ปัณฑพ ตั้งศรีวงศ์ รายงาน
ไม่กี่ปีมานี้ โดยเฉพาะหลังเกิดการรัฐประหารในเมียนมา การเดินทางข้ามพรมแดนระหว่างเมียนมากับอินเดียได้ถูกควบคุมอย่างเข้มงวด เพราะสถานการณ์ในพื้นที่ทั้ง 2 ฝั่ง ตลอดแนวชายแดนที่ยาวกว่า 1,600 กิโลเมตร ไม่สงบ แต่ละฝั่งต่างมีกองกำลังติดอาวุธที่ต่อต้านรัฐบาลของตนเคลื่อนไหวอยู่
แต่ภายในประเทศ โดยเฉพาะฝั่งเมียนมา การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ในอนาคตสามารถต่อยอดขึ้นเป็นโครงข่ายคมนาคมเชื่อมระหว่าง 2 ประเทศ กำลังค่อยๆ ปรากฏให้เห็นเป็นรูปเป็นร่างอย่างช้าๆ
……

วันที่ 29 พฤษภาคม 2568 เพจ Welcome to Homalin ได้เผยแพร่ภาพความคืบหน้าการก่อสร้างสะพานแห่งหนึ่งทางตอนเหนือของจังหวัดโห่มะลิน ภาคสะกาย สะพานแห่งนี้ถูกสร้างข้ามแม่น้ำชินดวิน จากบ้านปิ้นหม่า ฝั่งตะวันออก ไปยังบ้านทะมานตี่ ในฝั่งตะวันตก คนท้องถิ่นเรียกสะพานนี้ว่า “สะพานทะมานตี่”
สะพานทะมานตี่เป็นสะพานเหล็ก ปูด้วยพื้นคอนกรีต ยาว 801 เมตร กว้าง 9.4 เมตร ท้องสะพานอยู่เหนือจากระดับสูงสุดของแม่น้ำชินดวิน 40 ฟุต
ก่อนหน้านั้น เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม เพจ Welcome to Homalin ได้เผยแพร่ภาพถนนคอนกรีตเสริมเหล็ก ขนาด 2 ช่องจราจร ซึ่งเป็นเส้นทางจากตัวเมืองโห่มะลินไปยังสะพานทะมานตี่ ที่สร้างเสร็จสมบูรณ์รอไว้ก่อนแล้ว
ตามข้อมูลที่เผยแพร่ เมื่อสะพานทะมานตี่สร้างเสร็จ เส้นทางสายนี้จะเป็นถนนที่เพิ่มความสะดวกในการคมนาคม ขนส่ง และการติดต่อสื่อสาร ระหว่างเมืองโห่มะลินกับเขตปกครองตนเองชาติพันธุ์นาคาที่อยู่เหนือขึ้นไปติดกับชายแดนเมียนมา-อินเดีย
เพจ Welcome to Homalin ระบุว่า สะพานทะมานตี่ได้สร้างไปแล้วมากกว่า 90% คาดว่าอีกไม่นานก็จะเปิดใช้งานได้…
โห่มะลินเป็นจังหวัดทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเมียนมา พื้นที่ส่วนใหญ่อยู่ทางตะวันออกของแม่น้ำชินดวิน
เขตปกครองตนเองชาติพันธุ์นาคาอยู่ทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำชินดวิน ติดกับจังหวัดโห่มะลินทางทิศเหนือ เป็น 1 ใน 5 เขตปกครองตนเองที่ได้รับการรับรองโดยรัฐธรรมนูญเมียนมา ฉบับปี 2008 (พ.ศ. 2551)

มาตรา 56 ของรัฐธรรมนูญปี 2008 ในบทที่ 2 กำหนดให้เมียนมามีเขตปกครองตนเอง (Self Administered Zone หรือ SAZ) 5 แห่ง และพื้นที่ปกครองตนเอง (Self Administered Division หรือ SAD) 1 แห่ง ทั้ง SAZ และ SAD มีฐานะเทียบเท่าจังหวัด (District) ประกอบด้วย
-
1. เขตปกครองตนเองชนชาติโกก้าง มีชื่อเรียกเป็นเขตพิเศษหมายเลข 1 อยู่ในรัฐฉาน มีพื้นที่ติดกับจีน
2. เขตปกครองตนเองชนชาติปะหล่อง อยู่ในรัฐฉาน
3. เขตปกครองตนเองชนชาติปะโอ อยู่ในรัฐฉาน
4. เขตปกครองตนเองชนชาติธนุ อยู่ในรัฐฉาน
5. เขตปกครองตนเองชนชาตินาคา อยู่ติดกับอินเดียในภาคสะกาย
SAD 1 แห่ง คือพื้นปกครองตนเองชนชาติว้า มีชื่อเรียกว่าเขตพิเศษหมายเลข 2 อยู่ติดกับชายแดนจีนในรัฐฉาน ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำสาละวิน
ส่วนเมืองลา ที่ถูกเรียกเป็นเขตพิเศษหมายเลข 4 ในภาคตะวันออกของรัฐฉานนั้น ถูกกำหนดขึ้นตามสัญญาหยุดยิงที่รัฐบาลสหภาพพม่าเซ็นกับพรรคคอมมิวนิสต์พม่า (CPB) เมื่อ พ.ศ. 2532
แม้ในทางปฏิบัติ เมืองลาเป็นเขตปกครองตนเองของกลุ่มชาติพันธุ์ลื้อที่อยู่ติดกับเขตปกครองตนเองสิบสองปันนา มณฑลยูนนาน แต่ตามโครงสร้างการปกครองแล้ว เมืองลามีฐานะเป็นอำเภอหนึ่งของจังหวัดเชียงตุง…
เขตปกครองตนเองชนชาตินาคา ประกอบด้วย 3 อำเภอ ตั้งเรียงกันจากใต้ขึ้นไปทางเหนือ ได้แก่ อำเภอเหล่ชี อำเภอละแห่ และอำเภอนานยูน (โปรดดูแผนที่ประกอบ)
สะพานทะมานตี่เป็นจุดเชื่อมระหว่างเมืองโห่มะลินกับอำเภอเหล่ชี เมื่อสะพานสร้างเสร็จ คนจาก 2 เมืองนี้ สามารถเดินทางไปมาหากันได้สะดวก และช่วยเพิ่มมูลค่าการค้าขาย ขนส่งสินค้าระหว่างเหล่ชีและโห่มะลินให้มากขึ้น

เขตปกครองตนเองนาคาอยู่ติดกับ 3 รัฐของอินเดีย ใต้สุดคืออำเภอเหล่ชี อยู่ติดกับรัฐมณีปุระกับนาคาแลนด์ เหนือขึ้นไปคืออำเภอละแห่ อยู่ติดกับรัฐนาคาแลนด์กับอรุณาจัลประเทศ และเหนือสุดคืออำเภอนานยูน อยู่ติดกับรัฐอรุณาจัลประเทศ
ชาวนาคาเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ดั้งเดิมที่ตั้งถิ่นฐานกระจายตัวอยู่บริเวณรอยต่อระหว่างเมียนมาและอินเดียมานานหลายร้อยปี
ในอินเดีย ชาวนาคาส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในรัฐนาคาแลนด์ นอกจากนั้นยังมีในรัฐมณีปุระ รัฐอรุณาจัลประเทศ และรัฐอัสสัม ส่วนในเมียนมา ถิ่นฐานของชาวนาคานอกจากอยู่ในเขตปกครองตนเองนาคาเป็นหลักแล้ว ในเมืองอื่นๆ ของภาคสะกายและรัฐคะฉิ่น ก็มีชุมชนชาวนาคาตั้งอยู่เป็นจำนวนมาก…
จังหวัดโห่มะลินเป็นเมืองของชาวไตแดงหรือชาวไตคำตี่ คนชาติพันธุ์ไตอีกกลุ่มหนึ่งที่มีภาษาพูดและตัวอักษรเป็นของตนเอง เหมือนกับชาวไทใหญ่ในรัฐฉาน
ชื่อ “โห่มะลิน” มาจากคำในภาษาไตว่า “ฮม-หมาก-ลาง” คำว่า “หมากลาง” แปลว่าต้นขนุน “ฮมหมากลาง” จึงแปลตรงตัวว่าร่มขนุน คนพม่าออกเสียงฮมหมากลางว่าโห่มะลิน ชื่อเมืองนี้จึงถูกกำหนดไว้ในภาษาพม่าว่าโห่มะลินตามการออกเสียงของชาวพม่า
ชาวไตแดงหรือไตคำตี่ ไม่แตกต่างจากชาวนาคา คือเป็นชาติพันธุ์เก่าแก่ที่กระจายตัวตั้งถิ่นฐานอยู่บริเวณรอยต่อระหว่างมณฑลยูนนานของจีน เมียนมา และอินเดีย มาเป็นเวลานาน
ในอินเดีย ชาวไตคำตี่ตั้งบ้านเรือนอยู่หนาแน่นในรัฐอรุณาจัลประเทศ โดยเฉพาะในหมู่บ้านจองคำ ตำบลน้ำทราย และตำบลโลหิต รวมถึงในรัฐอัสสัมที่อยู่ถัดเข้าไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้จากรัฐอรุณาจัลประเทศ
ในเมียนมา ชุมชนชาวไตแดงกระจายตัวอยู่ในหลายพื้นที่ของรัฐคะฉิ่น ส่วนภาคสะกาย นอกจากจังหวัดโห่มะลินแล้ว เมืองของชาวไตคำตี่หรือไตแดงอีกแห่งหนึ่งที่อยู่ติดกับโห่มะลินทางทิศเหนือ คือจังหวัดคำตี่ พื้นที่ติดกันทางทิศตะวันตกและทิศเหนือของจังหวัดคำตี่เป็นอำเภอละแห่กับอำเภอนานยูน เขตปกครองตนเองนาคา
ที่ตั้งชุมชนของชาวนาคาและชาวไตแดงหรือไตคำตี่ ทั้งในอินเดียและเมียนมา อยู่ตามเทือกเขาสูงชัน การเดินทางไปมาหากันทำได้ไม่สะดวก
การเกิดขึ้นของสะพานทะมานตี่ จึงอาจนับเป็นจุดเริ่มต้นการสร้างโครงข่ายคมนาคมระหว่างเมืองของชาวไตแดงกับชาวนาคาในเมียนมา
ในอนาคต มีโอกาสที่เส้นทางสายนี้อาจถูกต่อยอดให้เป็นโครงข่ายเชื่อมต่อชุมชนของชาวนาคาและไตคำตี่ในฝั่งอินเดีย หากสถานการณ์บริเวณชายแดนของ 2 เมียนมาและอินเดียมีเสถียรภาพมากกว่าในปัจจุบัน
……

วันที่ 25 มกราคม 2568 เพจ Popular News Journal รายงานว่า อู แคตเถ่งหน่าน มุขมนตรีรัฐคะฉิ่น ได้เดินทางไปดูการก่อสร้างสะพานบะละมินถิ่น 2 ข้ามแม่น้ำอิรวดี ทางตอนเหนือของตัวเมืองมิตจีนา เมืองหลวงของรัฐคะฉิ่น ซึ่งกำลังสร้างคู่ขนานกับสะพานบะละมินถิ่น 1 ที่ถูกใช้งานมานานกว่า 25 ปี
สะพานบะละมินถิ่น 2 ยาว 979 เมตร หรือ 3,212 ฟุต โครงสร้างคานสะพานเป็นกล่องคอนกรีต (Box Girder) ปูพื้นด้านบนด้วยแผ่นคอนกรีตเสริมเหล็ก (RCC Slab) ส่วนถนนกว้าง 27 ฟุต หรือ 8 เมตร สามารถรองรับน้ำหนักรถบรรทุกได้มากกว่า 75 ตัน
“บะละมินถิ่น” เป็นชื่อของแม่ทัพคนสำคัญของพระเจ้ามังระในยุคแรกของราชวงศ์คอนบอง ช่วงสงครามพม่า-จีน ระหว่างปี 2308-2312 โดยบะละมินถิ่นสามารถใช้กำลังทหารเพียง 7,000 นาย ต้านทานการบุกของกองทัพต้าชิงที่มีกำลังพลมากกว่า 20,000 นายเอาไว้ได้ จนกองทัพต้าชิงต้องถอนทัพกลับไปในที่สุด
สำหรับบทบาทของบะละมินถิ่นในประวัติศาสตร์ของกองทัพพม่า มีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าอะแซหวุ่นกี้ แม่ทัพที่นำกำลังทหารมาบุกตีกรุงศรีอยุธยา ในช่วงปลายสมัยของพระเจ้าอลองพญา
ตามแผนของกระทรวงก่อสร้างเมียนมา สะพานบะละมินถิ่น 2 คาดว่าจะสร้างเสร็จในปี 2569 และจะมีบทบาทสำคัญเป็นจุดเชื่อมต่อของเส้นทางการค้า 3 ประเทศ จีน-เมียนมา-อินเดีย ผ่านรัฐคะฉิ่นและภาคสะกาย
เส้นทางการค้าสายนี้ มีจุดเริ่มต้นจากด่านชายแดนกันไปก์ตี่ อำเภอเวียงหม้อหรือวายหม่อ จังหวัดมิตจีนา ฝั่งตรงข้ามอำเภอเถิงซง เมืองเป่าซาน มณฑลยูนนาน จากนั้นวิ่งมาทางทิศตะวันตก ข้ามแม่น้ำอิรวดีที่สะพานบะละมินถิ่น ผ่านเมืองมิตจีนาไปยังเมืองนามมะตี จังหวัดโมญิน ต่อขึ้นไปยังเมืองตะนาย ข้ามแม่น้ำชินดวินที่สะพานตะโหย่ง เข้าสู่ภาคสะกาย ที่อำเภอนานยูน เขตปกครองตนเองนาคา และต่อขึ้นไปถึงชายแดนเมียนมา-อินเดีย ที่เมืองปันส่อง เพื่อข้ามพรมแดนทางช่องเขาพังซอที่เป็นส่วนยอดของเทือกเขาปาดไก่ ก่อนลงไปยังเมืองน้ำปง รัฐอรุณาจัลประเทศ


เส้นทางการค้า 3 ประเทศ สายนี้ ยึดตาม แนวถนน “เลโด” หรือในอีกชื่อหนึ่งคือถนน “สติลเวล” เส้นทางส่งกำลังบำรุงที่มีบทบาทสำคัญของฝ่ายสัมพันธมิตร ที่สร้างขึ้นในปี 2485 ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยทหารช่างของอเมริกาและอังกฤษ เพื่อใช้เป็นเส้นทางลำเลียงเสบียงและยุทธปัจจัยจากเมืองเลโด รัฐอัสสัม ของอินเดีย (ปัจจุบันขึ้นกับรัฐอรุณาจัลประเทศ) ผ่านตอนเหนือของพม่า ไปส่งให้กับทหารของนายพลเจียง ไคเชก ที่กำลังสู้รบกับกองทัพญี่ปุ่นในมณฑลยูนนานของจีน
ถนนเลโดยาว 1,726 กิโลเมตร ช่วงที่อยู่ในพม่ายาว 1,033 กิโลเมตร ในอินเดียยาว 61 กิโลเมตร และในจีนอีก 632 กิโลเมตร

ในแผนที่ Google Map ถนนช่วงตั้งแต่เมืองชินบวยยาน จังหวัดตะนาย ข้ามมาในภาคสะกาย ขึ้นไปจนถึงเมืองปันส่องชายแดนอินเดีย มีชื่อเขียนกำกับไว้ว่า Stilwell Road ซึ่งเป็นการตั้งตามชื่อของนายพลโจเซฟ สติลเวล แห่งกองทัพสหรัฐอเมริกา ที่เป็นผู้ผลักดันให้นายพล เซอร์ อาชิบัลด์ เวเวลล์ ผู้บัญชาการสูงสุดพื้นที่ภาคตะวันออกไกลของอังกฤษ สร้างถนนสายนี้ขึ้น ตามคำแนะนำของนายพลเจียง ไคเชก…
สื่อออนไลน์ในเมียนมา เคยมีรายงานว่า ทางการอินเดียปรารถนามาตลอดว่าต้องการฟื้นบทบาทถนนเลโดกลับคืนมาใหม่ เพื่อใช้เป็นเส้นทางเชื่อมต่อการค้าระหว่างอินเดียกับจีน

เพจ India in Myanmar รายงานว่า เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2568 หรือ 3 สัปดาห์ หลังจาก อู แคตเถ่งหน่าน มุขมนตรีรัฐคะฉิ่น ได้เดินทางไปดูการก่อสร้างสะพานบะละมินถิ่น 2 Shri Abhay Thakur เอกอัครราชทูตอินเดีย ประจำเมียนมา ได้บินไปยังเมืองมิตจีนา และได้เข้าหารือกับ อู แคตเถ่งหน่าน เกี่ยวกับแผนเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจระหว่างอินเดียกับรัฐคะฉิ่น
ในทริปเดียวกันนี้ เอกอัครราชทูตอินเดีย ยังได้จัดประชุมร่วมกับนักธุรกิจ ผู้ประกอบการ และเจ้าของกิจการท้องถิ่นของรัฐคะฉิ่น รวมถึงเดินทางไปเยี่ยมชมมหาวิทยาลัยมิตจีนา อีกด้วย
……
อินเดียแสดงท่าทีชัดเจนมานานแล้วที่ต้องการเข้าไปมีบทบาทในเมียนมาผ่านโครงการพัฒนาเส้นทางคมนาคม-ขนส่งขนาดใหญ่ อย่างน้อย 2 โครงการ คือ โครงการขนส่งหลายรูปแบบคาลาดาน และโครงการทางด่วน 3 ประเทศ ไทย-เมียนมา-อินเดีย เพื่อหวังให้เมียนมาเป็นประตูเชื่อมต่ออินเดียกับภูมิภาคอาเซียน
แต่ทั้ง 2 โครงการ กลับมีความคืบหน้าที่เป็นรูปธรรมไม่มากนัก เนื่องจากที่ตั้งโครงการต้องผ่านพื้นที่ซึ่งกำลังมีการสู้รบรุนแรงระหว่างกองทัพพม่า กับกองกำลังติดอาวุธชาติพันธุ์และกองกำลังฝ่ายต่อต้านของรัฐบาลเงา (PDF)
สถานการณ์ของสะพานทะมานตี่ที่เป็นจุดเชื่อมเมืองโห่มะลินของชาวไตแดงกับเขตปกครองตนเองนาคา และถนนเลโดที่เป็นเส้นทางการค้า 3 ประเทศ จีน-เมียนมา-อินเดีย ที่กล่าวถึงข้างต้น ก็ใช่ว่าจะราบรื่น เพราะทั้งภาคสะกายและรัฐคะฉิ่น ต่างก็เป็นพื้นที่สู้รบของกองทัพพม่ากับกองกำลังติดอาวุธฝ่ายต่อต้าน
โครงข่ายถนนเชื่อมเมียนมา-อินเดีย จำเป็นต้องอาศัยเวลาในการพัฒนาที่ยาวนานพอสมควรทีเดียว…