ThaiPublica > เกาะกระแส > “บิ๊กตู่”ปัดตอบคดี “ธรรมนัส” – เจ้าตัวยันไม่ลาออก จ่อฟ้องคนปูดข่าว -มติ ครม.ไฟเขียวมาตรการเร่งรัดการลงทุน

“บิ๊กตู่”ปัดตอบคดี “ธรรมนัส” – เจ้าตัวยันไม่ลาออก จ่อฟ้องคนปูดข่าว -มติ ครม.ไฟเขียวมาตรการเร่งรัดการลงทุน

10 กันยายน 2019


พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
ที่มาภาพ: www.thaigov.go.th/

เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2562 ที่ทำเนียบรัฐบาลมีการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยมี พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธาน

ย้อนถามโพล “มีกี่รัฐบาลที่สอบผ่าน”

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามกรณีนิด้าโพลระบุรัฐบาลสอบตกด้านนโยบายเศรษฐกิจว่า ตนไม่ขอตอบตรงนี้ ต้องไปดูโพลทำมาจากใครและใครเป็นคนตอบคำถามเหล่านั้น วันนี้เราเป็นรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้ง มีรัฐมนตรีหลายกระทรวง หลายพรรค ซึ่งทั้งหมดทำงานภายใต้กรอบการบริหารราชการของรัฐบาลที่มีนายกฯ เป็นผู้นำ ดังนั้น การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจมีหลายกระทรวงที่เกี่ยวข้อง ซึ่งวันนี้มีหลายสูตรด้วยกัน จึงจำเป็นต้องมีการประชุม ครม.เศรษฐกิจ เป็นการเฉพาะ จึงเป็นเหตุผลที่ตนไปนั่งตรงนั้น เพื่อรับความคิดจากทุกกระทรวงจากทุกหน่วยงาน เพื่อให้เกิดการแก้ไขรวมกัน และต้องมีการนำเข้า ครม.ใหญ่ด้วย

“ก็มีทั้งหมด 36 ท่านร่วมกันพิจารณา ในส่วนที่หารือกันมาใน ครม.เศรษฐกิจ เพราะฉะนั้นคงไม่ใช่ที่จะเป็นแนวคิดที่ไม่เป็นเอกภาพ แต่เป็นการตกผลึกในชั้นต้นแล้ว เมื่อมีโอกาสก็ต้องทำให้ทุกคนในครม.ได้รับทราบ และเห็นชอบร่วมกันอีกครั้งหนึ่ง จะเห็นว่าหลายโครงการ เมื่อเข้าครม.เศรษฐกิจแล้ว บางอย่างจำเป็นต้องปรับลง นี้คือความเป็นเอกภาพของเรา” 

พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวต่อไปว่า ส่วนที่บอกว่ารัฐบาลสอบตกในการแก้ไขเศรษฐกิจจะสอบได้หรือสอบตกนั้น ตนก็ไม่เห็นว่าที่ผ่านมาจะสอบได้สักกี่รัฐบาล เพราะปัญหาเหล่านี้เป็นปัญหาที่ซับซ้อนมายาวนาน ต้องไปดูว่าปัญหาต่างๆ ได้รับการแก้ไขมากน้อยเพียงใดในรัฐบาลที่ผ่านมา และรัฐบาลนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งเรื่องกฎหมาย กฎระเบียบต่างๆ ในหลายหน่วยงานที่ไม่ได้มีการแก้ไขกันเลย ฉะนั้นคงไม่ใช่แก้ปัญหาอะไรไม่ได้ ในเมื่อเราเข้ามา 5 ปีและกำลังทำต่อในปีแรก เราก็แก้กันต่อไป แต่ทุกอย่างสถานการณ์เป็นตัวกำหนด ปัจจัยภายใน ภายนอก เป็นตัวกำหนด

“อย่าพูดตกร่องกันอยู่เหมือนเดิมเลย เพื่อเป็นการโจมตีรัฐบาลกันเลย ผมคิดว่าไม่เป็นธรรมสำหรับผมเท่าไหร่ ต้องย้อนกลับไปดูว่ามีปัญหาอะไรบ้าง ทุกท่านก็ทราบดีอยู่แล้วอย่าไปลืมตรงนู้น นนี้สถานการณ์ด้านเศรษฐกิจก็มีความขัดแย้งภายในประเทศก็มี ประชาธิปไตยของเราก็มี เพราะฉะนั้นทุกอย่างต้องร่วมมือร่วมใจกันแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนให้ได้โดยคนทั้งประเทศ ซึ่งตนคิดว่าคนไทยทั้งประเทศ คงไม่ยอมให้ใครที่ทำให้ทุกอย่างแย่ไปกว่าเดิม หรือซ้ำเติมไปมากกว่าเดิม ฉะนั้นก็ขอให้ทุกคนมีหลักคิดที่ถูกต้อง” นายกรัฐมนตรี กล่าว

ปัดตอบคดี “ธรรมนัส” – เจ้าตัวยันไม่ลาออก จ่อฟ้องคนปล่อยข่าว

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามถึงเรื่องคดีของ ร.อ. ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่า เรื่องนี้ตนไม่ขอพูด เพราะมีการชี้แจงไปแล้วหลายรอบ

ด้าน ร.อ. ธรรมนัส กล่าวถึงกรณีนายไมเคิล อีวานส์ คอลัมนิสต์ของสื่อออสเตรเลีย ออกมาเปิดเผยข้อมูลว่า ร.อ. ธรรมนัส เคยถูกจำคุกคดียาเสพติด 4 ปี ว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องเมื่อ 30 ปีที่แล้ว ตนได้ชี้แจงไปหมดแล้ว การจะเอาข่าวมาเขียนละเอียดขนาดนั้นต้องมีที่มาที่ไป ซึ่งตนรู้หมดแล้วว่าที่มาที่ไปเป็นอย่างไร ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ตนต้องแก้ไขเอง

เมื่อถามถึงกรณีที่เคยชี้แจงว่าถูกกักตัว 8 เดือน แต่ข่าวระบุถูกจำคุก 4 ปี ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร ร.อ. ธรรมนัส กล่าวว่า เป็นเรื่องรายละเอียดที่ตนตกลงกับศาลออสเตรเลียและเจ้าหน้าที่ตำรวจไว้ เป็นเรื่องที่พูดไม่ได้ แต่ที่เอามาเขียนมีที่มาที่ไป ตนรู้โครงข่ายทั้งหมดแล้ว และมอบหมายทนายความและฝ่ายกฎหมายของตน ดำเนินการทั้งทางแพ่งและอาญา

สำหรับข้อเท็จจริงว่าจำคุก 8 เดือนหรือ 4 ปี นั้นตนได้เคยแถลงข่าวถึงรายละเอียดไปหมดแล้ว จะไม่พูดซ้ำอีก ซึ่งเรื่องบางเรื่องพูดไปไม่มีประโยชน์กับตัวเอง และไม่มีประโยชน์ต่อกระบวนการยุติธรรมของเขา เราไม่ควรจะพูด ทำให้คนอีกหลายคนเขาเสียหาย จะอยู่กับปัจจุบันและอนาคต พร้อมยืนยันว่าตนไม่เคยรับสารภาพ เพราะไม่เคยทำผิดอย่างที่เขียน โดยให้ความเห็นว่าเรื่องนี้คงเป็นเรื่องที่เขียนในประเทศและส่งไปให้นักข่าวออสเตรเลียมากกว่า

“ก่อนหน้านี้ได้รับการติดต่อมาจากนายไมเคิล อีวานส์ หลายรอบแล้ว เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นใหม่ ไม่ตื่นเต้นอะไร คงต้องไปเจาะว่าเขาเป็นเครือข่ายอะไรกับนายไมเคิล เรื่องนี้อย่าให้ผมพูดมากเลย เอาเรื่องชาวบ้านดีกว่า ชาวบ้านเขาเดือดร้อนจะตายกันอยู่แล้ว เวลานี้ทำงานให้พี่น้องประชาชนดีกว่า เรื่องที่เป็นความเดือดร้อนประชาชนมีอีกมาก จะกลับไปย้อนอดีตอยู่ทำไม วนอยู่อย่างนี้ประเทศจะเดินหน้าได้อย่างไร”

เมื่อถามว่า ที่ระบุว่าเป็นเครือข่าย เพราะมีความพยายามดิสเครดิตใช่หรือไม่ ร.อ. ธรรมนัส กล่าวว่า ประมาณนั้น ตนคงไม่พูดอะไรมาก และอาจมีการโยงกับคนนอกประเทศ ไม่เช่นนั้น อยู่ๆ สื่อออสเตรเลียจะพาดหัวข้อข่าวโจมตีตนเพื่ออะไร เพราะเป็นเรื่องภายในประเทศไทย ส่วนจะเปิดเผยเครือข่ายดังกล่าวว่าเป็นใครหรือไม่นั้น เดี๋ยวมันก็เป็นข่าวเอง ฝ่ายกฎหมายตนกำลังดำเนินการอยู่

ร.อ. ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์

“ผมว่าหากข้องใจ เปิดหน้ามาชกกันเลยดีกว่า ไม่ต้องเป็นอีแอบอย่างนี้ ที่พูดไม่ได้จะท้าชก แต่เอามาพูดกันดีกว่า เอาแต่เรื่องอดีตมาพูด เราอยากจมอยู่กับอดีตหรือจะอยู่กับอนาคต”ร.อ. ธรรมนัส กล่าว

ทั้งนี้หากใครพูดเรื่องอดีตอีกตนจะไม่โต้ตอบ แต่จะดำเนินคดีทุกอย่าง ยืนยันจะทำงานต่อไปไม่ลาออก เพราะไม่มีเหตุผลต้องลาออก ตนเป็นลูกผู้ชายอยู่บนโลกความเป็นจริง และเรื่องนี้เป็นเรื่องส่วนตัว และจะพิสูจน์ให้เห็นว่าตนจะทำงานให้ประชาชนและแผ่นดิน

ทั้งนี้ ร.อ. ธรรมนัส ได้กล่าวถึงกระแสข่าวที่สร้างความไม่พอใจให้กับพรรคเล็ก ที่ตนได้เปรียบพรรคเล็กเป็นลิงกินกล้วย ว่าตนต้องขอโทษที่ไปล้อเล่นมากเกินไป ไม่เจตนาที่จะเปรียบเทียบให้เป็นสัตว์อะไร ตนเองผิดเองเพราะสนิทกันมาก และเป็นพี่น้องกัน จนลืมคิดไปว่าอาจจะทำให้ทุกคนเสียความรู้สึก ซึ่งตนได้โทรไปขอโทษกับทุกคนแล้ว และทุกคนเข้าใจดีว่าตนไม่เจตนา

ไม่หวั่นฝ่ายค้านซักฟอก 18 ก.ย.นี้ – ชี้มีตำหนิทุกรัฐบาล

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามถึงการอภิปรายในวันที่ 18 กันยายน 2562 นี้ หวั่นไจหรือไม่ที่จะตกเป็นเป้าของฝ่ายค้านว่า เรื่องของวันที่ 18 นั้นตนไม่หวั่นเกรงใดๆ ทั้งสิ้น จะต้องหวั่นอะไรเมื่อตนทำของตน ตนก็พร้อมรับผิดชอบ และตนทำไปด้วยเจตนาบริสุทธิ์ ฉะนั้นทุกอย่างเป็นเรื่องของกระบวนการ เรื่องในสภาก็ว่ากันในสภา ซึ่งตนก็คิดว่าบรรดาสมาชิกสภาผู้ทรงเกียรติทั้งหลายรู้กันดีอยู่และมาจากหลายฝ่ายด้วยกัน ฉะนั้นเรื่องอะไรที่ไม่เกิดประโยชน์เขาก็คงไม่ชอบ เพราะหลายคนก็อยากทำให้สภาไทยเป็นที่ยอมรับ ให้มีน้ำดีมากกว่าน้ำไม่ดี แต่ใครจะดีหรือไม่ดีเป็นเรื่องที่ประชาชนตัดสินเอง เพราะประชาชนเป็นผู้เลือกเข้ามา

ต่อกรณีข้อครหาว่าเป็นรัฐบาลมีตำหนินั้น พล.อ. ประยุทธ์ ถามย้อนกลับว่ารัฐบาลอื่นไม่มีตำหนิหรือ ซึ่งทุกรัฐบาลมีตำหนิ เพียงแต่กฎหมายเขียนว่าอย่างไร ถ้ากระบวนการตรวจสอบทางยุติธรรมยังไม่เสร็จสิ้นก็ต้องรอ ยืนยันว่าทุกคนที่เข้ามาทำงานวันนี้ผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติกันหมดแล้ว หากผิดอะไรต่างๆ ก็มีผลย้อนหลังกันทุกเรื่องในคดีที่ค้างคาอยู่

“คนที่พูดไปย้อนกลับดูสิว่ารัฐบาลที่ผ่านมามีปัญหากันบ้างหรือไม่ ก็มีกันทุกคนนั่นแหละ ถึงเวลาก็อ้างแบบที่ผมอ้างนั่นแปละ ถึงเวลาที่เขาตัดสินมาผิดก็บอกว่าไม่เป็นธรรมอีก แต่ผมไม่เคยทำอย่างนั้น” นายกรัฐมนตรีกล่าว

สั่ง DSI ทำคดี “บิลลี่” เต็มที่ – ชี้คนผิดต้องถูกลงโทษ

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามถึงกรณีสำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ เรียกร้องให้รัฐบาลไทยเร่งสอบสวนคดีของนายพอละจี รักจงเจริญ หรือบิลลี่ และนำผู้ก่อเหตุมาดำเนินคดีพร้อมชดเชยผู้เสียหายและครอบครัว รวมทั้งออกกฎหมายตามหลักสากลและลงสัตยาบันในอนุสัญญาที่เกี่ยวข้องอันเนื่องมาจากคดีของบิลลี่ ว่าตนในฐานะกำกับดูแลดีเอสไออยู่แล้วตนก็ได้ให้แนวทางไปแล้วว่า ขอให้ตรวจสอบด้วยความยุติธรรมเที่ยงธรรม และให้ความเป็นธรรม ซึ่งไม่ว่าใครก็ตามที่ทำผิดกฎหมายจะต้องถูกลงโทษและดำเนินคดีตามกฎหมายทุกประการ

“ผมไม่เข้าข้างใครอยู่แล้ว ฉะนั้นก็เป็นไปตามวัตถุพยานต่างๆ ผมก็ให้ดีเอสไอดำเนินการให้เต็มที่ ในส่วนของต่างประเทศก็รับฟังมา แต่ทั้งหมดก็เป็นไปตามกฎหมายไทยทุกประการ ฉะนั้นการไปเร่งรัดให้ทำเร็วๆ เป็นการไปกดดันเจ้าหน้าที่มากเกินไปอาจทำให้เกิดความผิดพลาดได้” นายกรัฐมนตรี กล่าว

ทั้งนี้ขอเวลาให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการ ซึ่งทราบว่าในวันที่ 12 กันยายน 2562 นี้ ในกรอบการเยียวยาก็จะให้ความดูแลในเรื่องเงินเยียวยา ของใช้ต่างๆ ส่วนการต่อสู้คดีนั้นมีกองทุนยุติธรรมที่ตั้งไว้ต้องนำมาใช้ประโยชน์ให้มากที่สุด

เผย 5 ปี ทำโครงการแก้ปัญหาน้ำเพิ่ม 4 เท่าตัว ประหยัดงบฯเยียวยากว่า 2 หมื่นล้าน

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามถึงการตั้งวอร์รูมน้ำ ว่า ตนพูดไปหลายครั้งแล้วว่าเรื่องภัยพิบัติต่างๆ นั้นรัฐบาลมีหน่วยงานดูแลของรัฐบาลในระดับบนอยู่แล้ว มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน รองลงมาข้างล่างก็เป็นระดับพื้นที่ ซึ่งกระทรวงมหาดไทยจะเป็นประธานในการดำเนินงานส่วนนี้ โดยรัฐบาลมีหน้าที่ในการกำหนดนโยบาย ติดตามการแก้ปัญหา หามาตรการใหม่ๆ นำแผนงานโครงการไปสนับสนุนส่วนล่าง

ส่วนในเรื่องของการบริการจัดการน้ำ พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ก็มีการประชุมอยู่เป็นประจำ ในการจัดทำแผนแม่บท และการบูรณาการต่างๆ ยืนยันว่ารัฐบาลดำเนินการวางแผนต่างๆ ไว้หมดแล้ว

“ที่ผ่านมาเราดำเนินการมา 5 ปีอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสามารถทำให้ทุกกิจกรรมเพิ่มขึ้นถึง 4 เท่า ของรัฐบาลก่อนหน้า และสามารถลดความเสียหายได้เป็นจำนวนมาก ซึ่งในเวลาปกติที่มีภัยพิบัติก็มีความเสียหายที่รัฐบาลต้องช่วยเยียวยาอยู่ทุกปี ปีละประมาณ 30,000-40,000 ล้านบาท ซึ่งปีนี้ลดลงมาเหลือเพียงประมาณ 10,000 ล้านบาท” นายกรัฐมนตรีกล่าว

อย่างไรก็ตาม พล.อ. ประยุทธ์ ชี้แจงว่า ในขณะนี้มีปัญหาคือฝนตกเกินกว่าปริมาณปกติทั่วไป ซึ่งการลงพื้นที่ จ.ยโสธร และ จ.อุบลราชธานี เมื่อวาน เขาก็บอกว่าอยู่มา 45 ปี แล้วไม่เคยเห็นฝนตกมากเท่านี้มาก่อน จากทั้งปีต้องมีปริมาณฝนเฉลี่ยราว 1,200 มิลลิเมตร แต่ครั้งนี้เพียง 5 วัน ปริมาณน้ำฝนก็สูงถึง 500 มิลลิเมตร

ทั้งนี้สำหรับประชาชนที่ได้รับผลกระทบ ไมว่าจะเป็น เกษตรกร ชาวนา พื้นที่ปศุสัตว์ การเกษตร และประมงต่างๆ ซึ่งกระทรวงการคลังก็มีมาตรการการเยียวยาขั้นต้นอยู่แล้ว ส่วนรัฐบาลมีหน้าที่ไปตรวจเยี่ยม ว่าตนสามารถดูและอะไรเพิ่มขึ้นได้บ้าง และนอกจากนี้อาจต้องมีการช่วยเหลือในต้นทุนการปลูกพืช ฯลฯ หากยังเพราะปลูกไม่ได้ก็ต้องหาอาชีพอื่นให้ ประกอบกับวันนี้กำลังเร่งพิจารณาหนทางใหม่ๆ ในการช่วยเหลือเยียวยาประชาชนในระยะยาว เช่น การทำแก้มลิง

“นี่คือสิ่งที่ผมไป ความมุ่งหมายผมมีอย่างนี้ ไปปลุกขวัญกำลังใจเขา ว่านายกฯ ก็ไม่ได้ทอดทิ้งเขา ผมจะทิ้งเขาได้อย่างไร ถึงผมไม่ได้ไปก็เหมือนกัน ผมก็ได้รับรายงานทุกวัน แต่ผมต้องการไปในพื้นที่อย่างน้อยก็ให้เกิดความไว้วางใจซื้งกันและกัน ใรการเยียวยาจะต้องตรวจสอบให้ดี และประชาชนก็ต้องรักษาสิทธิของตน ต้องไม่มีการทุจริต ซึ่งต้องใช้เงินทุกบาทให้คุ้มค่า”

“นโยบายทุกนโยบายกำหนดมาเพื่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงเพื่อให้ดีขึ้น หลายคนยังไปปิดเบือนอยู่ ว่านู่นว่านี่กันขึ้นมา ถ้าทำดีแล้วมันไม่เป็นถึงขนาดนี้หรอก ซึ่งตนไม่คยปฏิเสธความรับผิดชอบ ทำอย่างไรให้ดีขึ้น อย่างไรให้ต่อเนื่องนั่นคือประเด็นสำคัญของไทย จะเอาประเด็นอะไรมาโจมตีกันตอนนี้ไม่เกิดอะไรขึ้นทั้งสิ้น ฉะนั้นอย่าไปหลงเชื่อในสิ่งที่ไม่ใช่” นายกรัฐมนตรีกล่าว

เมื่อถามถึงเงินเยียวยาที่ต้องจ่ายชดเชยให้แก่ผู้ประสบภัยเพิ่มนั้น นายกรัฐมนตรีระบุว่า ต้องไปดูตามมาตรฐานว่าต้องจ่ายอย่างไร และต้องดูว่าต้องให้เพิ่มในส่วนไหน เพราะมีหลายกลุ่มด้วยกัน ซึ่งต้องหาวิธีการเพราะการใช้งบประมาณของรัฐบาลต้องถูกตรวจสอบโดยสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ด้วย ไม่ใช่จะเอาแต่คะแนนรักนายกฯ รักรัฐบาล ก็ให้ไปหมดแล้วจะให้เงินที่ไหน ต้องเห็นใจกันบ้างในส่วนนี้ ให้น้อยไม่ดี ให้มากดีหมด นั่นคือปัญหา

พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวต่อไปว่า ต้องเข้าใจว่าวันนี้เป็นภัยจากพายุ อเมริกา ญี่ปุ่น เวียดนาม ลาว โดนหมด ไม่ใช่แค่ประเทศเรา จึงต้องสื่อสารให้ประชาชนเข้าใจในการอยู่กับธรรมชาติที่เราบังคับไม่ได้ ต้องเรียนรู้ พูดไปหมดแล้ว แต่ที่สำคัญเกษตรกรยังถูกบิดเบือนจากคนบางส่วน บางกลุ่ม ว่ารัฐบาลต้องช่วยตรงนี้ ให้เงินเท่านี้เท่านั้น ถ้าสอนอย่างนี้ไม่มีวันไปได้ประเทศไทย มาตรการใหม่ๆออกมาทำไม่ได้อีก กลายเป็นรัฐบาลไม่ดูแลคนมีรายได้น้อย ก็กลับมาวงจรเดิม แล้วจะไปอย่างไรประเทศไทย ประชาชนเดือดร้อน ใครรับผิดชอบ รัฐบาลรับผิดชอบแน่นอน แต่คนสื่อสารรับผิดชอบกันบ้างหรือเปล่า การที่นายกฯ ไปทุกจังหวัดไม่ได้อยู่แล้ว แต่ไปเป็นภาค แล้วก็วนกลับมา เป็นหน้าที่รัฐบาล ไปได้ทุกพื้นที่ แต่ก่อนไปทุกพื้นที่หรือไม่ ตนบอกรัฐบาลนี้ต้องไปได้ทุกพื้นที่ ตนก็ไม่เห็นประชาชนรังเกียจเดียดฉันด์อะไรตนเลยสักที่ทุกจังหวัดไม่ว่าพื้นที่ใครก็ตาม

“จะกลับไปที่เดิมไม่ได้อีกแล้ว เพราะฉะนั้นใครที่ยุยงปลุกปั่นแบบนี้ใช้ไม่ได้ ก็เป็นเรื่องกฎหมายว่ากันไปในอนาคต ถ้าทุกคนไม่เกรงกลัวกฎหมาย ไม่เอากฎหมายเป็นพื้นฐานการทำงาน ก็ไปไม่ได้หมดสักอัน ตีกันรวนไปหมด แล้วไปดูกฎหมายไม่เป็นธรรมตรงไหนไปว่ากัน แต่ไม่ใช่เอากฎหมายเป็นข้อขัดแย้งทั้งหมดทุกอัน ไม่ได้ ไม่มีประเทศไหนอยู่โดยไม่ใช้กฎหมาย อ้างว่ารัฐธรรมนูญแต่ไม่เคารพกฎหมายอื่น ก็ไม่ได้อีก รัฐธรรมนูญเขียนไว้ทุกข้อทุกมาตรา เขามีบทลงโทษหมด ถ้าไม่มีบทลงโทษก็อีกเรื่องนึง มันเป็นกรอบกว้างๆ ในการบริหารราชการแผ่นดิน เข้าใจกรอบกว้างๆ ไหม แล้วกฎหมายลูกมีไว้เพื่ออะไร เพื่อบังคับให้ทำงานตามรัฐธรรมนูญ เข้าใจซะบ้าง เวลาอธิบายคน รัฐธรรมนูญคืออะไร ครอบคลุมอย่างไร ก็คือกรอบกว้างๆ แล้วมีมาตรานี้ แล้วมาตรานี้มี พ.ร.บ. มีอะไรกำหนด ต้องทำตามนี้ เข้าใจหรือยัง”พล.อ. ประยุทธ์ กล่าว

สั่งคมนาคมยื่นอุทธรณ์ “คดีโฮปเวลล์” ก่อน 20 ก.ย.นี้

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามความคืบหน้าคดีโฮปเวลล์ ว่า วันนี้ตนได้มอบหมายให้แก่กระทรวงคมนาคมไปแล้ว ซึ่งขณะนี้กำลังรวบรวมข้อมูลที่จะยื่นอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุด ที่จะครบกำหนดในวันที่ 20 กันยายน 2562 นี้ ซึ่งมีหลายเรืองเป็นประเด็นสำคัญ ขอให้รอผลการดำเนินการในเรื่องนี้ไปก่อน ส่วนการเจรจาพูดคุยก็ทำคู่ขนายกันไป

“หลายเรื่องนั้น บางครั้งเรื่องที่เป็นปัญหาอยู่ เกิดขึ้นมายาวนานแล้ว แต่เราก็แก้ ไม่ว่ารัฐบาลไหนก็ต้องแก้ ซึ่งเรื่องนี้ผ่านมากี่รัฐบาลแล้วไม่ได้แก้ พอรัฐบาลนี้ก็ต้องแก้ ศาลตัดสินอย่างไรต้องพิจารณาว่าจะแก้ปัญหาอย่างไร หลายอย่างต้องใช้กฎหมาย หลายอย่างต้องใช้การเจรจาควบคู่กันไป เพื่อหามาตรการที่เหมาะสม” นายกรัฐมนตรีกล่าว

ติงภาพวาดพระอุลตร้าแมน ถือเป็นความคิดสร้างสรรค์ แต่ไม่ควรกระทบจิตใจปชช.

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามกล่าวถึงกรณีที่มีการ วิพากษ์วิจารณ์ผลงานจิตรกรรมพระพุทธรูปอุลตร้าแมนว่า เรื่องนี้นักศึกษาก็ได้ออกมาขอโทษแล้ว ซึ่งทางกระทรวงวัฒนธรรมก็ได้เข้าไปดูแลอยู่แล้ว ทั้งนี้ตนไม่ปฏิเสธความคิดสร้าง แต่ก็ควรจะสร้างสรรค์สิ่งที่ไม่มีผลกระทบต่อจิดใจของประชาชน

ส่วนคดีเงินทอนวัดนั้น เป็นเรื่องของทางสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และทางมหาเถรสมาคมตต้องดูแลเรื่องนี้กันต่อไป

เตือนฝ่ายค้าน “เดินสายรณรงค์แก้ รธน.” ระวังบานปลาย

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามกรณีที่ฝ่ายค้านเดินสายรณรงค์ให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ว่า วันนี้เรื่องนี้หลายคนออกมาพูดแล้วตนก็ไม่ขอพูดซ้ำ จะแก้ไข แก้ปัญหาอะไรอย่างไร ที่มารัฐธรรมนูญเป็นอย่างไร จะแก้ประเด็นไหน ประเด็นไหนเกี่ยวข้องกับประชาชน ประเด็นไหนเกี่ยวข้องกับนักการเมือง หรือการเมือง ซึ่งถ้าจะบอกว่า ทุกอย่างมาจากรัฐธรรมนูญคงไม่ใช่ทั้งหมด ตนคิดว่าปัญหาอยู่ที่คนมากกว่า ซึ่งรัฐธรรมนูญผ่านประชามติมาแล้ว จะทำอย่างไรต่อไปตรงนี้ ก็ต้องไปหาวิธีการ ยืนยันว่าตนไม่ขัดขวาง

แต่อย่างไรก็ตามตนเห็นว่าการจะออกมาเดินสายแก้รัฐธรรมนูญนั้นไม่เหมาะสม อย่าลืมว่าการเดินรณรงค์ต่างๆ ก็มีกฎหมายกำกับ ไม่ใช่ว่ารัฐบาลจะไปห้าม แต่ไม่ต้องการให้บานปลาย เพราะเมื่อมีการปลุกระดมออกมาแล้วก็ไม่เคยหยุดได้ ก็มีปัญหากันมาทุกรัฐบาล

ปลื้มตัวเลขท่องเที่ยวโต คาดทั้งปี 40 ล้านคน โกยรายได้ 2 ล้านล้าน

พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวต่อไปว่าวันนี้ตนดีใจเรื่องการท่องเที่ยวที่คาดว่าจะเป็นไปตามเป้าที่กำหนดไว้ ซึ่งรายงานผลในรอบ 8 เดือน ก็สูงกว่าในปีที่ผ่านมา ซึ่งตนคาดว่าเมื่อรวมอีก 4 เดือนที่จะเป็นช่วงไฮท์ซีซั่น ทั้งปีจะมีปริมาณนักท่องเที่ยวราว 40 ล้านคน ซึ่งทำรายได้ให้ประเทศราว 2 ล้านล้านบาท

“แต่ผมยืนยันว่าผมก็ต้องดูแลคนในพื้นที่ให้ได้ในเรื่องของการใช้สาธารณูปโภคพื้นฐาน ประปา ไฟฟ้า ต้องไม่เดือดร้อน และเน้นเในเรื่องของการบริหารจัดการขยะ การจัดระเบียบที่จอดรถต่างๆ เพื่อให้รายได้กลับคืนมาสู่ประชาชนข้างล่างในการจับจ่ายซื้อของ ไม่ว่จะเป็น OTOP หรือสินค้าชุมชนต่างๆ ก็ต้องใช้ประโยชน์จากการท่องเที่ยวตรงนี้”

ทั้งนี้ตนอยากให้ทุกคนเข้าใจการทำงานของรัฐบาล ว่าเป็นในเรื่องอำนวยความสะดวก ใช้กฎหมายให้เกิดความเป็นธรรมในการประกอบกิจการ รัฐบาลไม่ได้ไปประกอบการเองใดๆ ทั้งสิ้น ซึ่งรัฐบาลได้ปรับแก้ข้อขัดข้องต่างๆ ไปแล้ว แต่ก็ต้องใช้เวลาในการเปลี่ยนแปลงอีกมากพอสมควร เพราะเป็นปัญหาที่หมักหมมมานาน

เมื่อถามว่าจะมีการประกาศวันหยุดเพิ่มอีกหรือไม่กรณีที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเตรียมเสนอให้ข้าราชการและพนักงานรัฐวิสาหกิจลาหยุดได้ 2 วันเพื่อการท่องเที่ยวในไทยนั้น นายกรัฐมนตรีระบุว่า เรื่องนี้เดี๋ยวไปว่ากันอีกที เพราะเมื่อบอกว่าเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยว ตนก็ถูกโจมตีตลอดว่าส่งให้คนไปเที่ยว โดยอธิบายมาตรการจ่ายเงิน 1,000 บาท ผ่านอี-วอลเลต ในมาตรการ “ชิม ช็อป ใช้” นั้นหากไม่ไปเที่ยวรัฐก็ไม่ต้องเสียเงิน ไม่ใช่แค่ให้ 1,000 บาทให้คนไปเที่ยว

“บางคนบอกว่า 1,000 บาทจะเที่ยวพอที่ไหน เขาเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ ให้คนไปซื้อของ หากเขาไม่ซื้อของก็ไม่ต้องจ่ายเงิน รัฐบาลก็ไม่เสียเงิน รัฐบาลคิดแบบนี้ไม่ใช่ให้เงินเปล่า” นายกรัฐมนตรีกล่าว

สั่งล่ามือปล่อย “ข่าวปลอม” โจมตีรัฐบาล

โดยนายกรัฐมนตรีกล่าวทิ้งท้ายว่า ตนไม่มีปัญหาอะไรกับโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เมื่อวานก็ลงพื้นที่ด้วยกัน ทุกคนทำงานร่วมกันไม่มีปัญหาอะไรเลย ต้องเห็นใจตนในฐานะนายกรัฐมนตรี ที่ต้องทำให้ทุกอย่างไปด้วยกันให้ได้ ฉะนั้นทุกคนก็พร้อมจะร่วมมือกับตน ในฐานะที่ตนเป้นหัวหน้ารัฐบาล

“ไม่ว่าจะมาจากพรรคไหนก็ตาม ในเมื่อเป็นพรรคร่วมรัฐบาลทุกคนก็ต้องไปร่วมกับรัฐบาลในสิ่งที่ถูกที่ควร สิ่งที่สร้างสรรค์ หากรัฐบาลทำไม่ดี รัฐบาลก็อยู่ไม่ได้เอง ผมเองก็ต้องรับผิดชอบ ฉะนั้นทุกคนก็ต้องร่วมรับผิดชอบกับผมไปด้วยในการที่จะขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาล ไม่ใช่แตกกันไปหมด ไม่เป็นเอกภาพ จะไม่เป็นเอกภาพได้อย่างไรในเมื่อมีนายกรัฐมนตรีคนเดียวกัน ผมก็เป็นผมอยู่แบบนี้ ในการประชุม ครม.ผมก็พูดเหมือนเดิม เหมือน 5 ปีที่ผ่านมาว่าผมต้องการอย่างนี้อย่างนั้น ทุกคนก็ร่วมมือกันดี มีเหตุมีผล ผมก็สามารถปรับได้หากมีเหตุผลอันสมควร ไม่ใช่ว่าผมใช่อำนาจ ผมทำงานเป็นแต่ก่อนผมก็ไม่ได้ใช้อำนาจ ไม่ใช่จะไปสั่งนู่นนี่ได้ที่ไหน ก็ต้องรับฟังความคิดเห็นจากรัฐมนตรีทุกคน ไม่ว่าจะมาจากไหนก็ตาม วันนี้มาจากการเมืองผมก็ต้องทำให้ดีที่สุด” นายกรัฐมนตรีกล่าว

ต่อกรณีการบิดเบือนข้อมูลรัฐบาลในโซเชียลมีเดีย นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ตนได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปตรวจสอบข่าวปลอมที่ออกมาในวันนี้ มาจากใครที่ไหนอย่างไร เพื่อจะได้เริ่มจับกุมดำเนินคดีสำหรับผู้ที่เผยแพร่คนแรก ซึ่งปล่อยข่าวปลอมออกมา เดี๋ยวคงมีผลงานปรากฏออกมา

ดังนั้น ขอให้ระมัดระวังคนที่จะแชร์ต่อ ไม่ทราบว่าเผยแพร่ออกมาเพื่ออะไร หลายอย่างบอกว่ารัฐบาลจะทำนั่นทำนี่ให้ เพิ่มเบี้ยเลี้ยงตรงนั้นตรงนี้ให้ ซึ่งรัฐบาลยังไม่มีขีดความสามารถจะเพิ่มเงินต่างๆ ให้มากมายอย่างที่เผยแพร่กันทางโทรศัพท์ ทำให้หลายคนไม่เข้าใจกลายเป็นว่ารัฐบาลไม่ดูแล แต่รัฐบาลจำเป็นต้องดูแลทั้งข้างบน ตรงกลางและข้างล่าง วันนี้ข้างล่างเรายังอ่อนแอ ไม่เข้มแข็ง ยังเผชิญกับปัญหาเศรษฐกิจระดับล่าง เกษตรน้ำท่วมฝนแล้ง เราต้องแก้ข้างล้างพร้อมกับตรงกลางและข้างบนที่มีความเข้มแข็งอยู่แล้ว หรือไปเพิ่มขีดความสามารถทุกภาคส่วนให้เข้มแข็งมากขึ้น

มติ ครม. มีดังนี้

นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี, ศ. ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และนางสาวไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (ซ้าย-ขาว)
ที่มาภาพ : www.thaigov.go.th/

ต่ออายุเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มที่อัตรา 7% อีกปี

ศ. ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ครม.มีมติขยายระยะเวลาต่ออายุการลดภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือ VAT ที่ 7% จากที่กฎหมายกำหนดไว้ที่ 10% ออกไปอีก 1 ปี จากเดิมจะสิ้นสุดในวันที่ 30 กันยายน 2562 ออกไปเป็นถึงวันที่ 30 กันยายน 2563

โดย พล.อ. ประยุทธ์ได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปหาหแนวทางปรับปรุงกฎหมายให้เป็นลักษณะปลายเปิดมากขึ้น เพื่อที่จะได้ไม่ต้องนำเข้ามาให้ ครม.พิจารณาทุกปี เพราะต้องเสียเวลาทำเรื่องเสนอเข้าที่ประชุมนานกว่า 2 เดือน ทั้งนี้ คาดว่าการต่ออายุการลดภาษีมูลค่าเพิ่มต่อไปจะทำให้รัฐเสียรายได้อีกประมาณ 240,000 ล้านบาท

ลูกจ้าง รสก.เฮ ทำงานเกิน 20 ปี รับเงินชดเชยเพิ่ม

ศ. ดร.นฤมล กล่าวว่า ครม.เห็นชอบร่างประกาศคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่อง มาตรฐานขั้นต่ำของสภาพการจ้างในรัฐวิสาหกิจ (ฉบับที่ ..) ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ จากการประชุมของคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ ที่ได้มีมติเห็นชอบให้ปรับเพิ่มอัตราค่าชดเชยขยายสิทธิให้แก่ลูกจ้างซึ่งทำงานติดต่อกันครบ 20 ปีขึ้นไป ให้ได้รับไม่น้อยกว่าค่าจ้างอัตราสุดท้าย 400 วัน และปรับเพิ่มเงินเพื่อตอบแทนความชอบในการทำงานเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย 400 วัน เป็นการตอบแทนที่ได้ทำคุณประโยชน์ให้แก่รัฐวิสาหกิจติดต่อเป็นระยะเวลายาวนาน

คาดจัดระเบียบสายไฟลงดินเสร็จ มิ.ย.63

ศ. ดร.นฤมล กล่าวว่า ครม.รับทราบความคืบหน้าของการจัดระเบียบสายไฟลงใต้ดินว่าคาดว่าการไฟฟ้านครหลวงและการไฟฟ้าฝ่ายภูมิภาคจะสามารถนำสายไฟส่วนที่ไม่ได้ใช้งานลงใต้ดินได้ภายในเดือนมิถุนายน 2563 ขณะที่สายไฟที่เหลือจะมีแผนงานทยอยนำลงใต้ดินต่อไป คาดว่าจะเห็นความสวยงามเป็นระเบียบเรียบร้อยมากขึ้นในระยะข้างหน้าต่อไป

ไฟเขียวมาตรการเร่งรัดการลงทุน

ผศ. ดร.รัชดา กล่าวว่า ครม.เห็นชอบตามที่ที่ประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ (ครม.เศรษฐกิจ) เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2562 เห็นชอบแพ็คเกจเร่งรัดการลงทุนและรองรับการย้ายฐานการผลิตสืบเนื่องจากผลกระทบของสงครามการค้า หรือ Thailand Plus Package 7 ด้าน ดังนี้

1. ด้านสิทธิประโยชน์ ให้บีโอไอกำหนดมาตรการสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมเพื่อเร่งรัดการลงทุน โดยลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคลร้อยละ 50 เป็นเวลา 5 ปี เพิ่มเติมจากเกณฑ์ปกติ สำหรับโครงการที่มีเงินลงทุนจริงอย่างน้อย 1,000 ล้านบาท ภายในปี 2564 โดยต้องยื่นขอรับการส่งเสริมภายในปี 2563

2. ด้านการปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินการของหน่วยงาน ให้จัดตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนและประสานงานการลงทุน ในลักษณะ One Stop Service โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน เพื่ออำนวยความสะดวกและช่วยแก้ไขปัญหาและอุปสรรคแก่นักลงทุน รวมทั้งให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) มอบอำนาจแก่สกท.สามารถอนุมัติโครงการในกลุ่มกิจการที่ไม่ได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลทุกขนาดการลงทุนเพื่อตอบสนองนักลงทุนที่ต้องการย้ายฐานโดยเร็ว

3. ด้านบุคลากร ให้กำหนดมาตรการการคลังเพื่อสนับสนุนการฝึกอบรมแรงงาน โดยให้ผู้ประกอบการนำเงินลงทุนหรือค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมที่เข้าข่าย Advanced Technology ไปหักลดหย่อนเพิ่มขึ้น 250% ระหว่างปี 2562 – 2563 รวมทั้งให้มีมาตรการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการจ้างงานบุคลากรใหม่ทักษะสูงในสาขาด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และวิศวกรรมขั้นสูง โดยสามารถนำค่าจ้างไปหักค่าใช้จ่ายได้ 250% เช่นเดียวกันในระหว่างปี 2562-2563

นอกจากนี้ ในกรณีของโครงการลงทุนที่ได้รับการส่งเสริมและยังมีสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้อยู่ บีโอไอจะอนุญาตให้นำค่าใช้จ่ายด้านการฝึกอบรมที่เข้าข่ายเป็น Advanced Technology ไปคำนวณรวมเป็นวงเงินยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลได้เป็นร้อยละ 200 รวมทั้งให้บีโอไอและกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ร่วมกันนำเสนอแนวทางและรูปแบบการนำเงินกองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันฯ มาใช้สนับสนุนการจัดตั้งสถาบันการศึกษาศักยภาพสูง

4. ด้านความสะดวกในการประกอบธุรกิจ (Ease of Doing Business) มอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์เร่งปรับปรุงบัญชีแนบท้ายตามพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542 และกฎหมายที่เป็นอุปสรรคและข้อจำกัดต่อการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย นอกจากนี้ยังขอให้บีโอไอ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดเชื่อมโยงข้อมูล เพื่ออำนวยความสะดวกแก่นักลงทุน เช่น กรมศุลกากร กรมสรรพากร กรมโรงงานอุตสาหกรรม และกรมที่ดิน เป็นต้น รวมทั้งให้มีการปรับปรุงกฎระเบียบเรื่องวีซ่าและใบอนุญาตทำงาน เพื่ออำนวยความสะดวกแก่นักลงทุนมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มที่มีความเชี่ยวชาญสูง

5. ด้านที่ดิน มอบหมายให้การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เตรียมจัดหาและพัฒนาพื้นที่ที่เหมาะสม เพื่อรองรับการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติแต่ละประเทศเป็นการเฉพาะ เช่น เกาหลี จีน ไต้หวัน

6. ด้านตลาด ขอให้กระทรวงพาณิชย์เร่งสรุปผลการศึกษาและกระบวนการต่างๆ ให้ได้ข้อสรุปเรื่องการฟื้นการเจรจาความตกลงการค้าไทย–อียู และการเข้าร่วมความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจเอเชียแปซิฟิก (CPTPP) ภายในปี 2562 รวมทั้งมอบให้สำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรงบประมาณแก่กระทรวงพาณิชย์ สำหรับกองทุนช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากการเปิดเสรีทางการค้าด้วย

7. ด้านห่วงโซ่อุปทาน ให้กระทรวงการคลังกำหนดมาตรการเพิ่มเติม โดยให้หักเงินลงทุนด้านระบบอัตโนมัติได้เพิ่มขึ้นเป็น 200% ระหว่างปี 2562-2563 เพื่อกระตุ้นให้เกิดการลงทุนปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตด้วยระบบอัตโนมัติ อันจะช่วยเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับห่วงโซ่อุปทานในประเทศไทย

สุดท้ายด้านการชักจูงการลงทุนและการตลาดเชิงรุก บีโอไอจะร่วมกับหน่วยงานพันธมิตรเพื่อจัดทีมบูรณาการโรดโชว์และทำการตลาดเชิงรุก โดยเน้นชักจูงนักลงทุนในประเทศเป้าหมาย ได้แก่ ประเทศจีน ญี่ปุ่น ไต้หวัน และเกาหลี เป็นต้น โดยคาดว่าจะใช้งบประมาณส่วนนี้ 50 ล้านบาท

ปรับแก้เงื่อนไขมาตรการ “ชิม-ช้อป-ใช้” ดึงร้านค้าเข้าร่วม

ศ. ดร.นฤมล กล่าวว่า ครม.มีมติเห็นชอบแก้ไขเงื่อนไขในมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศ “ชิม ช้อป ใช้” เพื่อให้สอดคล้องกับแนวปฏิบัติและเกิดประโยชน์กับประชาชนมากยิ่งขึ้น ในประเด็นต่อไปนี้

1) ประชาชนที่ลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ที่กำหนดเพื่อเข้าร่วมมาตรการต้องลงทะเบียนเดินทางท่องเที่ยวตามเงื่อนไขที่กระทรวงการคลังกำหนดจากเดิมที่ต้องลงทะเบียนก่อนเดินทางท่องเที่ยวอย่างน้อย 2 วัน

2) เพิ่มเติมรายการที่ใช้จ่าย โดยเพิ่มบริการต่างๆตามปกติของที่พักนั้นจากเดิมที่ให้เฉพาะค่าที่พัก และเพิ่มรายจ่ายในค่าซื้อสินค้าจากร้านธงฟ้าประชารัฐ ค่าบริการที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวในท้องถิ่นนั้น เช่น สปา การเช่าพาหนะค่าบริการนำเที่ยวในพื้นที่ โดยให้เหตุผลว่าเพื่อกระตุ้นให้เกิดการท่องเที่ยวแบบครบวงวรและให้สอดคล้องกับพฤติกรรมการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวและให้การใช้จ่ายกระจายลงไปในเศรษฐกิจฐานรากด้วย

ด้านนางสาวไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวเพิ่มเติมว่าจำนวนนักท่องเที่ยวไทยในช่วงเดือนมกราคมถึงสิงหาคม 2562 มีจำนวน 103.53 ล้านคน เพิ่มขึ้น 1.29% จากปีก่อนหน้า และมีรายได้ท่องเที่ยวจำนวน 710,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.71% จากปีก่อนหน้า โดยจังหวัดที่ขยายตัวด้านการท่องเที่ยวมากที่สุดของไทยเที่ยวไทย 3 จังหวัดแรกคือจังหวัดสกลนคร ลพบุรี และปัตตานี ตามลำดับ

จัดงบ ฯ 270 ล้าน แจกเกษตรกร 6,000 บาท/ไร่ แก้โรคใบด่างมันสำปะหลัง

ผศ. ดร.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ครม.มีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงเกษตรเสนอและได้หารือในการประชุม ครม.เศรษฐกิจแล้ว โดยเป็นมาตรการอุดหนุนเกษตรกรกำจัดโรคใบด่างในมันสำปะหลัง วงเงิน 270 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันได้ระบาดไปใน 8 จังหวัด ได้แก่ ชลบุรี นครราชสีมา บุรีรัมย์ ปราจีนบุรี ศรีสะเกษ สระแก้ว สุรินทร์ และอุบลราชธานี เป็นพื้นที่ 43,200 ไร่จากพื้นที่เพาะปลูกมันสำปะหลังทั้งหมด 4 ล้านไร่ โดยในปัจจุบันได้ดำเนินการกำจัดไปแล้ว 2,000 ไร่ โดยมาตรการจะแบ่งเป็น 2 ส่วนตามกระบวนการกำจัดโดยไม่จำกัดจำนวนไร่ 1) มาตรการขุดถอนทำลายต้นมันสำปะหลังที่ติดโรค เกษตรกรจะได้รับเงินชดเชยไร่ละ 3,000 บาท และ 2) มาตรการฝังกลบมันสำปะหลังที่ติดโรค เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรค เกษตรกรจะได้รับชดเชยอีกไร่ละ 3,000 บาท รวมเป็น 6,000 บาทต่อไร่

“การแยกมาตรการออกเป็นสองส่วนเพราะว่าบางครั้งเกษตรกรเลือกที่จะทำเพียงการขุดถอนเท่านั้นไม่ได้นำไปฝังกลบ ซึ่งไม่ได้ครบกระบวนการกำจัด จึงต้องแยกจ่ายเงินในสองกระบวนการต่างหาก นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีได้กำชับเรื่องการนำเข้าท่อนพันธุ์จากต่างประเทศว่าต้องมีมาตรการตรวจสอบให้รอบคอบไม่ให้มีโรคติดกับมันสำปะหลังเข้ามาในประเทศไทยด้วย” ผศ. ดร.รัชดากล่าว

ชี้ฟิลิปปินส์เปิดเสรีซื้อ -ขายข้าว ถือเป็นโอกาสทองของชาวนา

ผศ. ดร.รัชดา กล่าวว่า ครม.รับทราบการยกเลิกโควตาและการประมูลข้าวแบบจีทูจีของประเทศฟิลิปปินส์กับกลุ่มประเทศอาเซียน เนื่องจากประสบปัญหาขาดแคลนข้าวและทำให้ราคาข้าวในประเทศฟิลิปปินส์ราคาสูงขึ้น ซึ่งเป็นโอกาสของชาวนาไทยที่จะสามารถส่งออกข้าวไปยังฟิลิปปินส์ได้อย่างไม่จำกัดและในฐานะที่เป็นสมาชิกอาเซียนเหมือนกันทำให้การส่งออกข้าวของไทยได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ต้องเสียเพียง 35% เทียบกับประเทศนอกกลุ่มอาเซียนที่ต้องเสียภาษีนำเข้าถึง 50% และมีโควตาในการส่งออกข้าวไปยังฟิลิปปินส์ได้เพียง 350,000 ตันเท่านั้น

“สำหรับการนำเข้าข้าวของฟิลิปปินส์ถือว่าเป็นประเทศที่นำเข้าเป็นอันดับต้นๆ ของโลก โดยในปี 2557-2561 ในการประมูลข้าวแบบรัฐต่อรัฐ หรือจีทูจี ประเทศไทยชนะการระมูลข้าวไป 6 ครั้ง สามารถส่งออกข้าวไปได้ 1.1 ล้านตัน มูลค่ากว่า 16,000 ล้านบาท นับว่าเป็นโอกาสของชาวนาไทยที่จะให้ประโยชน์ทางการค้าที่เกิดขึ้นดังกล่าว” ผศ. ดร.รัชดา กล่าว

ดันแพลตฟอร์มการค้าไทยเป็นวาระเแห่งชาติ

ผศ. ดร.รัชดา กล่าวว่า ครม.มีมติเห็นชอบแนวทางการพัฒนาแพลตฟอร์มการค้าดิจิทัลระหว่างประเทศของไทย (Thailand National Digital Trade Platform) โดยมอบหมายให้สำนักงาน ก.พ.ร. และสำนักงานขับเคลื่อนปฏิรูปยุทธศาสตร์ชาติและการสร้างความสามัคคีปรองดอง (สำนักงาน ป.ย.ป.) เป็นหน่วยงานหลักในการขับเคลื่อนร่วมกับคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประกอบด้วย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย

“สืบเนื่องจากการพัฒนาและดำเนินการด้านดิจิตอลของภาครัฐและเอกชนมีอยู่ในระดับที่แตกต่างกันและไม่ได้มีการเชื่อมต่อระบบอย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้น การส่งเสริมแพลตฟอร์มการค้าดิจิทัลระหว่างประเทศของไทย (National Digital Trade Platform: NDTP) ในครั้งนี้จึงเป็นการสร้างระบบกลางให้เกิดการเชื่อมโยงข้อมูลด้านการค้าดิจิทัลระหว่างประเทศอย่างมีมาตรฐานทางดิจิทัลเดียวกันของทุกภาคส่วนเข้าด้วยกัน รวมทั้งจะพัฒนาให้เป็นแพลตฟอร์มกลางที่เชื่อมต่อกับระบบ National Single Window (NSW) ซึ่งเป็นระบบที่ให้บริการเชื่อมโยงข้อมูลรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์แบบไร้เอกสารเกี่ยวกับการนำเข้า-การส่งออก ระหว่างกรมศุลากรและผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้อง เช่น ตัวแทนออกของ ตัวแทนผู้รับขนส่งสินค้า บริษัทเรือ/สายการบิน รวมทั้งการเชื่อมโยงข้อมูลกับ 36 หน่วยงานภาครัฐในการการออกใบอนุญาต/ใบรับรอง”

ผศ. ดร.รัชดา กล่าวว่า การพัฒนาแพลตฟอร์มกลาง (NDTP) ดังกล่าวจะช่วยยกกระดับระบบและกระบวนการให้บริการภาคเอกชนด้านการค้าแบบดั้งเดิมเป็นการค้าด้วยระบบอิเล็กทรอนิส์ (e-Trading) ลดความซ้ำซ้อน ลดเวลาและลดต้นทุนให้ผู้ประกอบการ ยกระดับความโปร่งใสในกระบวนการของการค้าระหว่างประเทศ ช่วยให้รัฐวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) มีช่องทางในการทำธุรกิจการค้าระหว่างประเทศมากขึ้น และเพิ่มโอกาสการเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายขึ้น โดยระยะแรกจะเริ่มดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับเอกสาร 4 ประเภท ได้แก่ 1. ใบสั่งซื้อสินค้า (Purchase Order) 2. ใบวางบิล/ใบแจ้งหนี้ (Invoice) เพื่อแก้ปัญหาการปลอมแปลงเอกสารและการขอสินเชื่อซ้ำซ้อน 3. ใบจองเรือ (Shipping Instruction) 4. ใบตราส่งสินค้าทางทะเล (Sea Waybill) เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ส่งออกและกระบวนการออกสินค้า ณ ประเทศปลายทาง

ผศ. ดร.รัชดา กล่าวเพิ่มเติมด้วยว่า นายกรัฐมนตรีได้กำชับให้ทุกภาคส่วนช่วยกันขับเคลื่อนเรื่องนี้เป็นวาระแห่งชาติ โดย ครม.เห็นชอบให้ สำนักงาน ก.พ.ร. นำเสนอโครงการนี้ต่อหน่วยงานภาครัฐอื่นๆ เพื่อขอการสนับสนุนในเชิงนโยบายและงบประมาณ อีกทั้งศึกษารูปแบบการลงทุนและรูปแบบการดำเนินธุรกิจที่เหมาะสม นอกจากนี้ยังมอบหมายให้ ก.พ.ร. สำนักงาน ป.ย.ป และ กกร. ร่วมผลักดันเรื่องการเชื่อมโยงด้านการค้าดิจิทัล (Digital Trade) ผ่านระบบ ASEAN Single Window: ASW ระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียน ภายใต้กรอบความร่วมมือภูมิภาคอาเซียนในปี 2562 ซึ่งไทยเป็นประธานอาเซียน ให้เกิดการสร้างแนวทางปฏิบัติ หลักเกณฑ์ และมาตรฐานของเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงการทำงานร่วมกันเพื่อให้เกิดการเชื่อมโยงทางการค้าระหว่างประเทศในภูมิภาคอาเซียนให้เป็นระบบอิเล็กทรอนนิกส์ต่อไป

อนุมัติงบกลาง 261 ล้าน ช่วยน้ำท่วมภาคเหนือ

รายงานข่าวจากสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ระบุว่า ครม.มีมติออนุมัติงบกลาง ปี 2562 รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น สำหรับใช้เป็นค่าใช้จ่ายในโครงการแก้ไขและบรรเทาปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนเนื่องจากเหตุอุทกภัยในพื้นที่ภาคเหนือ ตามที่สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เสนอ แล้วมีมติอนุมัติให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 กรอบวงเงิน 261,533,200 บาท เพื่อดำเนินโครงการแก้ไขและบรรเทาปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนเนื่องจากเหตุอุทกภัยในพื้นที่ภาคเหนือ ของกรมชลประทาน และกรมป้องกันและ บรรเทาสาธารณภัย รวมจำนวน 78 โครงการ

อ่านมติ ครม. ประจำวันที่ 10 กันยายน 2562เพิ่มเติม