย.นี้

    นายคารม กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติรับทราบการเลื่อนกำหนดวันแข่งขันกีฬาเอเชียนอินดอร์และมาเชี่ยลอาร์ทเกมส์ ครั้งที่ 6 พ.ศ. 2564 (ค.ศ. 2021) จากเดิมระหว่างวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 24 – 6 มีนาคม 2567 เลื่อนเป็น ระหว่างวันที่ 21 – 30 พฤศจิกายน 2567 ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (กก.) เสนอ

    นายคารม กล่าวว่า คณะกรรมการบริหารสภาโอลิมปิกแห่งเอเชีย (Olympic Council of Asia: OCA) มีมติให้ประเทศไทยเลื่อนการจัดการแข่งขันกีฬาเอเขียนอินดอร์และมาเชี่ยลอาร์ทเกมส์ ครั้งที่ 6 พ.ศ. 2564 (ค.ศ. 2021) ซึ่งกำหนดจัดขึ้น ณ กรุงเทพมหานครและจังหวัดชลบุรี ในระหว่างวันที่ 24 กุมภาพันธ์ – 6 มีนาคม 2567 เลื่อนเป็น ระหว่างวันที่ 21 – 30 พฤศจิกายน 2567 เนื่องจากคณะกรรมการโอลิมปิกชาติสมาชิกต้องการเวลาในการเตรียมทีมและเก็บตัวฝึกซ้อมเพื่อเข้าร่วมการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกเกมส์ ครั้งที่ 33 ณ กรุงปารีส สาธารณรัฐฝรั่งเศส (กำหนดจัดการแข่งขันระหว่างวันที่ 26 กรกฎาคม – 11 สิงหาคม 2567) ทั้งนี้ คณะกรรมการจัดการแข่งขันกีฬาเอเชียนอินดอร์และมาเชี่ยลอาร์ทเกมส์ ครั้งที่ 6 พ.ศ. 2564 (ค.ศ. 2021) (รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเป็นประธาน) ได้แจ้งกำหนดการใหม่ไปยังประเทศสมาชิกสภาโอลิมปีกแห่งเอเชีย จำนวน 45 ประเทศ เรียบร้อยแล้ว

    ต่ออายุฟรีวีซ่านักท่องเที่ยวรัสเซียอยู่ไทยได้ 60 วัน

    นางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติอนุมัติและเห็นชอบการยกเว้นการตรวจลงตรา (VISA) เพื่อการท่องเที่ยวให้แก่ผู้ถือหนังสือเดินทางหรือเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทางสัญชาติรัสเซีย เป็นกรณีพิเศษและเป็นการชั่วคราว ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้

      1. อนุมัติในหลักการในการกำหนดให้ “สหพันธรัฐรัสเซีย” อยู่ในรายชื่อประเทศในประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง กำหนดรายชื่อประเทศที่ผู้ถือหนังสือเดินทางหรือเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทาง ซึ่งเข้าในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวเพื่อการท่องเที่ยว ได้รับการยกเว้นการตรวจลงตรา และให้อยู่ในราชอาณาจักรได้ไม่เกิน 60 วัน เป็นกรณีพิเศษ โดยมีเงื่อนไขให้มีผลบังคับใช้ชั่วคราว ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2567 ถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2567เพื่อประโยชน์ต่อมิติเศรษฐกิจและการต่างประเทศกับสหพันธรัฐรัสเซีย โดยเฉพาะด้านความเชื่อมโยงระหว่างประชาชนที่เป็นรากฐานของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

      2. ให้ความเห็นชอบร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง กำหนดรายชื่อประเทศที่ผู้ถือหนังสือเดินทางหรือเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทางซึ่งเข้ามาในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวเพื่อการท่องเที่ยว ได้รับการยกเว้นการตรวจลงตราและให้อยู่ในราชอาณาจักรได้ไม่เกินหกสิบวัน เป็นกรณีพิเศษ และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงมหาดไทย (มท.)และสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองดำเนินการปรับปรุงแก้ไขประกาศหรือกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป

      3. มอบหมายให้หน่วยงานความมั่นคงที่เกี่ยวข้องกำกับติดตาม และประเมินผลกระทบจากการออกประกาศกระทรวงมหาดไทยฉบับนี้ ทั้งนี้ หากมีผลกระทบต่อความมั่นคงและผลประโยชน์แห่งชาติ หน่วยงานความมั่นคงที่เกี่ยวข้องอาจเสนอต่อคณะรัฐมนตรีพิจารณายกเลิกประกาศกระทรวงมหาดไทยดังกล่าวต่อไปได้

    “การยกเว้นการตรวจลงตราเป็นการดึงดูดนักท่องเที่ยวชาวรัสเซียให้เดินทางมาท่องเที่ยว และพำนักในราชอาณาจักรตั้งแต่ช่วงเดือนพฤษภาคมถึงเดือนกรกฎาคม 2567 ซึ่งจะช่วยเพิ่มรายได้ของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและกระตุ้นเศรษฐกิจไทยในภาพรวมอีกด้วย” นางรัดเกล้า กล่าว

    ทั้งนี้ เนื่องจากในปี 2566 มีนักท่องเที่ยวชาวรัสเซียเดินทางมาประเทศไทยมากกว่า 1.61 ล้านคน ซึ่งมากเป็นอันดับหนึ่งของนักท่องเที่ยวจากภูมิภาคยุโรป และมากเป็นอันดับห้าของนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมดที่เดินทางเข้าประเทศไทย โดยประเทศไทยมีรายได้จากนักท่องเที่ยวชาวรัสเซีย รวม 84,666 ล้านบาท ซึ่งหากย้อนไปเมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2548 ประเทศไทยและรัสเซียได้ลงนามความตกลงว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราหนังสือเดินทางธรรมดาร่วมกัน ส่งผลให้ผู้ถือหนังสือเดินทางธรรมดาไทย และรัสเซียสามารถเดินทางระหว่างกันและพำนักในประเทศได้ไม่เกิน 30 วัน โดยไม่ต้องขอรับการตรวจลงตรา

    ต่อมา ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง กำหนดรายชื่อประเทศที่ผู้ถือหนังสือเดินทางหรือเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทางซึ่งเข้ามาในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวเพื่อการท่องเที่ยว ได้รับการยกเว้นการตรวจลงตราและให้อยู่ในราชอาณาจักรได้ไม่เกิน 90 วัน เป็นกรณีพิเศษ โดยมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2566 ถึงวันที่ 30 เมษายน 2567 กล่าวคือหมดเขตสิ้นเดือนนี้นั่นเอง

    เห็นชอบ MOU ‘ไทย – บรูไน’

    นางรัดเกล้า กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติเห็นชอบร่างถ้อยแถลงข่าวร่วมสำหรับการเสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการของสมเด็จพระราชาธิบดีฮาจี ฮัซซานัล บลเกียะฮ์ มูอิซซัดดิน วัดเดาละฮ์ แห่งบรูไนดารุสซาลาม รวมทั้งให้นายกรัฐมนตรีร่วมรับรองร่างถ้อยแถลงข่าวร่วมฯ ในการหารือกับสมเด็จพระราชาธิบดีแห่งบรูไนฯ ดังกล่าว ตามที่กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) เสนอ

    ประเทศไทยและบรูไนดารุสซาลาม มีความสัมพันธ์กันอย่างยาวนาน โดยมีการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกัน เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2527 เพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ประเทศ สมเด็จพระราชาธิบดีแห่งบรูไนฯ มีกำหนดเสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ระหว่างวันที่ 29-30 เมษายน 2567

    ร่างถ้อยแถลงข่าวร่วมฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันระหว่างผู้นำของทั้ง 2 ประเทศ ในการส่งเสริมความสัมพันธ์และความร่วมมืออย่างรอบด้าน โดยมีสาระสำคัญเป็นการสรุปผลการหารือระหว่างผู้นำของทั้ง 2 ประเทศ และเน้นย้ำถึงการกระชับความร่วมมือในด้านต่าง ๆ ระหว่างกันให้มากขึ้น ทั้งในระดับทวิภาคีและระดับภูมิภาค เช่น ด้านเศรษฐกิจ ในด้านความร่วมมือด้านความมั่นคงทางอาหาร ฮาลาล ซึ่งจะส่งเสริมในด้านที่ประเทศตั้งเป้าหมายว่าจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมคณะทำงานด้านการเกษตร ครั้งที่ 1 ในวันที่ 7-8 พฤษภาคม 2567 นี้ ด้านการลงทุน เพื่ออำนวยความสะดวกในการลงทุน โดยสนับสนุนให้นักลงทุนจากทั้งสองประเทศมีการลงทุนระหว่างกัน ซึ่งครอบคลุมทั้งอุตสาหกรรมอาหาร และอุตสาหกรรมปิโตรเลียม

    นอกจากนี้ ครม. ยังมีมติเห็นชอบต่อร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย และรัฐบาลของสุลต่านและยัง ดี-เปอร์ตวน แห่งบรูไนดารุสซาลาม

    ซึ่งการจัดทำบันทึกความเข้าใจฯ มีความสำคัญต่อการขับเคลื่อนความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวไทย – บรูไนดารุสซาลาม โดยเอกสารดังกล่าวมีสาระสำคัญเกี่ยวกับการเสริมสร้างความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว ภายใต้กรอบทวิภาคีและพหุภาคี การส่งเสริมการท่องเที่ยวตามรูปแบบที่มีศักยภาพ อาทิ การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน การท่องเที่ยวเชิงนิเวศ การท่องเที่ยวเชิงอาหาร การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม การท่องเที่ยวมุสลิม การท่องเที่ยวเพื่อธุรกิจไมซ์ [การท่องเที่ยวขนาดใหญ่ 4 ธุรกิจ MICE ได้แก่ ธุรกิจการจัดประชุมขององค์กร (Meetings) การท่องเที่ยวเพื่อเป็นรางวัล (Incentives) การจัดประชุม นานาชาติ (Conventions) และการจัดแสดงสินค้า (Exhibitions)] และการอำนวยความสะดวกในการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุด การยกระดับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และบุคลากรวิชาชีพด้านการท่องเที่ยว รวมถึงการประสานงานเพื่อส่งเสริมการเชื่อมโยงด้านการบินระหว่างสองประเทศ

    ไฟเขียว MOU พลังงาน-ท่องเที่ยว – ฟรีวีซ่า ขรก.ไทย-บังกลาเทศ

    นางรัดเกล้า กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติเห็นชอบ 4 วาระที่จะนำไปสู่ความร่วมมือระหว่างไทยกับบังกลาเทศ ดังนี้

    1. ครม. มีมติเห็นชอบต่อร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านพลังงานระหว่างกระทรวงพลังงานแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงไฟฟ้า พลังงาน และทรัพยากรแร่สาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศ (Memorandum of Understanding Between the Ministry of Energy of the Kingdom of Thailand and the Ministry of Power, Energy and Mineral Resources of the People’s Republic of Bangladesh on Energy Cooperation) ตามที่กระทรวงพลังงาน (พน.) เสนอ

    ทั้งนี้ ร่างบันทึกฯ เป็นกรอบและแนวทางการดำเนินกิจกรรมความร่วมมือระหว่างไทย และบังกลาเทศในด้านพลังงาน ที่มุ่งเน้นการสนับสนุนและส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากแหล่งทรัพยากรด้านพลังงานอย่างเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมใน 5 มิติหลัก ได้แก่ ปิโตรเลียมและผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม ก๊าซธรรมชาติ ถ่านหิน พลังงานหมุนเวียน ไฟฟ้า รวมถึงเทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านพลังงานสะอาด ซึ่งจะดำเนินการในรูปแบบทวิภาคีโดยการจัดตั้งการประชุมด้านพลังงานประจำปี (Energy Forum) เพื่อหารือและแลกเปลี่ยนแนวนโยบายด้านพลังงานร่วมกัน การดำเนินความร่วมมือในโครงการด้านพลังงานแบบรัฐต่อรัฐ การผลักดันและอำนวยความสะดวกให้กับรัฐวิสาหกิจและภาคเอกชนของทั้งสองประเทศในการดำเนินโครงการความร่วมมือด้านพลังงาน

    2. ครม. ยังมีมติเห็นชอบการจัดทำความตกลงระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลแห่งบังกลาเทศ ว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราสำหรับผู้ถือหนังสือเดินราชการ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) เสนอ โดยที่ นรม. บังกลาเทศ จะเดินทางเยือนไทยอย่างเป็นทางการระหว่างวันที่ 24-27 เม.ย. 2567 โดยทั้งสองประเทศเห็นชอบที่จะจัดให้มีการลงนามความตกลงฯ ในโอกาสดังกล่าว เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกในการเดินทางและติดต่อราชการสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางราชการของทั้งสองฝ่าย

    โดยสาระสำคัญของร่างความตกลงฯ เช่น ผู้ถือหนังสือเดินทางราชการของไทยและบังกลาเทศ จะได้รับการยกเว้นการตรวจลงตราสำหรับการเดินทางเข้า เดินทางออกจาก เดินทางผ่าน และพำนักอยู่ชั่วคราวในดินแดนของรัฐภาคีอีกฝ่ายหนึ่งเป็นระยะเวลาไม่เกิน 30 วันนับจากวันที่เดินทางเข้า

    3. ครม. ยังมีมติเห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวระหว่างกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และกระทรวงการบินพลเรือนและการท่องเที่ยวแห่งบังกลาเทศ ซึ่งรองนรม. และ รมว. กต. บังกลาเทศ จะเดินทางเยือนไทยอย่างเป็นทางการในวันที่ 26 เม.ย. 2567 จึงเห็นควรให้มีการลงนามความเข้าใจฯ ในโอกาสดังกล่าว โดยสาระสำคัญของร่างบันทึกความเข้าใจฯ เช่น บันทึกความเข้าใจฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อมุ่งพัฒนาความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวในระยะยาว เพื่อเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวระหว่างกัน โดยมีกรอบความร่วมมือ อาทิ จัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวและโครงการต่างๆ จัดการปัญหาที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมท่องเที่ยว และประชาสัมพันธ์ให้เกิดการท่องเที่ยวระหว่างกัน และการบังคับใช้ ตั้งแต่วันที่ลงนามเป็นระยะเวลา 4 ปี และต่ออายุอัตโนมัติ เว้นแต่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะแจ้งความประสงค์ในการยกเลิกบันทึกความเข้าใจฯ

    และสุดท้าย เรื่องที่ 4 ครม. มีมติเห็นชอบและอนุมัติให้มีการลงนามในร่างหนังสือแสดงเจตจำนง (Letter of Intent: LOI) ที่จะเริ่มการเจรจาจัดทำความตกลงการค้าเสรี ไทย – บังกลาเทศ ตามที่กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) เสนอ โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์บังกลาเทศได้มีหนังสือถึงรองนายกรัฐมนตรี (นายภูมิธรรม เวชยชัย) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เกี่ยวกับการส่งเสริมความร่วมมือกับไทยใน 3 ด้าน ซึ่งหนึ่งในนั้น คือ การจัดทำความตกลงการค้าเสรีไทย – บังกลาเทศ ในการนี้ พณ. บังกลาเทศ จึงได้เสนอร่างหนังสือแสดงเจตจำนงฯ เพื่อเป็นการแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันของ พณ. ไทยและบังกลาเทศในการเริ่มเจรจาจัดทำความตกลงการค้าเสรี (Free Trade Area: FTA) ไทย – บังกลาเทศ ภายในปี 2567 โดยมีสาระสำคัญระบุว่า ทั้งสองฝ่ายจะแลกเปลี่ยนผลการศึกษาความเป็นไปได้ (Feasibility Study) ที่แต่ละฝ่ายจัดทำไว้ และจะสานต่อการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดเพื่อเร่งรัดกระบวนการที่เกี่ยวข้อง ซึ่งรวมถึงผ่านกลไกการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้า (Joint Trade Committee)

    อ่าน มติ ครม. ประจำวันที่ 23 เมษายน 2567 เพิ่มเติม