
วันที่ 13 ธันวาคม 2566 การประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติ ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 28 หรือ COP28 เสร็จสิ้นลงด้วยภาคี 198 ประเทศเห็นพ้องกับฉันทามติสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์(UAE Consensus)เพื่อเร่งดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศ ด้วยข้อตกลงที่จะเปลี่ยนผ่านจากเชื้อเพลิงฟอสซิลเพื่อบรรลุการปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ อีกทั้งสนับสนุนให้จัดทำแผนปฏิบัติการแห่งชาติ (Nationally Determined Contributions-NDCs) สำหรับทุกภาคส่วนเศรษฐกิจ รวมถึงเป้าหมายเฉพาะใหม่เพื่อเพิ่มพลังงานหมุนเวียน 3 เท่าและเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน 2 เท่าภายในปี 2573 และสร้างแรงผลักดันไปสู่สถาปัตยกรรมใหม่สำหรับการเงินเพื่อสภาพภูมิอากาศ
ประเทศสมาชิกสมาคมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้(อาเซียน) แทบทุกประเทศได้เข้าร่วมการประชุม COP28 ทั้ง สิงคโปร์ บรูไน มาเลเซีย อินโดนีเซีย ไทย กัมพูชา เวียดนาม แต่ละประเทศมีส่วนร่วมแค่ไหนและให้คำมั่นอะไรไว้บ้างต่อการประชุม COP28
สิงคโปร์
การประชุมCOP28 ถือเป็นเหตุการณ์สำคัญสำหรับการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศโลก สิงคโปร์มีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในการสร้างผลเชิงบวกสำหรับ UNFCCC และ COP28 โดยเฉพาะในแนวทางการบรรเทาผลกระทบและการทบทวนสถานการณ์และการดำเนินงานระดับโลก (Global Stocktake)
ด้านบรรเทาผลกระทบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงความยั่งยืนและสิ่งแวดล้อม นางเกรซ ฟู ด้วยการร้องขอของ สุลต่าน อัล จาเบอร์ ประธาน UAE COP28 ได้จัดให้มีการหารือระดับรัฐมนตรีเกี่ยวกับการบรรเทาผลกระทบกับรัฐมนตรีต่างประเทศนอร์เวย์นายเอสเปน บาร์ธ ไอเด ซึ่งมีส่วนสนับสนุนความพยายามของประธานาธิบดี COP28 ในการบรรลุฉันทามติในการดำเนินการสำคัญที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อเพิ่มความมุ่งมั่นด้านสภาพภูมิอากาศโลกและเร่งการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานในทศวรรษที่สำคัญนี้ ซึ่งรวมถึงการเรียกร้องให้ภาคีต่างๆ

https://sbr.com.sg/economy/news/singapore-papua-new-guinea-ink-deal-carbon-credits-collaboration
สิงคโปร์ยังมีบทบาทสำคัญในการทำให้มีการสรุป Global Stocktake(GST) หรือ การทบทวนสถานการณ์และการดำเนินงานระดับโลก ฉบับแรก ซึ่งทบทวนความคืบหน้าร่วมกันในการบรรลุเป้าหมายของข้อตกลงปารีส โดย นายโจเซฟ เตียว หัวหน้าผู้เจรจาด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของสิงคโปร์ เป็นประธานร่วมกลุ่มเพื่อการติดต่อ(joint contact group)สำหรับ Global Stocktake ซึ่งช่วยในการสรุปผลที่สำคัญภายใต้ GST ที่ประสบความสำเร็จในการได้รับการยอมรับเป็นผลลัพธ์หลักในการประชุม COP28 การตัดสินใจเรื่อง GST จะเป็นแนวทางในการดำเนินการร่วมกันของภาคีต่างๆ เพื่อให้บรรลุการปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำและการพัฒนาที่รับมือกับสภาพภูมิอากาศได้ นอกจากนี้ยังจะแจ้งให้ทราบถึงการเตรียมการรอบต่อไปของ NDCs โดยภาคีที่กำหนดไว้ในปี 2568
โครงการริเริ่ม
สิงคโปร์ได้ประกาศโครงการริเริ่มใหม่ๆ มากมายเพื่อสนับสนุนและเร่งการเปลี่ยนผ่านสีเขียวในสิงคโปร์ ภูมิภาคและที่อื่นๆ ได้แก่
นางเกรซ ฟู ยังประกาศว่า สิงคโปร์จะไม่ใช้สิทธิ์จากกองทุนการสูญเสียและเสียหาย(Loss and Damage Fund) และมุ่งมั่นที่จะทำหน้าที่ในส่วนของสิงคโปร์เพื่อสนับสนุนประเทศกำลังพัฒนาในวิธีที่สามารถมีส่วนร่วมอย่างมีประโยชน์ เช่น โดยการแบ่งปันแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดในการปรับตัวต่อสภาพภูมิอากาศและความยืดหยุ่นภายใต้ Sustainability Action Package แห่งโครงการความร่วมมือสิงคโปร์ Singapore Cooperation Programme (SCP) (SCP) ซึ่งภายใต้ SCP นั้น เจ้าหน้าที่เกือบ 150,000 คนจากกว่า 180 ประเทศ เขตปกครอง และองค์กรระหว่างรัฐบาลได้เข้าร่วมในหลักสูตรเสริมสร้างขีดความสามารถของสิงคโปร์

ลงนาม 7 ข้อตกลง
สิงคโปร์ยังได้ลงนามในข้อตกลง และบันทึกความเข้าใจ ซึ่งสอดคล้องกับมาตรา 6 ของข้อตกลงปารีส จำนวน 7 ฉบับกับประเทศพันธมิตร ได้แก่ บันทึกความเข้าใจความร่วมมือด้านคาร์บอนเครดิต กับคอสตา ริกา ฟิจิ รวันดา เซเนกัล ลงนามในข้อตกลง Substantive Conclusion of Negotiations on Implementation Agreement กับ ภูฏาน และปารากวัย และ
สิงคโปร์ส่งคณะผู้แทนเยาวชนอย่างเป็นทางการชุดแรกของประเทศเข้าร่วม COP28 โดยมีการคัดตัวแทนเยาวชนจากโครงการพัฒนาเยาวชนด้านสภาพภูมิอากาศ(Climate Youth Development Programme) โครงการพัฒนาเยาวชนด้านสภาพภูมิอากาศเป็นความคิดริเริ่มที่นำโดยกระทรวงความยั่งยืนและสิ่งแวดล้อม (MSE) สำนักเลขาธิการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ ( National Climate Change Secretariat-NCCS) และสภาเยาวชนแห่งชาติ (National Youth Council-NYC) เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือกับชุมชนเยาวชนในการขับเคลื่อนการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศและการพัฒนาที่ยั่งยืน
เวียดนาม
ประกาศแผนการระดมเงิน
เวียดนามมีความคืบหน้าในการที่จะได้รับความช่วยเหลือระหว่างประเทศสำหรับการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานตามข้อตกลงการเป็นพันธมิตรด้านการเปลี่ยนผ่านพลังงานที่เป็นธรรม(Just Energy Transition Partnership -JETP)ด้วยการประกาศแผนปฏิบัติการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ บนเวทีใหญ่ของการประชุมสุดยอดสภาพภูมิอากาศ COP28 ที่ผ่านมา
ในระหว่างการประชุมสุดยอดผู้นำโลกที่การประชุม COP28 เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม ที่สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ นายกรัฐมนตรี ฝ่าม มิงห์จิ่ง ได้ประกาศแผนการระดมทรัพยากร หรือ Resource Mobilisation Plan(RMP) ของเวียดนามต่อพันธมิตรระหว่างประเทศ เพื่อดำเนินการตามข้อผูกพันเพื่อให้บรรลุการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในกลางศตวรรษ
การเปิดตัว RMP ถือเป็นก้าวสำคัญในการดำเนินการตาม Just Energy Transition Partnership ซึ่งได้มีการตกลงร่วมกันระหว่างเวียดนามและ International Partners Group (IPG) เมื่อปีที่แล้ว ความร่วมมือดังกล่าวสนับสนุนเวียดนามให้บรรลุเป้าหมายสุทธิศูนย์ในปีค.ศ. 2050 (พ.ศ.2593) และเป้าหมายปี ค.ศ.2030(พ.ศ.2573) เพื่อเร่งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และเปลี่ยนผ่านจากการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลไปเป็นพลังงานสะอาด
RMP เป็นก้าวแรกที่สำคัญในการดำเนินการตาม JETP และจะได้รับการอัปเดตเป็นประจำเมื่อการดำเนินการดำเนินไป รวมถึงการประเมินลำดับความสำคัญของการลงทุน ซึ่งจะระบุชุดของการดำเนินการตามนโยบายที่มีลำดับความสำคัญและการปฏิรูปกฎระเบียบเพื่อพัฒนาสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยสำหรับการลงทุน เพื่อเพิ่มพลังงานหมุนเวียน และลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล
แผนดังกล่าวยังระบุโครงการที่มีความสำคัญในลำดับต้นๆ ในด้านที่เกี่ยวข้องกับ JETP และรวมถึงองค์ประกอบหลักสำหรับกรอบการทำงานเพื่อวิเคราะห์และติดตามแง่มุมที่ยุติธรรมของการเปลี่ยนผ่านพลังงาน
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ในระยะต่อไป ความร่วมมือที่เข้มแข็งจะต้องดำเนินการตามนโยบายที่ระบุไว้ใน RMP โดยเฉพาะการปรับปรุงกรอบการกำกับดูแล เพื่ออำนวยความสะดวกต่อกระแสการลงทุนภาครัฐและเอกชนที่จำเป็น
นายกรัฐมนตรียังเน้นย้ำว่าเวียดนาม เช่นเดียวกับประเทศกำลังพัฒนาอื่นๆ ไม่ปฏิเสธบทบาทของไฟฟ้าที่ใช้ถ่านหิน
“อย่างไรก็ตาม ถึงเวลาแล้วที่เราต้องเปลี่ยนมาใช้พลังงานที่สะอาดขึ้น การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานเป็นข้อกำหนดที่เป็นรูปธรรม เป็นผลประโยชน์เชิงยุทธศาสตร์ และมีความสำคัญอันดับต้นของเศรษฐกิจทั้งหมด” นายกรัฐมนตรีจิ่งกล่าว “แต่ในกระบวนการนี้ จำเป็นต้องดูแลเป้าหมายการพัฒนาเศรษฐกิจและความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ ตลอดจนดูแลการจ้างงาน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดภาวะชะงักงันสำหรับคนงาน”
RMP ยังมีรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับเงิน 15.8 พันล้านดอลลาร์สำหรับ JETP, 8.08 พันล้านดอลลาร์ที่จัดหาโดย IPG และ 7.75 พันล้านดอลลาร์โดย Glasgow Financial Alliance for Net-Zero กองทุนสาธารณะของ IPG จะถูกส่งผ่านเครื่องมือและกลไกทางการเงินต่างๆ เช่น เงินช่วยเหลือ เงินกู้แบบผ่อนปรน และการค้ำประกัน( risk-sharing instruments) ภายในระยะเวลา 3-5 ปี กองทุนเหล่านี้จะช่วยระดมเงินทุนภาคเอกชนในจำนวนที่มากขึ้นเพื่อการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานที่เป็นธรรม
ด้วยการประกาศแผนนี้ เวียดนามได้ดำเนินการเพิ่มเติมในการทำงานเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย JETP เป้าหมายเหล่านี้รวมถึง การเสนอวันที่ที่คาดการณ์ไว้สำหรับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงสุดทั้งหมดในประเทศตั้งแต่ปี 2578 ถึง 2573, การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในภาคส่วนพลังงานแตะระดับสูงสุดรายปีที่ 170 เมกะตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าภายในปี 2573, การจำกัดกำลังการผลิตที่ใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงสูงสุดของเวียดนามอยู่ที่ 30.2 กิกะวัตต์ และ เร่งการนำพลังงานหมุนเวียนมาใช้เพื่อให้พลังงานทดแทนคิดเป็นสัดส่วนอย่างน้อย 47% ของการผลิตไฟฟ้าภายในปี 2573
ตามข้อมูลของ IPG รัฐบาลเวียดนามและ IPG จะยังคงทำงานร่วมกันเพื่อดำเนินการ RMP มีการจัดตั้งสำนักเลขาธิการ JETP และคณะทำงาน 4 คณะเพื่อดำเนินการให้มีความคืบหน้า ในฐานะส่วนหนึ่งของกลุ่มเหล่านี้ IPG จะสนับสนุนงานวิเคราะห์ทางวิชาการเพื่อเป็นแนวทางในการลงทุนในอนาคตและการดำเนินการตามนโยบายเพื่อให้บรรลุความคาดหวังของ JETP การดำเนินการร่วมกันเหล่านี้ได้ผ่านการพิจารณาเพื่อช่วยกระตุ้นการลงทุนเพิ่มเติมในการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานของเวียดนาม เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย JETP ของเวียดนาม
นอกจากนี้ในวันที่ 1 ธันวาคม ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (เวียดนาม) และรัฐบาลเวียดนามได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจ 5 ฉบับ ซึ่งมีมูลค่าประมาณ 3 พันล้านดอลลาร์ในการจัดหาเงินทุนที่ยั่งยืน เพื่อสนับสนุนธุรกิจในท้องถิ่น 5 แห่งให้บรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืน

ได้แก่บันทึกความเข้าใจกับ SOVICO Group เกี่ยวกับพลังงานลมและโครงการสีเขียว บันทึกความเข้าใจกับ The Green Solutions Corporation เกี่ยวกับโรงงานผลิตไฮโดรเจนสีเขียวในจังหวัดจ่าวิญ ที่สามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง บันทึกความเข้าใจกับ GuarantCo ในการจัดหาเงินทุนเพื่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการเปลี่ยนแปลงพลังงาน ข้อตกลงหลักกับBank for Investment and Development of Vietnam เกี่ยวกับธุรกรรมทางการเงินที่ยั่งยืน และบันทึกความเข้าใจกับ The PAN Group ในโครงการเพื่อความยั่งยืน
วันที่ 2 ธันวาคม นายกรัฐมนตรีจิ่ง และประธานธนาคารโลกนายอาเจย์ บังกา ตกลงที่จะเร่งดำเนินโครงการที่มีอยู่ และส่งเสริมโครงการที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับเวียดนามในอีก 3 ปีข้างหน้าภายใต้กรอบเงินกู้มูลค่า 5-7 พันล้านดอลลาร์
โครงการใหม่ที่มีศักยภาพ ได้แก่ โครงการในโครงการเร่งการเปลี่ยนผ่านพลังงานทดแทน ข้าวคาร์บอนต่ำที่ให้ผลผลิตสูง 1 ล้านเฮกตาร์ รถไฟความเร็วสูงฮานอย-ฮว่าลัก การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ทนต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง การเปลี่ยนผ่านทางดิจิทัล และการเปลี่ยนผ่านสีเขียว

เข้าร่วม Global Cooling Pledge
เวียดนามเป็นหนึ่งใน 63 ประเทศแรกๆ ที่เข้าร่วม Global Cooling Pledge หรือเจตจำนงฉบับใหม่ที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกี่ยวข้องกับความเย็น ซึ่งเสนอภายใต้กรอบของ COP28 โดยสุลต่าน อัล จาเบอร์ ประธานการประชุม COP28
เจตจำนงฉบับใหม่เรียกร้องให้หลายประเทศลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกี่ยวข้องกับความเย็น ภายใต้เจตจำนงนี้ ภาคการทำความเย็นทั่วโลกจะต้องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างน้อย 68% ภายในปี 2593 เมื่อเทียบกับปี 2565 เพื่อช่วยรักษาอุณหภูมิเฉลี่ยทั่วโลกไม่ให้เพิ่มขึ้นเกิน 1.5 องศาเซลเซียส ซึ่งสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ในการบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ทั่วโลก ภายในปี 2593
ในฐานะหนึ่งในประเทศที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ประกอบกับการใช้อุปกรณ์ทำความเย็นที่เพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เวียดนามได้ตระหนักถึงความสำคัญของการดำเนินการปรับตัวเพื่อจัดการกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและปกป้องสิ่งแวดล้อม
กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ภายใต้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้รวมข้อกำหนดการทำความเย็นที่ยั่งยืนเข้ากับภาระงานและแนวทางแก้ไขที่ระบุไว้ในยุทธศาสตร์แห่งชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจนถึงปี 2593 และแผนปฏิบัติการด้านสภาพภูมิอากาศระดับชาติ (Nationally Determined Contributions-NDCs)ที่มีการปรับปรุงในปี 2565
กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทำงานร่วมกับพันธมิตรและลงนามบันทึกความเข้าใจเกี่ยวกับความร่วมมือกับโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (UNEP) และ Global Green Growth Institute (GGGI) เพื่อเพิ่มขีดความสามารถของประเทศในการดำเนินการ NDCs
รวมทั้งจัดทำนโยบายและโครงการเพื่อยกระดับความคืบหน้าของ NDCs ในประเด็นสำคัญสองประการคือ การตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและระบบความเย็นที่ยั่งยืนในเขตเมืองของเวียดนาม
เพื่อส่งเสริมการใช้ระบบทำความเย็นที่เป็นมิตรต่อสภาพภูมิอากาศกับความร้อนจัดในเมืองต่างๆ ของเวียดนาม กรมฯด้วยความร่วมมือกับ UNEP และ GGGI ได้เปิดตัวโครงการเกี่ยวกับการทำความเย็นในเมืองอย่างยั่งยืนในเขตเมืองของเวียดนาม โดยได้รับการสนับสนุนจาก Clean Cooling Collaborative ซึ่งกำลังดำเนินการนำร่องในเมืองเกิ่นเทอที่สามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง เมืองดามเก ในจังหวัดกว๋างนามทางตอนกลาง และเมืองด่งฮอย ในจังหวัดกว๋างบิ่ญทางตอนกลาง
ในช่วงปี 2563-2568 เวียดนามตั้งเป้าที่จะลดการบริโภคไฮโดรคลอโรฟลูออโรคาร์บอน (HCFCs) จากฐานลง 35% โดยจะยุติการบริโภคเมื่อการนำเข้า HCFC หยุดโดยสมบูรณ์ภายในปี 2583
มาเลเซีย
เปิดตัวหนังสือชี้ชวนพลังงานที่ยั่งยืน
วันที่ 5 ธันวาคม ในการประชุม COP28 กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Natural Resources, Environment and Climate Change-NRECC) ได้เปิดตัวหนังสือชี้ชวนการพัฒนาพลังงานที่ยั่งยืนของมาเลเซีย เพื่อแสดงเจตจำนงเชิงยุทธศาสตร์ของมาเลเซียในการขับเคลื่อน “การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานที่เป็นธรรม” หรือ Just Energy Transition
หนังสือชี้ชวน ถือเป็นการแสดงออกถึงการเปิดกว้างของมาเลเซียต่อความร่วมมือระหว่างประเทศ โดยให้ภาพถึงความพยายามอย่างครอบคลุมของประเทศในการเปลี่ยนแปลงระบบพลังงานให้เป็นระบบเดียวที่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ลดลง รวมถึงความมุ่งมั่นอย่างต่อเนื่องในดูแลให้การเปลี่ยนผ่านที่เป็นธรรมและมีความรับผิดชอบ
นายนิก นัซมี นิก อะห์หมัด รัฐมนตรี NRECC กล่าวว่า ความเร่งด่วนในการเปลี่ยนมาใช้พลังงานที่ยั่งยืนของมาเลเซียนั้น ได้รับแรงหนุนจากพันธสัญญาระดับโลก โดยเฉพาะข้อตกลงปารีส และความจำเป็นในการเสริมสร้างความหลากหลายทางเศรษฐกิจและความมั่นคงด้านพลังงาน
“การเปิดตัวหนังสือชี้ชวนการพัฒนาพลังงานที่ยั่งยืนของมาเลเซีย แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของเราต่อการเปลี่ยนแปลงด้านพลังงาน ด้วยแผนที่จะเร่งการลดการปล่อยคาร์บอนจากการผลิตพลังงาน พัฒนาโครงข่ายไฟฟ้าที่ทันสมัยและยืดหยุ่น ตลอดจนเปิดรับนวัตกรรมและเพิ่มขีดความสามารถของผู้บริโภค ด้วยสิ่งนี้ เรายินดีต้อนรับความร่วมมือทางการค้า เทคนิค และนโยบายกับพันธมิตรระดับโลกในความพยายามร่วมกันของเรา สำหรับระบบพลังงานคาร์บอนต่ำและอนาคตที่ยั่งยืน” รัฐมนตรี NRECC กล่าวระหว่างงานเปิดตัวที่ Malaysia Pavilion ในงาน COP28
นิก นัซมี กล่าวว่า การตระหนักถึงบทบาทที่สำคัญของพลังงานต่อความท้าทายด้านสภาพอากาศ มาเลเซียยอมรับว่าการทำงานร่วมกันในอุตสาหกรรมเป็นสิ่งสำคัญในเส้นทางเร่งการใช้พลังงานหมุนเวียนเป็น 70% ในปี 2593 จาก 25% ในปัจจุบัน
“เป้าหมายนี้สอดคล้องกับความมุ่งมั่นของมาเลเซียในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกภายใต้ข้อตกลงปารีส โดยตั้งเป้าที่จะลดความเข้มข้นของคาร์บอนต่อ GDP ลง 45% ในปี 2573 เทียบกับระดับในปี 2548”
หนังสือชี้ชวนจัดทำขึ้นโดยความร่วมมือกับหน่วยงานพัฒนาพลังงานที่ยั่งยืน (Sustainable Energy Development Authority-Seda), คณะกรรมการพลังงาน (Energy Commission-ST), Malaysian Green Technology and Climate Change Corporation (MGTC) และ Tenaga Nasional Bhd (TNB) โดยนำเสนอแผนและยุทธศาสตร์ของมาเลเซียสำหรับบริษัทที่เกี่ยวข้องกับพลังงานในการเริ่มดำเนินการและสนับสนุนความมุ่งมั่นของประเทศที่จะบรรลุการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานที่ยั่งยืน
อินโดนีเซีย
เลิกโรงไฟฟ้าถ่านหินก่อนกำหนดเกือบ 7 ปี
อินโดนีเซียจะยกเลิก โรงไฟฟ้าที่ใช้ถ่านหิน Cirebon-1 ขนาด 660 เมกะวัตต์ ก่อนกำหนดเกือบ 7 ปี หลังจากการหารือร่วมกันของเจ้าของโรงงานและรัฐบาล ของอินโดนีเซียภายใต้โครงการกลไกการเปลี่ยนผ่านพลังงาน (Energy Transition Mechanism-ETM) ของธนาคารพัฒนาเอเชีย (Asian Development Bank-ADB)
กรอบข้อตกลงที่ไม่ผูกมัดซึ่งลงนามในการประชุม COP28 โดย ADB, PT PLN(Perusahaan Listrik Negara) บริษัทสาธารณูปโภคด้านพลังงานที่รัฐอินโดนีเซียเป็นเจ้าของ, PT Cirebon Electric Power (CEP) ซึ่งเป็นผู้ผลิตพลังงานอิสระ และหน่วยงานการลงทุนของอินโดนีเซีย (Indonesia Investment Authority-INA) ระบุว่า พวกเขาได้ตกลงตามเงื่อนไขในการลดระยะเวลาสัญญาซื้อขายไฟฟ้าของ โรงไฟฟ้า Cirebon-1 และยุติภาระผูกพันของโรงงานในการจัดหาไฟฟ้าในเดือนธันวาคม 2578 จากเดิมที่กำหนดไว้ในเดือนกรกฎาคม 2585 โดยการยกเลิกโรงไฟฟ้าจะเสร็จสิ้นภายในครึ่งแรกของปี 2567
โดยทั่วไปแล้ว CFPP จะดำเนินการเป็นเวลา 40 ปีหรือนานกว่านั้น นับตั้งแต่ที่ Cirebon-1 เริ่มเดินเครื่องในปี 2555 การเลิกผลิตที่โรงไฟฟ้านี้ในปี 2578 จะช่วยหลีกเลี่ยงการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้นานถึง 15 ปี การทำข้อตกลงในลักษณะกับโรงไฟฟ้าอื่นๆ ในเอเชีย แปซิฟิก และที่อื่นๆ จะสามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้อย่างมีนัยสำคัญ
“กรอบข้อตกลงนี้เป็นการพัฒนาที่สำคัญสำหรับการทำธุรกรรมครั้งนี้และการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานของอินโดนีเซีย ซึ่งจะนำไปสู่การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างมีนัยสำคัญ” ประธาน ADB นายมาซาสึกุ อะซาคาวากล่าว “ขอบคุณรัฐบาลอินโดนีเซียและ Cirebon Electric Power สำหรับความอุตสาหะและความเป็นผู้นำในการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน ADB จะยังคงทำงานอย่างใกล้ชิดกับพันธมิตรของเราในอินโดนีเซียและทั่วทั้งภูมิภาค เพื่อแสดงให้เห็นว่าถ่านหินและโรงงานเชื้อเพลิงฟอสซิลอื่นๆ สามารถเลิกผลิตได้ตั้งแต่เนิ่นๆ ในลักษณะที่ยุติธรรมและราคาไม่แพง ซึ่งเป็นชัยชนะต่อสภาพอากาศและชัยชนะของชุมชน”

“ETM เป็นแนวทางเชิงนวัตกรรมให้กับบริษัทต่างๆ เช่น CEP ในการเปลี่ยนจากถ่านหินมาเป็นพลังงานสะอาด ขณะเดียวกันก็จัดหาพลังงานที่เชื่อถือได้และราคาไม่แพงให้กับโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานของอินโดนีเซีย” นายฮิซาฮิโระ ทาเคอุจิ ประธาน CEP กล่าว “กรอบข้อตกลงนี้เป็นก้าวสำคัญในการปิดดีลนี้”
“PLN มุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำในการเปลี่ยนแปลงพลังงานของอินโดนีเซียไปสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ในลักษณะที่ยุติธรรมและราคาไม่แพง” นายดาร์มาวาน ปราโซดโย ประธานของ PLN กล่าว “PLN ได้ใช้ความพยายามอย่างมากในการลดการปล่อยคาร์บอนโดยการยกเลิกโรงไฟฟ้าถ่านหินที่วางแผนไว้ 13.3 กิกะวัตต์ ยกเลิกข้อตกลงซื้อขายไฟ 1.3 กิกะวัตต์ของโรงไฟฟ้าถ่านหิน CFPP และระงับการพัฒนาโรงไฟฟ้าถ่านหินใหม่ การเลิกโรงไฟฟ้าถ่านหินก่อนกำหนดเป็นความคิดริเริ่มพิเศษที่ต้องได้รับการสนับสนุนจากต่างประเทศ เช่น ETM การทำงานผ่าน ETM กับ CEP แสดงถึงความมุ่งมั่นของ PLN ในด้านพลังงานสะอาดและเป็นตัวอย่างการดำเนินการร่วมกันที่ดำเนินการโดย PLN เพื่อเร่งรัด การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานในอินโดนีเซีย”
ริธา วิระกุสุมาห์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร INA กล่าวว่า หน้าที่ของ INA คือการสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจที่ยั่งยืนของอินโดนีเซีย และสร้างความมั่งคั่งสำหรับคนรุ่นต่อไปของประเทศ จึงมุ่งมั่นที่จะส่งเสริมความพยายามของพันธมิตรในการขยาย ETM การเดินทางสู่การลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนเป็นปัจจัยสำคัญในการเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานหมุนเวียน ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความแข็งแกร่งและความเจริญรุ่งเรืองของอินโดนีเซีย”
ETM เป็นความคิดริเริ่มในการทำงานร่วมกันที่ปรับขนาดได้ ซึ่งใช้ประโยชน์จากแนวทางที่อิงตามตลาดเพื่อเร่งการเปลี่ยนจากเชื้อเพลิงฟอสซิลไปเป็นพลังงานสะอาด บริษัทจะใช้เงินทุนแบบเงื่อนไขผ่อนปรนและเงินทุนเชิงพาณิชย์ เพื่อเลิกใช้หรือปรับวัตถุประสงค์การใช้ถ่านหินและเชื้อเพลิงฟอสซิลอื่นๆ ตามกำหนดเวลาที่รวดเร็ว และช่วยกำหนดทิศทางการลงทุนไปสู่พลังงานสะอาดที่เชื่อถือได้และราคาไม่แพง
กรอบข้อตกลงขึ้นอยู่กับการสรุปของการตรวจสอบวิเคราะห์สถานะ รวมถึงการทบทวนด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และการเปลี่ยนผ่านอย่างยุติธรรม กรอบข้อตกลงยังขึ้นอยู่กับผลการศึกษาอย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับผลกระทบทางเทคนิคและทางการเงินของการปิดโรงงานก่อนกำหนดในระบบไฟฟ้าของ PLN ซึ่งปัจจุบันดำเนินการโดย PLN และ ADB
ข้อตกลงดังกล่าวยืนยันว่าทั้งสองฝ่ายจะยังคงหารือกันต่อไปเกี่ยวกับโครงการทางการเงินสำหรับยกเลิกก่อนกำหนดของ Cirebon-1 รวมถึงผลกระทบของการยกเลิกแผนก่อนกำหนดของ PLN เพื่อตอบสนองความต้องการพลังงานผ่านพลังงานสะอาดหรือการผลิตพลังงานหมุนเวียนที่มากขึ้น
จนถึงขณะนี้ โครงการ ETM ของ ADB ได้นำไปใช้ใน 5 ประเทศ ได้แก่ อินโดนีเซีย คาซัคสถาน ปากีสถาน ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม โดย ETM ในอินโดนีเซียมีความก้าวหน้าที่สุด นอกจากนี้ยังกำลังพิจารณาธุรกรรมในอีกสองประเทศอีกด้วย
PLN เซ็น 14 ข้อตกลงพลังงานสะอาด
วันที่ 15 ธันวาคม Perusahaan Listrik Negara (PLN) หน่วยงานสาธารณูปโภคของรัฐอินโดนีเซีย ได้ประกาศการลงนามข้อตกลง 14 ฉบับกับสถาบันต่างๆ ในระหว่างการประชุม COP28 ซึ่งแสดงถึงความมุ่งมั่นที่จะเปลี่ยนไปสู่พลังงานที่สะอาดขึ้น
คำแถลงของ PLNระบุว่า ข้อตกลงดังกล่าวครอบคลุมถึงความคิดริเริ่มสำหรับการพัฒนาระบบนิเวศของพลังงานทดแทน การเร่งปิดโรงไฟฟ้าถ่านหิน และการดำเนินการตามโครงการฝึกอบรมพนักงาน
ในบรรดาข้อตกลงดังกล่าว ความร่วมมือกับบริษัท Hydrogen de France ของฝรั่งเศสได้สรุปแผนการพัฒนาโรงไฟฟ้าเซลล์เชื้อเพลิงไฮโดรเจนแบบไฮบริดในอินโดนีเซีย
PLN ยังมีความร่วมมือกับ Abu Dhabi National Energy Company (TAQA) ที่จะพัฒนาการเชื่อมต่อโครงข่ายระบบส่งกำลังและโครงข่ายอัจฉริยะในอินโดนีเซีย
นอกจากนี้ PLN Nusantara Power ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ PLN ได้ทำข้อตกลงกับ Sembcorp Utilities ของสิงคโปร์เพื่อการพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในนูซันทาราเมืองหลวงใหม่ของอินโดนีเซีย
อีกทั้ง PLN Nusantara Power ยังได้ร่วมมือกับ Korean Hydro & Nuclear Power เพื่อสำรวจการศึกษาความเป็นไปได้เบื้องต้นสำหรับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในอินโดนีเซีย โดยใช้เทคโนโลยีเตาปฏิกรณ์แบบโมดูลาร์ขนาดเล็ก
กำลังการผลิตไฟฟ้าส่วนใหญ่ที่มีอยู่ของอินโดนีเซียนั้นมาจากถ่านหิน และ PLN มุ่งมั่นที่จะเปลี่ยนไปสู่แหล่งพลังงานที่สะอาดยิ่งขึ้น และส่วนหนึ่งของโครงการริเริ่มนี้ PLN มีเป้าหมายที่จะสร้างกำลังการผลิตไฟฟ้าหมุนเวียนเพิ่มเติม 31.6 กิกะวัตต์ระหว่างปี 2567 ถึง 2576
กัมพูชา

รัฐมนตรีสิ่งแวดล้อมนาย เอียง สุภัลเลธ ประกาศกลไกและยุทธศาสตร์หลายข้อที่จะสนับสนุนการมีส่วนร่วมของกัมพูชาในการป้องกันและลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ในการกล่าวถ้อยแถลงในการประชุม COP28
“คำกล่าวของนายสุภัลเลธเป็นอีกสัญญาณหนึ่งของความสำเร็จครั้งใหม่ของกัมพูชาในเวทีระหว่างประเทศในการเสริมสร้างและขยายความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่เป็นเลิศ และมีส่วนช่วยในการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองด้วย” กระทรวงฯระบุในโพสต์บนโซเชียลมีเดีย เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม
นายสุภัลเลธอธิบายว่า กัมพูชามุ่งมั่นที่จะปฏิบัติตามกลไกและยุทธศาสตร์สำคัญ 7 ประการ ซึ่งได้นำเสนอและหารือในการประชุม COP28
โดยรวมถึงการยกเลิกโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินขนาด 700 เมกะวัตต์ ซึ่งจะถูกแทนที่ด้วยโรงไฟฟ้าที่ใช้ก๊าซหุงต้ม นอกจากนี้ กัมพูชากำลังพัฒนาแหล่งกักเก็บน้ำแห่งใหม่ซึ่งจะผลิตไฟฟ้าสะอาด 1,000 เมกะวัตต์ก่อนปี 2571 และผ่านกระทรวงสิ่งแวดล้อม รัฐบาลตั้งเป้าที่จะเพิ่มพลังงานทดแทน ส่วนใหญ่ผ่านพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานน้ำ และลม เป็น 70%
“กัมพูชากำลังเร่งเรื่องความสะอาดผ่านการรณรงค์ลดการใช้พลาสติก ซึ่งได้เห็นการมีส่วนร่วมของชาวกัมพูชามากกว่า 3 ล้านคนและยังคงขยายวงอย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกับยุทธศาสตร์กัมพูชาสีเขียว ซึ่งจะปลูกต้นไม้ใหม่เพิ่มขึ้นอย่างน้อยหนึ่งล้านต้นในแต่ละปี จะเพิ่มขึ้นพื้นที่ป่าจะเป็น 60% ภายในปี 2593” นายสุภัลเลธกล่าว
และยังเน้นย้ำถึงการยุติการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินในประเทศ พร้อมกับการสร้างเขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำในแม่น้ำโขง
นอกจากนี้ รัฐมนตรียังแสดงการสนับสนุนและความมุ่งมั่นของกัมพูชาต่อ ร่างปฏิญญาว่าด้วยการเกษตรกรรมยั่งยืน ระบบอาหารที่ยืดหยุ่น และการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Declaration on Sustainable Agriculture, Resilient Food Systems, and Climate Action) โดยมุ่งเน้นไปที่การให้ความสำคัญ รวมถึงการปรับปรุงความเป็นอยู่ของชุมชนท้องถิ่น การสนับสนุนความมั่นคงด้านอาหารและความเป็นอยู่ที่ดีด้านโภชนาการ การขยายแนวทางปฏิบัติด้านการเกษตรอัจฉริยะ และยุทธศาสตร์การปล่อยก๊าซคาร์บอนต่ำ ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของความพยายามในการปรับตัวและบรรเทาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ร่างปฏิญญาว่าด้วยการเกษตรกรรมยั่งยืนฯ สอดคล้องกับความมุ่งมั่นของรัฐบาลในเรื่องการเกษตรอัจฉริยะ การลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนและการพัฒนาที่ยั่งยืน เพื่อป้องกันและบรรเทาผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ไทย
ย้ำทุกคนต้องร่วมกันลงมือทำ
รมว.ทส. กล่าวในถ้อยแถลงย้ำต่อเวทีโลกว่า คนไทยตื่นตัวเรื่องโลกร้อนมากขึ้น และประเทศไทยยืนยันว่าได้ทำตามสิ่งที่ได้ให้คำมั่นไว้ เพื่อแสดงถึงความก้าวหน้าการดำเนินงานภายในประเทศที่ชัดเจนและเป็นรูปธรรม รวมถึงพร้อมให้ความร่วมมือเพื่อยกระดับการดำเนินงานต่อไป โดยประเทศไทยได้ปรับปรุงแผนปฏิบัติการลดก๊าซเรือนกระจก ตามเป้าหมายการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด ค.ศ. 2030 ให้ครอบคลุมทุกภาคส่วนเศรษฐกิจ ซึ่งคาดว่าจะปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงสุด ภายในปี ค.ศ. 2025 และจะต้องปรับเปลี่ยนระบบนิเวศเศรษฐกิจให้รองรับกับการเปลี่ยนแปลงที่คำนึงถึงประชาชนทุกภาคส่วน และรัฐบาลไทย ยังได้เร่งผลักดันพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อเป็นเครื่องมือในการกำกับดูแลการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และเพิ่มขีดความสามารถในการปรับตัว โดยมีกลไกการเงินที่เหมาะสมและเข้าถึงได้ เพื่อเปลี่ยนผ่านไปสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิ เป็นศูนย์อย่างเป็นระบบ
ทั้งยังได้จัดทำแผนการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ เพื่อเป็นกรอบหลักในการสร้างภูมิคุ้มกันอย่างยั่งยืนให้กับประชาชน และจะสนับสนุนเป้าหมายระดับโลกด้านการปรับตัวอีกด้วย นอกจากนี้ ยังอยู่ระหว่างการผลักดันตัวอย่างของการปรับตัวในภาคเกษตร เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกควบคู่กับการรักษาความมั่นคงทางอาหาร ผ่านโครงการเพิ่มศักยภาพการปลูกข้าวที่เท่าทันต่อภูมิอากาศ โดยมองว่าการระดมเงิน 100,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ต่อปี ภายในปี 2025 จะเป็นปัจจัยที่สำคัญอย่างยิ่งในการบรรลุเป้าหมายของประเทศกำลังพัฒนา ทั้งนี้ ประเทศไทย ในฐานะรัฐภาคี ยินดีที่จะได้เห็นความชัดเจนของกองทุนสำหรับการสูญเสียและความเสียหาย ใน COP28 และหวังเป็นอย่างยิ่งว่า การประเมินสถานการณ์การดำเนินงานระดับโลก จะสะท้อนให้เห็นเส้นทางสู่ 1.5 องศาเซลเซียส ตามเป้าหมายของความตกลงปารีส