ThaiPublica > เกาะกระแส > “บิ๊กตู่” โต้กระแสปรับ ครม. แย้มให้รอหลังงบฯ 63 ผ่าน – มติ ครม.ประกันรายได้ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ – สินเชื่อ 3,923 ล้าน

“บิ๊กตู่” โต้กระแสปรับ ครม. แย้มให้รอหลังงบฯ 63 ผ่าน – มติ ครม.ประกันรายได้ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ – สินเชื่อ 3,923 ล้าน

11 ธันวาคม 2019


พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
ที่มาภาพ: www.thaigov.go.th/

“บิ๊กตู่” โต้กระแสปรับ ครม. แย้มให้รอหลังงบฯ 63 ผ่าน – มติ ครม.ประกันรายได้ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ – สินเชื่อ 3,923 ล้าน

เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2562 ที่ทำเนียบรัฐบาลมีการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยมี พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธาน

แจงแจกทอง “ชิมช้อปใช้” นายฯเผยตปท. ก็ทำ

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามถึงมาตรการ “ชิมช้อปใช้” ที่แจกสิทธิ์ลุ้นทองคำ ว่า มาตรการแจกทองเรียกว่าเป็นการดูแลประชาชน เป็นรางวัลสำหรับคนที่ใช้จ่ายวงเงินในกระเป๋า 2 ทุก 1,000 บาท จะได้รับ 1 สิทธิ์ลุ้นทองคำด้วยการจับสลาก ซึ่งเป็นมาตรการที่ต่างประเทศเขาก็ทำ เมื่อซื้อของก็มีออกรางวัลให้ทีหลังเพื่อจูงใจคน โดยยกตัวอย่างร้านค้าประเทศญี่ปุ่นก็มีมาตรการจูงใจให้คนจับจ่ายใช้สอยอย่างนี้เหมือนกัน

โต้กระแสปรับ ครม. แย้มให้รอหลังงบฯ 63 ผ่าน

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามถึงกระแสข่าวปรับครม. ว่า เรื่องการเมืองพอได้แล้ว ไม่มีอะไรแล้ว ตนขอยืนยันว่า ตอนนี้ยังไม่มีอะไรทั้งสิ้น ส่วนใครจะไป ใครจะมา ก็เป็นเรื่องของพรรคการเมืองที่ต้องหารือกัน และสุดท้ายตนจะเป็นผู้ตัดสินใจ เพราะตนเป็นผู้นำรัฐบาล

“กระแสปรับ ครม.ไม่มีจริงๆ ไม่มีหรอก วันนี้เพิ่งเข้ามาทำงาน 3-4 เดือนเอง แผนงานและโครงการต่างๆ วันนี้ก็ใช้เงินไปอย่างประหยัดที่สุด เท่าที่มีเงินอยู่ และยังไม่มีปัญหาอะไร แต่คงต้องรอดูหลังจากที่เรามี พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2563 เรียบร้อยแล้ว และถ้าการพิจารณาผ่านวาระ 2 และ 3 เรียบร้อย และเงินสามารถใช้ได้ ก็ต้องไปดูว่าโครงการต่างๆ มีประสิทธิภาพหรือไม่ แล้วถึงจะไปถึงหลักการในการปรับ ครม.” นายกรัฐมนตรี กล่าว

พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวต่อไปว่า ในการปรับ ครม.ต้องดูถึงสัดส่วนว่า ใครจะไปอยู่พรรคร่วมรัฐบาล มีคนเท่าไหร่ สัดส่วนควรได้เท่าไหร่ ไปรวมกับพรรคไหน อยู่กับพรรคใคร เป็นเรื่องที่ต้องมีการหารือกันและมีขั้นตอนอีกมาก

ทั้งนี้ตนขอยืนยันว่า วันนี้ยังไม่มีความคิดในเรื่องเหล่านี้ แต่ถ้าใครจะมาช่วยก็ยินดี เพราะตนเคยบอกไว้แล้วว่า ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายค้านหรือฝ่ายรัฐบาล อะไรที่ดี และเกิดผลประโยชน์กับประชาชน มันควรสนับสนุนกันบ้าง ไม่ใช่ฝ่ายค้าน ก็จะค้านตลอด ค้านทุกเรื่อง จนทำอะไรไม่ได้เลย สิ่งนั้นเป็นอันตรายสำหรับประเทศ

ปัดใบสั่งยุบ “อนค.” ชี้เป็นอำนาจศาล – รัฐบาลไม่ก้าวล่วง

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามถึงกรณีสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เสนอความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญให้ยุบพรรคอนาคตใหม่ (อนค.) เหตุปล่อยเงินกู้พรรค ว่า เรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องที่ฝ่ายความมั่นคงต้องดูแล ซึ่งเรื่องการยุบพรรค อนค.นั้นเป็นเรื่องของศาลที่รัฐบาลไม่สามารถก้าวล่วงอำนาจของศาลได้กระบวนการยุติธรรมว่าอย่างไร หลักฐาน วัตถุพยาน หลักฐานบุคคล เอกสารว่าอย่างไร ทุกอย่างก็ต้องว่าไปตามขั้นตอน โดยศาลจะตัดสินไปตามนั้น ตนขอร้องอย่าทำให้เกิดความวุ่นวายขึ้นอีก

เมื่อถามว่า น.ส.พรรณิการ์ วานิช ส.ส.บัญชีรายชื่อ โฆษกพรรคอนาคตใหม่ โชว์หลักฐาน พร้อมระบุว่ามีใบสั่งเพื่อให้ยุบพรรค อนค.นั้น พล.อ. ประยุทธ์ ได้ย้อนถามว่า “ใครสั่ง ถ้าไม่ได้ระบุ ก็ต้องไปหาคนมาว่าใครพูด เป็นผมหรืออย่างไร ไอ้ที่พูดกันออกมาหมายถึงผมเช่นนั้นหรือ ยืนยันว่าผมไม่ได้ไปก้าวล่วงใครอยู่แล้ว ผมรู้ว่าผมจะต้องทำตัวอย่างไร ไว้ใจผมสิ”

ดันฝุ่นพิษ PM 2.5 ขึ้นเป็นวาระแห่งชาติ

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามถึงปัญหาฝุ่นละออง PM2.5 ที่กลับมาเกินค่ามาตรฐานอีกครั้งว่า ปัญหาค่าฝุ่นละอองมาจากหลายส่วนด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นจากการเผาไร่ เผาป่า เรื่องการจราจร รถยนต์เก่า รถยนต์ใหม่ ทุกอย่างต้องแก้ปัญหาอย่างบูรณาการ วันนี้เราได้เริ่มขับเคลื่อนเป็นวาระแห่งชาติด้านการแก้ไขปัญหามลพิษและปัญหาฝุ่นละอองตั้งแต่เดือนตุลาคมที่ผ่านมา 3 มาตรการ คือ

1. เพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการเชิงพื้นที่ ซึ่งช่วงเวลาที่มีการเพาะปลูก เผาพืชไร่ จะมีปัญหาฝุ่นละอองเพิ่มมากขึ้น ต้องไปลดตรงนั้นซึ่งกำลังดำเนินการอยู่

2. เพิ่มประสิทธิภาพการลดมลพิษที่ต้นทาง การตรวจตราควันดำ ลดสิ่งเหล่านี้อย่าให้มันพันกันไปหมด

3. เรื่องการบริหารจัดการมลพิษ ทั้งหมดทุกกระทรวงมีแผนปฏิบัติอยู่แล้ว

“ผมได้กำชับไปใน ครม.ทุกครั้งเรื่องการแก้ปัญหาฝุ่นละออง การแก้ปัญหาขยะ น้ำเสีย ทั้งหมดต้นทางคือพวกเราต้องช่วยกัน ทุกบ้านต้องติดถังดักไขมัน เพื่อไม่ให้น้ำเน่าเสีย ต้องให้เข้าใจกันด้วยว่าทำไมถึงต้องทำตรงโน้นตรงนี้ ก็เพื่อจะแก้ปัญหาระยะยาวให้ได้” นายกรัฐมนตรีกล่าว

โวใช้ ม.44 เพิ่มพื้นที่ป่า 3 แสนไร่ – ชี้ปมที่ดิน “เอ๋” ว่าตามหลักฐาน

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามถึงการถือครองที่ดินตาม ภ.บ.ท. 5 และ ส.ป.ก.ของนักการเมือง โดยเฉพาะกรณีที่เกิดขึ้นกับ น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ โดยยืนยันว่า ในการถือครองที่ดินทั้ง 2 ประเภทนั้นต้องเป็นไปตามหลักฐานและข้อเท็จจริงโดยพื้นฐานของกฎหมาย ซึ่งมีกฎหมายอยู่หลายตัว และที่เคยใช้ มาตรา 44 ไปนั้นก็ไม่ได้เสียหายแต่อย่างใด ซึ่งการใช้มาตรการดังกล่าวส่งผลให้การบุกรุกพื้นที่ป่าลดลง จากที่เคยพบว่ามีการบุกรุกป่าเกิดเป็นแสนไร่ต่อปี แต่ปัจจุบันลดลงเหลือประมาณหมื่นไร่ต่อปี

“ปัญหาต่อไปคือต้องดูว่า เมื่อเรายึดมาแล้วจะเอาไปทำอะไร ซึ่งกำลังเป็นประเด็นอยู่ในสังคม ผมกำลังให้ไปดูอยู่ว่ามีอีกกี่ราย เอารายอื่นมาดูด้วย เพื่อเปรียบเทียบ เพื่อหาแนวปฏิบัติที่ชัดเจน แต่ทั้งหมดนี้เราต้องอาศัยกฎหมายทั้งหมด วันนี้เราเอาพื้นที่ป่าคืนมาได้แล้วทำให้ขณะนี้เรามีป่าเพิ่มขึ้นประมาณ 3 แสนกว่าไร่ เราเอาพื้นที่ป่ามาแล้ว 7 แสนกว่าไร่ ส่วนใหญ่ก็เป็นของนายทุนทั้งหมดที่ผิดกฎหมาย ก็ว่ากันไปตามกฎหมายก็แล้วกัน” นายกรัฐมนตรีกล่าว

แจงงานเลี้ยงพรรคร่วมฯ ไม่ได้กิน “หูฉลาม”

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามถึงการรณรงค์ “ฉลองไม่ฉลาม” ที่สืบเนื่องจากงานเลี้ยงอาหารค่ำระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2562 ที่ผ่านมา ที่มีการเสิร์ฟเมนูหูฉลาม จนเกิดเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์ ว่า “เดี๋ยวผมจะบอกให้ วันนั้นผมไม่ได้กินอะไรเลย ไม่รู้ว่ามีหูฉลามด้วย มัวแต่โม้อยู่ จำได้กลับบ้านไปหิวแทบตาย ในงานก็คุยกันไปธรรมดา ผมไม่ไปก้าวล่วงอะไรทางการเมืองเขาอยู่แล้ว วันหน้าไม่กินแล้ว ไม่กินหูฉลาม กินปลาตัวเล็ก ปลาข้าวสาร”

ยกระดับรักษาความปลอดภัยใน รพ. หลังเกิดเหตุคนไข้แทงหมอ

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามถึงการยกระดับการรักษาความปลอดภัยภายในโรงพยาบาล ภายหลังเกิดเหตุคนไข้ทำร้ายแพทย์ที่โรงพยาบาล จ.ขอนแก่นว่า ตนขอร้องให้ใจเย็นๆ ลงหน่อย ซึ่งในกรณีดังกล่าวตนคดิว่าคนไข้คงไปรอหมอนาน สำหรับเรื่องนี้นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้ย้ำเตือนเรื่องเพิ่มมาตรการดูแลรักษาความปลอดภัยโรงพยาบาล และบุคลากรเจ้าหน้าที่ทุกคนต้องช่วยกันดูแลให้ดีที่สุด

“ความรุนแรงในสังคมปัจจุบันเกิดขึ้นเยอะแล้ว อย่าให้เกิดขึ้นอีกเลย ทั้งโรงพยาบาล สถาบันการศึกษา ท้องถนน เพราะเป็นภาพที่ไม่สวยงาม ทุกคนต้องใจเย็นลงหน่อย เพราะอากาศยังเย็นอยู่ ขอให้ทุกคนนำความเอื้ออาทร ความเอื้ออารีย์ กลับมาคืนสู่สังคม สังคมแห่งความปรองดอง สมานฉันท์” นายกรัฐมนตรีกล่าว

เมิน “วิ่งไล่ลุง” ชี้ไร้สาระ ชวน “วิ่งเพื่อแผ่นดิน”

พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวเรื่องสำคัญที่อยากให้ทุกคนสนใจคือนโยบายเพื่อสร้างเสริมสุขภาพ ซึ่งมีการจัดงานวิ่งเพื่อแผ่นดินตามรอยสงครามเก้าทัพ เป็นการสร้างการตื่นตัวให้ออกกำลังกาย กระตุ้นเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว สร้างความรักธรรมชาติ เสริมความเข้าใจ ปลูกฝังอุดมการณ์ความรักชาติ โดยจะจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ มีกิจกรรมวิ่งทั้งหมด 6 ระยะ

ระยะที่หนึ่ง 52 กิโลเมตร สำหรับนักวิ่งมืออาชีพ ซึ่งมีนักวิ่งจากต่างประเทศให้ความสนใจกันมาก ที่ผ่านมาเอกชนจัดวิ่ง 100 กิโลเมตร ขึ้นเขาลงเขา ประชาชนยังเข้าร่วม, ระยะที่สอง 36 กิโลเมตร สำหรับผู้ชอบความท้าทาย และเคยวิ่งเทรลมาแล้วหลายสนาม, ระยะที่สาม 17 กิโลเมตร สำหรับผู้ที่วิ่งเทรลแล้วและวิ่งบนถนน, ระยะที่สี่ 13 กิโลเมตร สำหรับมือใหม่ อยากทดลองวิ่ง, ระยะที่ห้า 5 กิโลเมตร สำหรับผู้ที่เริ่มต้นออกกำลังกาย และระยะที่หก 3 กิโลเมตร สำหรับครอบครัว เด็ก ผู้สูงอายุ ที่สนใจเข้าร่วม

“ผมน่าจะอยู่ในกลุ่มที่ 6 เพราะอายุ 60 กว่าแล้ว พอวิ่งได้ วิ่งเสร็จก็ทำงานไม่ไหว มันไม่ได้ ต้องฟิตร่างกายมากกว่านี้อีกหน่อย ก็อย่าหาเรื่องรกสมองมาให้ฉันเยอะนัก อะไรก็จะให้นายกฯ หมดทุกอัน ที่ผมให้นโยบายไป เพราะได้ติดตามมาจากภาคเอกชนที่มีการจัดกันเยอะ จึงอยากให้กำหนดมาตรฐานให้ดีในเรื่องความปลอดภัยจะต้องมีการตรวจสภาพร่างกาย เพราะบางทีเกรงจะช็อก หรือน็อกไปโดยไม่รู้ตัวและเป็นการส่งเสริมด้านกีฬา ซึ่งเอกชนจัดมาหลายครั้งแล้ว คราวนี้รัฐบาลจัดให้เพื่อที่เราจะได้ไปวิ่งแข่งกับเขาบ้าง”

พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวต่อไปโดยยกตัวอย่าง ประเทศแถบแอฟริกาว่า ส่วนใหญ่เขาจะชนะเลิศในการวิ่งระยะไกล เขามีโรงเรียนสอนวิ่งมาราธอน ของเราก็ต้องไปศึกษาว่าจะอย่างไร การวิ่งไม่ใช่วิ่งพื้นราบอย่างเดียว ยังมีขึ้นเขา เข้าป่า ลงทุ่งนา ดูธรรมชาติ ถึงอย่างไรต้องไม่ให้เกิดความคับคั่ง รัฐบาลให้ฝ่ายความมั่นคงเป็นแกนนำจัด มีทหาร บุคลากร แพทย์ พยาบาลช่วยดูแล ร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ขอให้ทุกคนช่วยกันวิ่งเพื่อแผ่นดิน เรื่องวิ่งไล่ตาม วิ่งตาม วิ่งไล่ลุง ไร้สาระ เยอะ ไม่เกิดประโยชน์

เมื่อถามว่า เป็นห่วงกิจกรรมวิ่งไล่ลุงหรือไม่ ว่าจะก่อให้เกิดความขัดแย้งทางการเมืองขึ้นมา พล.อ. ประยุทธ์ ระบุว่า “ไม่ห่วง การวิ่งไล่ผม มันไม่ได้อะไรเท่าไหร่”

เมื่อถามว่า การวิ่งไล่ลุง ไม่ได้ใช้ชื่อวิ่งไล่นายกฯ พล.อ. ประยุทธ์ ระบุว่า “วิ่งไล่ลุง ลุงคือใคร เขาคงมุ่งหมายอย่างนั้น ในส่วนของผม คือไล่ความคิดของผมแล้วกันว่าทำอะไรอยู่ในตอนนี้ คิดอะไรทำอย่างไร เอาตัวอย่างเอาแบบบทเรียนมาจากไหน จากใคร แล้วตนนำมาประยุกต์อย่างไร ไล่ผมแบบนี้ให้ทัน เข้าใจหรือไม่ ผมอ่านหนังสืออะไรมาบ้าง คือตามให้ทันก็แล้วกัน จะได้เป็นความรู้ในการที่จะมาซักฟอกกัน แล้วมาสอบถามตั้งกระทู้ บางทีมันต้องมีความมุ่งหมาย ไม่ใช่เพื่อจะมุ่งให้ไม่ไว้เนื้อเชื่อใจกันเสียมากเกินไป”

เมื่อถามว่า ฝ่ายความมั่นคงต้องพิจารณากิจกรรมวิ่งไล่ลุงหรือไม่ พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวว่า เขาต้องมีแผนงานอยู่แล้วในการที่จะบังคับใช้กฎหมาย ก็จบแค่นั้น กฎหมายก็คือกฎหมาย ถ้าเราไม่ยึดถือกฎหมายเลยสักตัว ทำอะไรไม่ได้ เจ้าหน้าที่ก็ลำบากใจ ถึงเวลาเขาก็มีคดีด้วย เขาก็คงไม่มีใครอยากทำ เมื่อถึงเวลานั้น ประเทศชาติจะไร้ขื่อแปรแล้วจะทำอย่างไร เข้าใจหรือไม่ พวกสื่อก็เดือดร้อน ไม่ปลอดภัยขึ้นมาอีกจะทำอย่างไร

เมื่อถามว่า นายกฯ จะไปร่วมกิจกรรมวิ่งเพื่อแผ่นดินหรือไม่ พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวว่า อยู่ในช่วงผู้สูงอายุ ขอเวลาวอร์มก่อน

อนึ่ง งาน Trail Running “วิ่งเพื่อแผ่นดิน” ตามรอยสงครามเก้าทัพ จะจัดขึ้นที่อุทยานประวัติศาสตร์ สงคราม 9 ทัพ จ.กาญจนบุรี ภายใต้ชื่อ SIAM TRAIL 2019 ระหว่าง 13-15 ธันวาคม 2562 นี้ ซึ่งนอกจากการวิ่งแล้ว ยังมีกิจกรรมอื่นๆ อีก มีนิทรรศการมัลติมีเดียสมบูรณ์แบบของอุทยานประวัติศาสตร์สงครามเก้าทัพ วันละ 3 รอบ รองรับ 100 คนต่อรอบ

ขณะเดียวกัน ยังมีกิจกรรมสร้างฝายกั้นน้ำ ให้จิตอาสาสร้างฝายขึ้นใหม่จำนวน 20 ฝาย ในวันที่ 14 ธันวาคมนี้ และยังมีการจัดตลาดประชารัฐให้ผู้ค้าในท้องถิ่นมาร่วมค้าขายในบรรยากาศย้อนอดีต จำลองบรรยากาศเมืองโบราณ หมู่บ้านวัฒนธรรมไทยทรงดำ ซึ่งเป็นกลุ่มชาวพื้นเมือง ที่อาศัยมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา โดยไฮไลต์คือการแสดงแสง สี เสียง สื่อผสม วีรกรรมศึกสงครามเก้าทัพ ผู้ร่วมงานจะได้ชมความอลังการด้วยสเปเชียลเอฟเฟกต์จากทีมงานสร้างผู้เชี่ยวชาญ

ชม “ฟ้าใส” ตอบคำถามดี

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามถึงกรณีคำถามบนเวทีมิสยูนิเวิร์สของ น.ส.ปวีณสุดา ดรูอิ้น (ฟ้าใส) มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ ในการประกวดมิสยูนิเวิร์ส 2019 ซึ่งเป็นคำถามเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัว และความมั่นคง ว่า ตนเห็นว่าคำถามดังกล่าวนั้นค่อนข้างยาก หากตนได้เป็นกรรมการตัดสินการประกวดจะตั้งคำถามให้ใหม่

โดยนายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงความคิดเห็นในสังคมออนไลน์ ว่า บางคนมาบอกว่าเพราะตนเป็นนายกฯ จึงทำให้ประเทศไทยไม่ได้รางวัล แล้วเกี่ยวอะไรกับตน ตนก็เห็นตอบคำถามดีและขอให้กำลังใจ ในตอนแรกยังนึกว่าจะได้เป็นมิสยูนิเวิร์สแล้ว ก็กำลังใจทุกคนเพราะไปประกวดในนามประเทศไทย

มติ ครม. มีดังนี้

ผศ. ดร.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี, ศ. ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และนางสาวไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (ซ้าย-ขาว)
ที่มาภาพ: Sambla

อนุมัติงบฯ ช่วยเหลือชาวนาเพิ่มอีก 2,667 ล้าน

ศ. ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ครม.มีมติอนุมัติงบประมาณเพิ่มเติมตามโครงการสนับสนุนต้นทุนการผลิตให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2562/63 วงเงิน 2,667.35 ล้านบาท เนื่องจากคาดการณ์จำนวนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวเพิ่มขึ้นเป็น 4.57 ล้านครัวเรือนจากเดิม 4.31 ล้านครัวเรือ หรือเพิ่มขึ้น 260,000 ครัวเรือน นอกจากนี้ ยังเห็นชอบขยายระยะเวลาจ่ายเงินให้เกษตรกรภาคอื่นๆ จากเดิม 31 ธันวาคม 2562 เป็นสิ้นสุด 30 เมษายน 2563

นอกจากนี้ ครม.ยังเห็นชอบโครงการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าว ปีการผลิต 2562/63 เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้เกษตรกรและลดค่าใช้จ่ายในการเก็บเกี่ยว วงเงินรวม 26,458.89 ล้านบาท โดยมีเป้าหมายเป็นเกษตรกร 4.57 ล้านครัวเรือน โดยจะได้รับเงินช่วยเหลือรายละ 500 บาทต่อไร่ ไม่เกิน 20 ไร่ หรือครัวเรือนละ 10,000 บาท ระยะเวลาโครงการตั้งแต่พฤษจิกายน 2562 ถึง 30 กันยายน 2563

เห็นชอบมาตรการพยุงราคาข้าววงเงิน 23,432 ล้าน

ศ. ดร.นฤมล กล่าวว่า ครม.มีมติเห็นชอบมาตรการรักษาเสถียรภาพราคาข้าวเปลือก ปีการผลิต 2562/63 (คู่ขนานโครงการประกันราบได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว) ตามคณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ (นบข.) ที่มีมติเมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2562 แบ่งเป็น

  1. โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือก วงเงินสินเชื่อ 10,000 ล้านบาทผ่าน ธ.ก.ส. เป้าหมาย 1 ล้านตันข้าวเปลือก กำหนดวงเงินรวมสำหรับเกษตรกรรายละไม่เกิน 300,000 บาท สหกรณ์การเกษตรไม่เกิน 300 ล้านบาท กลุ่มเกษตรกรไม่เกิน 20 ล้านบาท และวิสาหกิจชุมชนไม่เกิน 5 ล้านบาท โดยระยะเวลาทำสัญญาเงินตั้งแต่ 1 พฤศจิกายน 2562 ถึง 29 กุมภาพันธ์ 2563 และดำเนินโครงการไปจนถึง 31 ธันวาคม 2563 ทั้งนี้ การจ่ายเงินกู้ให้คิดตามราคาในการให้สินเชื่อตามประเภทข้าวตันละตั้งแต่ 8,700-11,000 บาท โดยจะต้องเก็บไว้อย่างน้อย 1 เดือน และมีระยะเวลาไถ่ถอน 5 เดือน โดยให้ค่าฝากเก็บและรักษาคุณภาพข้าวเปลือก 1,500 บาทต่อตัน รวมวงเงิน 1,500 ล้านบาท ทั้งนี้ การระบายข้าวเปลือกในโครงการกรณีที่ราคาข้าวต่ำกว่าราคาให้สินเชื่อให้ขยายระยะเวลาชำระเงินกู้ออกไปอีก 3 ครั้ง ครั้งละ 1 เดือน หากราคายังไม่สูงขึ้นให้คณะอุนกรรมการติดตามกำกับดูแลการบริหารจัดการข้าวระดับจังหวัด ดำเนินระบายข้าวเปลือกตามโครงการต่อไป
  2. โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวโดยสถาบันการเกษตร เป้าหมาย 1.5 ล้านตันข้าวเปลือก วงเงินสินเชื่อเป้าหมาย 15,000 ล้านบาทผ่าน ธ.ก.ส. ดอกเบี้ย 4% ต่อปี โดยเกษตรกรรับภาระดอกเบี้ย 1% กองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร รับภาระ 3% วงเงินรวม 562.50 ล้านบาท โดยมีระยะเวลาจ่ายเงินกู้ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2562 ถึง 30 กันยายน 2563 และระยะเวลาชำระหนี้ไม่เกินวันที่ 31 ธันวาคม 2563
  3. โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อกโดยกรมการค้าภายใน เป้าหมาย 4 ล้านตันข้าวเปลือก โดยต้องเก็บไว้อย่างน้อย 60-180 วันนับตั้งแต่วันที่รับซื้อตั้งแต่ 20 พฤศจิกายน 2562 ถึง 30 เมษายน 2563 โดยรัฐบาลจะชดเชยดอกเบี้ยในอัตรา 3% วงเงิน 510 ล้านบาท

นอกจากนี้ ครม.ยังเห็นชอบการจัดสรรวงเงินโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือก (เพิ่มเติม) ของ ธ.ก.ส. เพื่อให้การดำเนินโรงการสินเชื่อชะลอการขาวข้าวเปลือกเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ วงเงินรวม 1,370.72 ล้านบาท โดยขอให้รัฐบาลรับภาระเงินชดเชยดอกเบี้ยจากการให้สินเชื่อตามโครงการดังกล่าว 2.5% รวมไปถึงภาระการระบายข้าว เช่น การขนย้ายข้าวและส่วนต่างภาระขาดทุนจากการระบายข้าว 10% ของสินเชื่อ

ยกเว้นภาษีเงินได้บ้านดีมีดาวน์ 5 หมื่นบาท

ศ. ดร.นฤมล กล่าวว่า ครม.มีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (การยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับเงินลดภาระการผ่อนดาวน์ที่ได้รับจากมาตรการลดภาวะการซื้อที่อยู่อาศัย ภายใต้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงปลายปี 2562) โดยกำหนดให้วงเงิน 50,000 บาทที่ได้จากมาตรการดังกล่าวไม่นับเป็นเงินได้พึงประเมินในการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา

เห็นชอบขึ้นค่าแรงขั้นต่ำวันละ 313-346 บาท

ศ. ดร.นฤมล กล่าวว่า ครม.ได้มีมติเห็นชอบตามที่คณะกรรมการค่าจ้างชุดที่ 20 มีมติกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ/วัน ปี 2563 โดยการพิจารณากำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำของคณะกรรมการฯ ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเสมอภาค และรับฟังความคิดเห็นของทุกฝ่าย เพื่อให้ได้ข้อยุติที่เป็นที่ยอมรับร่วมกัน คือนายจ้างสามารถประกอบธุรกิจอยู่ได้ ลูกจ้างสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างเป็นสุข ซึ่งเชื่อมั่นว่าจะไม่เป็นอุปสรรค ต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ หรือมีผลทำให้ราคาสินค้าและอัตราเงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้นจนส่งผลกระทบต่อภาวะการครองชีพของประชาชนโดยทั่ว ทั้งนี้ ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2563 เป็นต้นไป

โดยอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ/วัน ปี 2563 แบ่งออกเป็น 10 กลุ่มจังหวัด ได้แก่

  1. อัตราค่าจ้าง 346 บาท 2 จังหวัด คือ ชลบุรี ภูเก็ต
  2. อัตราค่าจ้าง 335 บาท 1 จังหวัด คือ ระยอง
  3. อัตราค่าจ้าง 331 บาท 6 จังหวัด คือ กรุงเทพฯ นครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ สมุทรสาคร
  4. อัตราค่าจ้าง 330 บาท 1 จังหวัด ฉะเชิงเทรา
  5. อัตราค่าจ้าง 325 บาท 14 จังหวัด คือ กระบี่ ขอนแก่น เชียงใหม่ ตราด นครราชสีมา พระนครศรีอยุธยา พังงา ลพบุรี สงขลา สระบุรี สุพรรณบุรี สุราษฏร์ธานี หนองคาย อุบลราชธานี
  6. อัตราค่าจ้าง 324 บาท 1 จังหวัด คือ ปราจีนบุรี
  7. อัตราค่าจ้าง 323 บาท 6 จังหวัด คือ กาฬสินธุ์ จันทบุรี นครนายก มุกดาหาร สกลนคร สมุทรสงคราม
  8. อัตราค่าจ้าง 320 บาท 21 จังหวัด คือ กาญจนบุรี ชัยนาท นครพนม นครสวรรค์ น่าน บุรีรัมย์ ปทุมธานี ประจวบคีรีขันธ์ พัทลุง พิจิตร พิษณุโลก เพชรบุรี เพชรบูรณ์ แพร่ ภูเก็ต เลย สระแก้ว สุรินทร์ อ่างทอง อุดรธานี อุตรดิตถ์
  9. อัตราค่าจ้าง 315 บาท 22 จังหวัด คือ กำแพงเพชร ชัยภูมิ ชุมพร เชียงราย ตรัง ตาก นครศรีธรรมราช พิจิตร แพร่ มหาสารคาม แม่ฮ่องสอน ระนอง ราชบุรี ลพบุรี ลำปาง ลำพูน ศรีสะเกษ สิงห์บุรี สุโขทัย อุทัยธานี อำนาจเจริญ
  10. อัตราค่าจ้าง 313 บาท 3 จังหวัด คือ นราธิวาส ปัตตานี ยะลา

ผ่านร่างกฎกระทรวงภาษีที่ดิน 4 ฉบับ

ศ. ดร.นฤมล กล่าวว่า ครม.มีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงที่ออกโดยอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. 2562 จำนวน 4 ฉบับ ได้แก่

  • ร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าใช้จ่ายในการจัดเก็บภาษีแทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. …. กำหนดให้ส่วนราชการที่รับชำระภาษีแทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) หักค่าใช้จ่ายในการจัดเก็บภาษีในอัตราร้อยละ 3 ของภาษีที่รับชำระไว้แทน และให้นำส่งภาษีหลังหักค่าใช้จ่ายแล้วให้แก่ อปท.ภายในวันที่ 10 ของเดือนถัดไป
  • ร่างกฎกระทรวงกำหนดที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่ทิ้งไว้ว่างเปล่าหรือไม่ได้ทำประโยชน์ตามควรแก่สภาพ พ.ศ. ….
    • กำหนดให้ลักษณะที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่ทิ้งไว้ว่างเปล่า เป็นไปตามหลักเกณฑ์ ดังนี้
      • ที่ดินที่โดยสภาพสามารถทำประโยชน์ได้ แต่ไม่มีการทำประโยชน์ในที่ดินนั้นตลอดปีที่ผ่านมา เว้นแต่การที่ไม่สามารถทำประโยชน์นั้นเนื่องจากมีเหตุธรรมชาติหรือเหตุพ้นวิสัย
      • สิ่งปลูกสร้างที่โดยสภาพทำประโยชน์ได้ แต่ถูกทิ้งร้างและไม่มีการทำประโยชน์ในสิ่งปลูกสร้างนั้นตลอดปีที่ผ่านมา
    • กำหนดให้ลักษณะที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่ไม่ได้ทำประโยชน์ตามควรแก่สภาพ เป็นไปตามหลักเกณฑ์ ดังนี้
      • ที่ดินที่โดยสภาพสามารถทำประโยชน์ในการประกอบเกษตรกรรม แต่มีการทำประโยชน์ไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยประกาศกำหนด ตลอดปีที่ผ่านมา
      • สิ่งปลูกสร้างที่ก่อสร้างหรือปรับปรุงเสร็จแล้ว และโดยสภาพสามารถทำประโยชน์ในการประกอบเกษตรกรรม หรือเป็นที่อยู่อาศัย หรือทำประโยชน์อื่นที่ไม่ใช่การทำประโยชน์ในการประกอบเกษตรกรรมหรือเป็นที่อยู่อาศัย แต่ไม่มีการใช้ประโยชน์ตลอดปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ ไม่รวมถึงที่ดินที่อยู่ระหว่างการเตรียมการเพื่อทำประโยชน์หรือสิ่งปลูกสร้างที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง ที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่ถูกรอนสิทธิในการทำประโยชน์โดยกฎหมาย หรือโดยคำสั่งหรือคำพิพากษาของศาล หรือที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่อยู่ระหว่างการพิจารณาคดีของศาลเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครอง โดยในการพิจารณาว่าที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างใดเป็นที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่ทิ้งไว้ว่างเปล่าหรือไม่ได้ทำประโยชน์ตามควรแก่สภาพ ให้คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สภาพภูมิประเทศ สภาพดิน ความลาดชันของพื้นดิน และการทำประโยชน์ของที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างในบริเวณใกล้เคียง
  • ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการประกาศราคาประเมินทุนทรัพย์ อัตราภาษี และรายละเอียดอื่นในการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. …. กำหนดให้ อปท.จัดทำประกาศราคาประเมินทุนทรัพย์ของที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง อัตราภาษี และรายละเอียดอื่นที่จำเป็นตามลักษณะการใช้ประโยชน์ของผู้มีหน้าที่เสียภาษีแต่ละราย ตามแบบ ภ.ด.ส. 1 และ ภ.ด.ส. 2 และให้ อปท.ปิดประกาศก่อนวันที่ 1 กุมภาพันธ์ของทุกปี โดยให้แสดงไว้ ณ สำนักงานหรือที่ทำการของ อปท.และสถานที่อื่นใดที่ประชาชนเข้าถึงได้ หรือผ่านระบบอินเทอร์เน็ตทางเว็บไซต์ของ อปท.
  • ร่างกฎกระทรวงการผ่อนชำระภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. …. กำหนดให้ผู้เสียภาษีที่มีวงเงินตั้งแต่ 3,000 บาทขึ้นไป ยื่นหนังสือขอผ่อนชำระภาษีต่อ อปท.ภายในเดือนเมษายนของปี และกำหนดเวลาผ่อนชำระภาษี 3 งวด งวดละเท่าๆ กัน (เดือนเมษายน เดือนพฤษภาคม และเดือนมิถุนายน)

เปิดตลาดนำเข้านมผงขาดมันเนยเพิ่ม 2,993 ตัน

ศ. ดร.นฤมล กล่าวว่า ครม.มีมติเห็นชอบในการอนุมัติเปิดตลาดนำเข้านมผงขาดมันเนยปี 2562 เพิ่มเติม ปริมาณ 2,993.02 ตัน ในอัตราภาษีร้อยละ 5 ตามมติคณะกรรมการโคนมและผลิตภัณฑ์นมในการประชุมครั้งที่ 2/2562 เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2562 อนึ่ง เดิมคณะกรรมการโคนมและผลิตภัณฑ์นมเห็นชอบการเปิดตลาดสินค้านมผงขาดมันเนยตามความตกลงการการค้าระหว่างประเทศ ประจำปี 2562 รวม 58,312.74 ตัน โดยเก็บภาษีในโควตาเท่าเดิมตามที่เก็บจริงในอัตราภาษีร้อยละ 5 และแบ่งจัดสรรเป็น 2 กลุ่มโดยผู้ประกอบการในกลุ่มนิติบุคคลที่ 1 (กลุ่มที่รับซื้อน้ำนมดิบ) ได้รับการจัดสรรร้อยละ 80 เป็นจำนวน 46,650.20 ตัน และให้ผู้ประกอบการกลุ่มนิติบุคคลที่ 2 (กลุ่มผู้ประกอบการทั่วไป) ได้รับการจัดสรรร้อยละ 20 เป็นจำนวน 11,662.54 ตันตามหลักเกณฑ์การพิจารณาจัดสรรโควตานำเข้านมและครีม เครื่องดื่มประเภทนมปรุงแต่ง

อย่างไรก็ตาม คณะอนุกรรมการพิจารณาจัดสรรโควตาและอัตราภาษีนำเข้านมผงขาดมันเนย นมดิบ และนมพร้อมดื่มในการประชุมครั้งที่ 4/2562 เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2562 ได้พิจารณาการจัดสรรโควตานำเข้านมผงขาดมันเนยส่วนโควตาคืนและพิจารณาโควตาเพิ่มเติมโดยมีมติเห็นชอบให้เปิดตลาดนำเข้านมผงขาดมันเนยปี 2562 เพิ่มเติม เบื้องต้นปริมาณไม่เกิน 5,719.02 ตัน เนื่องจากโควตาปี 2562 ยังมีไม่เพียงพอต่อความต้องการของผู้ประกอบการ โดยพิจารณาจัดสรรจากความจำเป็นและเดือดร้อนจากการขาดแคลนวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิต ซึ่งผู้ประกอบการที่ได้รับจัดสรรโควตาเพิ่มเติมต้องเป็นผู้นำเข้ารายเดิมและมีรายงานการนำเข้านมผงขาดมันเนยปี 2562 เกินร้อยละ 70 ของโควตาที่ได้รับภายในวันที่ 30 กันยายน 2562

ต่อมาคณะกรรมการโคนมและผลิตภัณฑ์นมในการประชุมครั้งที่ 2/2562 เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2562 ได้มีมติเห็นชอบตามข้อเสนอของคณะอนุกรรมการฯ และให้กรมปศุสัตว์แจ้งปริมาณโควตาเพิ่มเติมที่ได้รับพิจารณาภายใต้เงื่อนไขดังกล่าวไปยังองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการฯ เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ซึ่งกรมปศุสัตว์ได้แจ้งปริมาณการขออนุมัติเปิดตลาดนำเข้าฯ เพิ่มเติม เหลือจำนวน 2,993.02 ตัน โดยจะจัดสรรให้กับผู้ประกอบการตามความจำเป็นและเดือดร้อนจากการขาดแคลนวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิต แบ่งเป็นกลุ่มนิติบุคคลที่ 1 (กลุ่มที่รับซื้อน้ำนมดิบ) จำนวน 740 ตัน และกลุ่มนิติบุคคลที่ 2 (กลุ่มผู้ประกอบการทั่วไป) จำนวน 2,253.02 ตัน หรือคิดเป็นสัดส่วนการจัดสรรโควตา เท่ากับ 24.72:75.28

ยกเว้นตรวจลงตราพาสปอร์ตทูต – เจ้าหน้าที่อูเออี

ศ. ดร.นฤมล กล่าวว่า ครม.มีมติเห็นชอบการจัดทำความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางทูตและหนังสือเดินทางราชการ/พิเศษ โดยมีสารถสำคัญเป็นการดำเนินการเกี่ยวกับการอนุญาตให้ผู้ถือหนังสือเดินทางทูตและหนังสือเดินทางราชการ (กรณีคนชาติไทย) และผู้ถือหนังสือเดินทางทูตและหนังสือเดินทางพิเศษ (กรณีคนชาติ UAE) เดินทางเข้า ออก และแวะผ่านดินแดนของแต่ละฝ่ายโดยไม่ต้องมีการตรวจลงตราและค่าธรรมเนียม โดยให้พำนักอยู่ในดินแดนของ UAE หรือราชอาณาจักรไทยเป็นระยะเวลาไม่เกินกว่า 90 วัน นับจากวันที่เดินทางเข้ามาใน UAE หรือราชอาณาจักรไทย

ทั้งนี้ ความตกลงนี้มีผลใช้บังคับ 30 วัน นับจากวันที่ได้รับแจ้งผ่านช่องทางการทูตเป็นลายลักษณ์อักษรและมีผลใช้บังคับโดยไม่มีกำหนดระยะเวลา เว้นแต่ภาคีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแจ้งความประสงค์ที่จะยกเลิกความตกลงให้อีกฝ่ายหนึ่งทราบเป็นลายลักษณ์อักษรผ่านช่องทางการทูต

ประกันรายได้ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ – สินเชื่อวงเงิน 3,923 ล้าน

ผศ. ดร.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ครม.เห็นชอบโครงการประกันรายได้ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ประจำฤดูกาล 2562/2563 เป็นจำนวน 923 ล้านบาท ราคากิโลกรัมละ 8.5 บาท ที่ความชื้นไม่เกิน 14.5% ครัวเรือนละไม่เกิน 30 ไร่ เฉพาะที่ปลูกตั้งแต่ 1 กรกฎาคม 2562 ถึง 31 พฤษภาคม 2563 และขึ้นทะเบียนกับกรมส่งเสริมการเกษตร ทั้งนี้ คาดว่าจะสามารถจ่ายเงินส่วนต่างได้ ภายในวันที่ 20 ธันวาคมนี้และจะจ่ายทุกวันที่ 20 ของทุกเดือนจนโครงการสิ้นสุดในเดือนตุลาคมปีหน้า โดยธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรหรือ ธ.ก.ส. จะเป็นผู้โอนเงินให้กับเกษตรกรที่ได้ลงทะเบียนกับกรมส่งเสริมการเกษตร หรือ กสก. ไว้แล้ว

นอกจากนี้ ครม.ยังอนุมัติมาตรการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตร กลุ่มเกษตรกร และวิสาหกิจชุมชน วงเงินสินเชื่อ 1,500 ล้านบาท ดอกเบี้ย 4% ต่อปี เพื่อไม่ให้อุปทานของผลผลิตมากดดันราคาให้ต่ำลงในช่วงต้นฤดูกาลเก็บเกี่ยว โดยเป็นการนำไปใช้เป็นทุนหมุนเวียนในการรวบรวมและรับซื้อข้าวโพดฯจากเกษตรกร เพื่อจำหน่ายต่อ แปรรูป เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม และดูดซับปริมาณผลผลิต ทั้งนี้ ธ.ก.ส.จะเป็นผู้ดำเนินการและรัฐบาลจะชดเชยสินเชื่อให้ 3% ต่อปี ระยะเวลา 1 ปี วงเงินที่ต้องใช้จ่าย 45 ล้านบาท

มาตรการสนับสุนนให้ผู้ประกอบการค้าข้าวโพดฯเก็บสต็อกผลผลิต โดยสนับสนุนสินเชื่อแก่ผู้ประกอบการการค้าข้าวโพดฯ หรือใช้วัตถุดิบในการผลิตอาหารสัตว์ ให้สามารถรับซื้อจากเกษตรกรได้โดยไม่ต้องเร่งระบายผลผลิตและเก็บไว้ในรูปเมล็ด วงเงินสินเชื่อรวม 1,500 ล้านบาท โดยรัฐบาลชดเชยดอกเบี้ยให้กับผู้ประกอบการตามมูลค่าข้าวโพดฯในสต็อก 3% ต่อปี ระยะเวลา 60-120 วัน เป็นวงเงินชดเชยดอกเบี้ยรวม 15 ล้านบาทจากกองทุนเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร

ครม.ยังเห็นชอบมาตรการบริหารจัดการข้าวโพดเลี้ยงสัตว์อีก 5 มาตรการ ได้แก่ การบริหารจัดการการนำเข้าโดยกำหนดช่วงเวลานำเข้าเฉพาะเดือนกุมภาพันธ์ถึงสิงหาคมของทุกปี, การดูแลความเป็นธรรมในการซื้อขาย กำหนดให้ผู้รับซื้อแสดงราคา ณ จุดรับซื้อที่ความชื้อ 14.5% และ 30% พร้อมแสดงตารางการเพิ่มลดราคาตามความชื้นด้วย, การดูแลความสมดุล โดยแจ้งปริมาณการครอบครอง การนำเข้า สถานที่เก็บ การตรวจสอบสต็อก, การเพิ่มช่องทางการจำหน่าย

เห็นชอบความตกลงโควตาส่งออกข้าวไปเกาหลี

ผศ. ดร.รัชดา กล่าวว่า ครม.เห็นชอบร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลเครือรัฐออสเตรเลีย สาธารณรัฐประชาชนจีน สาธารณรัฐเกาหลี ราชอาณาจักรไทย สหรัฐอเมริกา และสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ว่าด้วยการกำหนดปริมาณโควตารายประเทศสำหรับการนำเข้าข้าวมายังสาธารณรัฐเกาหลี

โดยมีสาระสำคัญคือ เป็นการกำหนดโควตาภาษีสินค้าข้าวของสาธารณรัฐเกาหลีภายใต้องค์การการค้าโลก ปริมาณรวมทั้งสิ้น 408,700 ตัน จะถูกนำไปจัดสรรปริมาณแบ่งออกเป็น 1) โควตารายประเทศ ให้แก่ ออสเตรเลีย จำนวน 15,595 ตัน สาธารณรัฐประชาชนจีน จำนวน 157,195 ตัน ไทย จำนวน 28,494 ตัน สหรัฐอเมริกา จำนวน 132,304 ตัน เวียดนาม จำนวน 55,112 ตัน (มีอัตราภาษีในโควต้าร้อยละ 5 และ 2) โควตาทั่วไปสำหรับสมาชิกองค์การการค้าโลกทุกประเทศ ปริมาณ 20,000 ตัน

รายงานผลมาตรการรับซื้อน้ำยางเข้าเป้า 77.3%

ผศ. ดร.รัชดา กล่าวว่าสืบเนื่องจากรัฐบาลได้มีนโยบายส่งเสริมการใช้ยางพาราภาครัฐรองนายกรัฐมนตรีจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ในฐานะรองประธานคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ (กนย.) รายงานต่อนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี เรื่องความคืบหน้าผลการใช้ยางพาราของส่วนราชการ ประจำปีงบประมาณ 2562 มีเป้าหมายการใช้ยางทั้งหมด 1.67 แสนตัน โดยมีผลการใช้น้ำยางสด 1.29 แสนตัน คิดเป็นร้อยละ 77.3 ตันของเป้าหมายทั้งหมด ตามโครงการส่งเสริมการใช้ยางของหน่วยงานภาครัฐ เพื่อให้เกิดการใช้ยางพาราจากหน่วยงานภาครัฐอย่างมีประสิทธิภาพ

นอกจากนี้ นายจุรินทร์ได้เสนอต่อ ครม.ให้คณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติเป็นตัวหลักขับเคลื่อนการปรับปรุงแผนการใช้ยางพาราปีงบประมาณปี 2563 ด้านกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารายงานว่าอยู่ระหว่างรอผลการทดสอบมาตรฐานลู่วิ่งจากยางพาราที่ส่งไปทดสอบที่ประเทศเกาหลี หากได้มาตรฐานในระยะต่อไปก็จะส่งเสริมการสร้างลู่วิ่งจากยางพาราแทน กระทรวงมหาดไทย โดยนายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้เสนอเรื่องการให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเข้ามาช่วยการใช้ยางเรื่องการทำถนนลาดยาง

อำนวยความสะดวกเจ้าโรงงาน ขยายกิจการไม่ต้องขออนุญาต

ผศ. ดร.รัชดา กล่าวว่า ครม.อนุมัติร่างกฎกระทรวง 3 ฉบับ เกี่ยวกับการกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการปฏิบัติ เมื่อมีการขยายโรงงาน เปลี่ยนแปลงเครื่องจักร หรือเพิ่มประเภทกิจการ โดยกำหนดกรณีเฉพาะที่ผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานไม่ต้องขออนุญาตแต่ต้องแจ้งต่อเจ้าหน้าที่ ซึ่งเป็นการออกร่างกฎกระทรวงตามความใน พ.ร.บ.โรงงาน พ.ศ. 2535 ทั้งนี้ ร่างกฎกระทรวง 3 ฉบับมีดังนี้

  1. ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข การแจ้งในกรณีได้รับยกเว้นไม่ต้องขออนุญาตขยายโรงงานตามมาตรา 18/1 ซึ่งสาระสำคัญเป็นการยกเว้นให้มีการขยายโรงงานโดยไม่ต้องขออนุญาตได้ เฉพาะกรณี 1) เพื่อให้มีการบำบัดมลพิษหรือเพื่อให้การบำบัดมลพิษเดิมมีประสิทธิภาพดีขึ้น 2) เพื่อให้มีมาตรการป้องกันหรือลดเหตุเดือดร้อนรำคาญ 3) เพื่อการเปลี่ยนแปลงเครื่องจักรเดิมที่เป็นเครื่องต้นกำลังให้มีประสิทธิภาพที่ดีขึ้น หรือเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และ 4) เพื่อการเปลี่ยนแปลงพลังงานของเครื่องจักรเดิมให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งนี้ ต้องแจ้งผู้อนุญาตทราบเป็นการล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 30 วันก่อนดำเนินการ
  2. ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการแจ้งการเพิ่มจำนวน เปลี่ยน หรือเปลี่ยนแปลงเครื่องจักรในการผลิต เครื่องจักรที่ใช้เป็นเครื่องต้นกำลัง เครื่องจักรที่เกี่ยวกับการบำบัดมลพิษหรือมาตรการป้องกันหรือลดเหตุเดือดร้อนรำคาญ หรือพลังงานของเครื่องจักรเป็นอย่างอื่น หรือการเพิ่มพื้นที่อาคารโรงงาน หรือการก่อสร้างอาคารโรงงานตามมาตรา 19 ซึ่งสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการที่ต้องปฏิบัติ เช่น ผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานต้องแจ้งรายละเอียดของการเปลี่ยนแปลงต่อเจ้าหน้าที่ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่มีการดำเนินการ
  3. ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ การแจ้งเพิ่มประเภทหรือชนิดของการประกอบกิจการโรงงานที่เกี่ยวเนื่องกับการประกอบกิจการโรงงานเดิมตามมาตรา 19/1 ซึ่งมีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการแจ้งเพิ่มประเภทหรือชนิดของการประกอบกิจการโรงงานที่เกี่ยวเนื่องกับการประกอบกิจการโรงงานเดิม โดยใช้เครื่องจักรเดิมที่ได้รับอนุญาตในการประกอบกิจการโรงงาน ทั้งนี้ ให้แจ้งเป็นหนังสือต่อเจ้าหน้าที่ไม่น้อยกว่า 15 วัน ก่อนมีการดำเนินการ

เห็นชอบแก้ กม.ให้สอดคล้องหลักสิทธิมนุษยชน

ผศ. ดร.รัชดา กล่าวว่า ครม.เห็นชอบข้อเสนอแนะในการแก้ไขปรับปรุงกฎหมาย กฎระเบียบ หรือคำสั่งใดๆ ให้สอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชนของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ทั้งนี้ เดิมกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ซึ่งได้รับมอบหมายจากนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ให้เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการศึกษาแนวทางที่เหมาะสมในการพัฒนา แก้ไข ปรับปรุง พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ. 2539 และ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. 2551

เนื่องจากมีปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการบังคับใช้กฎหมายของเจ้าหน้าที่รัฐ เช่น การจับกุมกระทบสิทธิต่อผู้เสียหาย การนำเสนอข่าวที่ทำให้สาธารณะชนเข้าใจว่าผู้เสียหายคือผู้กระทำผิด ผู้เสียหายที่ถูกกันเป็นพยานในคดีเสี่ยงต่อความไม่ปลอดภัย การกักตัวบุคคลต่างด้าวซึ่งเป็นพยานในคดีค้ามนุษย์

อนึ่ง จากการหารือร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกรมสอบสวนคดีพิเศษ กระทรวงพัฒนาสังคมฯ ได้ข้อสรุปดังนี้ เรื่องที่ได้มีการดำเนินการอยู่แล้วและสอดคล้องกับข้อเสนอของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน คือ

  • พ.ร.บ.คุ้มครองพยานในคดีอาญา พ.ศ. 2546 ได้กำหนดมาตรการรองรับในการคุ้มครองความปลอดภัยแก่พยานหรือผู้เสียหาย ซึ่งเสี่ยงต่ออันตรายร้ายแรงที่มีความครอบคลุมถึงญาติของพยานหรือผู้เสียหาย โดยมีมาตรการทั่วไปและมาตรการพิเศษในการคุ้มครองพยาน
  • การส่งคนต่างด้าวที่กระทำผิดออกนอกราชอาณาจักร จะไม่มีการระบุฐานความผิด มีแต่เพียงการลงตราประทับในหนังสือเดินทางว่าเป็นบุคคลต้องห้ามเข้าประเทศไทย
  • กระทรวงพัฒนาสังคมฯ อยู่ระหว่างดำเนินโครงการพัฒนากฎหมายเพื่อคุ้มครองสวัสดิภาพสตรีและครอบครัว ทบทวนกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี

สำหรับสิ่งที่ต้องดำเนินการเพิ่มเติม คือ

  • ยกระดับแผนบูรณาการการปฏิบัติเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการคัดแยกผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ให้มีสถานะเป็นระเบียบเพื่อการบังคับใช้ที่ชัดเจน
  • ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการช่วยเหลือผู้เสียหายกำชับเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติตามแผนบูรณาการฯ อย่างเคร่งครัด
  • สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกระทรวงมหาดไทยเผยแพร่ให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องรับทราบถึงสิทธิต่างๆ ของผู้เสียหายที่จะได้รับความช่วยเหลือสำหรับค่าใช้จ่ายต่างๆ ตามประกาศคณะกรรมการบริหารกองทุนเพื่อการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์

อนุมัติเครื่องหมายรับรองมาตรการเกษตรอินทรีย์

ผศ. ดร.รัชดา กล่าวว่า ครม.เห็นชอบเครื่องหมายรับรองมาตรฐานสินค้าเกษตรอินทรีย์ เพื่อให้การกำกับดูแลมาตรฐานสินค้าเกษตรเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับมาตรฐานสากล ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภค การขายสินค้าเกษตร และเศรษฐกิจของประเทศ ครม.อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดลักษณะของเครื่องหมาย การใช้เครื่องหมาย และการแสดงเครื่องหมายรับรองมาตรฐานสำหรับสินค้าเกษตร ซึ่งมีสาระสำคัญคือ เพิ่มเติมการกำหนดเครื่องหมายรับรองมาตรฐานทั่วไปสำหรับสินค้าเกษตรอินทรีย์เป็นการเฉพาะ จากเดิมที่มีแค่เครื่องหมายรับรองมาตรฐานสินค้าเกษตรตามมาตรฐานบังคับ และมาตรฐานทั่วไป

สำหรับเครื่องหมายรับรองมาตรฐานสินค้าเกษตรอินทรีย์ มีลักษณะเป็นรูปวงกลมขอบสีดำ พื้นสีขาว ด้านล่างมีอักษรว่า “ผลิตภัณฑ์อินทรีย์” สีเขียวเข้ม ภายในมีรูปวงกลมสีเขียวอ่อนและมีภาษาอังกฤษว่า “organic” สีเขียวเข้มอยู่เหนืออักษรภาษาอังกฤษว่า “Thailand” สีดำใต้อักษรภาษาอังกฤษมีลายเส้นสามเส้น สีแดง สีน้ำเงิน และสีแดง ตามลำดับ ทั้งนี้ กระทรวงเกษตรฯ จะมีการให้ความรู้ความเข้าใจในการขอรับรองมาตรฐานสินค้าเกษตรแต่ละชนิด รวมถึงการใช้และการแสดงเครื่องหมายรับรองมาตรฐานสำหรับสินค้าเกษตรโดยเฉพาะสินค้าเกษตรอินทรีย์ เพื่อให้ผู้ผลิตสามารถขอรับรองสินค้าเกษตรและนำเครื่องหมายไปใช้ได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม

ทั้งนี้ กฎกระทรวงฉบับนี้จะมีผลบังคับใช้เมื่อพ้นกำหนด 90 วัน นับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา ผู้ใดที่ไม่ได้รับใบรับรองมาตรฐานแต่นำเครื่องหมายรับรองมาตรฐานสินค้าเกษตรไปใช้ จะต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปีหรือปรับไม่เกินสามแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ตามมาตรา 60 พ.ร.บ.มาตรฐานสินค้าเกษตร

ยกเว้นค่าผ่านทางหมายเลข 7 และ 9 ช่วงปีใหม่

นางสาวไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติเห็นชอบการยกเว้นค่าผ่านทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 และ 9 ระหว่างเวลา 00:01 น. ของวันที่ 27 ธันวาคม 2562 ถึงเวลา 00:00 น. ของวันที่ 3 มกราคม 2563 เนื่องจากเป็นเวลาเดินทางของประชาชนในช่วงเทศกาลปีใหม่

โดยทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 คือ สายกรุงเทพมหานคร-บ้านฉาง ตอนกรุงเทพมหานคร-เมืองพัทยา รวมทางแยกไปบรรจบทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 34 (บางวัว) ทางแยกเข้าชลบุรี ทางแยกเข้าท่าเรือแหลมฉบังและทางแยกเข้าพัทยา ตามกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 ตอนกรุงเทพมหานคร-เมืองพัทยา พ.ศ. 2561

ส่วนส่วนทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 สายวงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร (ถนนกาญจนาภิเษก) ตอนบางปะอิน-บางพลี และตอนพระประแดง-บางแค ช่วงพระประแดง-ต่างระดับบางขุนเทียน ตามกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 สายวงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร (ถนนกาญจนาภิเษก) ตอนบางปะอิน-บางพลี พ.ศ. 2558 และกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 สายถนนวงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร (ถนนกาญจนาภิเษก) ตอนพระประแดง-บางแค ช่วงพระประแดง-ต่างระดับบางขุนเทียน

ทั้งนี้ ทางกระทรวงคมนาคมคาดการณ์ว่าจะมีรถสัญจรประมาณ 5 ล้านคัน จึงเว้นค่าผ่านทางเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชนที่สัญจร เพื่อระบายจำนวนรถขาออกและเข้าแก้ปัญหาการจราจรติดขัดบริเวณหน้าด่านเก็บเงิน โดยภาครัฐจะสูญเสียรายได้ค่าธรรมเนียมผ่านทางประมาณ 205.31 ล้านบาท แต่จะได้รับประโยชน์ตอบแทนทางด้านเศรษฐกิจมูลค่าประมาณ 315.43 ล้านบาท ประกอบด้วยมูลค่าจากการประหยัดค่าใช้จ่ายจากการใช้รถคิดเป็น 74.22 ล้านบาท และมูลค่าจากการประหยัดเวลาในการเดินเทางคิดเป็น 241.21 ล้านบาท

อนุมัติ 458 ล้าน เพิ่ม อส. 2,247 อัตรา

นางสาวไตรศุลีกล่าวว่า ที่ประชุม ครม.อนุมัติงบประมาณเพิ่มเติมจากงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการเพิ่มกรอบอัตรากำลังสมาชิกกองอาสารักษาดินแดน (อส.) จำนวน 2,247 อัตรา ใน 599 กองร้อย เป็นเงินจำนวน 458.93 ล้านบาท โดยเป็นค่าใช้ที่จำเป็นในการปฏิบัติงานด้านกำลังพล ค่าเครื่องแต่งกาย ค่าเครื่องนอน เครื่อสนาม และค่าฝึกอบรม

อนึ่ง ปัจจุบัน อส.ทั่วประเทศมีจำนวน 878 กองร้อย แบ่งเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ 6 อัตรา 9 อัตรา และ 12 อัตรา ปฏิบัติภารกิจในการสร้างความมั่นคงและความปลอดภัยและความสงบสุขของประเทศ เช่น การลาดตระเวน การตั้งจุดตรวจ และการจัดระเบียบสังคม เป็นต้น ซึ่งในกลุ่มที่มี 6 และ 9 อัตรา มีกำลังไม่เพียงพอ จึงต้องเพิ่มเป็น 12 อัตรา ทุกกองร้อย

เตรียมเจรจาใช้ใบขับขี่ไทยใน สวิส – เยอรมัน

นางสาวไตรศุลีกล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติเห็นชอบกรอบเจรจาเพื่อจัดทำความตกลงทวิภาคีว่าด้วยการยอมรับใบอนุญาตการขับรถภายในประเทศ ระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี และระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสมาพันธรัฐสวิส ซึ่งจะเป็นแนวทางการเจรจาในการจัดทำความตกลงทวิภาคีว่าด้วยการยอมรับใบอนุญาตการขับรถภายในประเทศ ระหว่างประเทศคู่ภาคี

ทั้งนี้ความตกลงดังกล่าวจะช่วยสร้างความสะดวก รวมถึงเพื่อเป็นประโยชน์แก่ประชาชนชาวไทย ชาวเยอรมัน และชาวสวิส ทั้งกรณีของประชาชนชาวไทยที่ไปท่องเที่ยวในประเทศเยอรมนีและสมาพันธรัฐสวิส ตลอดจนกรณีของประชาชนชาวเยอรมันและชาวสวิสที่มาขับรถหรือพำนักในประเทศไทย โดยสามารถใช้ใบอนุญาตขับรถของประเทศตัวเองในการเช่ารถได้อย่างถูกกฎหมาย ซึ่งเรื่องดังกล่าวจะมีความสะดวกมากกว่าการไปขอใบขับขี่สากล

โดยหลักการสำคัญของกรอบเจรจานี้ คือประเทศคู่ภาคีจะยอมรับใบอนุญาตการขับรถภายในประเทศที่ออกโดยรัฐบาลหรือหน่วยงานผู้มีอำนาจเท่านั้น  อีกทั้ง การใช้ใบอนุญาตการขับรถภายในประเทศภายใต้ความตกลงทั้ง 2 ฉบับดังกล่าว จะเป็นการชั่วคราว  นอกจากนี้ ใบอนุญาตการขับรถภายในประเทศภายใต้ความตกลงนี้จะต้องมีภาษาอังกฤษกำกับโดยใช้แนวทางตามหลักการที่กำหนดไว้ของกรอบว่าด้วยประเทศสมาชิกอาเซียน ซึ่งจะต้องไม่ขัดกับระเบียบภายในประเทศที่มีอยู่ รวมถึงตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเท่าเทียมและประโยชน์ของประเทศเป็นสำคัญ

รับทราบแผนงานฯ ตาม พ.ร.บ.คลื่นความถี่ฯ ฉบับใหม่

ศ. ดร.นฤมล กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.รับทราบแผนการดำเนินงานและกรอบระยะเวลาในการตราพระราชกฤษฎีกา ตามนัยแห่งมาตรา 30 ของ พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ พ.ศ. 2562 ที่มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 16 เมษายน 2562 เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี ที่ทำให้จำเป็นต้องปรับปรุงกฎหมายให้สอดคล้องกับการให้บริการที่เหมาะสมในปัจจุบัน

ทั้งนี้ตามมาตรา 30 วรรค 1 ของ พ.ร.บ.ดังกล่าว ระบุว่า ให้ใช้บทบัญญัติเดิมตาม พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ พ.ศ. 2553 ไปพลางก่อน จนกว่าคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) จะมีความพร้อมที่จะดำเนินการตามบทบัญญัติใหม่ โดยเมื่อ กสทช.มีความพร้อมแล้ว ให้ตราเป็นพระราชกฤษฎีกา เพื่อนำบทบัญญัติใหม่มาใช้บังคับ นอกจากนี้ ในมาตรา 30 วรรค 4 ระบุว่า ให้ กสทช.จัดทำแผนการดำเนินการและกำหนดกรอบระยะเวลาในการตราพระราชกฤษฎีกาขั้นต้นให้ชัดเจน และให้รายงานผลการเตรียมความพร้อมให้ ครม.และรัฐสภาทราบ อย่างน้อยทุก 6 เดือน และเปิดเผยให้ประชาชนรับทราบด้วย

ในครั้งนี้ กสทช.จึงได้เสนอแผนการดำเนินงานและกรอบระยะเวลาในการตราพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว เพื่อให้บทบัญญัติใหม่มีผลบังคับใช้ ซึ่งคาดว่าจะสามารถร่างพระราชกฤษฎีกาได้แล้วเสร็จภายในเดือนเมษายน 2564 โดยมีสาระสำคัญของประเด็นต่างๆ ที่จะต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จ ดังนี้

  1. แก้ไขข้อจำกัดในการใช้คลื่นความถี่ จากเดิมที่ผู้รับใบอนุญาตใช้คลื่นความถี่จะถูกจำกัดให้สามารถประกอบกิจการด้านใดด้านหนึ่งเท่านั้น ก็จะเปลี่ยนใหม่เป็นให้ผู้รับใบอนุญาตฯ สามารถประกอบกิจการได้ โดย กสทช.จะเป็นผู้กำกับดูแลว่าคลื่นความถี่ใด สามารถประกอบกิจการใดได้บ้าง
  2. ยกเลิกการออกใบอนุญาตประกอบกิจการโดยอัตโนมัติ โดยกำหนดให้เมื่อได้รับใบอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่แล้ว ผู้ได้รับใบอนุญาตจะต้องมาขอใบอนุญาตประกอบกิจการอีกครั้งหนึ่งว่าจะประกอบกิจการใดบ้างสำหรับคลื่นความถี่นั้น และจะต้องประกอบกิจการภายในระยะเวลาที่กำหนด
  3. กำหนดให้มีการโอนใบอนุญาตการให้ใช้คลื่นความถี่ได้ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข อัตราค่าธรรมเนียมในการโอนใบอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่ที่ กสทช.ประกาศกำหนด ซึ่งจากเดิมที่ผู้ได้รับใบอนุญาตไม่สามารถโอนใบอนุญาตได้ ทั้งนี้ เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมและการให้บริการในปัจจุบัน

“กสทช.รายงานให้ทราบว่า การดำเนินการตาม 3 ประเด็นข้างต้น คาดว่าจะแล้วเสร็จภายใน ธ.ค. 2563 และสามารถตราพระราชกฤษฎีกาได้แล้วเสร็จใน เมษายน 2564” ศ. ดร.นฤมล กล่าว

ตั้งน้อง “ธรรมนัส” นั่งบอร์ด อ.ต.ก. – “ทวี เกศิสำอาง” คุมกรมท่าอากาศยาน

นางสาวไตรศุลีกล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติเห็นชอบการแต่งตั้งโยกย้ายหลายตำแหน่ง เช่น

  • กระทรวงคมนาคม  จำนวน 2 ราย ได้แก่ 1) นายทวี เกศิสำอาง ดำรงตำแหน่ง อธิบดีกรมท่าอากาศยาน 2) นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมการขนส่งทางราง ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
  • ประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ในคณะกรรมการสถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม 6 คน ได้แก่ 1) นายทวีศักดิ์ กออนันตกูล ประธานกรรมการ 2) นายสมคิด เลิศไพฑูรย์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ 3) นายดุสิต เครืองาม กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ 4) นายธวัช ชิตตระการ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ 5) นายผดุงศักดิ์ รัตนเดโช กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ  และ 6) นางศศิวิมล มีอำพล กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
  • กรรมการอื่นในคณะกรรมการองค์การตลาดเพื่อการเกษตร (อ.ต.ก.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จำนวน 7 คน ได้แก่ 1) นายอัครา พรหมเผ่า ในฐานะผู้แทนสถาบันเกษตรกร 2) นายศุภฤกษ์ เอี่ยมลออ ในฐานะผู้แทนสถาบบันเกษตรกร 3) นายมงคล ลีลาธรรม 4) นายสมิทธดารากร ณ อยุธยา 5) นายธนา ธรรมวิหาร 6) พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ และ 7) พ.ต.อ.อธิศวิส กมลรัตน์
  • คณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม จำนวน 7 คน ได้แก่ 1) นายปริญญา หอมเอนก เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ 2) พล.อ. มโน นุชเกษม เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร 3) พ.ต.อ. ญาณพล ยั่งยืน เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านวิศวกรรมศาสตร์ 4) นายไพบูลย์ อมรภิญโญเกียรติ เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมาย 5) นายวิเชฐ ตันติวานิช เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการเงิน 6) นายบดินทร์ ทรัพย์สมบูรณ์ เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านาธารณสุข และ7) รศ. ดร.ปณิธาน วัฒนายากร เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

อ่านมติ ครม. ประจำวันที่ 11 ธันวาคม 2562เพิ่มเติม