ThaiPublica > เกาะกระแส > คสช.ใช้ ม.44 ตรวจสอบ 70 ขรก. ส่อทุจริต – มติครม. ไฟเขียว 760 ล้าน 13 โครงการ พัฒนาสนามบินอู่ตะเภาฯ หนุน EEC

คสช.ใช้ ม.44 ตรวจสอบ 70 ขรก. ส่อทุจริต – มติครม. ไฟเขียว 760 ล้าน 13 โครงการ พัฒนาสนามบินอู่ตะเภาฯ หนุน EEC

25 กรกฎาคม 2017


พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติและนายกรัฐมนตรี

วันที่ 25 กรกฎาคม 2560 ที่ทำเนียบรัฐบาลมีการประชุมคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยมี พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. เป็นประธาน

รบ.จัดพิธีมหามงคลเจริญพุทธมนต์ ในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ร.10

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามถึงการจัดกิจกรรมถวายสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพวรางกูร เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา 65 พรรษา ว่าในวันที่ 27 กรกฎาคม 2560 รัฐบาลจะจัดพิธีทางศาสนามหามงคล 5 ศาสนา ในเวลา 07.00 น. ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล และในช่วงเย็น เวลา 18.00 น. ณ พระลานพระราชวังดุสิต

ในวันที่ 28 กรกฎาคม 2560 รัฐบาลได้ขอพระราชานุญาตจัดพิธีมหามงคลเจริญพุทธมนต์ทำบุญตักบาตรพระสงฆ์และสามเณรทั้งในกรุงเทพฯ ต่างจังหวัด รวมถึงวัดไทยในทั่วโลก เพื่อถวายพระราชกุศลพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชบรมนาถบพิตร และถวายพระพรชัยมงคลกับถวายพระราชกุศลสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถในรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยพิธีเจริญพระพุทธมนต์ในกรุงเทพฯ จัดขึ้นใน เวลา 06.30 น. ณ พระลานพระราชวังดุสิต พิธีทำบุญตักบาตรพระสงฆ์ สามเณร จำนวน 651 รูป

สำหรับการแต่งกายของในวันที่ 27 กรกฎาคม 2560 ช่วงเช้า บุคคลทั่วไป สีดำล้วน และการแต่งกายในวันที่ 28 กรกฎาคม 2560 บุคคลทั่วไป บุรุษ เสื้อสีขาวนวล ติดโบสีดำ กางเกงดำ สตรี ชุดผ้าไทยหรือชุดสุภาพ สีขาวนวล ติดโบสีดำ

(คลิกเพื่อดาวน์โหลด: บทเจริญพระพุทธมนต์)

ออก ม.44 ตรวจสอบ 70 ขรก. ส่อทุจริต

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามกรณีรายชื่อข้าราชการที่อาจเกี่ยวข้องกับการทุจริต ของศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (ศอตช.) ว่า สำหรับรายชื่อวันนี้มีจำนวนเท่าไรแล้วตนไม่ทราบ แต่ได้มีการลงโทษไปแล้วคิดเป็น 40% จากทั้งหมด ที่เหลือยังคงต้องมีการสอบสวนต่อไปอีก และในวันนี้มีรายชื่อที่เสนอมาใหม่มากพอสมควร ซึ่งต้นทางมาจากสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ผู้อยู่ในรายชื่อทั้งหมดนี้ยังไม่ถูกระบุว่าผิดหรือถูก จะต้องเข้าสู่กระบวนการสอบสวนก่อน

ด้าน พล.ท. สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่าที่ประชุม คสช. ได้เห็นชอบที่จะออกคำสั่งหัวหน้า คสช. ตามมาตรา 44 สำหรับตรวจสอบเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้ได้รับการร้องเรียนหรือถูกกล่าวหาว่าใช้ตำแหน่งอำนาจหน้าที่แสวงหาผลประโยชน์ ตามที่ ศอตช. ได้เสนอราชชื่อเข้ามารวม 70 ราย โดยจะมีการร่วมพิจารณากับกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) เป็นต้น เมื่อกลั่นกรองเรียบร้อยแล้วเห็นว่ามีมูลให้ตรวจสอบจะเสนอต่อหัวหน้า คสช. เพื่อดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ต่อไป

รายชื่อดังกล่าวแบ่งออกเป็น 5 กลุ่ม ได้แก่

  • ผู้บริหารสถานศึกษาจำนวน 1 รายให้ระงับการปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งเดิมชั่วคราวและได้รับเงินปกติ
  • ข้าราชการพลเรือนจำนวน 6 ราย
  • พนักงานอื่นๆ ของรัฐ 2 ราย

โดยกลุ่มที่ 2 และ 3 ให้ระงับการปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งเดิมชั่วคราวและให้ไปปฏิบัติราชการตามที่ผู้บังคับบัญชามอบหมาย แต่ได้รับเงินเดือนตามเดิม

  • ผู้บริหารในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจำนวน 37 รายให้ระงับการปฏิบัติราชการที่ดำรงตำแหน่งชั่วคราวและไม่ได้ค่าตอบแทน
  • ข้าราชการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจำนวน 24 รายให้ช่วยราชการที่ศาลากลางจังหวัดที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนั้นๆ ตั้งอยู่หรือไปปฏิบัติหน้าที่ตามที่ผู้ว่าราชการจังหวัดนั้นๆ กำหนด โดยไม่ได้รับประจำตำแหน่งและไม่ได้สิทธิเบิกค่าใช้จ่ายไปราชการชั่วคราว

“ในการตรวจสอบ ศอตช. ที่เป็นหน่วยงานต้นเรื่องเป็นผู้ชี้แจงมูลเหตุให้ตรวจสอบให้กับหน่วยงานต้นสังกัดรับทราบ จากนั้นผู้บังคับบัญชาจะต้องตั้งคณะกรรมการลขึ้นมาตรวจสอบภายใน 30 วัน หากไม่แล้วเสร็จก็ต้องขอขยายระยะเวลาออกไป หากไม่พบความผิดหรือไม่ถึงขั้นดำเนินการลงโทษทางวินัย ให้ผู้บังคับบัญชาสรุปผลพยานหลักฐานที่มีอยู่ให้ ศอตช. ทราบ โดยจะใช้ระบบสอบสวนผ่านคณะกรรมการที่ไม่ใช่ข้าราชการรวมถึงไม่มีข้อขัดแย้งหรือได้เสียกับรายชื่อนี้มาตรวจสอบอีกครั้งจำนวน 3-5 คนระยะเวลาไม่เกิน 30 วัน แล้วนำมาเปรียบเทียบกับการตรวจสอบของผู้บังคับบัญชาครั้งแรก หากตรงกันก็ว่าไปตามการตรวจสอบ ถ้าไม่ตรงกันก็ให้คณะกรรมการดังกล่าวหารือกับผู้บังคับบัญชาเพื่อหาข้อสรุปต่อไป” พล.ท. สรรเสริญ กล่าว

แต่งตั้งโยกย้าย ยันไม่เข้าข้างใคร-เผยรักคนทำงานดี

พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวถึงมติ ครม. แต่งตั้งโยกย้ายหัวหน้าส่วนราชการหลายหน่วยงานว่า ตอนนี้ได้มีการแต่งตั้งออกมา 90% เหลืออีกเพียง 3-4 หน่วยงานที่ยังอยู่ระหว่างการพิจารณา โดยรัฐบาลจะดูทั้งความอาวุโส ขีดความสามารถ ประสิทธิภาพ และประสิทธิผลอยู่แล้ว ไม่ใช่อย่างหนึ่งอย่างใดเพียงอย่างเดียว

“ไม่ต้องไปกังวลให้เขาทำงาน ถ้าแต่งตั้งมาแล้วทำงานไม่ได้ประสิทธิภาพ ตั้งเป็นนายแล้วสั่งเฉยๆ ให้ได้ก็พอ ก็อยู่ในตำแหน่งต่อไปไม่ได้ ก็ย้ายใหม่ จริงๆ แล้วที่ผ่านมารัฐบาลไม่ได้ไปยุ่งกับการแต่งตั้งพวกนี้เท่าไหร่ ส่วนมากมาจากรัฐบาลก่อน ตอนนี้ก็มาดูทุกหน่วยงานเป็นคนๆ ไป และได้ตั้งหน่วยงานขึ้นมาตรวจสอบความประพฤติแล้วว่ามีคดีความอะไรติดตัวหรือไม่ ถ้ายังไม่เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมก็ทำอะไรไม่ได้ แต่ถ้ามีคดีความก็ไม่ให้ตั้ง ผมไม่รู้จักใครเป็นการส่วนตัว แต่ผมก็รักเขาถ้าเขาทำงานดี ผมไม่เข้าข้างคนไม่ดีอยู่แล้ว” นายกรัฐมนตรีกล่าว

ทั้งนี้ พล.อ. ประยุทธ์ ได้ปฏิเสธกระแสข่าวการแต่งตั้งเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (เลขาฯ สมช.) มีกระแสข่าวว่าจะโยก พล.อ. วัลลภ รักเสนาะ จากกระทรวงกลาโหมมาดำรงตำแหน่งเลขาฯ สมช. โดยระบุว่าตนยังไม่รับทราบเรื่องดังกล่าว

สิทธิถอนตัวเป็นของ รพ.เอกชน-แนะ ปชช. ใช้บริการ รพ. ใกล้เคียง

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามกรณีปัญหาโรงพยาบาลเอกชนหลายแห่งทยอยออกจากระบบประกันสังคมด้วยเหตุขาดทุน ว่า ก่อนอื่นต้องยอมรับว่าระบบสาธารณะสุขบ้านเรานั้นมีปัญหา การที่โรงพยาบาลเอกชนจะทยอยออกจากประกันสังคมถือว่าเป็นสิทธิของเขา เพราะเป็นเรื่องของการประกอบการธุรกิจอย่างหนึ่ง ถ้าเขาไม่ออกเขาก็ขาดทุน

“เรื่องนี้เป็นหน้าที่ของทางสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ที่จะต้องรับผิดชอบ และหาแนวทางการแก้ไขปัญหาว่าจะทำอย่างไรต่อไป และส่วนการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนเบื้องต้นที่สามารถทำได้ในขณะนี้ คือ การให้ประชาชนหาโรงพยาบาลใกล้เคียงที่มีระบบประกันสังคมใช้ในการรักษาไปก่อน” นายกรัฐมนตรีกล่าว

ยันไม่สกัด ปชช. ให้กำลังใจ “ยิ่งลักษณ์” เชื่อไม่ผิดคงไม่ถูกลงโทษ

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามกรณีการประเมินผลกระทบในช่วงที่จะมีคำพิพากษาคดีจำนำข้าว และรัฐบาลจะสกัดคนที่มาให้กำลังใจ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีหรือไม่ ว่า ในช่วงที่มีการพิพากษา อยากจะให้ประชาชนเข้าใจถึงหลักกระบวนการยุติธรรมว่า ใครผิดก็ว่าไปตามผิด ผิดก็ต้องถูกลงโทษ แต่ถ้าหากไม่มีความผิดจะไม่ถูกลงโทษแต่อย่างใด ทั้งนี้จึงไม่อยากที่จะให้ประชาชนคิดที่จะต่อต้านศาลหรือดูหมิ่นศาลในวันฟังคำพิพากษา เพราะถ้าเกิดเหตุใดขึ้น ตนไม่สามารถที่จะช่วยได้ ถือเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมายในการดูหมิ่นศาล

ต่อคำถามกรณีจะมีการสกัดกั้นหรือไม่นั้น พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวว่า รัฐบาลจะไม่ทำการสกัดกั้นคนที่จะเดินทางเข้ามา แต่อยากจะให้ประชาชนสกัดกั้นใจตนเองมากกว่า ว่าการที่มาครั้งนี้ตนเองจะได้สิ่งใดกลับไป หรือได้ประโยชน์อะไรจากการที่มา เพราะตนเชื่อว่าถ้าหากไม่มีความผิดจริงคงจะไม่เข้าสู่กระบวนการพิจารณา

“”สถาณการณ์ความขัดแย้งในขณะนี้อยากจะให้เบาลง เพราะเป็นห่วงสถานการณ์บ้านเมือง ส่วนใหญ่ประชาชนที่ถูกชักนำจะได้รับความเดือดร้อน มิใช่แกนนำ ทั้งนี้ประชาชนคนใดที่จะเข้ามาในงานก็ความชอบส่วนตัว แต่ถ้าหากพบเจอว่ามีรถคอยไปรับไปส่ง หรือพบว่าไปเกณฑ์คนขึ้นรถมา ก็จะทำการตรวจสอบทุกขั้นตอน เพราะถือว่าผิดกติกา ความขัดแย้งในขณะนี้อยากจะให้เบาลง เพราะเป็นห่วงสถานการณ์บ้านเมือง ส่วนใหญ่ประชาชนที่ถูกชักนำจะได้รับความเดือดร้อน มิใช่แกนนำ ทั้งนี้ประชาชนคนใดที่จะเข้ามาในงานก็ความชอบส่วนตัว แต่ถ้าหากพบเจอว่ามีรถคอยไปรับไปส่ง หรือพบว่าไปเกณฑ์คนขึ้นรถมา ก็จะทำการตรวจสอบทุกขั้นตอน เพราะถือว่าผิดกติกา” นายกรัฐมนตรีกล่าว

แจงทุจริตเงินทอนดอกไม้จันทน์ฯ ไม่ใช่ มท. ดูแลหน่วยเดียว

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามกรณีการทุจริตเงินทอนในการผลิตดอกไม้จันทน์เพื่อใช้ในงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ ที่ จ.ชัยภูมิ ว่า เนื่องจากการทำงานมีหลายส่วน เช่น องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) บางแห่งตั้งงบประมาณขึ้นมาเอง ก็ต้องทำการตรวจสอบกับทางองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ส่วนของกระทรวงศึกษาธิการ จะเป็นเรื่องศูนย์การศึกษานอกโรงเรียน และกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นเรื่องของผู้พิการ ซึ่งงบประมาณแต่ละส่วนแยกกัน ไม่ใช่งบประมาณจากกระทรวงมหาดไทยเท่านั้น ขณะนี้กำลังทำการตรวจสอบอยู่ และจะมีการลงโทษถ้าหากพบว่ามีการกระทำความผิดจริง

“ทำไมถึงงี่เง่าได้ขนาดนี้ เงินจำนวนแค่ 3,000-5,000 บาท ยังอยากที่จะได้อีกหรือ อย่างนี้ถ้าจำนวนเงินมากกว่า 5,000 บาท ก็ยิ่งเอาใหญ่ ” นายกรัฐมนตรีกล่าว

ยันไม่ปรับ ครม. – รมต. ทุกคนทำงานดีอยู่แล้ว

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามกรณีผลโพลสนับสนุนให้นายกรัฐมนตรีปรับ ครม. โดยเฉพาะกระทรวงเกษตร กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงศึกษาธิการ เนื่องแก้ไขปัญหาไม่ได้ ว่า วันนี้ตนไม่อยากจะพูดถึง ตนอยากจะเรียนว่า ขณะนี้ยังไม่สามารถปรับ ครม. ได้ เนื่องจากมีความขัดแย้งสูง แต่ 3 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลเดินหน้าทำงานมานั้น ทำโดย ครม. เป็นคนกำหนดนโยบายลงไป ให้ติดตาม ขับเคลื่อน และประเมินผล ไม่ใช่ว่าทำการเปลี่ยนรัฐมนตรี แล้วรัฐมนตรีจะทำนอกเหนือจากรัฐบาลอย่างนั้นไม่ได้

“ในส่วนของการทำงานไม่ใช่ว่าต่างฝ่ายต่างมีอิสระที่อยากจะทำตามใจตนเอง โดยไม่คำนึงถึงหลักกฎหมาย ความชอบธรรม การใช้จ่ายงบประมาณ อย่างนี้ไม่สมควรทำ เพราะจะทำให้เรื่องเกิดความบานปลาย ดังนั้น หากจะประเมินว่าสมควรที่จะทำการปรับคณะรัฐมนตรีไทยหรือไม่ ผมจะเป็นผู้ประเมินจากการทำงานว่า ถ้ากำหนดนโยบายลงไปแล้วไม่ทำ หรือทำแล้วไม่เกิดผลประสิทธิภาพ ตนจึงค่อยปรับ แต่วันนี้ตนขอยืนยันว่าทุกหน่วยงานยังทำหน้าที่ได้ดีอยู่” นายกรัฐมนตรีกล่าว

มติ ครม. มีดังนี้

นายณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และนายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่มาภาพ: www.thaigov.go.th

อนุมัติ 760 ล้านบาท 13 โครงการ พัฒนาสนามบินอู่ตะเภา-ท่าเรือสัตหีบ หนุน EEC

นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ผู้ช่วยประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ครม. มีมติอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2560 งบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เป็นค่าใช้จ่ายตามแผนการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและท่าเรือพาณิชย์สัตหีบ กองทัพเรือ รองรับโครงการสำคัญภายใต้แผนงานพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (พ.ศ. 2560-2564) วงเงิน 760.77 ล้านบาท จำนวน 13 โครงการ ได้แก่

1) งานจ้างศึกษา สำรวจ และออกแบบ งานก่อสร้าง High Speed Taxiway และ Taxiway เพิ่มเติม วงเงิน 10 ล้านบาท

2) งานก่อสร้าง Bunker เพื่อจัดระเบียบลานจอดอากาศยาน แยกพื้นที่จอดอากาศยานทหาร วงเงิน 10 ล้านบาท

3) โครงการระบบสารสนเทศอาคารผู้โดยสารหลังที่ 2 วงเงิน 68 ล้านบาท

4) โครงการจัดหาระบบกล้องวงจรปิด เครื่อง X-ray และ Software ในการรักษาความปลอดภัยในอาคารผู้โดยสาร ลานจอดรถ และเส้นทางเข้า-ออก 53 ล้านบาท

5) โครงการก่อสร้างอาคารเจ้าหน้าที่บริการภาคพื้น 19.98 ล้านบาท

6) งานจ้างศึกษา สำรวจ และออกแบบ งานก่อสร้างทางวิ่งและทางขับที่ 2 จำนวน 145.29 ล้านบาท

7) งานจ้างวางแผนแม่บทโครงการศึกษาความเหมาะสมโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและพื้นที่โดยรอบ จังหวัดระยอง 135.42 ล้านบาท

8) งานจ้างศึกษา สำรวจ และออกแบบศูนย์ซ่อมอากาศยาน MRO 100.39 ล้านบาท

9) งานจ้างศึกษา สำรวจ และออกแบบงานก่อสร้างอาคารรองรับการปฏิบัติงานของ Air Cargo 45.67 ล้านบาท

10) งานจ้างศึกษา สำรวจ และออกแบบงานก่อสร้างศูนย์ฝึกอบรมบุคลากรด้านการบิน 72 ล้านบาท

11) งานจ้างศึกษา สำรวจ และออกแบบงานก่อสร้างศูนย์วิจัยเกี่ยวกับอุตสาหกรรมทางทหารพื้นที่ Defense-related industry research zone 9.99 ล้านบาท

12) งานจ้างศึกษา สำรวจ และออกแบบระบบสาธารณูปโภค 20 ล้านบาท

13) ค่าใช้จ่ายจัดจ้างที่ปรึกษาจัดทำการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการเขตส่งเสริมระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก: เมืองการบินภาคตะวันออก 70 ล้านบาท

“ปัจจุบันอู่ตะเภามีปัญหาเรื่องทางออกของรันเวย์ที่แคบ ทำให้รับผู้โดยสารได้น้อยเพียงปีละ 700,000 คน เทียบกับภูเก็ตที่มีรันเวย์เดียวเหมือนกันรับผู้โดยสารได้ 15 ล้านคนต่อปี การสร้างทางออกให้ดีขึ้นก็จะช่วยให้สนามบินรับผู้โดยสารในอนาคตได้มากขึ้น รวมทั้งการสร้างรันเวย์และอาคารผู้โดยสารเพิ่มก็จะยิ่งช่วยเพิ่มศักยภาพของอู่ตะเภาที่จะเป็นศูนย์กลางของ EEC ตามยุทธศาสตร์ได้” นายกอบศักดิ์กล่าว

อนุมัติรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ 1.01 แสนล้าน – เตาปูน-ราษฎร์บูรณะ

นายณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ครม. อนุมัติการดำเนินงานโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงช่วงเตาปูน-ราษฎร์บูรณะ วงเงิน 101,112 ล้านบาท โดยให้เริ่มกระบวนการประกวดราคาทันที แต่จะสามารถลงนามภายหลังจากที่ผลการจัดทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมแล้วเสร็จ เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น ขณะที่แหล่งเงินทุนให้สำนักงบประมาณจัดสรรงบประมาณ 15,945 ล้านบาท เป็นค่างานที่เกี่ยวข้องกับการจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน ขณะที่วงเงินที่เหลือให้กระทรวงการคลังจัดหาแหล่งเงินกู้ที่เหมาะสมโดยวิธีการให้กู้เงินต่อหรือค้ำประกันเงินกู้ต่อไป วงเงิน 85,167 ล้านบาท แบ่งเป็นค่างานก่อสร้างงานโยธา 77,385 ล้านบาท, ค่าสิ่งก่อสร้างทดแทนหน่วยงานที่ได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างฯ 1,335 ล้านบาท, ค่าจ้างที่ปรึกษาบริหารและควบคุมงานก่อสร้างงาน 2,865 ล้านบาท และค่า Provisional Sum ของงานโยธา 3,582 ล้านบาท พร้อมทั้งให้สำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรเงินงบประมาณประจำปีเป็นรายได้แก่การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ให้เพียงพอเพื่อการดำเนินการ บริหารงาน ลงทุน ค่าใช้จ่ายต่างๆ และการชำระหนี้แก่แหล่งเงินกู้ตามหลักเกณฑ์ที่จะตกลงต่อไป

ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวมีระยะทาง 23.6 กิโลเมตร  เป็นโครงสร้างทางวิ่งใต้ดิน 12.6 กิโลเมตร และโครงสร้างทางยกระดับ 11 กิโลเมตร จำนวนสถานี 17 สถานี สถานีใต้ดิน 10 สถานี และสถานียกระดับ 7 สถานี มีความเร็วสูงสุด 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เริ่มก่อสร้างเดือนกันยายน 2561 และเปิดให้บริการเดือนพฤษภาคม ปี 2567 โดยจะเปิดเดินรถด้วยรถทั้งหมด 38 ขบวน จำนวนรถ 4 ตู้ต่อขบวน และคาดว่าจะมีผู้โดยสาร 477,098 คนต่อเที่ยวต่อวัน อนึ่ง โครงการดังกล่าวมีผลตอบแทนทางเศรษฐกิจ (EIRR) 12.95% ด้วยมูลค่าปัจจุบันสุทธิ (NPV) 9,246 ล้านบาท และมีผลตอบแทนทางการเงิน (FIRR) 4.59% ด้วย NPV -9,654 ล้านบาท

เคาะ 1,851 ล้านบาท ส่งเสริมการใช้ยางพาราของหน่วยงานรัฐ

นายณัฐพรกล่าวว่า ครม. อนุมัติงบประมาณประจำปี 2560 งบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงิน 1,851.02 ล้านบาท เพื่อส่งเสริมการใช้ยางพาราในหน่วยงานภาครัฐ 3 หน่วยงาน ได้แก่ 1) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ วงเงิน 164.42 ล้านบาท เป็นน้ำยางข้น 427.79 ตัน และยางแห้ง 1,239.6 ตัน โดยนำไปทำถุงมือยางใช้ในการปฏิบัติงาน, เป็นแผ่นยางปูคอกโคและปูพื้นรถขนปศุสัตว์, เปลี่ยนยางรถแทร็กเตอร์ เป็นต้น 2) กระทรวงกลาโหม วงเงิน 1,551.59 ล้านบาท เป็นน้ำยางข้น 4,638.9 ตันและยางแห้ง 1,836.25 ตัน โดยนำไปปรับเปลี่ยที่นอนและหมอนยางพารา รองเท้า ปรับปรุงสนามฟุตบอลและสนามกีฬาของหน่วย เป็นต้น และ 3) กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา วงเงิน 135 ล้านบาท เป็นยางแห้ง 50 ตัน โดยนำไปใช้พัฒนาสนามกีฬาต่างๆ จำนวน 5 จังหวัด 5 แห่ง

ขยายวงเงิน 147.31 ล้านบาท สร้างศูนย์พัฒนาบุคลากรด้านการบิน

นายกอบศักดิ์กล่าวว่า ครม. อนุมัติขยายกรอบวงเงินลงทุนเพื่อดำเนินโครงการก่อสร้างอาคารเรียน ศูนย์พัฒนาบุคลากรด้านการบิน อาคารฝ่ายอำนวยการและสิ่งก่อสร้างประกอบ พร้อมครุภัณฑ์ของสถาบันการบินพลเรือนจากเดิมที่ ครม. อนุมัติวงเงิน 1,255.48 ล้านบาท เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2559 เป็น 1,402.79 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 147.31 ล้านบาท และมีระยะเวลาดำเนินการ 1,260 วัน ตั้งแต่เดือนกันยายน 2560 ถึงปี 2563 เนื่องจากค่าใช้จ่ายของโครงการ โดยเฉพาะค่าก่อสร้างและงานเตรียมการตามข้อกำหนดเฉพาะโครงการ เช่น การรื้อถอนอาคารเรียนบางส่วนเพื่อเตรียมพื้นที่สำหรับการสร้างอาคารเรียนใหม่ ได้ปรับสูงขึ้นจากการประมาณการปี 2557

ไฟเขียว One Stop Service ร่วม จนท. เมียนมา-กัมพูชา

พล.ท. สรรเสริญ กล่าวว่า สืบเนื่องจากการออกคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 33/2560 เรื่องมาตรการชั่วคราวเพื่อแก้ไขข้อขัดข้องในการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว โดยที่รัฐบาลจึงมีมาตรการเพิ่มเติมสำหรับแรงงานสัญชาติกัมพูชาและเมียนมาที่เข้าเมืองผิดกฎหมาย ผ่านศูนย์วันสต็อปเซอร์วิส เพื่อแก้ปัญหาร่วมกันระหว่างประเทศ โดยที่แรงงานทั้ง 2 สัญชาติไม่จำเป็นต้องเดินทางกลับประเทศต้นทางเนื่องจากได้มีการเจรจาระหว่างประเทศให้เจ้าหน้าที่จากกัมพูชาและเมียนมาเข้ามาประสานงานร่วมในประเทศไทย

“สำหรับแรงงานสัญชาติลาวยังคงต้องเดินทางกลับประเทศ เนื่องจากยังหาข้อสรุปเรื่องการประสานงานระหว่างกันไม่ได้ อย่างไรก็ตาม ศูนย์ดังกล่าวไม่สามารถให้อยู่ยาวได้ เพียงแต่เป็นการยืดระยะเวลาการทำงานให้ถึง วันที่ 31 มีนาคม 2561 เท่านั้น เพื่อบรรเทาปัญหาการขาดแคลนแรงงาน” พล.ท. สรรเสริญ กล่าว

ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 24 กรกฎาคม – 7 สิงหาคม 2560 ให้นายจ้างและลูกจ้างเดินทางไปแจ้งข้อมูลความสัมพันธ์ระหว่างกันเพื่อเก็บข้อมูล โดยกัมพูชาและเมียนมาจะสามารถไปรายงานตัวที่จุดต่างๆ ทั่วทั้งประเทศ และในกรุงเทพมหานคร 11 แห่ง

โต้เดือนเดียวสำนักนายกฯ ใช้งบประชาสัมพันธ์แตะ 129 ล้าน

พล.ท. สรรเสริญ ชี้แจงกรณีที่มีการเผยแพร่ข่าวว่าสำนักนายกรัฐมนตรีติดลำดับที่ 4 ของหน่วยงานรัฐที่ใช้งบประมาณในการประชาสัมพันธ์ โดยเฉพาะในเดือนมิถุนายน 2560 ที่ผ่านมามีการใช้งบประมาณสูงถึง 129 ล้านบาท ว่า จากการตรวจสอบกับบริษัทที่ทำการสำรวจ ได้ใช้วิธีรวบรวมข้อมูลจากสื่อช่องทางต่างๆ เช่น นิตยสาร โรงหนัง โฆษณากลางแจ้ง ระบบขนส่ง และศูนย์การค้า ว่ามีหน่วยงานใดไปลงโฆษณาบ้าง เป็นการรวบรวมจากปลายเหตุ

“พบว่าข้อมูลที่นำมาเสนอคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง เนื่องจากมีบางหน่วยงานที่แยกไปจากสำนักนายกฯ และใช้งบของตัวเองดำเนินการ เช่น สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) หรือสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มานับรวมด้วย ทำให้ตัวเลขค่อนข้างสูง นายกรัฐมนตรีจึงให้แนวทางการประชาสัมพันธ์ของหน่วยงานให้เน้นประสิทธิภาพและมีผลงานที่เกิดกับประชาชนเป็นหลัก เพราะการประชาสัมพันธ์ที่ขาดผลงานย่อมไม่ได้รับความเชื่อถือ โดยให้ใช้บริการสื่อของรัฐเพื่อประหยัดงบประมาณ” พล.ท. สรรเสริญ กล่าว

เห็นชอบแผนแม่บทจัดระเบียบภูทับเบิก

พ.อ. อธิสิทธิ์ ไชยนุวัติ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ครม. เห็นชอบร่างแผนแม่บทการแก้ไขปัญหาพื้นที่ภูทับเบิก พ.ศ. 2560-2565 ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เสนอโดยมีสาระสำคัญเพื่อกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินตามวัตถุประสงค์แห่งมติคณะรัฐมนตรี เพื่อฟื้นฟูพื้นที่ป่าไม้ให้สมบูรณ์ เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับชาวเขาราษฎรเดิม เพื่อส่งเสริมการสร้างรายได้เสริมจากการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ โดยแผนแม่บทการแก้ไขปัญหาพื้นที่ภูทับเบิก พ.ศ. 2560-2565 ประกอบด้วย แผนเฉพาะด้าน 6 แผน ดังนี้ 1) แผนการบริหารและจัดการพื้นที่ภูทับเบิก 2) แผนการบริหารจัดการพื้นที่ผ่อนปรน 3) แผนการจัดการพื้นที่อยู่อาศัย 4) แผนการจัดการพื้นที่ทำกิน 5) แผนการจัดการพื้นที่ป่าไม้ และ 6) แผนการจัดการพื้นที่ส่วนกลาง

แต่งตั้งปลัด 5 กระทรวง เด้งปลัดเกษตร – ผอ.สำนักงบ – เลขาฯ บีโอไอ

พ.อ.หญิง ทักษดา สังขจันทร์ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้แถลงรายชื่อแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการระดับสูงหลายรายการ โดยมีรายการที่น่าสนใจดังนี้

1) นางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย รองเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน สำนักนายกรัฐมนตรี และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม

2) นายเดชาภิวัฒน์ ณ สงขลา รองผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ ให้ดำรงตำแหน่ง ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ สำนักนายกรัฐมนตรี

3) นางสาวดวงใจ อัศวจินตจิตร์ รองเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ให้ดำรงตำแหน่ง เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน สำนักนายกรัฐมนตรี

4) นายธีรภัทร ประยูรสิทธิ ปลัดกระทรวง (นักบริหารระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นักบริหารระดับสูง) สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักนายกรัฐมนตรี โดยยังไม่แต่งตั้งใครทดแทน

5) นายธรรมยศ ศรีช่วย รองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ให้ดำรงตำแหน่ง ปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงพลังงาน

6) นางพัชราภรณ์ อินทรียงค์ รองปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ให้ดำรงตำแหน่ง ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักนายกรัฐมนตรี

7) นายพุฒิพัฒน์ เลิศเชาวสิทธิ์ อธิบดีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ ให้ดำรงตำแหน่ง ปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์

8) นายจรินทร์ จักกะพาก อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น (นักบริหารระดับสูง) กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย มาเลื่อนขึ้นแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ปลัดกระทรวงแรงงาน (นักบริหารระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวงแรงงาน กระทรวงแรงงาน

9) นายเจษฎา โชคดำรงสุข อธิบดีกรมควบคุมโรค ให้ดำรงตำแหน่ง ปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงสาธารณสุข

10) นางสาววิไลลักษณ์ ชุลีวัฒนกุล ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ถูกรับโอนมาดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี

(คลิกเพื่อดู: รายชื่อข้าราชการทั้งหมดที่ได้รับแต่งตั้งข้าราชการ ตามมติ ครม. วันที่ 25 กรกฎาคม 2560<)