
ที่มาภาพ : www.thaigov.go.th/
“รัฐบาลเศรษฐา” ปรับแผนการคลังครั้งที่ 4 เพิ่มงบประมาณรายจ่าย – ขยายกรอบวงเงินกู้ชดเชยการขาดดุลปี 2567 – 2568 หาแหล่งเงินแจก 10,000 บาท ผ่าน ‘Digital Wallet’
วันที่ 27 พฤษภาคม 2567 นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ ครั้งที่ 3/2567 ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล ภายหลังการประชุมนายเฉลิมพล เพ็ญสูตร ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ ให้สัมภาษณ์ว่า วันนี้ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ ได้พิจารณาปรับปรุงแผนการคลังระยะปานกลางอีกครั้ง หลังจากที่รัฐบาลมีนโยบายให้สำนักงบประมาณดำเนินการจัดทำงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ 2567 วงเงิน 122,000 ล้านบาท หรือ “งบฯกลางปี 2567” เพื่อนำมาใช้ในโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet โดยแหล่งเงินที่จะนำมาใช้ในการจัดทำงบฯกลางปี 2567 จะมาจากการประมาณการจัดเก็บรายได้ของกระทรวงการคลัง ซึ่งคาดว่าในปีงบประมาณ 2567 จะสามารถจัดเก็บรายได้ได้สูงกว่าเป้าหมาย 10,000 ล้านบาท ส่วนที่เหลือใช้แหล่งเงินจากการออกพันธบัตรกู้ยืมเงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณอีก 112,000 ล้านบาท โดยกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณจะนำแผนการคลังระยะปานกลางและร่าง พ.ร.บ.งบฯกลางปี 2567 เสนอที่ประชุม ครม.พิจารณาเห็นชอบในวันที่ 28 พฤษภาคม 2567
นับจากวันที่นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เข้ามาบริหารประเทศ ครั้งนี้ก็เป็นครั้งที่ 4 ที่นายกรัฐมนตรีนั่งเป็นประธานหัวโต๊ะที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ ปรับแผนการคลังระยะปานกลาง เพื่อหาแหล่งเงินมาทำโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet ของรัฐบาล โดยครั้งแรกเมื่อวันที่ 13 กันยายน 2566 ที่ประชุม ครม.มีมติเห็นชอบทบทวนแผนการคลังระยะปานกลางในช่วงปีงบประมาณ 2567 – 2567 ของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ตามที่คณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐเสนอ โดยมีมติเห็นชอบให้มีการปรับปรุงวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2567 ใหม่ จากเดิม 3,350,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเป็น 3,480,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 130,000 ล้านบาท ประมาณการรายได้สุทธิเดิม 3,757,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเป็น 3,787,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30,000 ล้านบาท และปรับเพิ่มวงเงินกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณประจำปีงบประมาณ 2567 จากเดิมมียอดขาดดุลอยู่ที่ 593,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเป็น 693,000 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 100,000 ล้านบาท
ครั้งที่ 2 ที่ประชุม ครม.วันที่ 26 ธันวาคม 2566 มีมติเห็นชอบให้มีการปรับปรุงแผนการคลังระยะปานกลางปีงบประมาณ 2568 – 2571 ตามที่คณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐเสนอ โดยที่ประชุม ครม.มีมติเห็นชอบให้มีการขยายวงเงินงบประมาณรายจ่ายปี 2568 ใหม่ จากเดิม 3,591,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเป็น 3,600,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9,000 ล้านบาท ประมาณการรายได้สุทธิเดิม 2,899,000 ล้านบาท ลดลงเหลือ 2,887,000 ล้านบาท ลดลง 12,000 ล้านบาท และเพิ่มวงเงินกู้เพิ่มชดเชยการขาดดุลงบประมาณในปีนี้ เดิมวงเงิน 692,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเป็น 713,000 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 21,000 ล้านบาท
ครั้งที่ 3 ที่ประชุม ครม.วันที่ 2 เมษายน 2567 มีมติเห็นชอบให้มีการปรับปรุงแผนการคลังระยะปานกลางปีงบประมาณ 2568 – 2571 ตามที่คณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐเสนอ ให้ขยายวงเงินงบประมาณรายจ่ายปี 2568 จากเดิม 3,600,000 ล้านบาท เพิ่มเป็น 3,752,700 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 152,7000 ล้านบาท ทั้งนี้ เพื่อนำเงินงบประมาณรายจ่ายที่เพิ่มขึ้นส่วนนี้ไปใช้เป็นแหล่งเงินในการดำเนินโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet ส่วนประมาณการรายได้สุทธิเท่าเดิมคือ 2,887,000 ล้านบาท ส่งผลทำให้วงเงินกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณเพิ่มขึ้น จากเดิมมียอดขาดดุลอยู่ที่ 713,000 ล้านบาท เพิ่มเป็น 865,700 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 152,700 ล้านบาท เท่ากับวงเงินงบประมาณรายจ่ายที่เพิ่มขึ้น
ครั้งที่ 4 พรุ่งนี้ที่ประชุม ครม.วันที่ 28 พฤษภาคม 2567 จะมีมติเห็นชอบปรับแผนการคลังระยะปานกลาง ปีงบประมาร 2568 – 2571 ตามที่คณะกรรมการนโยบายวินัยการเงินการคลังของรัฐ เสนอ โดยให้มีการปรับเพิ่มวงเงินงบประมาณรายจ่ายปี 2567 ผ่านการยกร่าง พ.ร.บ.งบฯกลางปี’67 ซึ่งจะทำให้วงเงินงบประมาณรายจ่ายปี 2567 รวมกับงบฯกลางปีมีวงเงินรวมเพิ่มขึ้น จากปัจจุบันมีวงเงินอยู่ที่ 3,480,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเป็น 3,602,000 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 122,000 ล้านบาท ทั้งนี้ เพื่อนำวงเงินงบฯกลางปี 2567 มาใช้เป็นแหล่งเงินในการดำเนินโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet ส่วนประมาณการรายได้สุทธิ จากเดิมอยู่ที่ 2,787,000 ล้านบาท ปรับเพิ่มเป็น 2,797,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10,000 ล้านบาท ส่งผลทำให้วงเงินกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลเพิ่มขึ้น จากเดิมมีกรอบวงเงินอยู่ที่ 693,000 ล้านบาท หรือ เพิ่มขึ้น 112,000 ล้านบาท

ที่มาภาพ : www.thaigov.go.th/
ตกช่วงเย็นของวันเดียวกันนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจ ครั้งที่ 1/2567 (นัดแรก) ณ ห้องสีเขียว ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล ภายหลังการประชุมนายกรัฐมนตรีมอบหมายให้นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง แถลงข่าว พร้อมกับ ดร.เผ่าภูมิ โรจนสกุล และ นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง
โดยนายพิชัย กล่าวว่า วันนี้นายกรัฐมนตรีได้เชิญรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาหารือเพื่อหามาตรการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจไทยที่ชะลอตัว ทั้งมาตรการระยะสั้น ปานกลาง และระยะยาว หลังจากที่สภาพัฒน์ฯปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2567 จาก 2.7% ลดลงเหลือ 2.5% ต่อปี จากนั้นที่ประชุมก็มาไล่หาสาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหา พบว่า เศรษฐกิจไทยไม่ได้เพิ่งมาชะลอตัวในปีนี้ แต่ชะลอตัวมาอย่างต่อเนื่องมา 15 ปีแล้ว จนกระทั่งมาถึงปี 2566 ขยายตัวที่ 1.9% และล่าสุดไตรมาสที่ 1 ของปี 2567 ขยายตัวแค่ 1.5% ซึ่งต่ำกว่าประเทศเพื่อนบ้านส่วนใหญ่ขยายตัว 4-6% ต่อปี และยังขยายตัวต่ำกว่าศักยภาพ ซึ่งควรจะขยายตัวอยู่ที่ 3.5% ต่อปี จากนั้นที่ประชุมก็มาไล่ดูประเด็นที่เป็นปัญหา ตั้งแต่เรื่องการผลิต ซึ่งจะนำไปสู่การจ้างงาน และการบริโภค พบว่าในเดือนมีนาคม 2567 กำลังการผลิตของภาคอุตสาหกรรมลดลงเหลือ 57.2% จากเดิมเคยอยู่ที่ระดับ 63-64%
นายพิชัย กล่าวต่อว่าทำไมกำลังการผลิตลดต่ำลง เหตุเพราะผู้บริโภคไม่มีรายได้ ก็ไม่มีกำลังซื้อ ดังนั้น โจทย์ก็คือ รัฐบาลจะกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างไรให้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้น และกำลังซื้อก็ต้องมา ซึ่งที่ประชุมวันนี้ก็ได้ไล่ดูเป็นราย Sector พบว่าท่องเที่ยวกลับเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว แต่ที่เป็นปัญหา คือ ภาคอุตสาหกรรม แบ่งออกเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมรายใหญ่ ซึ่งยังพอสู้ไหว เพราะแม้ต้นทุนจะสูง แต่ยังเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ แค่ภาคอุตสาหกรรมรายย่อย อย่างเช่น SMEs กลุ่มนี้มีปัญหาขาดสภาพคล่อง และการเข้าถึงแหล่งเงินทุน รวมทั้งมีปัญหาลุกลามต่อเนื่องไปถึงหนี้สินภาคครัวเรือน ดังนั้น ปัญหาเฉพาะหน้าที่ต้องแก้ไขอย่างเร่งด่วนคือ การแก้ปัญหาสภาพคล่อง และการเข้าถึงแหล่งเงินทุน ซึ่งในเร็วๆนี้ ก็จะมีมาตรการการเงินผ่านสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐทยอยออกมาหลายมาตรการ ไม่ว่าจะเป็นธนาคารออมสิน หรือ บสย. ส่วนธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในฐานะที่กำกับดูแลธนาคารพาณิชย์ ก็รับอาสาไปดูเรื่องการผ่อนคลายกฎหมายระเบียบต่างๆให้มีความยืดหยุ่น เป็นต้น สำหรับการแก้ไขในปัญหาระยะปานกลางและระยะยาว เช่น เรื่องการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ โครงสร้างพื้นฐาน หรือ จัดหาแหล่งน้ำ ระบบโลจิสติกส์ ก็ค่อยๆทำไป เพราต้องใช้เวลา

“ก่อนหน้านี้ผมได้มีการหารือกับผู้ว่าแบงก์ชาติเรื่องกรอบเงินเฟ้อเป้าหมายไปแล้ว เวลาเงินเฟ้อต่ำๆในมุมมองของผู้ผลิตบอกว่าของถูกเกินไป ซึ่งผู้ผลิตก็อยากให้เงินเฟ้อสูงๆ จะได้ขายของราคาดี เขาถึงจะอยู่ได้ ขณะที่ผู้ซื้อก็อยากได้ของราคาถูก ถามว่าตรงไหนถึงจะเป็นระดับที่เหมาะสมที่จะทำให้ผู้ผลิตและผู้บริโภคอยู่รอดได้ ตรงนี้จะเป็นโจทย์ที่จะนำไปสู่การกำหนดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งเป็นหน้าที่ของ กนง. หากเราเข้าใจโจทย์ตรงกัน การหารือก็จะแคบๆลง วันนี้นายกฯจึงฝากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกลับไปทำการบ้านแล้ว ให้นำมาเสนอต่อที่ประชุม ครม.เศรษฐกิจภายใน 2 สัปดาห์”นายพิชัย กล่าว
ดร. เผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า วันนี้ที่ประชุม ครม.เศรษฐกิจ ก็เห็นปัญหาเศรษฐกิจร่วมกัน โดยเฉพาะภาคการผลิต อัตราเงินเฟ้อที่ต่ำ และความสามารถในการเข้าถึงแหล่งเงินของ SMEs ซึ่งทางกระทรวงการคลังเห็นด้วยกับ ธปท.ที่จะผลักดันโครงการ PGS-11 ของ บสย. เพื่อเข้าไปช่วยค้ำประกันสินเชื่อให้กับ SMEs ได้เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้เพิ่มขึ้น โดยให้เน้นพิจารณาค้ำประกันสินเชื่อให้แก่ SMEs รายใหม่ๆเป็นอันดับแรก ซึ่งเรื่องนี้กระทรวงการคลังจะนำเสนอรายละเอียดต่อที่ประชุม ครม.ภายใน 2-3 สัปดาห์ นอกจากนี้ที่ประชุม ครม.เศรษฐกิจยังได้มอบหมายให้กระทรวงการคลังไปเร่งรัดการเบิกจ่ายงบลงทุนของภาครัฐ ส่วนนายกรัฐมนตรีได้มอบหมายการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยไปหามาตรการดึงดูดนักท่องเที่ยวจากตะวันออกกลางในช่วงโลซีซั่น ส่วนกระทรวงการคลังจะมีมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวในเมืองรอง ตามมา
นายจุลพันธ์ อมรวิวิฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ในระหว่างที่รอโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet ทางปลัดกระทรวงการคลังก็มีความเห็นว่าควรจะมีมาตรการมากระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งในส่วนกระทรวงการคลังก็ได้เตรียมมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมคาร์บอนเครดิต หรือ เศรษฐกิจสีเขียว และก็มีการหารือกับกรมสรรพากรเตรียมยกร่าง พ.ร.บ.แก้ไขประมวลรัษฎากร เพื่อจัดเก็บภาษีกับบริษัทข้ามชาติที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทย (Piller II) เสนอ ครม.และที่ประชุมรัฐสภา