“บิ๊กตู่” มอบ “วิษณุ-ศักดิ์สยาม” เคลียร์ “ค่าโง่โฮปเวลล์”- มติ ครม. ยกเว้นภาษีเงินได้ “ชิม ช้อป ใช้”
เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2562 ที่ทำเนียบรัฐบาลมีการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยมี พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธาน
มอบ “วิษณุ-ศักดิ์สยาม” เคลียร์ “ค่าโง่โฮปเวลล์”
พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามกรณีการพิจารณาการจ่ายเงินชดเชยให้บริษัท โฮปเวลล์ ประเทศไทย ตามที่ศาลปกครองสูงสุดพิพากษา ว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนการพิจารณา เจรจา และขั้นตอนการดำเนินการ โดยตนได้มอบหมายให้นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี และนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม (คค.) พิจารณาเรื่องดังกล่าว เพื่อให้เกิดความชัดเจนและรอบคอบ รักษาผลประโยชน์ของประเทศและประชาชนให้ได้มากที่สุด เพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชนด้วย ทั้งนี้ทั้งนั้น เรื่องทั้งหมดจะต้องหารือร่วมกันให้ได้
เมินกลุ่มจัดกิจกรรม “วิ่งไล่ลุง” นายกฯ สวน “วิ่งให้ทันแล้วกัน”
พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามกรณีที่นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ จะเคลื่อนไหวนอกสภาผู้แทนราษฎร ว่า เรื่องนี้มันสมควรหรือไม่สมควร วันนี้สถานการณ์บ้านเมืองเป็นอย่างไร การเคลื่อนไหวในเชิงไม่สร้างสรรค์ควรหรือไม่ควร ตนก็ไม่รู้เหมือนกัน ขอให้สังคมช่วยกันพิจารณาด้วย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างที่ พล.อ. ประวิตร กำลังให้สัมภาษณ์ถึงเรื่องดังกล่าวอยู่ ซึ่ง พล.อ.ประวิตร ให้ความเห็นว่า ตนไม่ให้จัด พร้อมถามกลับ สื่อเห็นว่าผิดหรือไม่ ถ้าไม่ผิดก็ทำได้ ขณะเดียวกันนายกรัฐมนตรีได้เดินลงจากตึกบัญชาการพอดี ผู้สื่อข่าวได้หันไปสอบถาม พล.อ. ประยุทธ์ ถึงกิจกรรม “วิ่งไล่ลุง” ในวันที่ 12 มกราคม 2563 พล.อ. ประยุทธ์จึงกล่าวว่า “วิ่งให้ทันแล้วกัน” จากนั้น พล.อ. ประยุทธ์ ได้ฝ่าวงผู้สื่อข่าวพร้อมดึงไมค์ของสำนักข่าวช่องหนึ่งไปจ่อปาก พล.อ. ประวิตร พร้อมทั้งระบุว่า “ผมขอถามบ้าง” ก่อนจะหันมาบอกกับผู้สื่อข่าวว่า “พี่ผม ไปถามพี่ผมโน้น” และยิ้มให้กับ พล.อ. ประวิตร ท่ามกลางเสียงหัวเราะของทุกคนที่อยู่ในวงสัมภาษณ์
อุบตอบหารือส.ส.พรรครร่วมฯ – ย้ำความสัมพันธ์ยังเหนียวแน่น
พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามกรณีการนัดพบปะ ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาล ว่า ตนไม่ได้ไปเพื่อไปก้าวล่วงอะไรเขาเลยในทางการเมือง ถ้าจะพบปะหรือพูดคุยกัน วันนี้ตนก็พบปะพูดคุยกันกับ ส.ส.และบรรดารัฐมนตรีอยู่แล้ว ใน ครม.ตนก็คุยอยู่ทุกวัน ตัวแทนพรรคร่วมรัฐบาลก็อยู่กับตนอยู่แล้ว รองนายกรัฐมนตรีก็มาจากทุกพรรค ตนก็คุย และฝากไปถึงว่า เราควรจะร่วมมืออะไรกันได้บ้าง อะไรที่เป็นผลประโยชน์ประชาชน ผลประโยชน์ของชาติต้องเป็นหลัก
ต่อคำถามเรื่องการไปพบปะสังสรรค์ ส.ส.ร่วมรัฐบาลเย็นนี้ พล.อ. ประยุทธ์ ระบุว่า ตนจะไปไหนหรือไม่ไปไหน อย่ามาถามตนมากนักเลย ขอให้ตนมีโอกาสไปไหนมาไหนได้เอง และไม่ได้ไปเพื่ออะไร รัฐบาลยังแน่นเหนียว ไม่ต้องกลัว พร้อมยักคิ้วให้ผู้สื่อข่าว
ขอโทษ มาตรการช่วยเหลือเกษตรกรล่าช้า เหตุงบฯ เหลือน้อย
พล.อ. ประยุทธ์ ได้กล่าวถึงมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรว่า โครงการช่วยเหลือเกษตรกรขณะนี้กำลังรอการเสนอ ครม.ในการพิจารณา เช่น โครงการช่วยเหลือเกษตรกรชาวไร่อ้อย การสนับสนุนปัจจัยการผลิต โครงการสินเชื่อเพื่อเสริมสภาพคล่องผู้ประกอบการประมง โครงการประกันรายได้เกษตรกรข้าวโพด และอีกหลายๆ อย่าง ซึ่งศึกษาในรายละเอียดแล้วเห็นสมควรให้มีการพิจารณาในเรื่องเหล่านี้ แต่จำเป็นต้องรอสักนิด
“ต้องขอโทษด้วย เพราะวันนี้ต้องดูเรื่องงบประมาณที่เรามีอยู่ ซึ่งเราใช้ไปพลางก่อน งบประมาณปี 63 มียอดที่ใช้ได้จำนวนจำกัด เพราะมีมาตรา 28 อยู่ด้วย วันนี้ก็เหลือจำนวนน้อยมาก เพราะฉะนั้นขึ้นอยู่กับการพิจารณาในวาระ 2-3 ของคณะกรรมาธิการในด้านงบประมาณ ที่กำลังศึกษารายละเอียดอยู่ขณะนี้ ถ้ายิ่งช้าไปเรื่อยๆ มันก็ยาวไปเรื่อย เงินงบประมาณเอามาเพิ่มไม่ได้ ใช้เพิ่มไม่ได้ ตรงนี้ก็มีปัญหากับเกษตรกรและพี่น้องประชาชนทุกหมู่เหล่า รวมความไปถึงเรื่องการทำงานของกระทรวงในงบประมาณฟังชั่นทั้งหมด อย่างเร็วที่สุดก็น่าจะเดือน ม.ค.หรือต้นเดือน ก.พ.ถึงจะสำเร็จตามขั้นตอน แต่ถ้ามันยืดเยื้อไปอีกก็จะยิ่งหนักเข้าไปอีก ภาระก็จะเกิดขึ้นมาเรื่อยๆ” นายกรัฐมนตรีกล่าว
พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวต่อไปว่า อย่างไรก็ตาม รัฐบาลเห็นชอบในหลักการช่วยเหลือเกษตรกรดังกล่าว ซึ่งมีหลายอย่างให้ต้องช่วยเหลืออีก เพราะต้องใช้เงินผ่านธนาคารรัฐ ฉะนั้นต้องดำเนินการตามระเบียบวินัยการเงินการคลัง และรองบประมาณรายจ่ายประจำปี 63 ประกาศใช้บังคับ
“ถึงเวลานั้นเมื่อเราพร้อมแล้ว จะทยอยให้ความช่วยเหลือตามหลักเกณฑ์ต่างๆ ที่ได้ทำไว้ในปัจจุบันค่อนข้างเรียบร้อยแล้ว ตรงนี้ต้องกราบเรียนให้ทราบ ผมไม่เคยทอดทิ้ง ไม่เคยนิ่งนอนใจ ถ้าตราบใดที่กฎหมายหรืออะไรต่างๆ ทำได้ผมทำให้หมด ผมไม่ได้คำนึงถึงว่าเป็นเรื่องของพรรคใด เพราะเป็นเรื่องของรัฐบาลที่ต้องดูแลคนทุกภาคส่วนอยู่แล้ว” นายกรัฐมนตรีกล่าว
มติ ครม.มีดังนี้
ยกเว้นภาษีเงินได้ “ชิม ช้อป ใช้”
ศ. ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ครม.มีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ….) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (การยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับเงินสนับสนุนและเงินชดเชยตามมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศ “ชิมช้อปใช้” ภายใต้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปี 2562)
โดยสาระสำคัญคือให้ยกเว้นภาษีจากเงินได้ที่ได้จากมาตรการชิมช้อปใช้ของรัฐ โดยแบ่งเป็นเงินได้ 1,000 บาทจากกระเป๋าเงิน G-Wallet 1 และเงินคืนจากรัฐ หรือ Cash Back 15 ของวงเงินค่าใช้จ่ายสูงสุดไม่เกิน 4,500 บาทต่อคน โดยให้ไม่ต้องนำเงินได้ส่วนนี้มาคำนวณเป็นเงินได้ในการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาด้วย เนื่องจากการชำระเงินเพื่อซื้อสินค้าหรือรับบริการจากผู้ขายสินค้าหรือผู้ให้บริการผ่านระบบการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์โดยภาครัฐ
ทั้งนี้รายงานของกระทรวงการคลังระบุว่าการเสนอร่างกฎกระทรวงดังกล่าวจะทำให้รัฐอาจสูญเสียรายได้จากการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประมาณ 5,500 ล้านบาท แต่ประโยชน์ที่จะได้รับจากการยกเว้นภาษีดังกล่าวจะทำให้การบริโภคภายในประเทศขยายตัว อันเป็นผลดีต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจและการจัดเก็บรายได้ภาษีอากร และส่งเสริมภาคธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการที่องเที่ยวให้มีการขยายตัวเพิ่มขึ้น
เห็นชอบกฎหมายลูกภาษีที่ดิน 3 ฉบับ
ศ. ดร.นฤมล กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติเห็นชอบในหลักการของร่างพระราชกฤษฎีกาและร่างกฎกระทรวงที่ต้องจัดทำตามพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. 2562 จำนวน 3 ฉบับ ได้แก่ 1. ร่างพระราชกฤษฎีกาลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. …. 2. ร่างกฎกระทรวงการงดหรือลดเบี้ยปรับ พ.ศ. …. 3. ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ในการคำนวณมูลค่าที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่ไม่มีราคาประเมินทุนทรัพย์ พ.ศ. …. โดยมีสาระสำคัญดังนี้
- ร่าง พ.ร.ฎ.ลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง เป็นการลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างจากฐานภาษีตามมาตรา 37 แห่ง พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ที่จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2563 โดยแยกเป็นการลดภาษีในอัตรา 50% ของจำนวนภาษีที่จะต้องเสีย เช่น ในกรณีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่เจ้าของเป็นบุคคลธรรมดาได้มาจากมรดกโดยใช้เป็นที่อยู่อาศัยและมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน และต้องจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเกี่ยวกับทรัพย์สินนั้นก่อนวันที่ 13 มีนาคม 2562 เป็นต้น
ขณะเดียวกันยังกำหนดลดภาษีในอัตรา 90% ครอบคลุมกรณีที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่เป็นอสังหาริมทรัพย์รอการขายของสถาบันการเงิน สถาบันการเงินเฉพาะกิจที่มีกฎหมายเฉพาะจัดตั้งขึ้น สถาบันการเงินประชาชน บริษัทบริหารสินทรัพย์ เป็นเวลาไม่เกิน 5 ปี นับจากวันที่อสังหาริมทรัพย์นั้นตกเป็นของหน่วยงาน, ที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่อยู่ระหว่างการพัฒนาเป็นโครงการจัดสรรเพื่ออยู่อาศัย หรืออุตสาหกรรม เป็นเวลาไม่เกิน 3 ปี นับแต่วันได้รับอนุญาตจัดสรรที่ดิน, ที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่อยู่ระหว่างการพัฒนาเป็นอาคารชุด เป็นเวลาไม่เกิน 3 ปี นับแต่วันได้รับอนุญาตก่อสร้าง รวมทั้งที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่อยู่ระหว่างการพัฒนาเป็นนิคมอุตสาหกรรม เป็นเวลาไม่ เกิน 3 ปี นับแต่วันได้รับอนุญาตจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรม, ที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่ใช้ประโยชน์ในกิจการโรงเรียนเอกชน สถาบันอุดมศึกษา, ที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่ใช้เป็นสถานบริการประชาชนทั่วไป เช่น ลานเล่นกีฬา สวนสัตว์ สวนสนุกที่ได้รับอนุญาตตามกฎหมาย
โดยการลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างในครั้งนี้ จะเป็นการช่วยลดภาระของประชาชน ถึงแม้ อปท. ในฐานะผู้จัดเก็บภาษีจะสูญเสียรายได้ ประมาณ 2,700 ล้านบาท แต่ในภาพรวมจะมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการจัดเก็บภาษีที่ดิน และสิ่งปลูกสร้างในปี 2563 ประมาณ 39,420 ล้านบาท
- ร่างกฎกระทรวงการงดหรือลดเบี้ยปรับ พ.ศ. …. เป็นการกำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการของดเบี้ยปรับของภาษีที่ค้างชำระสำหรับที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่ถูกยึดหรืออายัดตามกฎหมาย
- ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการคำนวณมูลค่าที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่ไม่มีราคาประเมินทุนทรัพย์ พ.ศ. …. เป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการคำนวณมูลค่าที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างสำหรับที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่ไม่มีราคาประเมินทุนทรัพย์กำหนด แบ่งเป็น
- กรณีที่ดิน ที่มีโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทํา ประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) ให้พนักงานประเมินเทียบเคียงราคาประเมินทุนทรัพย์ของที่ดินกับแปลงที่ดินใกล้เคียงที่มีสภาพคล้ายคลึงกัน หากเป็นที่ดินที่มีหนังสือสําคัญแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดินอื่น หรือที่ดินที่ไม่มีหนังสือสําคัญแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดิน ให้พนักงานประเมินใช้ราคาที่ดินตามบัญชี กําหนดราคาประเมินทุนทรัพย์ของที่ดินรายเขตปกครองกรมธนารักษ์หรือสํานักงานกรมธนารักษ์ พื้นที่จัดส่งให้เป็นฐานในการคํานวณภาษีของที่ดิน
- กรณีสิ่งปลูกสร้าง ให้พนักงานประเมินใช้ราคาสิ่งปลูกสร้าง ตามบัญชีกําหนดราคาประเมินทุนทรัพย์ของสิ่งปลูกสร้างที่กรมธนารักษ์หรือสํานักงานธนารักษ์ พื้นที่จัดส่งให้ เป็นฐานในการคํานวณภาษีของสิ่งปลูกสร้าง
- กรณีไม่มีราคาประเมินทุนทรัพย์ ของสิ่งปลูกสร้างให้พนักงานประเมินเทียบเคียงราคาประเมินทุนทรัพย์ของสิ่งปลูกสร้างตามบัญชี เทียบเคียงสิ่งปลูกสร้างที่กรมธนารักษ์หรือสํานักงานธนารักษ์พื้นที่จัดส่งให้ และในกรณีสิ่งปลูกสร้างที่มีลักษณะอื่นซึ่งไม่สามารถเทียบเคียง ตามบัญชีกําหนดราคาประเมินทุนทรัพย์ ให้พนักงานประเมินแจ้งให้เจ้าของสิ่งปลูกสร้างดังกล่าว นําส่งเอกสารหรือหลักฐานแสดงมูลค่าสิ่งปลูกสร้างเพื่อประกอบการพิจารณากําหนดราคา ของสิ่งปลูกสร้างต่อ อปท.
ตั้งกองทุน SSF – เพิ่มลดหย่อน RMF หักภาษี 30% คาดสูญเสียรายได้ 14,000 ล้าน/ปี
ศ. ดร.นฤมล กล่าวว่า ครม.มีมติเห็นชอบมาตรการส่งเสริมการออมระยะยาว โดยจะให้สิทธิประโยชน์จากผลิตภัณฑ์กองทุนรวมเพื่อการออมระยะยาว หรือ Super Saving Fund (SSF) และ ครม.ยังมีมติการปรับปรุงหลักเกณฑ์การให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับการซื้อกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (Retirement Mutual Fund — RMF) เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนมีการออมระยะยาวมากขึ้น ซึ่งการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีจะมุ่งเน้นให้กลุ่มผู้มีรายได้ปานกลางถึงน้อยและผู้ที่เริ่มต้นวัยทำงานได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่ เพื่อเป็นการจูงใจให้ประชาชนกลุ่มดังกล่าวเริ่มต้นการออมระยะยาวโดยเร็ว โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้
- สำหรับสิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับการซื้อกองทุน SSF ซึ่งเป็นกองทุนเพื่อการออมระยะยาวที่จัดตั้งขึ้นใหม่ โดยกำหนดให้บุคคลธรรมดาสามารถหักลดหย่อนภาษีเงินได้สำหรับเงินที่จ่ายเป็นค่าซื้อหน่วยลงทุนในกองทุน SSF ไม่เกินร้อยละ 30 ของเงินได้พึงประเมิน แต่ไม่เกิน 200,000 บาท โดยเมื่อรวมกับกองทุนการออมเพื่อการเกษียณอายุอื่นๆ (กองทุน RMF กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ กองทุนสงเคราะห์ตามกฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชน กองทุนการออมแห่งชาติ หรือเบี้ยประกันภัยสำหรับการประกันชีวิตแบบบำนาญ) แล้วต้องไม่เกิน 500,000 บาทในแต่ละปีภาษี
ทั้งนี้ ในรายละเอียดของกองทุน SSF อนุญาตให้ลงทุนในหลักทรัพย์ได้ทุกประเภท ไม่กำหนดจำนวนขั้นต่ำในการซื้อหน่วยลงทุนและไม่กำหนดเงื่อนไขในการซื้อต่อเนื่อง แต่ผู้ซื้อกองทุน SSF สามารถขายคืนหน่วยลงทุนได้เมื่อถือมาแล้วไม่น้อยกว่า 10 ปีนับจากวันที่ซื้อ และเงินได้จากการขายคืนหน่วยลงทุน SSF จะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา หากปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กำหนด ทั้งนี้ สามารถหักลดหย่อนค่าซื้อหน่วยลงทุนใน SSF ได้ 5 ปี (2563-2567) โดยกระทรวงการคลังจะประเมินผลของมาตรการเพื่อพิจารณาแนวทางที่เหมาะสมต่อไป
- สำหรับปรับปรุงหลักเกณฑ์การให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับการซื้อกองทุน RMF ครม.ได้ปรับสัดส่วนการหักลดหย่อนภาษีสำหรับเงินที่จ่ายเป็นค่าซื้อหน่วยลงทุนในกองทุน RMF จากเดิมไม่เกินร้อยละ 15 ของเงินได้พึงประเมิน เป็นไม่เกินร้อยละ 30 ของเงินได้พึงประเมิน โดยยังคงกำหนดวงเงินหักลดหย่อนได้สูงสุดไม่เกิน 500,000 บาท เมื่อรวมกับกองทุนการออมเพื่อการเกษียณอายุอื่นๆ (กองทุน SSF กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ กองทุนสงเคราะห์ตามกฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชน กองทุนการออมแห่งชาติ หรือเบี้ยประกันภัยสำหรับการประกันชีวิตแบบบำนาญ) เพื่อเป็นการส่งเสริม ให้ประชาชนออมได้มากขึ้น นอกจากนี้ ยังยกเลิกการกำหนดจำนวนขั้นต่ำในการซื้อกองทุน RMF (เดิมกำหนดให้ซื้อไม่น้อยกว่าร้อยละ 3 ของเงินได้พึงประเมิน หรือไม่น้อยกว่า 5,000 บาทต่อปี แล้วแต่จำนวนใดจะต่ำกว่า) เพื่อให้ผู้ที่มีรายได้ปานกลางถึงน้อยสามารถซื้อกองทุน RMF ได้ โดยยังคงกำหนดให้ต้องซื้อต่อเนื่องทุกปี และไม่ระงับการซื้อเกิน 1 ปีติดต่อกันเช่นเดิม
ด้านนายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงการคลังมุ่งหวังให้ประชาชนทุกกลุ่มมีวินัยการออม เริ่มต้นออมระยะยาวตั้งแต่เข้าสู่วัยทำงาน และรู้จักวางแผนทางการเงิน เพื่อนำไปสู่ความมั่นคงทางรายได้เมื่อพ้นวัยทำงาน ทั้งนี้ สำหรับการลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (long-term equity fund) หรือ LTF ซึ่งจะสิ้นสุดการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีในปี 2562 นั้น นักลงทุนจะยังคงสามารถซื้อหน่วยลงทุนในกองทุน LTF ได้ และแม้ว่าจะไม่ได้รับการลดหย่อนภาษีสำหรับเงินที่ซื้อหน่วยลงทุนตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2563 เป็นต้นไป แต่กระทรวงการคลังได้เสนอแก้ไขกฎหมายเพื่อให้ผู้ที่ถือหน่วยลงทุนได้รับการยกเว้นภาษีสำหรับกำไรจากการขายคืนหน่วยลงทุนของกองทุน LTF เช่นเดียวกับกองทุนรวมอื่น ๆ
อนึ่ง คาดว่าการปรับปรุงเกณฑ์และออกมาตรการสิทธิประโยชน์ทางภาษีใหม่จะทำให้รัฐสูญเสียรายได้ปีละ 14,000 ล้านบาท ขณะที่ประโยชน์คาดว่าผู้มีรายได้ต่อเดือน 15,000 บาท, 50,000 บาท และ 100,000 บาท จะสามารถออมระยะยาวเพิ่มได้ปีละ 108,000 บาท, 360,000 บาท และ 500,000 บาทตามลำดับ หากซื้อกองทุนทั้งสองประเภทเต็มเพดานที่กำหนดไว้
รับทราบมติ กพช. ให้กฟผ.รับซื้อไฟฟ้าชุมชน
ศ. ดร.นฤมล กล่าวว่า ครม.รับทราบมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติเห็นชอบกรอบโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจฐานราก โดยให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิต (กฟผ.) รับซื้อไฟฟ้าจากชุมชนเพื่อช่วยเศรษฐกิจฐานราก และเห็นชอบให้ ดีเซล B10 เป็นดีเซลหมุนเร็วพื้นฐาน โดยจะเริ่มวันที่ 1 มกราคม 2563
ขยายเวลาจ่ายเงินผู้ประสบภัย “โพดุน – คาจิกิ”
ผศ. ดร.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ครม. อนุมัติขยายระยะเวลาดำเนินการช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบภัยพิบัติครัวเรือนละ 5,000 บาท วงเงิน 2,092.40 ล้านบาท ในพื้นที่ 32 จังหวัด ออกไปจนถึงวันที่ 31 มีนาคม 2563 จากเดิมที่ต้องดำเนินการให้เสร็จสิ้นในวันที่ 25 พฤศจิกายน 2562 ที่ผ่านมา เพื่อเป็นการขยายโอกาสให้ประชาชนได้รับความช่วยเหลือจากภาครัฐอย่างทั่วถึง เนื่องจากไม่ได้ผูกพร้อมเพย์กับเลขบัตรประจำตัวประชาชน แม้ว่าอาจจะผูกกับเบอร์โทรศัพท์แล้วก็ตาม ไม่มีบัญชีธนาคารออมสินและบัญชีธนาคารถูกปิด
ทั้งนี้ จากการสำรวจของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย มีจำนวนผู้ประสบภัยพิบัติที่เข้าเกณฑ์รับเงินเยียวยาทั้งสิ้น 59,503 ครัวเรือน โดยทางธนาคารออมสินดำเนินการโอนเงินผ่านระบบพร้อมเพย์เสร็จแล้ว จำนวน 49,352 ครัวเรือน เป็นเงิน 246.76 ล้านบาท และอยู่ระหว่างดำเนินการ จำนวน 4,652 ครัวเรือน โดยมีผู้ประสบภัยพิบัติที่ยังไม่ได้รับเงินเยียวยาอีกจำนวน 5,499 ครัวเรือนจากสาเหตุข้างต้น จึงขอประชาสัมพันธ์ให้ผู้ประสบภัยพิบัติดำเนินการเปิดบัญชีธนาคารและผูกพร้อมเพย์กับบัตรประชาชนให้เรียบร้อย เพื่อที่จะได้รับเงินเยียวยาในครั้งนี้ และหากมีข้อสงสัยเพิ่มเติมสอบถามข้อมูลได้ที่สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด
นอกจากนี้ ครม.ยังได้อนุมัติหลักการในการนำงบประมาณที่เหลือจากการให้ความช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบภัยพิบัติครัวเรือนละ 5,000 บาทนี้ ไปใช้ในการให้ความช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบภัยพิบัติที่อาจเกิดขึ้นในพื้นที่อื่นๆ อีกด้วย เช่น ภาคใต้ ภาคตะวันออก เป็นต้น โดยใช้หลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการจ่ายเงินช่วยเหลือเช่นเดียวกันกับการให้ความช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบภัยพิบัติจากพายุโพดุนและคาจิกิ
ตั้งเกณฑ์ใช้เครื่องพันธนาการเด็กในสถานพินิจ
ผศ. ดร.รัชดา กล่าวว่า ครม.อนุมัติร่างกฎกระทรวงกำหนดประเภท ชนิด และขนาดของเครื่องพันธนาการที่ใช้แก่เด็กและเยาวชน พ.ศ. …. โดยสืบเนื่องจากกฎหมายได้คุ้มครองสิทธิของเด็กและเยาวชนที่อยู่ในสถานพินิจไว้ว่า การใช้เครื่องพันธนาการแก่เด็กและเยาวชนที่อยู่ในการควบคุมของเจ้าพนักงานพินิจนั้นกระทำไม่ได้ ตามมาตรา 14 แห่งพระราชบัญญัติการบริหารการแก้ไขบำบัดฟื้นฟูเด็กและเยาวชนที่กระทำผิด แต่หากจะใช้เครื่องพันธนาการแก่เด็กและเยาวชน มาตรา 103 ของพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีการพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว ได้อนุญาตใน 2 กรณี คือ เพื่อป้องกันการหลบหนีเมื่อนำตัวออกมานอกสถานที่ควบคุม หรือเพื่อความปลอดภัยของเด็กเองหรือบุคคลอื่น ในกรณีที่เกิดความไม่สงบในสถานที่ควบคุม ซึ่งการใช้เครื่องพันธนาการ ผู้อำนวยการสถานพินิจฯจะเป็นผู้สั่งการและต้องบันทึกเหตุผลความจำเป็นที่ต้องใช้เครื่องพันธนาการด้วย
ทั้งนี้ ร่างกฎกระทรวงดังกล่าวยังกำหนดให้เครื่องพันธนาการใช้ได้เฉพาะสายรัดข้อมือและกุญแจมือ มีรายละเอียดดังนี้
- สายรัดข้อมือมีเพียงแบบเดียว คือ สายรัดข้อมือพลาสติกที่ขึ้นรูปเป็นชิ้นเดียวกันทั้งหมด แบบตวัดรัดให้แน่นด้วยตัวเอง โดยใช้ปลายพลาสติกพันรอบข้อมือซ้ายและข้อมือขวา
- กุญแจมือมี 2 แบบ คือ
- กุญแจมือแบบห่วงทำด้วยโลหะมีฟันเฟืองโลหะระหว่างห่วงโลหะทั้งสองข้างเชื่อมติดกันด้วยลูกโซ่โลหะ
- กุญแจมือแบบห่วงทำด้วยโลหะมีฟันเฟืองและเชื่อมห่วงโลหะติดกันด้วยบานพับโลหะ
ลดบทบาท DSI – ยกเลิกทำคดีพิเศษ “สุรา-ยาสูบ-เครื่องสำอางค์-ยา-อาหาร”
นางสาวไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติอนุมัติในหลักการร่างกฏกระทรวง ว่าด้วยการกำหนดคดีพิเศษเพิ่มตามกฎหมายว่าด้วยการสอบสวนคดีพิเศษ โดยเป็นการยกเลิกความผิดอาญา 5 คดีความผิด ได้แก่ ความผิดตามกฎหมายเกี่ยวกับสุรา ยาสูบ เครื่องสำอาง ยา และอาหาร ให้ไม่ต้องอยู่ในความรับผิดชอบของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ)
ทั้งนี้ เนื่องจากดีเอสไอได้พิจารณาและทบทวนภารกิจ และอำนาจหน้าที่ในปัจจุบันแล้ว เห็นควรยกเลิกความผิดทางอาญาตามกฎหมาย ทั้ง 5 โดยความผิดทางอาญาตามกฎหมายเกี่ยวกับสุรา ยาสูบ ได้ถูกยกเลิกแล้วโดยกฎหมายว่าด้วยภาษีสรรพสามิต
ขณะที่ลักษณะความผิดตามกฎหมายว่าด้วยเครื่องสำอาง ยา และอาหาร ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ส่วนใหญ่เป็นคดีที่มีไม่ความซับซ้อน ไม่จำเป็นต้องใช้การสืบสวน สอบสวน และรวบรวมพยานหลักฐานเป็นพิเศษ จึงไม่มีความจำเป็นที่ต้องอยู่ในความรับผิดชอบของดีเอสไออีกต่อไป
อนุมัติร่างกม.ลูก 4 ฉบับ กำกับดูแลเครื่องมือแพทย์
นางสาวไตรศุลี กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติอนุมัติในหลักการ่างกฎกระทรวง ซึ่งออกตามความในพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) เครื่องมือแพทย์ พ.ศ. 2551 และแก้ไขเพิ่มเติม โดย พ.ร.บ.เครื่องมือแพทย์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2562 รวม 4 ฉบับ ซึ่งร่างกฎกระทรวงเหล่านี้เป็นการออกกฎหมายลำดับรองที่จะทำให้กฎหมายแม่บทมีผลบังคับใช้ได้สมบูรณ์ โดยมีสาระสำคัญดังนี้
- ร่างกฎกระทรวงการจดแจ้งและการออกใบรับแจ้งเครื่องมือแพทย์ เป็นการกำหนดให้การขอจดแจ้งผลิตหรือนำเข้าเครื่องมือแพทย์ต้อยื่นคำขอต่อผู้อนุญาตพร้อมด้วยเอกสารและหลักฐาน
- ร่างกฎกระทรวงการขออนุญาตและการออกใบอนุญาตเครื่องมือแพทย์ เป็นการกำหนดให้การขออนุญาต หรือขอต่ออายุใบอนุญาตผลิตหรือนำเข้าเครื่องมือแพทย์ กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการเปลี่ยนแปลงแก้ไขรายการที่ได้รับอนุญาต และขอออกใบแทนใบอนุญาต
- ร่างกฎกระทรวงการแจ้งรายการละเอียดและการออกใบรับแจ้งรายการละเอียด เครื่องมือแพทย์ เป็นการกำหนดให้การขอแจ้งรายการละเอียดผลิต หรือนำเข้าเครื่องมือแพทย์ หรือการขอต่ออายุใบอนุญาตต้องยื่นคำขอต่อผู้อนุญาต และกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการเปลี่ยนแปลงแก้ไขรายการที่ได้รับใบอนุญาต และขอออกใบแทนใบอนุญาต
- ร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับเครื่องมือแพทย์ เป็นการกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมและใบอนุญาตต่างๆ
ผ่านร่างกม.ลูก 2 ฉบับ กำกับดูแลผลิตภัณฑ์ยา
นางสาวไตรศุลี กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติอนุมัติในหลักการร่างกฎกระทรวง ออกตามความใน พ.ร.บ.ยา พ.ศ. 2510 จำนวน 2 ฉบับ เป็นไปเพื่อคุ้มครองความปลอดภัยของผู้บริโภค สุขภาพและอนามัยของประชาชน รวมถึงความเชื่อมั่นต่อผลิตภัณฑ์ยา และระบบสาธารณสุขของประเทศ ซึ่งเป็นไปตามข้อเสนอแนะขององค์การอนามัยโลก (WHO) โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้
ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการผลิตยาแผนปัจจุบัน โดยกำหนดให้ผู้รับใบอนุญาตผลิตยาแผนปัจจุบันต้องดำเนินการเพิ่มเติม เช่น จัดทำรายงานประจำปีเกี่ยวกับการผลิตยา จัดให้มีเครื่องมือและอุปกรณ์ที่ใช้ในการผลิตยา กำหนดเงื่อนไขจะไม่ต่ออายุใบอนุญาตหากไม่ผ่านการตรวจประเมินตามที่กำหนด
ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผู้รับใบอนุญาตนำหรือสั่งยาแผนปัจจุบัน (นำเข้า) เข้ามาในราชอาณาจักรดำเนินการเพิ่มเติม เช่น นำหรือสั่งยาจากผู้ผลิตที่ได้มาตรฐานตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข รวมถึงจัดทำรายงานการส่งออกยาไปนอกราชอาณาจักร
ทั้งนี้ ศ. ดร.นฤมล กล่าวเพิ่มเติมว่า จากข้อมูลของเว็บไซต์อัลจาซีรา พบว่าประเทศไทยได้รับการจัดอันดับให้เป็นประเทศที่มีราคายาถูกที่สุดในโลก รองลงมาคือ เคนยา ส่วนประเทศที่มีราคายาสูงที่สุด เป็นอันดับ 1 คือ สหรัฐอเมริกา รองลงมาคือเยอรมันนี ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้ขอบคุณหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ทำให้คนไทยได้เข้าถึงยาในราคาที่เหมาะสม
เห็นชอบเอกสารประชุมเอเปก 4 ฉบับ
ศ. ดร.นฤมล กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติเห็นชอบต่อเอกสารผลลัพธ์การประชุมเอเปก ประจำปี 2562 ที่เจ้าหน้าที่อาวุโสต้องรับรองในนามรัฐมนตรีเอเปกจำนวน 4 ฉบับ ได้แก่ 1) แผนเอเปกว่าด้วยขยะทะเล 2) แผนเอเปกว่าด้วยการแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม 3) แผนซันติอาโกเพื่อสตรีและการเจริญเติบโตที่ครอบคลุม และ 4) รายงานผลลัพธ์การประชุมเอเปก ประจำปี 2562 และอนุมัติให้อธิบดีกรมเศรษฐกิจระหว่างประเทศหรือผู้แทนรับรองเอกสารดังกล่าว
ผ่อนผัน กฟภ.วางสายเคเบิลฯ ในพื้นที่ป่าชายเลน
นางสาวไตรศุลีกล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติอนุมัติในหลักการ เรื่องการขอผ่อนผันการปฏิบัติตามมติ ครม.ที่ห้ามมิให้อนุญาตการใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่าชายเลนในทุกกรณี เพื่อดำเนินโครงการก่อสร้างระบบจำหน่ายด้วยสายเคเบิลใต้น้ำไปยังเกาะต่างๆ ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ที่ ครม.เคยอนุมัติโครงการไปเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2553 วงเงินงบประมาณ 233 ล้านบาท เนื่องจากเป็นโครงการที่จะช่วยให้ประชาชนผู้ใช้ไฟฟ้าในพื้นที่ห่างไกล สามารถเข้าถึงบริการไฟฟ้าที่มีมาตรฐานในอัตราที่เหมาะสม และรองรับการใช้ไฟฟ้าของผู้ใช้ไฟฟ้าบนเกาะที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
“เนื่องจากโครงการบางส่วนอยู่ในพื้นที่ป่าชายเลน ซึ่ง ครม.เคยมีมติห้ามอนุญาตให้ใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่าชายเลนทุกกรณี ทั้งภาครัฐ และภาคเอกชน กฟภ.จึงได้ขอยกเว้นมติ ครม.ดังกล่าว เพื่อดำเนินโครงการก่อสร้างระบบจำหน่ายด้วยการวางสายเคเบิลใต้น้ำ ระบบ 33,000 โวลต์ ยาว 4 กิโลเมตร จากท่าเทียบเรือบ้านทุ่งละออง ไปยังท่าเทียบเรือบ้านทุ่งตบ” นางสาวไตรศุลีกล่าว
ทั้งนี้กระทรวงมหาดไทยได้จัดสรรงบประมาณเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการปลูกป่าทดแทนเพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อมไม่น้อยกว่า 20 เท่า ของพื้นที่ป่าชายเลนที่ กฟภ.นำไปใช้ประโยชน์ ตามความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ผุดไอเดียขยายเมือง เร่งขับเคลื่อน “สมาร์ทซิตี้”
ศ. ดร.นฤมล กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีได้กล่าวในที่ประชุมถึงผลการการประชุมสุดยอดอาเซียน-สาธารณรัฐเกาหลี สมัยพิเศษ ครั้งที่ 3 เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2562 ที่ผ่านมา โดยได้ฝากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น คณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ให้เร่งขับเคลื่อนนการทำสมาร์ทซิตี้ (smart city) หรือเมืองอัจฉริยะ
ทั้งนี้เมืองอัจฉริยะ มี 2 มิติ ประกอบด้วย เมืองที่สร้างขึ้นใหม่ เหมือนกับเมืองปูซาน ที่มี ปูซานอีโค เดลต้า สมาร์ทซิตี้ (Busan Eco-Delta Smart City) และเมืองที่มีอยู่แล้วโดยทำเมืองให้น่าอยู่ยิ่งขึ้น โดยการเอานวัตกรรมความทันสมัย และเทคโนโลยี ใส่เข้าไปในเมือง
“ในส่วนของการสร้างเมืองใหม่นายกรัฐมนตรีได้ฝากให้กระทรวงที่เกี่ยวข้อง พิจารณาดูพื้นที่และมาตรการต่างๆ โดยนายกรัฐมนตรีมีแนวคิด และข้อสั่งการที่จะฝากพิจารณาแนวทางที่จะขยายเมืองของเรา เช่น ขยายกรุงเทพมหานครออกไปรอบนอก โดยสร้างให้เป็นสมาร์ทซิตี้ ข้อสำคัญคือต้องมีเส้นทางคมนาคมที่ไปถึง สมาร์ทซิตี้จึงจะเกิดขึ้นได้” ศ. ดร.นฤมล กล่าว
นอกจากนี้นายกรัฐมนตรียังได้กล่าวถึงงาน Thailand Rubber Expo ซึ่งเป็นมหกรรมสินค้าจากยางพารา ว่า ได้เห็นวิวัฒนาการหลายอย่างที่ทันสมัยครอบคลุมการดูแลเกษตรกรปลูกยางพารา ทั้งระบบ มีการส่งเสริมเกษตรกรอย่างจริงจัง มีการนำงานวิจัยมาพัฒนาต่อยอด จึงฝากทุกกระทรวงให้หันมาใช้ผลิตภัณฑ์จากยางพาราไทยให้มากขึ้น ถ้ายังติดขัดเรื่องกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างอย่างไร ก็ให้เร่งแก้ไข
ศ. ดร.นฤมล กล่าวต่อไปว่า นายกรัฐมนตรี ระบุว่า ทุกครั้งที่เจอแขกจากต่างประเทศ หรือไปเยือนประเทศอื่น ก็จะชักชวนให้สินค้าเกษตรของไทย โดยเฉพาะยางพารา อีกทั้งนายกรัฐมนตรียังได้สั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำฐานข้อมูลขนาดใหญ่ หรือบิ๊กดาต้าเกี่ยวกับเกษตรกร ให้ไปจัดหมวดหมู่ว่าเกษตรกรไทยทำการเกษตรในรูปแบบใดบ้าง พืชชนิดไหนบ้าง เกษตรอินทรี ปศุสัตว์ และครอบคลุมไปถึงการจ้างงานในพื้นที่ เพื่อทำการวิเคราะห์ วางแผนยุทธศาตร์ในภาพรวมต่อการดูแลเกษตรกรไทยอย่างเป็นระบบ เพื่อให้เกิดการพัฒนาเกษตรกรไทยให้เป็นสมาร์ทฟาร์มเมอร์อย่างยั่งยืน
ตั้ง “ทวี เกติสำอาง” นั่งอธิบดีกรมท่าอากาศยาน
นางสาวไตรศุลี กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติแต่งตั้งข้าราชการระดับสูงหลายตำแหน่ง เช่น
- กระทรวงคมนาคม ให้ นายทวี เกติสำอาง รองอธิบดีกรมทางหลวง ไปดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมท่าอากาศยาน, นายพรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ รองอธิบดีกรมการขนส่งทางราง ไปดำรงตำแหน่ง เป็นอธิบดีกรมการขนส่งทางราง
- กระทรวงพาณิชย์ ให้ นายพิทักษ์ อุดมวิชัยวัฒน์ ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ให้ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง, นายสุพพัต อ่องแสงคุณ ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ให้ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง และนายณรงค์ พูลพิพัฒน์ ที่ปรึกษาการพาณิชย์ (นักวิชาการพาณิชย์ทรงคุณวุฒิ) สำนักงานปลัดกระทรวง ให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
- กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ แต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการการยางแห่งประเทศไทยทดแทนตำแหน่ง ที่ดำรงตำแหน่งครบตามวาระแล้ว 3 ปี ประกอบด้วย นายประพันธ์ บุณยเกียรติ ดำรงตำแหน่งเป็นประธานกรรมการ และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิอีก 7 คน ประกอบด้วย นายสังข์เวิน ทวดห้อย, นายสุนทร รักษ์รงค์, นางสาวอรอนงค์ อารินวงค์, นายประสิทธิ์ สืบชนะ,นางสาวสุจิตรา เลาหวัฒนภิญโญ, นายณัฐพล ณัฏฐสมบูรณ์
- แต่งตั้ง พลตรี ชัยพฤกษ์ ด้วงประพัฒน์ เป็นกรรมการใน คณะกรรมการการไฟฟ้านครหลวง เพิ่มเติมโดยมีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติแต่งตั้ง
อ่านมติ ครม.ประจำวันที่ 3 ธันวาคม 2562เพิ่มเติม