ThaiPublica > เกาะกระแส > นายกฯ ปัดตอบ “ยิ่งลักษณ์” ปมยึดทรัพย์ ย้ำทุกตามกม. -โยกเงิน “ชิม ช้อป ใช้” เข้ากระเป๋าสอง 262 ล้านบาท

นายกฯ ปัดตอบ “ยิ่งลักษณ์” ปมยึดทรัพย์ ย้ำทุกตามกม. -โยกเงิน “ชิม ช้อป ใช้” เข้ากระเป๋าสอง 262 ล้านบาท

17 ธันวาคม 2019


พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
ที่มาภาพ: www.thaigov.go.th/

เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2562 ที่ทำเนียบรัฐบาลมีการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยมี พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธาน

ขอบคุณทุกภาคส่วน งานพระราชพิธีบรมราชาภิเษกสำเร็จลุล่วง

พล.อ. ประยุทธ์ ได้กล่าวขอบคุณทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องที่ได้ร่วมกันจัดงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เบื้องปลาย เสด็จพระราชดำเนินเลียบพระนครโดยขบวนพยุหยาตราทางชลมารค เนื่องในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช 2562 ให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย สง่างาม และสมพระเกียรติ ซึ่งได้รับคำชื่นชมทั้งในและต่างประเทศ ทั้งนี้ อยากให้ทุกคนรักษาความสวยงามตลอดลำน้ำเจ้าพระยาให้มากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเรื่องผักตบชวา เนื่องจากมีเจ้าหน้าที่จำกัด แต่หากทุกคนช่วยกันปัญหาผักตบชวาก็จะลดลง เพื่อความสวยงามตลอดลำน้ำเจ้าพระยา

“เสียใจ” เฟกนิวส์ผ้าอนามัยมาจากฝ่ายการเมือง ลั่นเอาผิดตามกฎหมาย

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามถึงกรณีที่ฝ่ายการเมืองออกมาระบุว่าจะมีการขึ้นภาษีผ้าอนามัยว่า โฆษกรัฐบาลได้ชี้แจงไปแล้ว แต่ตนเสียใจอย่างหนึ่ง ข่าวนี้ปล่อยมาจากฝ่ายการเมือง ฉะนั้น ในเรื่องนี้มันมีคดีความอะไรกันหรือเปล่า ลองไปว่ากัน ตอนนี้เขากำลังทบทวนกันอยู่ในเรื่องเหล่านี้

“ใครเสนอข่าวเฟกนิวส์ออกมา ถ้ามันมีผลกระทบมากๆ มันต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย เพราะกฎหมายมีอยู่ ถ้าไม่ทำก็จะเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ วันๆหนึ่งมีเฟกนิวส์ประมาณ 20-30 ข้อมูลออกมา กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมก็รายงาน และมีการชี้แจงอะไรเป็นข่าวปลอม ขณะเดียวกันโฆษกรัฐบาลก็ไปหาเรื่องจริงมาว่าคืออะไร ก็ไม่พบว่าเป็นอย่างที่นำเสนอเลย อยู่ดีๆ อุปโลกน์ขึ้นมาได้อย่างไรข่าวแบบนี้” พล.อ. ประยุทธ์ กล่าว

ด้าน ศ. ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ระบุว่า กรณีดังกล่าว นายวิวัฒน์ เขาสกุล รองอธิบดีกรมสรรพสามิต ในฐานะโฆษกกรมสรรพสามิต ได้ออกมาชี้แจงแล้วเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2562 ที่ผ่านมา โดยยืนยันว่า รัฐบาลไม่มีการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตผ้าอนามัยแต่อย่างใด และผ้าอนามัยไม่เป็นสินค้าที่อยู่ในพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต ไม่ถูกจัดเป็นสินค้าฟุ่มเฟือย โดยปัจจุบันถูกเรียกเก็บเฉพาะภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) เท่านั้น

ตามหลักการ ภาษีสรรพสามิตจะเรียกเก็บเฉพาะสินค้าหรือบริการที่บริโภคแล้วส่งผลต่อสุขภาพและศีลธรรมอันดี และสินค้าฟุ่มเฟือยหรือเกินความจำเป็นต่อการดำรงชีพ หรือมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เป็นหนึ่งในมาตรการที่รัฐใช้ในการจำกัดการบริโภคสินค้าหรือบริการบางประเภทเท่านั้น ซึ่งผ้าอนามัยถือเป็นสินค้าจำเป็นจึงไม่เข้าข่ายสินค้าฟุ่มเฟือย

“ในกรณีดังกล่าวหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะดำเนินการตามกฎหมายต่อไป ยืนยันว่ารัฐบาลไม่มีแนวคิดที่จะเก็บภาษีผู้อนามัย เพราะไม่ใช่สินค้าฟุ่มเฟือยแต่เป็นสิ่งจำเป็นในชีวิตประจำวันที่ผู้หญิงจะต้องใช้” ศ. ดร.นฤมล กล่าว

เดินหน้ามาตรการเชิงรุกชายแดนใต้ย้ำ จนท.ระวังกติกาสากลด้วย

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามถึงการแก้ปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ว่า ได้มีการเพิ่มมาตรการเชิงรุกมากยิ่งขึ้น ซึ่งไม่ว่าจะทำอะไรเราต้องระมัดระวังเพราะมีการใช้อาวุธปะทะกัน ต้องระมัดระวังกติกาสากลด้วย แต่เราก็ทำ วันนี้เราสามารถดำเนินการได้มากพอสมควร

ต่อคำถามที่ชาวบ้านมีความกังวลเรื่องการก่อเหตุรุนแรงเพื่อแก้แค้นนั้น พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวว่า จะแก้แค้นรัฐบาล แก้แค้นเจ้าหน้าที่ได้อย่างไร ในเมื่อตัวเองก็ใช้อาวุธสงครามมาทำร้ายประชาชนผู้บริสุทธิ์หรือเจ้าหน้าที่ แบบนี้มันผิดอยู่แล้ว ผิดกฎหมายอาญาปกติอยู่แล้ว ดังนั้นเราก็ต้องระมัดระวังตัวเองให้มากยิ่งขึ้น ทั้งเจ้าหน้าที่ฝ่ายรัฐและดูแลประชาชนให้ปลอดภัยด้วย และต้องขอขอบคุณที่ประชาชนเข้าใจและให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ในการทำงาน ทั้งตำรวจ ทหาร และอาสาสมัครในพื้นที่ ทั้งนี้เรามีแผนรองรับทุกอย่าง ปัญหาอยู่ที่ว่าประชาชนต้องร่วมมือกับเราให้มากที่สุด

ยันไม่นิ่งนอนแก้ปัญหา PM 2.5 – พร้อมหนุนโรงไฟฟ้าชีวมวล

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามถึงการแก้ปัญหาฝุ่น PM2.5 โดยยืนยันว่ารัฐบาลไม่เคยนิ่งนอนใจ และได้มีการขอความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านไปแล้ว อย่างไรก็ตามเมื่อถึงช่วงฤดูเพาะปลูกก็ต้องระมัดระวังเรื่องการเผานั้นต้องมีการปรับเปลี่ยน ทั้งนี้รัฐบาลได้พยายามการขับเคลื่อนโรงไฟฟ้าชีวมวล ซึ่งจะช่วยลดการเผาและทำให้เกิดประโยชน์แก่ชุมชนสูงสุด

ตนอยากให้ขับเคลื่อน 2 อย่าง คือ 1. โรงไฟฟ้าชีวมวลให้เกิดขึ้นในชุมชน เป็นลักษณะโรงไฟฟ้าเพื่อประชาชนโดยตรงประชาชนมีส่วนร่วมในการลงทุนตรงนี้ และเกิดประโยชน์กับประชาชนด้วย เช่น ค่าไฟถูกลง ได้รับผลตอบแทนในพื้นที่ตั้งโรงไฟฟ้า ในส่วนนี้กำลังกำหนดกติกาให้ชัดเจนอยู่ และ 2. สนับสนุนการลงทุนจากภาคเอกชนร่วมกับประชาชน ข้อสำคัญทำอย่างไรจะปลูกพืชพลังงานมาเพิ่ม เพื่อรองรับโรงไฟฟ้าเหล่านี้ และที่สำคัญ ราคาไฟฟ้าต้องไม่สูงขึ้น เราพยายามบริหารทุกพลังงานไม่ให้มีผลกระทบ มิฉะนั้นต่อต้านกันไปทั้งหมด และที่น่ายินดีวันนี้น้ำมันปาล์มเพิ่มขึ้น 5 บาทแล้ว แสดงว่าเราแก้ปัญหาถูกจุดและจะยั่งยืนทั้งระบบ

“วันนี้สนับสนุนเกษตรที่เอาวัสดุเหลือใช้มาทำประโยชน์ให้เกิดมูลค่าขึ้น จะได้ลดการเผา ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือจากภาคเอกชน ท้องถิ่น และประชาชนด้วย รวมถึงต้องทำความเข้าใจกันให้ได้ ส่วนใครทุจริตก็ร้องเรียนขึ้นมา รัฐบาลจะได้ตรวจสอบไม่ให้เกิดขึ้นอีกต่อไป” นายกรัฐมนตรีกล่าว

จวก “ผู้ชุมนุม” อย่าอ้างแต่ รธน.ชี้ต้องเคารพกฎหมายลูกด้วย

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามถึงกรณีพรรคอนาคตใหม่ประกาศเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาลเดือนมกราคม 2563 ว่า ต้องไปดูด้วยว่ากฎหมายอยู่ตรงไหน ถ้ามองในแง่รัฐธรรมนูญเพียงอย่างเดียวก็สามารถชุมนุมได้ว่ากันไป แต่การชุมนุมต้องเป็นไปตามกฎหมายลูกคือ พ.ร.บ.การชุมนุม พ.ร.บ.การจราจร และ พ.ร.บ.อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องด้วย แต่วันนี้มาเถียงกันแต่เรื่องรัฐธรรมนูญโดยไม่สนใจกฎหมายลูกเป็นไปไม่ได้ เพราะรัฐบาลนี้ทำงานโดยกฎหมายลูก รวมถึงกฎกระทรวงต่างๆ อีกจำนวนมาก ดังนั้นหากรัฐบาลมองรัฐธรรมนูญเพียงอย่างเดียวก็ไม่รู้จะเอาหลักเกณฑ์อะไรมาทำ จึงย้ำว่าขอให้ทุกคนสนใจกฎหมายลูกด้วยในการทำอะไรขอให้ระมัดระวังกันด้วย

“ไม่อยากให้มีการเผชิญหน้ากันอีกต่อไป เดี๋ยวเกิดอะไรขึ้นมาอีกจะโทษใครล่ะคราวนี้ รัฐบาลก็ทำได้ตามกฎหมาย ประชาชนก็ต้องแสดงความคิดเห็นกันมาว่าเห็นสมควรหรือไม่สมควรอย่างไร คนที่เดือดร้อนก็ต้องออกมาพูดบ้างว่าอย่าทำกันเลย ขอร้องอะไรทำนองนี้ มันต้องเป็นมาตรการทางสังคมที่ต้องช่วยกัน อย่าไปย้อนกลับเก่าเรื่องเก่าว่าเรื่องนี้เคยมีมาแล้ว ซึ่งวันนี้กับวันก่อนสถานการณ์คนละสถานการณ์ เปลี่ยนแปลงมาแล้ว และมีกฎหมายออกมาแล้วจึงต้องดูตรงนี้ด้วย”

อย่างไรก็ตามพวกเราต้องรักกันมากๆ ในเวลานี้ นอกจากนี้เรื่องวิ่งอะไรต่างๆ ตนไม่ขอตอบ ขี้เกียจตอบ แต่เรื่องการวิ่งเทรลที่รัฐบาลจัดที่ จ.กาญจนบุรี ได้รับความสนใจคนมาร่วมงานกว่าหมื่นคน มีคนมาวิ่ง 3,000-4,000 คน เป็นสิ่งที่รัฐบาลต้องการดึงการท่องเที่ยวแบบใหม่ขึ้นมา คือการท่องเที่ยวธรรมชาติ ดังนั้นถือเป็นโครงการนำร่องของรัฐบาลและการจัดต่อไปเรื่อยๆ

“เรื่องความขัดแย้งอื่นๆ เรื่องการเมืองอะไรต่างๆ เป็นเรื่องธรรมดาของการเมืองที่เป็นแบบนี้ ผมก็ทำใจไว้แล้วล่ะ ดังนั้นเรื่องอะไรที่ไม่ใช่สาระสำคัญไม่ใช่เรื่องจำเป็น เหมือนการตีปิงปองสู้กันเด้งไปเด้งมาทั้งสองฝ่ายไม่เกิดประโยชน์อะไรกับผมทั้งสิ้น จะเห็นว่าผมก็ลดความแรงไปเยอะ”นายกรัฐมนตรีกล่าว

เมื่อถามว่า การจัดกิจกรรม“วิ่งไล่ลุง” เป็นการวิ่งระยะสั้น พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวว่า “วิ่งเวิ่งอะไรผมก็ตอบไปหมดแล้ว ผมไม่พูดถึงกิจกรรมอะไรทั้งสิ้น ก็แล้วแต่เขาไปขออนุญาตมา”

โยนฝ่ายการเมืองพิจารณา รับ-ไม่รับ 4 ส.ส.จากอนาคตใหม่

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามกรณีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) พรรคอนาคตใหม่ 4 คน ที่ถูกขับออกจากพรรค ว่า เป็นเรื่องของฝ่ายการเมืองที่ต้องพิจารณา ซึ่งต้องดูด้วยว่า ส.ส.ทั้ง 4 คน มีความต้องการทางการเมืองอย่างไรนายกรัฐมนตรี กล่าวด้วยว่า เรื่องความขัดแย้งอื่นๆ เป็นเรื่องธรรมดาของการเมือง ซึ่งส่วนตัวก็ทำใจได้แล้ว แต่อะไรที่ไม่ใช่สาระสำคัญก็ให้ช่วยกันลด เพราะเหมือนการตีปิงปองสู้กัน ที่ไม่เกิดประโยชน์อะไรกับตน

ปัดตอบ”ยิ่งลักษณ์” ปมยึดทรัพย์ ย้ำทุกตามกฎหมาย

พล.อ. ประยุทธ์ ปฏิเสธที่ตอบคำถามกรณีที่ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์เฟซบุ๊กตัดพ้อว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมจากผลของการบังคับใช้อำนาจตามมาตรา 44 เพื่อยึดทรัพย์ ทั้งที่คดียังไม่สิ้นสุด โดยนายกรัฐมนตรีระบุเพียงว่า เป็นการดำเนินการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องหลายฉบับ หากไม่มีความผิด ก็ไม่ผิดอยู่แล้ว

ขอความเป็นธรรมให้ครอบครัว หลังเจอเฟกนิวส์ “อ.น้อง เป็นมุสลิม”

พล.อ. ประยุทธ์ ชี้แจงกรณีเฟกนิวส์ที่ระบุว่าภรรยาตนเป็นมุสลิม โดยกล่าวว่า เรื่องนี้ก็เห็นกันอยู่ว่า ภรรยาของตนไปใส่บาตร กราบพระ ไหว้พระ และตนเองก็เป็นไทยพุทธอยู่แล้ว ดังนั้นหน้าที่ของรัฐบาล นายกฯ ต้องดูแลคนทุกกลุ่มทุกฝ่าย ซึ่งการไปโพสต์แบบนี้คิดว่าไม่เป็นธรรมกับตนและครอบครัว ขอให้ทำความเข้าใจกันด้วย อย่าไปแพร่กันเรื่อยเปื่อย เพราะไม่ใช่ข้อเท็จจริง

เพิ่มมาตรการเข้ม-ขอดูให้รอบด้าน หลังอดีตนักโทษก่อเหตุซ้ำ

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามถึงกรณีนายสมคิด พุ่มพวง ฆาตกรต่อเนื่อง ที่เพิ่งพ้นโทษหลังได้รับการปล่อยตัวออกมา ยังคงก่อเหตุฆ่าคนตายซ้ำว่า รัฐบาลได้ตระหนักและรับทราบโดยหามาตรการที่รัดกุม เพื่อไม่ให้นักโทษคดีอุกฉกรรจ์ทำผิดซ้ำ ตนได้สั่งการให้กระทรวงยุติธรรมไปหามาตรการที่เหมาะสม การลดหย่อนผ่อนโทษต้องไปพิจารณาใหม่ทั้งหมด เพราะยังเป็นกฎกติกาเดิมๆ ที่มีอยู่

“วันนี้เราต้องปรับให้สอดคล้องกับรูปแบบปัจจุบัน ว่าคดีอุกฉกรรจ์ต้องทำอย่างไร รวมถึงต้องไปดูรัฐธรรมนูญ และกฎหมายกระบวนการยุติธรรมของโลก เพราะเขาจ้องจับตาตรงนี้อยู่เหมือนกัน ฉะนั้น การแก้ไขอะไรก็ตาม ต้องไม่กระทบซึ่งกันและกัน โดยกำลังปรึกษาหารือกันอยู่” นายกรัฐมนตรีกล่าว

แค่ “คาดหวัง” ไม่ได้ฟันธงอุบัติเหตุปีใหม่นี้เหลือศูนย์

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามถึงมาตรการรักษาความปลอดภัยในช่วงปีใหม่ ว่า เรื่องดังกล่าว พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้มีการประชุมและสั่งการไปเรียบร้อยแล้ว มีการบังคับใช้กฎหมาย การดูแลและการอำนวยความสะดวก รวมทั้งปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นในเรื่องของการจราจร ปัญหาอาชญากรรม การฉกชิงวิ่งราว รวมถึงการเมาสุราอาละวาด ทุกคนมีส่วนร่วมทั้งหมด

ทั้งนี้รัฐบาลมีหน้าที่ในการบังคับใช้กฎหมาย แต่ใช้มากเกินไปก็มีปัญหา ซึ่งเป็นเรื่องของความยากง่ายในการบริหารงาน ทำให้ปัญหาเกิดขึ้นซ้ำซาก โดยกล่าวต่อไปถึงกรณีเมื่อวันที่ 16 ธันวาคมที่ผ่านมา ที่ตนได้ไปเปิดงานรณรงค์ลดอุบัติเหตุ แล้วสื่อพาดหัวข่าวว่าตนต้องการให้เหลือเป็นศูนย์ แต่พอมีการตายการเจ็บ ก็มีไปบอกว่า นายกฯ โกหก ทำไม่ได้

“ผมเพียงคาดหวังว่าอนาคตต่อไปจะลดเป็นศูนย์ ขอร้องสื่อว่าอย่าเอาบางประเด็นไปขึ้นหัวข่าวหน้า 1 เพียงแต่เรื่องนี้ ผมได้พูดว่าตามปฏิญญามอสโก เขาระบุว่าใน 1 แสนคน ประเทศไทยมีสถิติการเสียชีวิตประมาณ 30 คน เราก็ต้องการให้สถิติลดลงตามที่เขาต้องการ ตามมาตรฐานคือ จำนวน 1 แสนคนให้ลดลงเหลือ 20 คนได้หรือไม่ ถ้าลดเหลือเป็นศูนย์ได้ก็ยิ่งดี แต่ก็คงเป็นไปไม่ได้ เพราะตราบใดที่ยังไม่เคารพกฎหมาย ยังดื่มสุราและขับรถ และใช้โทรศัพท์ขณะขับรถ ผมถึงพูดมาตลอดว่า 3 อย่างที่ควรทำคือ รักตัวเอง รักครอบครัว และรักคนอื่นด้วย ก็จะไม่เกิดผลกระทบซึ่งกันและกัน ทั้งเรื่องการจราจรและเรื่องอื่นๆ ก็ใช้หลักการเดียวกัน และวันนี้พวกเราต้องรักกันมาก โดยเฉพาะในช่วงเวลานี้” “นายกรัฐมนตรี กล่าว

ปลื้ม “นวดไทย” ได้ขึ้นทะเบียนมรดกโลกฯ

พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวถึงการนวดไทยที่ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกที่จับต้องไม่ได้ ว่า เป็นที่น่ายินดีอีกเรื่อง ซึ่งนวดไทยที่ว่าก็ต้องเป็นนวดไทยจริงๆ ไม่ใช่เป็นอย่างอื่น นี่คือการควบคุมมาตรฐาน วันนี้ได้สั่งให้กระทรวงวัฒนธรรม และกระทรวงสาธารณสุข ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยกันกำกับดูแลและเพิ่มศักยภาพหรือเพิ่มรายได้ให้ผู้ผลิตสมุนไพรที่ใช้ในการนวดแผนโบราณนี้ด้วย ต้องไปดูเรื่องดีมานด์-ซัพพลายให้ดี สนับสนุนอะไรมากเกินไปราคามันก็ตกอีก

ปลื้ม “เอสแอนด์พี” ปรับความหน้าเชื่อถือเป็นบวก

พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวถึงกรณีที่ S&P Global Ratings (S&P) ปรับมุมมองความน่าเชื่อถือของเศรษฐกิจไทย จากระดับมีเสถียรภาพ ขึ้นเป็นเชิงบวก ซึ่งเป็นการปรับมุมมองความน่าเชื่อถือของไทยให้ดีขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 9 ปีว่า หลายคนบอกว่าไม่มีประโยชน์กับประชาชน แต่เป็นเรื่องการสร้างการรับรู้ให้ผู้ประกอบการธุรกิจต่างๆ ให้เกิดความมั่นใจเกิดขึ้น ทั้งนักลงทุนไทยและต่างประเทศ และเกิดห่วงโซ่ไปถึงข้างล่างได้ด้วย ดังนั้นประชาชนทั่วไปต้องเข้าใจในภาพรวมก่อน แล้วถึงจะมาดูว่าตัวเองจะอยู่ตรงส่วนไหน ถ้าเราไม่ชี้แจงกันแบบนี้ ข้อมูลต่างๆที่ออกมาก็ถูกขัดแย้งกันทั้งหมด ข้อมูลทุกข้อมูลเป็นประโยชน์หมด ใช้สำหรับการบริหารงานของรัฐบาลและส่วนราชการ แต่ทั้งหมดนั้นประชาชนต้องเข้าใจด้วยว่า เมื่อทำอย่างนี้มันเพราะอะไร เหตุผลใด เราจะช่วยเขาได้ตรงไหน ประชาชนจะมีส่วนร่วมตรงไหน เพราะฉะนั้นมันอยู่ที่ความเข้าใจกันมากกว่า

นายกฯ กล่าวอีกว่า ตนได้เน้นย้ำความเข้าใจขอให้กระชับสั้นๆ ตรงประเด็นเป็นเรื่องๆ ตรงกลุ่มเป้าหมายไป ไม่อย่างนั้นรวมไป บางทีคนไม่รู้เรื่อง บางทีที่ใส่เข้าไปในโซเชียลก็เล็กเกินไป มองไม่เห็น มองไม่ชัด โทรศัพท์หลายคนก็ขยายไม่ได้เลยไม่รู้เรื่องกันใหญ่ วันนี้ก็สั่งการปรับไปทั้งหมดแล้ว ฝากสื่อด้วย ตนรู้ว่าทุกคนรักประเทศของเราทั้งหมด ถ้าทุกคนตามตนไปเปิดงานถนนคนเดินก็จะเห็นว่าประชาชนมีความสุขที่ได้มาพบกัน นั่นคือสิ่งที่ตนต้องการ ไม่อย่างนั้นทุกคนก็เงียบ ทั้งที่บางคนก็พอมีสตางค์อยู่บ้าง ให้ออกมาใช้จ่ายทานอาหารกัน

พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า วันนี้โครงการชิมช้อปใช้ในกระเป๋าสองก็ออกมาเกินที่คาดหมายแล้ว แซงกระเป๋าหนึ่งไปด้วยซ้ำ นั่นคือมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นให้มีการจับจ่ายซื้อขาย ไม่อย่างนั้นทุกคนอยู่บ้านกันหมด ขอบคุณทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีการจัดถนนคนเดิน และวันที่ 22 ธ.ค. จะเปิดทั่วประเทศ จากนั้นจะทำต่อไปในที่ต่างๆ เช่น สวนสาธารณะ ฟุตบาท และที่ที่เหมาะสมในห้วงเวลาที่ไม่มีผลกระทบ แต่หากเปิดตลอดก็ลำบาก เพราะมีผลกระทบหลายอย่างด้วยกัน รัฐบาลก็ใคร่ครวญให้ดีว่าจะทำอย่างไร ฝากไปถึงประชาชนที่อาจได้รับความเดือดร้อนอยู่บ้างในการขายสินค้าที่อาจกระทบกับการจราจร แต่มันก็จำเป็น มันมีคนเดือดร้อนสองฝั่งเสมอ แต่เราจะทำอย่างไรให้ทุกคนมีความพอใจ ฝากพวกเราช่วยกัน

ผศ.ดร.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี, ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และนางสาวไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (ซ้าย-ขวา)
ที่มาภาพ : www.thaigov.go.th/

มติ ครม.มีดังนี้

โยกเงิน “ชิม ช้อป ใช้” ที่ยังไม่ใช้ เตรียมจ่าย Cash Back 262 ล้านบาท

ศ. ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ครม.มีมติให้โอนเงินที่เหลือในส่วนของกระเป๋าเงินแรก หรือ G-wallet 1 ของมาตรการชิบ ช้อป ใช้ วงเงิน 262 ล้านบาทไปยังกระเป๋าเงินที่สอง หรือ G-wallet 2 เพื่อเตรียมใช้จ่ายคืนในส่วนที่เป็นมาตรการรับเงินคืนหรือ cash back ทั้งนี้ จากวงเงินทั้งหมด 12,000 ล้านบาทของกระเป๋าเงินแรกที่แจกเงินคนละ 1,000 บาท โดยได้ใช้จ่ายไปแล้ว 11,737.997 ล้านบาท ขณะที่ในกระเป๋นเงินที่สองปัจจุบันทยอยมีคนใช้จ่ายมากขึ้นเรื่อยๆ

อนึ่งความคืบหน้าการดำเนินมาตรการส่งเสริมฯ และมาตรการส่งเสริมการบริโภคฯ ณ วันที่ 10 ธันวาคม 2562 มีผู้ได้รับสิทธิ์ 14,354,159 ราย โดยมีผู้ใช้สิทธิ์รวมเป็นจำนวน 11,787,584 ราย มียอดการใช้จ่ายทั้งสิ้น 21,546 ล้านบาท

ถอนที่ราชพัสดุบางเขน 2 ไร่ สร้างทางด่วน

ศ. ดร.นฤมล กล่าวว่า ครม.มีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาถอนสภาพการเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะของที่ราชพัสดุ ในท้องที่แขวงท่าแร้ง เขตบางเขน กรุงเทพมหานคร พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยมีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ถอนสภาพการเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะของที่ราชพัสดุแปลงหมายเลขทะเบียนที่ กท. 1514 เฉพาะในส่วนของที่ราชพัสดุโฉนดที่ดินเลขที่ 213316 เลขที่ดิน 58 เนื้อที่ประมาณ 2 ไร่ 19 ตารางวา ในท้องที่แขวงท่าแร้ง เขตบางเขน กรุงเทพมหานคร เพื่อนำไปก่อสร้างทางหลวงพิเศษสายรามอินทรา-วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร ของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย โดยกระทรวงการคลังได้รับเงินชดเชยจากการใช้พื้นที่ดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว

เชื่อ ศก.ขาลงไม่กระทบว่างงาน

ศ. ดร.นฤมล กล่าวว่า ครม.รับทราบภาวะสังคมไทยไตรมาสสาม ปี 2562 โดยมีสาระสำคัญคือ

1) การชะลอตัวของเศรษฐกิจยังไม่ปรากฏผลกระทบต่อตลาดแรงงานมากนัก ไตรมาสสาม ปี 2562 ผู้มีงานทำลดลงร้อยละ 2.1 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน โดยภาคเกษตรมีการจ้างงานลดลงร้อยละ 1.8 เป็นการลดลงต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 3 จากปัญหาภัยธรรมชาติ และการจ้างงานภาคนอกเกษตรลดลงร้อยละ 2.3 ตามการชะลอตัวทางเศรษฐกิจและการหดตัวของการส่งออก ชั่วโมงการทำงานทรงตัว โดยเฉลี่ยแรงงานยังคงมีชั่วโมงทำงานยังอยู่ในระดับใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปี 2561 โดยเพิ่มขึ้นที่ร้อยละ 0.4 ส่วนค่าจ้างแรงงานในภาพรวมเพิ่มขึ้นเล็กน้อย โดยค่าจ้างแรงงานโดยรวมเฉลี่ยเท่ากับ 14,334 บาท/เดือน ค่าจ้างแรงงานภาคเอกชนเท่ากับ 12,847 บาท/เดือน เพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 1.9 เมื่อหักอัตราเงินเฟ้อที่ร้อยละ 0.6

2) หนี้ครัวเรือนขยายตัวในอัตราที่ชะลอลง สถานการณ์หนี้สินครัวเรือนในไตรมาสสอง ปี 2562 มีมูลค่า 13.08 ล้านล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 5.8 ชะลอลงเมื่อเทียบกับร้อยละ 6.3 ในไตรมาสก่อน หรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 78.7 ต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) เป็นผลจากภาวะเศรษฐกิจในไตรมาสที่สองชะลอตัวลงเร็วกว่าหนี้สินครัวเรือน ส่วนภาพรวมคุณภาพสินเชื่ออยู่ในเกณฑ์เฝ้าระวัง เนื่องจากคุณภาพสินเชื่อหลายประเภทมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น โดยยอดคงค้างหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) เพื่อการอุปโภคบริโภคของธนาคารพาณิชย์ในไตรมาสสาม ปี 2562 มีมูลค่า 133,254 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.2 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 2.81 ต่อสินเชื่อรวม ขณะที่แนวโน้มหนี้สินครัวเรือนในช่วงครึ่งหลังปี 2562 คาดว่าจะชะลอตัวลงจากช่วงครึ่งแรกของปี แต่สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ยังคงมีเพิ่มขึ้น

“นอกจากหนี้ครัวเรือนที่ชะลอลงแล้ว หากดูองค์ประกอบจะพบว่าประมาณ 45% เป็นหนี้ที่จะสร้างรายได้ในอนาคต เช่น อสังหาริมทรัพย์ 32% และยานพาหนะ 13% ซึ่งเป็นหนี้ที่มีหลักทรัพย์ค้ำประกันด้วย จึงเรียกว่าไม่น่าเป็นห่วงมากเท่าไหร่นัก” ศ. ดร.นฤมล กล่าว

รับทราบผลใช้จ่ายงบ’62 ก่อนเสนอสภา

ศ. ดร.นฤมล กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.รับทราบรายงานการรับจ่ายเงินงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 โดยผลการดำเนินงาน ณ วันที่ 30 กันยายน 2562 นั้นรัฐบาลมีการจัดเก็บรายได้ทั้งสิ้น 2.550 ล้านล้านบาท ซึ่งมีการจัดเก็บรายรับจริงเข้าเงินคงคลัง 2.537 ล้านล้านบาท ซึ่งรัฐบาลสามารถจัดเก็บรายได้จากรัฐพาณิชย์และรายได้อื่นสูงกว่าประมาณการ ทำให้รายรับที่มาจากรายได้แผ่นดินต่ำกว่าที่ประมาณการไว้ 0.013 ล้านล้านบาท สำหรับรายรับประเภทเงินกู้ที่ได้ประมาณการไว้ที่ 0.450 ล้านล้านบาท แต่มีการกู้จริง 0.363 ล้านล้านบาท

ส่วนรายจ่ายมีการประมาณการไว้ที่ 2.92 ล้านล้านบาท แต่มีการเบิกจ่ายจริงและกันเงินไว้เบิกเหลื่อปี 2.912 ล้านล้านบาท สำหรับดุลของงบประมาณประจำปี เมื่อเปรียบเทียบรายได้แผ่นดินที่นำส่งคลังกับยอมรวมรายจ่ายประจำปี พบว่า รายได้แผ่นดินต่ำกว่ารายจ่ายจามงบประมาณ 0.246 ล้านล้านบาท ซึ่งต่ำกว่าที่ประมาณการไว้ 0.011 ล้านล้านบาท และยอดรวมของรายรับต่ำกว่ารายจ่ายตามงบประมาณ 0.076 ล้านล้านบาท

ทั้งนี้ดุลการรับ-จ่ายเงิน เมื่อเปรียบเทียบประมาณการรายรับและประมาณการรายจ่ายทั้งสิ้นกับรายรับและรายจ่ายที่เกิดขึ้นจริง ยอดรวมของรายจ่ายทั้งสิ้นคือ 3.306 ล้านล้านบาท ซึ่งต่ำกว่าที่ประมาณการไว้ 0.065 ล้านล้านบาท

รับทราบแผนขับเคลื่อนแรงงานอีอีซี

ผศ. ดร.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ครม.มีมติรับทราบแผนขับเคลื่อนการดำเนินงานของศูนย์บริหารแรงงานเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ที่ตั้งขึ้นเพื่อให้บริการข้อมูลแรงงานในพื้นที่ ส่งเสริมการมีงานทำและคุ้มครองแรงงาน รวมถึงพัฒนาทักษะฝีมือแรงงาน อำนวยความสะดวกเกี่ยวกับการตรวจลงตราและอนุญาตทำงานแก่ผู้บริหาร ช่างฝีมือ ผู้ชำนาญ สำหรับการดำเนินงานของปีงบประมาณ 2562 ศูนย์ฯได้ทำการ 1) จัดหางาน 29,262 คน 2) พัฒนาฝีมือแรงงาน แบ่งเป็น อบรมและทดสอบฝีมือ 92,444 คน และยกระดับทักษะแรงงาน 668,000 คน 3) ตรวจตราสถานประกอบการตามมาตรฐานกฎหมาย 891 แห่ง เป็นต้น

สำหรับแผนการดำเนินงานในปีงบประมาณ 2563 ประกอบด้วย 1) จัดหางานให้กลุ่มอุตสาหกรรมปัจจุบัน เป้าหมาย 28,000 คน และกลุ่มอุตสาหกรรมที่จะเปิดรับในอนาคต เช่น อุตสาหกรรมหุ่นยนต์และดิจิทัล เป้าหมาย 92,618 คน 2) แนะแนวอาชีพให้นักเรียน นักศึกษา เป้ามหาย 130,800 คน 3) ตรวจลงตราและออกใบอนุญาตทำงาน เป้าหมาย 10,500 คน 4) ฝึกอบรมและทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงาน 10 อุตสาหกรรม เป้าหมาย 10,000 คน 5) ส่งเสริมสถานประกอบการยกระดับทักษะแรงงาน เป้าหมาย 600,000 คน 6) ตรวจแรงงานในระบบ จำนวน 1,400 แห่ง เป้าหมาย 43,000 คน 7) ตรวจและกำกับสถานประกอบการตามมาตรฐานกฎหมายความปลอดภัย เป้าหมาย 900 แห่ง 64,800 คน 8) แนะนำด้านสิทธิประโยชน์ด้านประกันสังคมและกองทุนเงินทดแทน เป้าหมาย 2,513,000 คน 9) ขึ้นทะเบียนผู้ประกันตนมาตรา 39 และมาตรา 40 ตาม พ.ร.บ.ประกันสังคม เป้าหมาย 58,850 คน 10) ส่งเสริม e-service และ e-payment เป้าหมาย 35,300 คน

“มากไปกว่านั้น กระทรวงแรงงาน โดยกรมพัฒนาฝีมือแรงงานได้จัดตั้งสถาบันพัฒนาบุคลากรสาขาเทคโนโลยีอัตโนมัติและหุ่นยนต์ ณ สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 3 ชลบุรี เพื่อยกระดับฝีมือแรงงานไทยให้เป็นแรงงานฝีมือชั้นสูงรองรับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ EEC และพื้นที่ภาคตะวันออก สำหรับปีงบประมาณ 2563 เน้นการสร้างหลักสูตรและครูต้นแบบ มีเป้าหมายการฝึกอบรม จำนวน 1,100 คน ใน 5 สาขา ได้แก่ สาขาเทคโนโลยีอัตโนมัติ สาขาหุ่นยนต์อุตสาหกรรม สาขาการเรียนโปรแกรมด้านการผลิต สาขาเทคโนโลยีการผลิต และสาขาการบริหารการผลิต” ผศ. ดร.รัชดา กล่าว

ต่อยอดข้อตกลงปารีส ร่วม NDC Partnership

ผศ. ดร.รัชดา กล่าวว่าสืบเนื่องจากที่ประเทศไทยได้เป็นภาคีความตกลงปารีส (Paris Agreement) และได้แสดงเจตจำนงในการลดก๊าซเรือนกระจกที่เหมาะสมของประเทศตั้งแต่ปี 2559 วันนี้ ครม.เห็นชอบให้ประเทศไทยเข้าเป็นสมาชิกกลุ่มประเทศที่มุ่งมั่นในการลดก๊าซเรือนกระจกและการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Nationally Determined Contribution Partnership — NDC Partnership) ซึ่งเป็นการสร้างเครือข่ายระหว่างสมาชิกประกอบด้วยประเทศพัฒนาแล้ว ประเทศกำลังพัฒนา และสถาบันระหว่างประเทศ เพื่อประสานความร่วมมือในประเด็นด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

“คาดว่าจะมีการลงนามช่วงเดือนธันวาคมหรือมกราคมปีหน้า ปัจจุบันมีประเทศเข้าร่วมเป็นสมาชิก จำนวน 100 ประเทศ มีประเทศอาเซียน 6 ประเทศ ได้แก่ เวียดนาม สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย กัมพูชา และลาว ซึ่งประเทศสมาชิก NDC Partnership จะได้รับความช่วยเหลือด้านวิชาการ ด้านการเงิน และด้านผลิตผลทางความรู้ เช่น แนวทางปฏิบัติที่ดีและเครื่องมือวิเคราะห์ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในภาพใหญ่ และเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนในปี ค.ศ. 2030 (พ.ศ. 2573)” ผศ. ดร.รัชดา กล่าว

ในการเข้าร่วม NDC Partnership ประเทศไทยจะต้องยื่นหนังสือแสดงความจำนงต่อสำนักเลขาธิการอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และเสนอประเด็นที่เห็นควรขอรับการสนับสนุน จะมีการประเมินความต้องการการสนับสนุนการดำเนินงานของประเทศอย่างแท้จริง การจัดทำแผนความร่วมมือ Partnership Plan (ระยะ 3 ปี) และการประเมินผลการดำเนินงานตามแผน ซึ่งเป็นการสร้างประสิทธิภาพและความรับผิดชอบในการดำเนินงาน รวมถึงพัฒนาความร่วมมือของทุกภาคส่วนทั้งในระดับประเทศและระดับโลก

อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการประเมินผล แต่รูปแบบการทำงานมีความยืดหยุ่นและไม่มีบทลงโทษหากประเทศสมาชิกทำไม่ได้ตามเป้าหมายร่วมกัน ทั้งนี้ สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจะทำหน้าที่ผู้ประสานงานหลักในการขับเคลื่อนเรื่องดังกล่าว

เห็นชอบ 3 กฎกระทรวงคุมกิจการดูแลผู้สูงอายุ

นางสาวไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติอนุมัติในหลักการ ร่างกฎกระทรวงเกี่ยวกับการส่งเสริมควบคุมดูและกำกับดูแลการดำเนินกิจการดูแลผู้สูงอายุและผู้มีภาวะพึ่งพิง รวม 3 ฉบับ เนื่องจากปัจจุบัน ได้มีการเปิดกิจการเกี่ยวกับการดูแลผู้สูงอายุฯ เป็นจำนวนมาก แต่ยังไม่มีกฎหมายกำกับดูแล เพื่อให้มีมาตรฐานเป็นเป็นไปตาม พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) สถานประกอบการเพื่อสุขภาพ พ.ศ. 2559

โดยร่างกฎกระทรวงทั้ง 3 ได้แก่ ร่างกฎกระทรวงกำหนดกิจการอื่นในสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ (กิจการดูแลผู้สูงอายุเป็นกิจการอื่น) โดยกำหนดนิยาม “กิจการผู้สูงอายุและผู้มีภาวะพึ่งพึง” หมายถึง บริการที่เกี่ยวกับการดูแล ส่งเสริม ฟื้นฟูสุขภาพ หรือการประคับประคองผู้สูงอายุและผู้มีภาวะพึ่งพิงที่มีปัญหาด้านสุขภาพ โดยกำหนดให้เป็นกิจการอื่นในสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ และกำหนดให้มี 3 ลักษณะ ได้แก่ สถานที่ดูและระหว่างวัน, สถานที่พำนักอาศัยสำหรับผู้สูงอายุเพื่อส่งเสริมฟื้นฟูสุขภาพ และสถานที่บริบาลดูแลผู้สูงอายุและผู้มีภาวะพึ่งพิง แบบมีการพักค้างคืน

ส่วนร่างกฎกระทรวงกำหนดมาตรฐานด้านสถานที่ ความปลอดภัย และการให้บริการ ในสถานประกอบการเพื่อสุขภาพประเภทกิจการการดูแลผู้สูงอายุและผู้มีภาวะพึ่งพิง นั้นจะเป็นการกำหนดมาตรฐานด้านสถานที่ เช่น กำหนดทำเลที่ตั้ง สภาพแวดล้อม หรือความปลอดภัยในการใช้สอย การกำหนดมาตรฐานด้านความปลอดภัย เช่น การจัดให้มีอุปกรณ์กู้ชีพ อุปกรณ์ควบคุมการติดเชื้อที่เหมาะสม เป็นต้น รวมถึงการกำหนดมาตรฐานด้านการให้บริการ เช่นการติดตามการเปลี่ยนแปลงทางสุขภาวะของผู้รับบริการ และกำหนดสัดส่วนของผู้ให้บริการ 1 คน ต่อผู้รับบริการไม่เกิน 5 คนเป็นต้น

สำหรับร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียม การชำระค่าธรรมเนียม และการยกเว้นค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับการประกอบกิจการดูแลผู้สูงอายุ และผู้มีภาวะพึ่งพิงนั้น เป็นการกำหนดค่าธรรมเนียมใบอนุญาตและค่าธรรมเนียมรายปี กับการประกอบกิจการสำหรับสถานที่พำนักอาศัย สถานที่ดูแลระหว่างวัน โดยคิดค่าธรรมเนียมคำนวณจากพื้นที่การให้บริการ รวมทั้งกำหนดให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับการประกอบกิจการดูแลผู้สูงอายุฯ โดยหน่วยงานภาครัฐมูลนิธิองค์กรระหว่างประเทศ

“ของขวัญปีใหม่” จาก กลาโหม-วัฒนธรรม

นางสาวไตรศุลีกล่าวว่า ที่ประชุม ครม.รับทราบ “ของขวัญปีใหม่” จาก 2 หน่วยงาน ได้แก่ กระทรวงวัฒนธรรมและกระทรวงกลาโหม โดยมีรายละเอียดดังนี้

  • การจัดกิจกรรม “ความสุขแบบวิถีไทย” ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ โดยกระทรวงวัฒนธรรม ใน 4 กิจกรรมใหญ่ 10 กิจกรรมย่อย ได้แก่

1) กิจกรรมทำความดีช่วงปีใหม่เพื่อความเป็นศิริมงคล โดยจะการจัดกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปีถวายเป็นประราชกุศล ตั้งแต่วันที่ 31 ธันวาคม 2562 – 1 มกราคม 2563 รวมถึงการจัดช่องทางพิเศษและอำนวยความสะดวกให้ประชาชนที่มาไหว้พระช่วงปีใหม่ โดยให้บริการเดินรถปรับอากาศ ขสมก.โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย

2) กิจกรรมท่องเที่ยวสุขสันต์ในแหล่งประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม ซึ่งจะมีการเปิดแหล่งเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์ให้เข้าชมฟรี ระหว่างวันที่ 28 ธันวาคม 2562 – 1 มกราคม 2563 และเปิดหอศิลป์ร่วมสมัยให้ประชาชนเข้าชมฟรี วันที่ 29 ธันวาคม 2562 และ 2 มกราคม 2563

3) กิจกรรมความหลากหลายทางวัฒนธรรมนำความสุข ซึ่งจะมีการจัดแสดงทางวัฒนะรรมระหว่างวันที่ 5-10 มกราคม 2563 รวมถึงเปิดให้ชมภาพยนตร์ เรื่อง “เจ็ดเซียนซามูไร” ฟรีในวันเสาร์ที่ 28 ธันวาคม 2562 ณ โรงภาพยนตร์สกาลา กรุงเทพฯ เนื่องในวันครบรอบ 124 ปี วันกำเนิดภาพยนตร์โลก

4) กิจกรรมส่งความสุขปีใหม่ด้วยของขวัญวิถีไทย ทั้งการให้บริการบัตรอวยพรปีใหม่อิเล็กทรอนิกส์การ์ด ซึ่งจะมีการสอนทางออนไลน์ และจัดอบรมแก่ผู้สนใจ ณ หอศิลป์ร่วมสมัย ราชดำเนิน ระหว่างวันที่ 15 ธันวาคม 2562 – 15 มกราคม 2562

  • โครงการ “เติมความสุขให้คนไทยจากใจทหาร” ระหว่างวันที่ 27 ธันวาคม 2562 – 6 มกราคม 2562 เช่น การตั้งจุดบริการประชาชนและนักท่องเที่ยว โดยจัดจุดพักรถเพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ การบริการเครื่องดื่มและอาหารว่าง บริการทางการแพทย์ การบริการตรวจสภาพและซ่อมแซมยานพาหนะตามถนนสายหลักด้านหน้าที่ตั้งของหน่วยงานทหาร รวมถึงถนนสายรองที่มีความเสี่ยงต่ออุบัติเหตุ การจำหน่ายสินค้าพื้นเมืองราคาถูก การแสดงดนตรี จุดบริการสัญญาณอินเตอร์เน็ตและชาร์จแบตเตอรี่โทรศัพท์เคลื่อนที่ และบริการนวดผ่อนคลาย กว่า 600 จุดทั่วประเทศ

นอกจากนี้นายกรัฐมนตรี ได้กำชับ คณะรัฐมนตรีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในเรื่องการพยุงราคาสินค้า โดยกำชับให้รัฐมนตรี จัดซื้อของเพื่อเป็นของขวัญวันปีใหม่ โดยให้ซื้อสินค้าโอทอป วิสาหกิจชุมชน และสินค้าที่ผลิตภายในประเทศ ด้านพล.อ. ประวิตร ได้ฝากประชาสัมพันธ์ไปยังประชาชนที่จะไปท่องเที่ยว สามารถติดต่อเข้าโครงการฝากบ้านกับตำรวจได้ โดยเมื่อปีที่ผ่านมาบ้านที่เข้าโครงการไม่มีเหตุอันตรายใดๆ และขอเน้นย้ำเรื่องเมาไม่ขับ ซึ่งอุบัติเหตุส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นในช่วงเทศกาลจากการขับรถเร็วและไม่สวมหมวกกันน็อก จึงขอให้ลดการความเร็วที่ไม่สูงเกินไปและสวมใส่หมวกกันน็อกเพื่อป้องกันอุบัติเหตุด้วย

เตรียมจัดงานสโมสรสันนิบาติเฉลิมพระเกียรติ “กรมสมเด็จพระเทพฯ”

ศ. ดร.นฤมล กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.รายงานว่ารัฐบาลได้เตรียมจัด งานสโมสรสันนิบาตเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เนื่องในโอกาสทรงได้รับการทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายเครื่องอิสริยาภรณ์ รัฐมิตราภรณ์ แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน (Friendship Medal of the People’s Republic of China)ในที่ 29 ธ.ค. 2562 เวลา 11.00 น. ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล

ตั้ง “พีระพันธุ์” นั่งที่ปรึกษานายกฯ

นางสาวไตรศุลี กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติแต่งตั้งโยกย้ายหลายตำแหน่ง เช่น

  • แต่งตั้ง นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ให้ดำรงตำแหน่งข้าราชการการเมือง ตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 17 ธันวาคม 2562 เป็นต้นไป
  • คณะกรรมการบริหารกิจการขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ กระทรวงคมนาคม 7 ราย ได้แก่ 1. นายวิทยา ยาม่วง ประธานกรรมการ 2. นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ กรรมการ 3. นายสุเมธ สังข์ศิริ กรรมการ 4. นางปาณิสรา ดวงสอดศรี กรรมการ 5. พลตำรวจโท กรไชย คล้ายคลึง กรรมการ 6. นายภาณุทัด แนวจันทร์ กรรมการ 7. นายจำเริญ โพธิยอด กรรมการ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 17 ธันวาคม 2562 เป็นต้นไป
  • คณะกรรมการพัฒนาระบบสถาบันการเงินประชาชน กระทรวงการคลัง 7 ราย 1. นายมรกต พิธรัตน์ เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการเงินระดับชุมชน 2. นายสุพัฒน์ เอี้ยวฉาย เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการพัฒนาชุมชน 3. นายนิพนธ์ ฮะกีมี เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมาย 4. นายนรินทร์ กัลยาณมิตร เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านเศรษฐกิจ การเงินหรือการคลัง 5. นางสาวสุทธิรัตน์ รัตนโชติ เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการบัญชี 6. นายสุรพล โอภาสเสถียร เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการบริหารความเสี่ยงหรือการประกันภัย 7. นายผยง ศรีวณิช เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านเทคโนโลยี ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 17 ธันวาคม 2562 เป็นต้นไป
  • กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) แต่งตั้งให้นายอภิชัย สมบูรณ์ปกรณ์ เป็น โฆษก อว. ตามคำสั่ง อว. ที่ 116/2562 เรื่อง แต่งตั้งโฆษก อว. สั่ง ณ วันที่ 7 พฤศจิกายน 2562

อ่านมติ ครม.ประจำวันที่ 17 ธันวาคม 2562 เพิ่มเติมที่นี่