ปพนธ์ มังคละธนะกุล www.facebook.com/Lomyak
ต่อจากตอนที่ 2 ปัญหามา… ปัญญามี (2): Survival Mode
มาตรการต่างๆ เพื่อรักษาเสถียรภาพของระบบโครงสร้างพื้นฐานของเศรษฐกิจได้ทยอยออกมาแล้ว
ล่าสุดเพิ่งประกาศเมื่อกว่าสัปดาห์ที่ผ่านมา เพื่อให้ตลาดตราสารหนี้มีเสถียรภาพ ไม่กระทบไปถึงนักลงทุนรายย่อยที่ลงทุนผ่านกองทุนรวมต่างๆ และยังคงให้บริษัทคุณภาพดี ยังมีช่องทางในการหาเงินกู้ต่อไป
ตอนนี้ที่น่าติดตามต่อก็คือ จะมีมาตรการอะไรออกมาเพื่อช่วยปรับสภาพธุรกิจของ SME กว่า 2 ล้านราย ให้สามารถประคองตัว ดำรงอยู่รอด ในช่วงวิกฤตินี้ และเตรียมความพร้อมสำหรับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
มาตรการช่วยเหลือตอนนี้ที่เห็น มาจากธนาคารพาณิชย์ ส่วนใหญ่เป็นการซื้อเวลาเท่านั้น ได้แก่ พักชำระเงินต้น จ่ายแต่ดอกเบี้ยเท่านั้น
แต่… สิ่งที่กำลังเกิดคือ ธุรกิจส่วนใหญ่เกิดการหดตัว ลดขนาดลง อย่างกะทันหัน 70-80% อย่างต่ำ
นั่นหมายความว่าเงินกู้ที่มีอยู่นั้น เมื่อผ่าน 6 เดือนไปแล้ว จะต้องกลับมาชำระคืนต่อ แต่ขนาดของธุรกิจเขาไม่สามารถกลับคืนสู่ระดับปกติในช่วง 6 เดือนจากนี้แน่นอน
มาตรการที่ควรออกมารองรับ น่าจะประกอบไปด้วย
1. การปรับโครงสร้างหนี้เก่า
หนี้ที่พักไว้ ภาระหนี้ต้องมีการปรับโครงสร้างใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับกระแสเงินสดที่จะค่อยๆ เพิ่มขึ้น เมื่อธุรกิจกลับมา
มาตรการการปรับโครงสร้างหนี้จะทำอย่างไร ต้องมีการปรับเกณฑ์อะไรชั่วคราวหรือไม่ เพื่อให้ไม่กระทบสถานะการเงินของแบงก์พาณิชย์ เพื่อที่จะสามารถเป็นแหล่งเงินในการปล่อยกู้รอบใหม่ให้ SME
2. สินเชื่อหมุนเวียนใหม่
ผมเชื่อว่า ไม่เกิน 1-2 เดือนข้างหน้านี้ SME ที่มีวงเงินทุนเวียนกับธนาคาร คงใช้หมดไปแล้ว แล้วก็ต้องการการปรับโครงสร้างหนี้ตามข้างบน
การจะฟื้นฟูธุรกิจกลับมา ต้องมีเงินใหม่ใส่เข้าไป แหล่งเงินที่ดีที่สุดก็คือ ธนาคารพาณิชย์
แต่ในช่วงสุ่มเสี่ยงแบบนี้ ธนาคารแต่ละแห่งจะปล่อยสินเชื่อให้ SME หรือไม่
ถ้าเกณฑ์การปรับโครงสร้างหนี้ชัดเจน ลูกหนี้ทุกคนสามารถลดภาระจากหนี้เก่าได้แล้ว
เพื่อให้การปล่อยสินเชื่อใหม่สามารถดำเนินต่อได้ กลไกการค้ำประกันสินเชื่อของ บสย. (บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมรายย่อย) เป็นตัวหลักที่สำคัญยิ่ง
ระดับการค้ำประกันต้องเพิ่มขึ้นไปจากระดับปัจจุบัน 40% ถ้าสูงขึ้นไปถึง 70-80% แบบอังกฤษได้ยิ่งดี
ตอนนี้เราต้องการให้แบงก์แย่งกันเข้ามาช่วย SME ถ้าค้ำประกันแค่ 40% แบงก์จะลังเล แล้วก็จะเกิด NPL ที่ไม่อยากให้เกิด แล้วจะทำให้วงจรการปล่อยกู้รายย่อยหยุดชะงัก แล้วจะไปกันใหญ่
ทำไมไม่ใช้กลไกแบงก์รัฐปล่อยแทน
หนึ่ง แบงก์รัฐไม่ได้เป็นผู้นำตลาด SME แบงก์พาณิชย์รู้จักลูกค้าอยู่แล้ว มีฐานลูกค้าอยู่แล้ว การปล่อยกู้ทำได้ดร็วกว่า
สอง เม็ดเงินที่ใส่ไปกับการปล่อยกู้กับการค้ำประกันมีประสิทธิภาพต่างกัน 1 บาทของการปล่อยกู้เอง จะเทียบเท่า 6-7 บาทของการปล่อยสินเชื่อผ่านการค้ำประกัน เนื่องจาก multiplier effect ของการค้ำประกัน
ตอนนี้ทำได้อย่างเดียวคือ รอดูมาตรการที่จะออกมา
หมายเหตุ: ตีพิมพ์ครั้งแรก เฟซบุ๊กล้มยักษ์/Lom Yak วันที่ 24 มีนาคม 2563