ThaiPublica > สู่อาเซียน > โครงข่ายถนน “เมียนมา-อินเดีย” เส้นทางเชื่อมต่อการค้า 3 ประเทศ อินเดีย-เมียนมา-จีน

โครงข่ายถนน “เมียนมา-อินเดีย” เส้นทางเชื่อมต่อการค้า 3 ประเทศ อินเดีย-เมียนมา-จีน

10 มิถุนายน 2025


ปัณฑพ ตั้งศรีวงศ์ รายงาน

ไม่กี่ปีมานี้ โดยเฉพาะหลังเกิดการรัฐประหารในเมียนมา การเดินทางข้ามพรมแดนระหว่างเมียนมากับอินเดียได้ถูกควบคุมอย่างเข้มงวด เพราะสถานการณ์ในพื้นที่ทั้ง 2 ฝั่ง ตลอดแนวชายแดนที่ยาวกว่า 1,600 กิโลเมตร ไม่สงบ แต่ละฝั่งต่างมีกองกำลังติดอาวุธที่ต่อต้านรัฐบาลของตนเคลื่อนไหวอยู่

แต่ภายในประเทศ โดยเฉพาะฝั่งเมียนมา การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ในอนาคตสามารถต่อยอดขึ้นเป็นโครงข่ายคมนาคมเชื่อมระหว่าง 2 ประเทศ กำลังค่อยๆ ปรากฏให้เห็นเป็นรูปเป็นร่างอย่างช้าๆ

……

สะพานทะมานตี่เชื่อมเมืองโห่มะลินกับเขตปกครองตนเองนาคา ที่มาภาพ: เพจ Welcome to Homalin

วันที่ 29 พฤษภาคม 2568 เพจ Welcome to Homalin ได้เผยแพร่ภาพความคืบหน้าการก่อสร้างสะพานแห่งหนึ่งทางตอนเหนือของจังหวัดโห่มะลิน ภาคสะกาย สะพานแห่งนี้ถูกสร้างข้ามแม่น้ำชินดวิน จากบ้านปิ้นหม่า ฝั่งตะวันออก ไปยังบ้านทะมานตี่ ในฝั่งตะวันตก คนท้องถิ่นเรียกสะพานนี้ว่า “สะพานทะมานตี่”

สะพานทะมานตี่เป็นสะพานเหล็ก ปูด้วยพื้นคอนกรีต ยาว 801 เมตร กว้าง 9.4 เมตร ท้องสะพานอยู่เหนือจากระดับสูงสุดของแม่น้ำชินดวิน 40 ฟุต

ก่อนหน้านั้น เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม เพจ Welcome to Homalin ได้เผยแพร่ภาพถนนคอนกรีตเสริมเหล็ก ขนาด 2 ช่องจราจร ซึ่งเป็นเส้นทางจากตัวเมืองโห่มะลินไปยังสะพานทะมานตี่ ที่สร้างเสร็จสมบูรณ์รอไว้ก่อนแล้ว

ตามข้อมูลที่เผยแพร่ เมื่อสะพานทะมานตี่สร้างเสร็จ เส้นทางสายนี้จะเป็นถนนที่เพิ่มความสะดวกในการคมนาคม ขนส่ง และการติดต่อสื่อสาร ระหว่างเมืองโห่มะลินกับเขตปกครองตนเองชาติพันธุ์นาคาที่อยู่เหนือขึ้นไปติดกับชายแดนเมียนมา-อินเดีย

เพจ Welcome to Homalin ระบุว่า สะพานทะมานตี่ได้สร้างไปแล้วมากกว่า 90% คาดว่าอีกไม่นานก็จะเปิดใช้งานได้…

โห่มะลินเป็นจังหวัดทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเมียนมา พื้นที่ส่วนใหญ่อยู่ทางตะวันออกของแม่น้ำชินดวิน

เขตปกครองตนเองชาติพันธุ์นาคาอยู่ทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำชินดวิน ติดกับจังหวัดโห่มะลินทางทิศเหนือ เป็น 1 ใน 5 เขตปกครองตนเองที่ได้รับการรับรองโดยรัฐธรรมนูญเมียนมา ฉบับปี 2008 (พ.ศ. 2551)

ถนนจากเมืองโหมะลินที่มุ่งหน้าไปยังสะพานทะมานตี่ ที่มาภาพ: Welcome to Homalin

มาตรา 56 ของรัฐธรรมนูญปี 2008 ในบทที่ 2 กำหนดให้เมียนมามีเขตปกครองตนเอง (Self Administered Zone หรือ SAZ) 5 แห่ง และพื้นที่ปกครองตนเอง (Self Administered Division หรือ SAD) 1 แห่ง ทั้ง SAZ และ SAD มีฐานะเทียบเท่าจังหวัด (District) ประกอบด้วย

    1. เขตปกครองตนเองชนชาติโกก้าง มีชื่อเรียกเป็นเขตพิเศษหมายเลข 1 อยู่ในรัฐฉาน มีพื้นที่ติดกับจีน
    2. เขตปกครองตนเองชนชาติปะหล่อง อยู่ในรัฐฉาน
    3. เขตปกครองตนเองชนชาติปะโอ อยู่ในรัฐฉาน
    4. เขตปกครองตนเองชนชาติธนุ อยู่ในรัฐฉาน
    5. เขตปกครองตนเองชนชาตินาคา อยู่ติดกับอินเดียในภาคสะกาย

SAD 1 แห่ง คือพื้นปกครองตนเองชนชาติว้า มีชื่อเรียกว่าเขตพิเศษหมายเลข 2 อยู่ติดกับชายแดนจีนในรัฐฉาน ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำสาละวิน

ส่วนเมืองลา ที่ถูกเรียกเป็นเขตพิเศษหมายเลข 4 ในภาคตะวันออกของรัฐฉานนั้น ถูกกำหนดขึ้นตามสัญญาหยุดยิงที่รัฐบาลสหภาพพม่าเซ็นกับพรรคคอมมิวนิสต์พม่า (CPB) เมื่อ พ.ศ. 2532

แม้ในทางปฏิบัติ เมืองลาเป็นเขตปกครองตนเองของกลุ่มชาติพันธุ์ลื้อที่อยู่ติดกับเขตปกครองตนเองสิบสองปันนา มณฑลยูนนาน แต่ตามโครงสร้างการปกครองแล้ว เมืองลามีฐานะเป็นอำเภอหนึ่งของจังหวัดเชียงตุง…

เขตปกครองตนเองชนชาตินาคา ประกอบด้วย 3 อำเภอ ตั้งเรียงกันจากใต้ขึ้นไปทางเหนือ ได้แก่ อำเภอเหล่ชี อำเภอละแห่ และอำเภอนานยูน (โปรดดูแผนที่ประกอบ)

สะพานทะมานตี่เป็นจุดเชื่อมระหว่างเมืองโห่มะลินกับอำเภอเหล่ชี เมื่อสะพานสร้างเสร็จ คนจาก 2 เมืองนี้ สามารถเดินทางไปมาหากันได้สะดวก และช่วยเพิ่มมูลค่าการค้าขาย ขนส่งสินค้าระหว่างเหล่ชีและโห่มะลินให้มากขึ้น

ที่ตั้งสะพานทะมานตี่ กับ 3 อำเภอในเขตปกครองตนเองนาคา และอีก 2 เมืองของชาวไตแดง

เขตปกครองตนเองนาคาอยู่ติดกับ 3 รัฐของอินเดีย ใต้สุดคืออำเภอเหล่ชี อยู่ติดกับรัฐมณีปุระกับนาคาแลนด์ เหนือขึ้นไปคืออำเภอละแห่ อยู่ติดกับรัฐนาคาแลนด์กับอรุณาจัลประเทศ และเหนือสุดคืออำเภอนานยูน อยู่ติดกับรัฐอรุณาจัลประเทศ

ชาวนาคาเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ดั้งเดิมที่ตั้งถิ่นฐานกระจายตัวอยู่บริเวณรอยต่อระหว่างเมียนมาและอินเดียมานานหลายร้อยปี

ในอินเดีย ชาวนาคาส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในรัฐนาคาแลนด์ นอกจากนั้นยังมีในรัฐมณีปุระ รัฐอรุณาจัลประเทศ และรัฐอัสสัม ส่วนในเมียนมา ถิ่นฐานของชาวนาคานอกจากอยู่ในเขตปกครองตนเองนาคาเป็นหลักแล้ว ในเมืองอื่นๆ ของภาคสะกายและรัฐคะฉิ่น ก็มีชุมชนชาวนาคาตั้งอยู่เป็นจำนวนมาก…

จังหวัดโห่มะลินเป็นเมืองของชาวไตแดงหรือชาวไตคำตี่ คนชาติพันธุ์ไตอีกกลุ่มหนึ่งที่มีภาษาพูดและตัวอักษรเป็นของตนเอง เหมือนกับชาวไทใหญ่ในรัฐฉาน

ชื่อ “โห่มะลิน” มาจากคำในภาษาไตว่า “ฮม-หมาก-ลาง” คำว่า “หมากลาง” แปลว่าต้นขนุน “ฮมหมากลาง” จึงแปลตรงตัวว่าร่มขนุน คนพม่าออกเสียงฮมหมากลางว่าโห่มะลิน ชื่อเมืองนี้จึงถูกกำหนดไว้ในภาษาพม่าว่าโห่มะลินตามการออกเสียงของชาวพม่า

ชาวไตแดงหรือไตคำตี่ ไม่แตกต่างจากชาวนาคา คือเป็นชาติพันธุ์เก่าแก่ที่กระจายตัวตั้งถิ่นฐานอยู่บริเวณรอยต่อระหว่างมณฑลยูนนานของจีน เมียนมา และอินเดีย มาเป็นเวลานาน

ในอินเดีย ชาวไตคำตี่ตั้งบ้านเรือนอยู่หนาแน่นในรัฐอรุณาจัลประเทศ โดยเฉพาะในหมู่บ้านจองคำ ตำบลน้ำทราย และตำบลโลหิต รวมถึงในรัฐอัสสัมที่อยู่ถัดเข้าไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้จากรัฐอรุณาจัลประเทศ

ในเมียนมา ชุมชนชาวไตแดงกระจายตัวอยู่ในหลายพื้นที่ของรัฐคะฉิ่น ส่วนภาคสะกาย นอกจากจังหวัดโห่มะลินแล้ว เมืองของชาวไตคำตี่หรือไตแดงอีกแห่งหนึ่งที่อยู่ติดกับโห่มะลินทางทิศเหนือ คือจังหวัดคำตี่ พื้นที่ติดกันทางทิศตะวันตกและทิศเหนือของจังหวัดคำตี่เป็นอำเภอละแห่กับอำเภอนานยูน เขตปกครองตนเองนาคา

ที่ตั้งชุมชนของชาวนาคาและชาวไตแดงหรือไตคำตี่ ทั้งในอินเดียและเมียนมา อยู่ตามเทือกเขาสูงชัน การเดินทางไปมาหากันทำได้ไม่สะดวก

การเกิดขึ้นของสะพานทะมานตี่ จึงอาจนับเป็นจุดเริ่มต้นการสร้างโครงข่ายคมนาคมระหว่างเมืองของชาวไตแดงกับชาวนาคาในเมียนมา

ในอนาคต มีโอกาสที่เส้นทางสายนี้อาจถูกต่อยอดให้เป็นโครงข่ายเชื่อมต่อชุมชนของชาวนาคาและไตคำตี่ในฝั่งอินเดีย หากสถานการณ์บริเวณชายแดนของ 2 เมียนมาและอินเดียมีเสถียรภาพมากกว่าในปัจจุบัน

……

อู แคตเถ่งหน่าน มุขมนตรีรัฐคะฉิ่น และทีมงาน เดินทางไปดูการก่อสร้างสะพานบะละมินถิ่น 2 ข้ามแม่น้ำอิรวดีทางตอนเหนือของตัวเมืองมิตจีนา เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2568 ที่มาภาพ: เพจ Popular News Journal

วันที่ 25 มกราคม 2568 เพจ Popular News Journal รายงานว่า อู แคตเถ่งหน่าน มุขมนตรีรัฐคะฉิ่น ได้เดินทางไปดูการก่อสร้างสะพานบะละมินถิ่น 2 ข้ามแม่น้ำอิรวดี ทางตอนเหนือของตัวเมืองมิตจีนา เมืองหลวงของรัฐคะฉิ่น ซึ่งกำลังสร้างคู่ขนานกับสะพานบะละมินถิ่น 1 ที่ถูกใช้งานมานานกว่า 25 ปี

สะพานบะละมินถิ่น 2 ยาว 979 เมตร หรือ 3,212 ฟุต โครงสร้างคานสะพานเป็นกล่องคอนกรีต (Box Girder) ปูพื้นด้านบนด้วยแผ่นคอนกรีตเสริมเหล็ก (RCC Slab) ส่วนถนนกว้าง 27 ฟุต หรือ 8 เมตร สามารถรองรับน้ำหนักรถบรรทุกได้มากกว่า 75 ตัน

“บะละมินถิ่น” เป็นชื่อของแม่ทัพคนสำคัญของพระเจ้ามังระในยุคแรกของราชวงศ์คอนบอง ช่วงสงครามพม่า-จีน ระหว่างปี 2308-2312 โดยบะละมินถิ่นสามารถใช้กำลังทหารเพียง 7,000 นาย ต้านทานการบุกของกองทัพต้าชิงที่มีกำลังพลมากกว่า 20,000 นายเอาไว้ได้ จนกองทัพต้าชิงต้องถอนทัพกลับไปในที่สุด

สำหรับบทบาทของบะละมินถิ่นในประวัติศาสตร์ของกองทัพพม่า มีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าอะแซหวุ่นกี้ แม่ทัพที่นำกำลังทหารมาบุกตีกรุงศรีอยุธยา ในช่วงปลายสมัยของพระเจ้าอลองพญา

ตามแผนของกระทรวงก่อสร้างเมียนมา สะพานบะละมินถิ่น 2 คาดว่าจะสร้างเสร็จในปี 2569 และจะมีบทบาทสำคัญเป็นจุดเชื่อมต่อของเส้นทางการค้า 3 ประเทศ จีน-เมียนมา-อินเดีย ผ่านรัฐคะฉิ่นและภาคสะกาย

เส้นทางการค้าสายนี้ มีจุดเริ่มต้นจากด่านชายแดนกันไปก์ตี่ อำเภอเวียงหม้อหรือวายหม่อ จังหวัดมิตจีนา ฝั่งตรงข้ามอำเภอเถิงซง เมืองเป่าซาน มณฑลยูนนาน จากนั้นวิ่งมาทางทิศตะวันตก ข้ามแม่น้ำอิรวดีที่สะพานบะละมินถิ่น ผ่านเมืองมิตจีนาไปยังเมืองนามมะตี จังหวัดโมญิน ต่อขึ้นไปยังเมืองตะนาย ข้ามแม่น้ำชินดวินที่สะพานตะโหย่ง เข้าสู่ภาคสะกาย ที่อำเภอนานยูน เขตปกครองตนเองนาคา และต่อขึ้นไปถึงชายแดนเมียนมา-อินเดีย ที่เมืองปันส่อง เพื่อข้ามพรมแดนทางช่องเขาพังซอที่เป็นส่วนยอดของเทือกเขาปาดไก่ ก่อนลงไปยังเมืองน้ำปง รัฐอรุณาจัลประเทศ

แผนที่ถนนเลโด ที่มาภาพ : เว็บไซต์ Army Nurse Corps Association (https://e-anca.org/History/14th-Evac-on-the-Lido-Road-in-Burma)
ขบวนรถส่งเสบียงและยุทธปัจจัยของสัมพันธมิตรที่ใช้ถนนเลโด จากอินเดียผ่านพม่า เพื่อนำไปให้ทหารของนายพลเจียง ไคเชก ที่กำลังรบกับญี่ปุ่นอยู่ในมณฑลยูนนาน ที่มาภาพ: วิกิพีเดีย

เส้นทางการค้า 3 ประเทศ สายนี้ ยึดตาม แนวถนน “เลโด” หรือในอีกชื่อหนึ่งคือถนน “สติลเวล” เส้นทางส่งกำลังบำรุงที่มีบทบาทสำคัญของฝ่ายสัมพันธมิตร ที่สร้างขึ้นในปี 2485 ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยทหารช่างของอเมริกาและอังกฤษ เพื่อใช้เป็นเส้นทางลำเลียงเสบียงและยุทธปัจจัยจากเมืองเลโด รัฐอัสสัม ของอินเดีย (ปัจจุบันขึ้นกับรัฐอรุณาจัลประเทศ) ผ่านตอนเหนือของพม่า ไปส่งให้กับทหารของนายพลเจียง ไคเชก ที่กำลังสู้รบกับกองทัพญี่ปุ่นในมณฑลยูนนานของจีน

ถนนเลโดยาว 1,726 กิโลเมตร ช่วงที่อยู่ในพม่ายาว 1,033 กิโลเมตร ในอินเดียยาว 61 กิโลเมตร และในจีนอีก 632 กิโลเมตร

ระยะทางจากเมืองเลโด ไปยังเมืองต่างๆ ผ่านถนนเลโดหรือถนนสติลเวล ที่มาภาพ: วิกิพีเดีย

ในแผนที่ Google Map ถนนช่วงตั้งแต่เมืองชินบวยยาน จังหวัดตะนาย ข้ามมาในภาคสะกาย ขึ้นไปจนถึงเมืองปันส่องชายแดนอินเดีย มีชื่อเขียนกำกับไว้ว่า Stilwell Road ซึ่งเป็นการตั้งตามชื่อของนายพลโจเซฟ สติลเวล แห่งกองทัพสหรัฐอเมริกา ที่เป็นผู้ผลักดันให้นายพล เซอร์ อาชิบัลด์ เวเวลล์ ผู้บัญชาการสูงสุดพื้นที่ภาคตะวันออกไกลของอังกฤษ สร้างถนนสายนี้ขึ้น ตามคำแนะนำของนายพลเจียง ไคเชก…

สื่อออนไลน์ในเมียนมา เคยมีรายงานว่า ทางการอินเดียปรารถนามาตลอดว่าต้องการฟื้นบทบาทถนนเลโดกลับคืนมาใหม่ เพื่อใช้เป็นเส้นทางเชื่อมต่อการค้าระหว่างอินเดียกับจีน

Shri Abhay Thakur (ที่ 6 จากขวา) เอกอัครราชทูตอินเดีย ประจำเมียนมา บินไปยังเมืองมิตจีนา เพื่อพบกับ อู แคตเถ่งหน่านอู มุขมนตรีรัฐคะฉิ่น และนักธุรกิจในรัฐคะฉิ่น เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2568 ที่มาภาพ: เพจ India in Myanmar

เพจ India in Myanmar รายงานว่า เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2568 หรือ 3 สัปดาห์ หลังจาก อู แคตเถ่งหน่าน มุขมนตรีรัฐคะฉิ่น ได้เดินทางไปดูการก่อสร้างสะพานบะละมินถิ่น 2 Shri Abhay Thakur เอกอัครราชทูตอินเดีย ประจำเมียนมา ได้บินไปยังเมืองมิตจีนา และได้เข้าหารือกับ อู แคตเถ่งหน่าน เกี่ยวกับแผนเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจระหว่างอินเดียกับรัฐคะฉิ่น

ในทริปเดียวกันนี้ เอกอัครราชทูตอินเดีย ยังได้จัดประชุมร่วมกับนักธุรกิจ ผู้ประกอบการ และเจ้าของกิจการท้องถิ่นของรัฐคะฉิ่น รวมถึงเดินทางไปเยี่ยมชมมหาวิทยาลัยมิตจีนา อีกด้วย

……

อินเดียแสดงท่าทีชัดเจนมานานแล้วที่ต้องการเข้าไปมีบทบาทในเมียนมาผ่านโครงการพัฒนาเส้นทางคมนาคม-ขนส่งขนาดใหญ่ อย่างน้อย 2 โครงการ คือ โครงการขนส่งหลายรูปแบบคาลาดาน และโครงการทางด่วน 3 ประเทศ ไทย-เมียนมา-อินเดีย เพื่อหวังให้เมียนมาเป็นประตูเชื่อมต่ออินเดียกับภูมิภาคอาเซียน

แต่ทั้ง 2 โครงการ กลับมีความคืบหน้าที่เป็นรูปธรรมไม่มากนัก เนื่องจากที่ตั้งโครงการต้องผ่านพื้นที่ซึ่งกำลังมีการสู้รบรุนแรงระหว่างกองทัพพม่า กับกองกำลังติดอาวุธชาติพันธุ์และกองกำลังฝ่ายต่อต้านของรัฐบาลเงา (PDF)

สถานการณ์ของสะพานทะมานตี่ที่เป็นจุดเชื่อมเมืองโห่มะลินของชาวไตแดงกับเขตปกครองตนเองนาคา และถนนเลโดที่เป็นเส้นทางการค้า 3 ประเทศ จีน-เมียนมา-อินเดีย ที่กล่าวถึงข้างต้น ก็ใช่ว่าจะราบรื่น เพราะทั้งภาคสะกายและรัฐคะฉิ่น ต่างก็เป็นพื้นที่สู้รบของกองทัพพม่ากับกองกำลังติดอาวุธฝ่ายต่อต้าน

โครงข่ายถนนเชื่อมเมียนมา-อินเดีย จำเป็นต้องอาศัยเวลาในการพัฒนาที่ยาวนานพอสมควรทีเดียว…

  • “เส้นทางสายไหม” ของอินเดียในเมียนมา?
  • ปูตาโอ…เมือง “ปู่เฒ่า” ที่ไม่ได้มีเพียงหิมะ
  • เหมืองทองรอบทะเลสาบ “อินดอจี” ผลของ “สุญญากาศ” อำนาจในเมียนมา