ASEAN Roundup เวียดนาม-มาเลเซีย-ไทยเดินหน้าสู่เศรษฐกิจดิจิทัล

ASEAN Roundup ประจำวันที่ 15-21 มิถุนายน 2568

  • เวียดนาม-มาเลเซีย-ไทยเดินหน้าสู่เศรษฐกิจดิจิทัล
    • เวียดนามผ่านกฎหมาย Digital Technology Industry
    • มาเลเซียเปิดตัว Digital Asset Innovation Hub
    • ไทยยกเว้นภาษี Capital Gains ซื้อ-ขายสินทรัพย์ดิจิทัล
  • เวียดนามเปิดแผนตั้ง Financial Center ที่โฮจิมินห์ ซิตี้
  • เลขาธิการใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม จ่อเดินทางไปสหรัฐฯเจรจาการค้า
  • อินโดนีเซีย-สหภาพเศรษฐกิจยูเรเซียสรุปเจรจาการค้าเสรี

เวียดนาม-มาเลเซีย-ไทยเดินหน้าสู่เศรษฐกิจดิจิทัล

อาเซียนเป็นหนึ่งในตลาดเทคโนโลยีที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก โดยมีการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้อย่างรวดเร็วและการลงทุนจากต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น หลายประเทศสมาชิกอาเซียนมุ่งสู่เศรษฐกิจดิจิทัล พร้อมที่จะเป็นศูนย์กลางทางเทคโนโลยีในด้านต่างๆ เช่น ดาต้าเซ็นเตอร์ AI ล่าสุด ได้มีการประกาศช่วงชิงแผนการเป็นผู้นำสินทรัพย์ดิจิทัล โดยเวียดนามผ่านกฎหมาย Digital Technology Industry เพื่อใช้กับอุตสาหกรรมเทคโนโลยีดิจิทัลโดยเฉพาะ ขณะที่มาเลเซียเปิดตัวศูนย์นวัตกรรมสินทรัพย์ดิจิทัล และไทยยกเว้นภาษีซื้อ-ขายสินทรัพย์ดิจิทัล

เวียดนามผ่านกฎหมาย Digital Technology Industry

ที่มาภาพ:https://amro-asia.org/how-vietnam-is-succeeding-in-financial-digital-transformation/

เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2025 การประชุมสมัยที่ 9 ของสมัชชาแห่งชาติชุดที่ 15 ของเวียดนาม ได้ให้ความเห็นชอบกฎหมายว่าด้วยอุตสาหกรรมเทคโนโลยีดิจิทัล (Law on Digital Technology Industry)

กฎหมายว่าด้วยอุตสาหกรรมเทคโนโลยีดิจิทัลที่ได้รับการสนับสนุนอย่างท่วมท้น โดยมีสมาชิกสมัชาแห่งชาติ 441 คนจากทั้งหมด 445 คนลงมติเห็นชอบ จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 มกราคม 2569 ส่งผลให้เวียดนามได้กลายเป็นประเทศแรกที่ประกาศใช้กฎหมายที่ร่างขึ้นเพื่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีดิจิทัลโดยเฉพาะ

กฎหมายดังกล่าวซึ่งร่างโดยกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ถือเป็นการสนับสนุนความมุ่งมั่นของประเทศในการเปลี่ยนผ่านทางดิจิทัล การสนับสนุนนวัตกรรมภายในประเทศ การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และการส่งเสริมการบูรณาการระดับโลก นอกจากนี้ยังสอดคล้องกับมติเลขที่ 57-NQ/TW และเลขที่ 68-NQ/TW ซึ่งเน้นที่วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และการพัฒนาภาคเอกชน

กฎหมายเทคโนโลยีดิจิทัลกำหนดโครงสร้างสิทธิประโยชน์ชัดเจนสำหรับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในวงกว้าง กำหนดกฎเกณฑ์ด้านสินทรัพย์ดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์ ซึ่งสร้างความแน่นอนทางกฎหมายในภาคส่วนต่างๆ เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI) สินทรัพย์ดิจิทัล และบริการข้อมูล

กฎหมายได้กำหนดนิยามและกรอบทางกฎหมายสำหรับสินทรัพย์ดิจิทัลเป็นครั้งแรก ซึ่งรวมถึงสินทรัพย์ดิจิทัลที่อยู่ในรูปแบบโทเคนและสินทรัพย์เสมือน และจำแนกประเภทตามการใช้งานและเทคโนโลยีตามวัตถุประสงค์ จึงสร้างรากฐานทางกฎหมายที่ชัดเจนสำหรับการจัดการและการกำกับดูแลสินทรัพย์เหล่านี้

กฎหมายมีหลักการที่ให้ความสำคัญกับคนเป็นหลัก ยึดมั่นในความโปร่งใส ความปลอดภัย และไม่เลือกปฏิบัติ กฎหมายกำหนดให้ระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) ต้องอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของมนุษย์ และแบ่ง AI ออกเป็นกลุ่มตามความเสี่ยง คือกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง กลุ่มที่มีผลกระทบสูง และกลุ่มไม่มีความเสี่ยงสูง โดยระบบที่มีความเสี่ยงสูงต้องอยู่ภายใต้มาตรฐานทางเทคนิคที่และการตรวจสอบอย่างเข้มงวด

รัฐบาลยังตั้งใจที่จะจัดสรรเงินทุนสำหรับการวิจัย AI และโครงสร้างพื้นฐานศูนย์ข้อมูล (data center)เพื่อสนับสนุนการเติบโตอย่างรวดเร็วของภาคส่วนนี้ กฎหมายได้ระบุถึงการใช้งาน AI ที่ต้องห้ามและมาตรฐานทางจริยธรรม เพื่อให้แน่ใจว่าการพัฒนาเทคโนโลยีสอดคล้องกับมาตรฐานความปลอดภัยสาธารณะและความเป็นส่วนตัว

นอกจากนี้ยังเป็นครั้งแรกที่เวียดนามได้นำกรอบกฎหมายมาใช้กับสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งรวมถึงสินทรัพย์เสมือนและสินทรัพย์ดิจิทัล โดยแยกสินทรัพย์ทั้งสองประเภทออกจากกัน และกำหนดให้หน่วยงานของรัฐต้องควบคุมอย่างเข้มงวดเพื่อให้แน่ใจว่ามีความปลอดภัยทางไซเบอร์ ป้องกันอาชญากรรมทางการเงิน และปราบปรามกิจกรรมที่ผิดกฎหมาย เช่น การฟอกเงินและการสนับสนุนการก่อการร้าย

กฎหมายฉบับนี้ยังถือเป็นก้าวใหม่ในการยอมรับและกำกับดูแลสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างเป็นทางการ รวมถึงสกุลเงินดิจิทัลและสินทรัพย์เสมือนในรูปแบบโทเคนอื่นๆ และเป็นครั้งแรกที่นักลงทุนและธุรกิจที่ดำเนินการในด้านสินทรัพย์ดิจิทัลจะถูกกำกับดูแลโดยกรอบการกำกับดูแลของรัฐ ซึ่งรวมถึงกฎเกณฑ์สำหรับการเป็นเจ้าของ ความโปร่งใสทางการเงิน และการคุ้มครองผู้บริโภค การกำกับดูแลด้านกฎระเบียบจะเข้มงวดเป็นพิเศษเพื่อป้องกันอาชญากรรมทางการเงิน เช่น การฟอกเงินและการใช้สินทรัพย์เสมือนในทางที่ผิดในกิจกรรมที่ผิดกฎหมาย

กฎหมายเทคโนโลยีดิจิทัลจะผลักดันการเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจดิจิทัลของเวียดนาม สาระสำคัญของกฎหมายคือความมุ่งมั่นในการเพิ่มผลผลิตและความสามารถในการแข่งขันระดับโลกของผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีของเวียดนามภายใต้โครงการ “Make in Vietnam” รัฐบาลตั้งเป้าที่จะพัฒนาธุรกิจเทคโนโลยีดิจิทัล 150,000 แห่งภายในปี 2035

กฎหมายฉบับนี้มีเป้าหมายที่จะสร้างระบบนิเวศองค์กรด้านเทคโนโลยีดิจิทัลที่แข็งแกร่ง โดยกำหนดนโยบายสนับสนุนที่ครอบคลุม ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมจะได้รับความช่วยเหลือด้านต้นทุนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน การฝึกอบรมทรัพยากรบุคคลที่มีคุณภาพสูง และจะได้รับความสำคัญในการเสนอราคาสำหรับโครงการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ

ในด้านการเงิน รัฐบาลจะจัดสรรทุนการลงทุนสำหรับโครงการพิเศษและเงินทุนสำหรับนวัตกรรมเทคโนโลยี ช่วยเหลือธุรกิจต่างๆ เพิ่มความคิดสร้างสรรค์และความสามารถในการแข่งขัน

สตาร์ทอัพในประเทศมีสิทธิ์ได้รับเงินอุดหนุนสูงสุด 50% สำหรับการจัดหาเทคโนโลยีและการพัฒนาต้นแบบ ในขณะที่ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) จะได้รับการสนับสนุนทางการเงินและการฝึกอบรม ซึ่งรวมถึงสิทธิพิเศษในการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐและความช่วยเหลือด้านการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน

นอกจากนี้ บริษัทที่ได้รับการลงทุนจากต่างประเทศ (FIE) ยังได้รับการสนับสนุนให้ถ่ายทอดเทคโนโลยีขั้นสูงและร่วมมือกับบริษัทในประเทศ โดยบริษัทเหล่านี้จะได้รับส่วนลดภาษีเงินได้นิติบุคคลระยะยาวและสิทธิประโยชน์ด้านการลงทุนอื่นๆ ซึ่งเป็นนโยบายที่มุ่งเน้นการบูรณาการเข้ากับห่วงโซ่อุปทานระดับโลกให้ลึกยิ่งขึ้นและส่งเสริมการนำเทคโนโลยีไปใช้ในท้องถิ่น

ส่วนสำคัญของกฎหมายฉบับใหม่ คือกรอบการเงินแบบองค์รวมเพื่อสนับสนุนการผลิตและนวัตกรรมดิจิทัล เงินทุนที่รัฐบาลสนับสนุนจะให้ความสำคัญกับโครงการที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีขั้นสูงและนวัตกรรม ในขณะที่การลดหย่อนภาษีและการยกเว้นอากรนำเข้าจะใช้กับอุปกรณ์ที่จำเป็นและกิจกรรมการวิจัยและพัฒนา (R&D)

รัฐบาลวางตำแหน่งเวียดนามให้เป็นดิจิทัลฮับ จึงจะจัดตั้งเครือข่ายสำนักงานตัวแทนอุตสาหกรรมเทคโนโลยีดิจิทัลของเวียดนามในตลาดสำคัญของโลก ร่วมกับโครงการความร่วมมือระหว่างประเทศ เพื่อสนับสนุนให้ธุรกิจของเวียดนามค่อยๆ พัฒนาเป็นบริษัทข้ามชาติที่มีความสามารถในการแข่งขันอย่างเท่าเทียมกับบริษัทเทคโนโลยีระดับโลกขนาดใหญ่

นอกจากนี้จะมีการพัฒนาเขตเทคโนโลยีดิจิทัล ซึ่งคล้ายกับเขตเศรษฐกิจพิเศษ โดยมีนโยบายด้านกฎระเบียบและการเงินที่เอื้อเพื่อดึงดูดการลงทุน เขตเทคโนโลยีดิจิทัลนี้จะเน้นที่การผลิตเซมิคอนดักเตอร์ การพัฒนาซอฟต์แวร์ และเทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

กฎหมายฉบับนี้ยังได้กำหนดแนวทางและนโยบายที่ครอบคลุมสำหรับการพัฒนากำลังคน ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีดิจิทัลที่มีคุณภาพสูงจะได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในเวลา 5 ปีแรกของการทำงานในเวียดนาม ซึ่งถือเป็นแรงจูงใจทางการเงินที่แข็งแกร่งสำหรับการสนับสนุนในระยะยาว

ผู้เชี่ยวชาญต่างชาติจะได้รับวีซ่า 5 ปีและได้รับการยกเว้นจากข้อกำหนดใบอนุญาตทำงาน ซึ่งคาดว่าจะทำให้ขั้นตอนการบริหารงานง่ายขึ้นและดึงดูดบุคลากรระดับนานาชาติเพื่อเสริมสร้างการถ่ายทอดเทคโนโลยีและการแบ่งปันความรู้

รัฐบาลยังมุ่งมั่นที่จะจัดสรรเงินทุนสำหรับการศึกษาในรูปแบบดิจิทัล รวมถึงการพัฒนาหลักสูตร โปรแกรมการรับรอง และโครงการพัฒนาทักษะ บริษัทที่ลงทุนในการฝึกอบรมพนักงานดิจิทัลสามารถสมัครขอรับการสนับสนุนทางการเงินและการลดหย่อนภาษีได้

โดยสรุปกฎหมายเทคโนโลยีดิจิทัลของเวียดนามเป็นมากกว่ากรอบทางกฎหมาย แต่เป็นยุทธศาสตร์ระดับชาติเพื่อเปลี่ยนประเทศให้กลายเป็นศูนย์กลางดิจิทัลระดับโลก การที่มีสิทธิประโยชน์จูงใจด้านกำลังแรงงาน การกำหนดให้มีถ่ายโอนเทคโนโลยี กฎระเบียบด้านคริปโต มาตรฐาน AI และการสนับสนุนสตาร์ทอัพ แสดงให้เห็นถึงแนวทางที่ตั้งใจและมุ่งไปสู่อนาคต

มาเลเซียเปิดตัว Digital Asset Innovation Hub

ที่มาภาพ:เพจเฟซบุ๊ก Bank Negara Malaysia

มาเลเซียได้เปิดตัวโครงการ Digital Asset Innovation Hub ซึ่งจะเป็นโครงการ Regulatory sandbox  การทดสอบการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเพื่อพัฒนาต่อยอดให้เกิดนวัตกรรมทางการเงิน ที่ ช่วยให้บริษัทฟินเทค(Fin Tech) และสินทรัพย์ดิจิทัลสามารถทดสอบเทคโนโลยีใหม่ ๆ ภายใต้การกำกับดูแลของธนาคารกลางของประเทศ

เมื่อวันอังคาร(17 มิ.ย.) ที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิม ได้ประกาศแผนริเริ่มดังกล่าวในระหว่างการประชุมวิชาการ Sasana Symposium 2025 ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ โครงการนี้มุ่งหวังที่จะกระตุ้นให้เกิดนวัตกรรมทางการเงินในสภาพแวดล้อมที่มีการควบคุมเพื่อให้ผู้ยื่นได้ทดสอบแนวคิดใหม่ๆ และให้ข้อมูลเพื่อปรับปรุงกรอบการกำกับดูแลและความปลอดภัยให้ดีขึ้น ทั้งนี้เพื่อสนับสนุนการพัฒนาสินทรัพย์ดิจิทัลและการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีทางการเงินที่ล้ำสมัยในมาเลเซีย นอกจากนี้ SS2025 ยังมีการเปิดตัว Climate Finance Innovation Lab (CFIL) โดยคณะกรรมการร่วมว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (JC3) อีกด้วย

นายกอันวาร์กล่าวว่า Digital Asset Innovation Hub เป็น “จุดเริ่มต้นของบทใหม่” สำหรับเศรษฐกิจดิจิทัลของมาเลเซีย และโครงการแซนด์บ็อกซ์นี้จะช่วยให้มีการทดสอบใช้งานต่างๆ เช่น การชำระราคาที่มีการกำหนดเงื่อนไขอัตโนมัติ  stablecoin ที่อิงกับเงินริงกิต และบริการสินเชื่อหมุนเวียนธุรกิจ/คู่ค้า( Supply Chain Financing ในสภาพแวดล้อมที่มีการควบคุม

“ความมุ่งหวังของเราชัดเจน นั่นคือการทำให้โครงสร้างพื้นฐาน นโยบาย และบุคลากรด้านบุคลากรให้สอดคล้องกันทั้งในภาครัฐและเอกชน เพื่อให้มาเลเซียมีความสามารถทางดิจิทัลและพร้อมรับอนาคต” นายอันวาร์กล่าว

Digital Asset Innovation Hub คือศูนย์กลางในการขับเคลื่อนของมาเลเซียในการก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีทางการเงิน(fintech hub) ระดับภูมิภาค ในSasana Symposium 2025 ผู้ว่าการธนาคารกลางแห่งมาเลเซีย นายอับดุล ราชีด ฆอฟฟูร์ กล่าวว่าประเทศจำเป็นต้องปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินให้ทันสมัยเพื่อให้ยังคงมีความสำคัญในระบบนิเวศที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

นายฆอฟฟูร์ชี้ไปที่ความพยายามอย่างต่อเนื่อง เช่น การยกระดับระบบการชำระเงิน Rentas การเชื่อมโยงการชำระเงินข้ามพรมแดน และการศึกษาการแปลงสินทรัพย์มาแปรสภาพเป็นโทเคนดิจิทัล(Asset Tokenization) ซึ่งถือเป็นสิ่งจำเป็นต่อการสร้างความแข็งแกร่งในระยะยาว

เว็บไซต์ Binance เปรียบเทียบการประกาศเปิดตัวศูนย์นวัตกรรมสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างเป็นทางการ เพื่อทดสอบ stablecoin ที่อิงกับเงินริงกิต การชำระราคาที่มีการกำหนดเงื่อนไขอัตโนมัติ  และการแปลงสินทรัพย์เป็นดิจิทัลโทเคน เพื่อมุ่งเป้าไปที่ความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีทางการเงินของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยตรงว่า เป็นการทิ้งระเบิด

การดำเนินการนี้เทียบเท่ากับการให้โครงการ Web3 ได้รับใบเบิกทาง ในสภาพแวดล้อมที่มีการกำกับดูแล โดยสามารถทดลองได้อย่างอิสระ ตราบใดที่ปฏิบัติตาม ก็สามารถได้รับประโยชน์จากนโยบาย

ปริมาณการซื้อขายประจำปีของกระดานเทรดที่ได้รับอนุญาตของมาเลเซียทะลุ 80,000 ล้านริงกิต โดยอัตราการเข้าถึงของผู้ใช้ (User Penetration Rate)สูงเป็นอันดับ 3 ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รองจากสิงคโปร์และเวียดนาม

ในปี 2567 คาดว่าขนาดตลาดการแปลงสินทรัพย์จริงเป็นดิจิทัลโทเคน หรือ RWA (Real Asset Tokenization) จะเติบโตขึ้น 340% โดยสถานีพลังงานแสงอาทิตย์และสินเชื่อหมุนเวียนธุรกิจ/คู่ค้าเป็นเป้าหมายหลัก

ธนาคารกลางมาเลเซียคาดการณ์ว่า ในอีก 3 ปีข้างหน้า สินทรัพย์ดิจิทัลจะมีส่วนสนับสนุน GDP ถึง 2.3% และสร้างงานรายได้สูง 120,000 ตำแหน่ง

อย่างไรก็ตามมาเลเซียมีกฎหมายที่เข้มงวด โดยเข้มงวดการออกใบอนุญาต:ปัจจุบันมีกระดานเทรดที่ได้รับอนุญาตเพียง 6 แห่งเท่านั้น และ Binance และ OKX ก็ยังคงรออยู่

ในด้านการควบคุมการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศนั้น มีการห้ามการซื้อขาย Stablecoin อย่างเด็ดขาด (USDT (Tether) และ USDC (USD Coin) ซึ่งเป็นเหรียญ Stablecoin สองประเภทที่ได้รับความนิยมอย่างมากในโลกของคริปโทเคอร์เรนซี ถูกห้ามโดยสิ้นเชิง) การถอนเงินสามารถทำได้เฉพาะบัญชีธนาคารในประเทศเท่านั้น

แม้จะไม่มีภาษีเงินได้จากกำไรจากการขายหลักทรัพย์ ( capital gains tax) แต่รายได้ที่ได้จากการแปลงกำไรเป็นโทเคนขององค์กรอาจต้องเสียภาษีนิติบุคคล 28% และนักลงทุนรายย่อยต้องเก็บบันทึกการซื้อขายไว้เพื่อการตรวจสอบ

ธนาคารกลางมาเลเซียได้ศึกษาแนวทางสกุลเงินดิจิทัลมาระยะหนึ่งแล้ว เดิมทีมีแผนที่จะทดลองใช้ สกุลเงินดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารกลาง (Central Bank Digital Currency:CBDC) ทั้ง Wholesale CBDC หรือ สกุลเงินดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารกลาง สำหรับใช้โอนเงินระหว่างสถาบันการเงิน และ Retail CBDC สกุลเงินดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารกลาง สำหรับใช้โอนเงินระหว่างภาคธุรกิจและประชาชน แต่เมื่อปีที่แล้วได้จำกัดขอบเขตให้แคบลงเหลือเพียง Wholesale CBDC โดยระบุว่าการโอนเงินระหว่างภาคธุรกิจและประชาชนได้รับการตอบสนองเป็นอย่างดีอยู่แล้ว ดังนั้น stablecoins ในภาคเอกชนที่มีศักยภาพจะไม่ขัดแย้งกับแผน CBDC ใดๆ

นอกจาก wholesale CBDC แล้ว ธนาคารกลางมาเลเซียยังมีส่วนร่วมในโครงการชำระเงินข้ามพรมแดนโดยใช้ wholesale CBDC ซึ่งรวมถึงเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มที่มีสมาชิก 4 รายที่เกี่ยวข้องกับโครงการ Dunbar ของสิงคโปร์ นอกจากนี้ ธนาคารกลางยังเป็นผู้สังเกตการณ์โครงการ CBDC ข้ามพรมแดน mBridge อีกด้วย

ไทยยกเว้นภาษี Capital Gains ซื้อ-ขายสินทรัพย์ดิจิทัล

นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง

วันที่ 17 มิถุนายน 2568 หลังการประชุมคณะรัฐมนตรี นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า “มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการเป็นศูนย์กลางสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset Hub) ของโลก เป็นการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับกำไรส่วนทุน (Capital Gains) จากการขายสินทรัพย์ดิจิทัลผ่านผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลตามพระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561 ได้แก่ ศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล (Exchange) นายหน้าซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล (Broker) และผู้ค้าสินทรัพย์ดิจิทัล (Dealer) ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2572 เพื่อสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลที่จะทำให้ประเทศไทยเป็นหนึ่งในศูนย์กลางการเงิน (Financial Hub) ของโลก

ทั้งนี้ ประเทศไทยเป็นประเทศแรก ๆ ของโลกที่มีกฎหมายกำกับดูแลสินทรัพย์ดิจิทัล และกฎหมายภาษีสินทรัพย์ดิจิทัล และต่อมาได้มีการปรับปรุงการจัดเก็บภาษีจากสินทรัพย์ดิจิทัล เพื่อส่งเสริมให้มีการระดมทุนด้วยโทเคนดิจิทัล และส่งเสริมให้การซื้อขายคริปโทเคอร์เรนซีและโทเคนดิจิทัลเกิดขึ้น ผ่านผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลที่อยู่ในการกำกับดูแลของคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) การปรับปรุงการจัดเก็บภาษีจากสินทรัพย์ดิจิทัลในคราวนี้จะทำให้ตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลไทย รวมถึงธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลและธุรกิจเกี่ยวเนื่องในประเทศไทยเติบโตเพิ่มขึ้น ตลอดจนการระดมทุนด้วยโทเคนดิจิทัลและการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีและนวัตกรรมในประเทศไทยเพิ่มขึ้น อันจะทำให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวเพิ่มขึ้นและรายได้ภาษีเพิ่มขึ้นในระยะปานกลางไม่น้อยกว่า 1,000 ล้านบาท

นายจุลพันธ์ฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า “มาตรการภาษีนี้เป็นการสนับสนุนการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลผ่านผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลไทยที่อยู่ในการกำกับดูแลของ ก.ล.ต. และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ซึ่งมีการดำเนินการตามข้อแนะนำของคณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อดำเนินมาตรการทางการเงิน (Financial Action Task Force (FATF)) จึงเชื่อมั่นได้ว่า จะมีความโปร่งใสและสามารถตรวจสอบได้ นอกจากนี้ กรมสรรพากรอยู่ระหว่างดำเนินการตามกรอบการรายงานข้อมูลสินทรัพย์ดิจิทัลแบบอัตโนมัติ (Crypto-Asset Reporting Framework: CARF) ของ OECD ซึ่งเป็นการเเลกเปลี่ยนข้อมูลสินทรัพย์ดิจิทัลกับประเทศทั่วโลก อันจะทำให้การทำธุรกรรมทางสินทรัพย์ดิจิทัลมีความโปร่งใสเพิ่มขึ้นอีก”

เวียดนามเปิดแผนตั้ง Financial Center ที่โฮจิมินห์ ซิตี้

เขตเมืองใหม่ทูเทียม ในนครโฮจิมินห์ ที่มาภาพ: https://e.vnexpress.net/news/business/economy/hcmc-rolls-out-details-of-7b-international-financial-hub-4903214.html

เวียดนามเปิดเผยแผนการจัดตั้งศูนย์กลางการเงินระหว่างประเทศที่นครโฮจิมินห์ด้วยงบประมาณ 172 ล้านล้านด่อง (7,000 ล้านเหรียญสหรัฐ) ในเขต 1 และเขตเมืองใหม่ทูเทียม(Thu Thiem) โดยจะครอบคลุมพื้นที่ 783 เฮกตาร์ในพื้นที่ต่อเนื่องที่ถูกแบ่งโดยแม่น้ำไซง่อน

การพัฒนาในระยะแรกซึ่งมีพื้นที่ 9 เฮกตาร์จะอยู่ที่เขตเมืองใหม่ทูเทียม ซึ่งเป็นพื้นที่ที่จะจัดตั้งสำนักงานใหญ่ของหน่วยงานกำกับดูและการตรวจสอบ

ขณะนี้รัฐบาลกำลังพิจารณาข้อเสนอโดยละเอียดของเมือง การพัฒนาระยะแรกมีกำหนดจะก่อสร้างภายใน 2-3 ปี โดยใช้งบประมาณ 16 ล้านล้านด่อง ซึ่ง 2 ล้านล้านด่องมาจากเงินของรัฐบาล และส่วนที่เหลือมาจากนักลงทุน

นอกเหนือจากโครงสร้างพื้นฐานและกรอบการกำกับดูแลแล้ว โฮจิมินห์ซิตี้ยังพัฒนายุทธศาสตร์ทรัพยากรบุคคลสำหรับศูนย์กลางการเงินเพื่อดึงดูดบุคลากรที่มีความสามารถสูง โดยจะเปิดตัวโปรแกรมการฝึกอบรม 5 โปรแกรมในปี 2568 และเมืองได้ส่งเจ้าหน้าที่ไปศึกษารูปแบบศูนย์กลางการเงินในสหราชอาณาจักร ฮ่องกง จีนแผ่นดินใหญ่ และคาซัคสถาน

รัฐบาลกำลังพิจารณาสร้างศูนย์กลางการเงินระหว่างประเทศที่จะครอบคลุมทั้งเมืองดานังและนครโฮจิมินห์ โดยนครโฮจิมินห์จะมีผลิตภัณฑ์และบริการที่หลากหลาย เช่น การธนาคาร ตลาดทุนที่เชื่อมโยงกับการจัดการสินทรัพย์และกองทุน และอื่นๆ

นอกจากนี้ จะมีแซนด์บ็อกซ์สำหรับเทคโนโลยีทางการเงิน นวัตกรรม แพลตฟอร์มการซื้อขายเฉพาะทาง และตราสารอนุพันธ์

รัฐบาล,มีเป้าหมายให้ศูนย์กลางการเงินในนครโฮจิมินห์เริ่มดำเนินการในปี 2568 และแล้วเสร็จภายใน 5 ปี

เลขาธิการใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม จ่อเดินทางไปสหรัฐฯเจรจาการค้า

นายเหวียน ฮ่อง เดียน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าของเวียดนาม (ซ้าย) พบกับนายจามีสัน กรีร์ ผู้แทนการค้าของสหรัฐฯ ในการเจรจาการค้า เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2568 ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ที่มาภาพ:https://e.vnexpress.net/news/business/economy/vietnam-us-conclude-second-round-of-talks-on-reciprocal-trade-deal-4889257.html

นายโต เลิม เลขาธิการใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม เตรียมเดินทางเยือนสหรัฐในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า ในขณะที่ทั้งสองฝ่ายมุ่งหวังที่จะบรรลุข้อตกลงการค้าก่อนที่การขึ้นภาษีนำเข้าสินค้า ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ สหรัฐ จะมีผล จากการเปิดเผยของแหล่งข่าวที่รับรู้เรื่องนี้

นายเลิมตั้งใจจะพบกับทรัมป์เพื่อที่จะสรุปข้อตกลง อย่างไรก็ตามแหล่งข่าวรายนี้กล่าวว่า แผนการเดินทางยังไม่สรุป และ
ยังไม่ชัดเจนว่าเลขาธิการใหญ่ของพรรคจะเดินทางวันไหน แต่กำลังเตรียมการเพื่อการเดินทางของเขาในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า

นอกจากนี้ยังคาดว่าเลขาธิการใหญ่พรรคจะเป็นผู้นำคณะผู้แทนของเจ้าหน้าที่และผู้บริหารธุรกิจของเวียดนาม เนื่องจากประเทศหวังที่จะทำข้อตกลงเพิ่มเติมในการซื้อสินค้าจากสหรัฐฯ เพื่อลดดุลการค้ากับสหรัฐฯ

โฆษกกระทรวงการต่างประเทศเวียดนาม ฟาม ทู ฮาง กล่าวว่าเธอไม่ได้รับข้อมูลเกี่ยวกับการเยือนสหรัฐฯครั้งนี้ เมื่อถูกถามถึงเรื่องนี้ในการแถลงข่าวประจำวันเมื่อวันที่ 19 มิถุนายน

ทำเนียบขาวปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็น

ผู้เจรจาใกล้จะบรรลุข้อตกลงกรอบการหารือซึ่งเวียดนามกำลังผลักดันการเก็บภาษีศุลกากรในช่วง 20-25% ตามที่สำนักข่าว Bloomberg รายงานไว้ก่อนหน้านี้

สหรัฐฯ เรียกร้องให้มีการบังคับใช้กฎหมายที่เข้มงวดขึ้นต่อการส่งสินค้าของจีนและการกำจัดอุปสรรคทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษีศุลกากร

ทั้งสองฝ่ายได้หารือกันอีกครั้งในการประชุมทางไกลเมื่อวันที่ 19 มิถุนายน โดยมีนายฮาวเวิร์ด ลุตนิก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐฯ และนายจามีสัน กรีร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ เข้าร่วม กระทรวงการค้าของเวียดนามระบุในแถลงการณ์

นายเหวียน ฮ่อง เดียน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการค้าเวียดนาม กล่าวว่า เวียดนามต้องการที่ “พัฒนากฎระเบียบที่ปฏิบัติได้จริงและมีทิศทางเดียว” กับสหรัฐฯ เพื่อสกัดการส่งออกสินค้าหลอกลวง นอกจากนี้ เขายังตอบรับข้อเสนอของลุตนิกและกรีร์ “เพื่อผลักดันกระบวนการเจรจา” ตามคำแถลง

เวียดนามได้ดำเนินการเจรจาการค้าอย่างเข้มข้นมาเป็นเวลาหลายสัปดาห์นับตั้งแต่ที่ทรัมป์กำหนดอัตราภาษีศุลกากรแบบที่เก็บในอัตราที่ท่ากัน(reciprocal tariff ) 46% สำหรับสินค้าที่นำเข้าจากเวียดนาม

ต่อมาทรัมป์เลื่อนการเรียกเก็บภาษีศุลกากรออกไปจนถึงวันที่ 9 กรกฎาคม โดยกำหนดภาษีนำเข้า 10% เป็นการชั่วคราวสำหรับคู่ค้าเพื่อให้มีเวลาสำหรับการเจรจา

ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ระดับสูงของเวียดนามได้เดินทางไปยังสหรัฐฯ เพื่อระดมเสียงสนับสนุน

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตร ได้เสนอข้อตกลงชั่วคราวมูลค่า 3,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ในระหว่างการเยือนรัฐต่างๆ ของสหรัฐฯ

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการค้าได้พบปะกับผู้บริหารระดับสูงจากบริษัท Nike Inc, Gap Inc และ Walmart Inc เพื่อชักชวนให้ผู้เล่นหลักในอุตสาหกรรมสนับสนุนความพยายามในการเจรจา

เวียดนามเป็นฐานอุตสาหกรรมที่สำคัญสำหรับบริษัทเหล่านี้ ซึ่งต้องพึ่งพาโรงงานของประเทศในการผลิตสินค้าตั้งแต่เสื้อยืดและกางเกงยีนส์ไปจนถึงรองเท้าบาสเก็ตบอล

ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา แบรนด์ต่างๆ ต่างเร่งย้ายฐานการผลิตมายังเวียดนาม เนื่องจากความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ และจีนทวีความรุนแรงขึ้น ทำให้เวียดนามกลายเป็นศูนย์กลางการผลิตที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก

การเชื่อมโยงการค้าระหว่างเวียดนามกับจีน ซึ่งเป็นพันธมิตรทางการค้าทวิภาคีที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ ถือเป็นอุปสรรคหลักในการเจรจา

ในช่วงที่ทรัมป์ต่อสู้ทางเศรษฐกิจกับปักกิ่งในการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยแรก การย้ายฐานการผลิตมายังเวียดนามมีผลให้ดุลการค้าเกินดุลมหาศาล ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้กับประธานาธิบดีสหรัฐฯ

อินโดนีเซีย-สหภาพเศรษฐกิจยูเรเซียสรุปเจรจาการค้าเสรี

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงประสานงานด้านกิจการเศรษฐกิจ แอร์ลังกา ฮาร์ตาร์โต (ที่สี่จากขวา) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการค้าของคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจยูเรเซีย แอนเดรย์ สเลปเนฟ (ที่สี่จากซ้าย) ในเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ประเทศรัสเซีย เมื่อวันที่19 มิถุนายน 2568 ที่มาภาพ: https://en.antaranews.com/news/360809/indonesia-eurasian-economic-union-wrap-up-free-trade-talks

รัฐบาลอินโดนีเซียและสหภาพเศรษฐกิจยูเรเซีย (Eurasian Economic Union:EAEU) ได้ประกาศสรุปผลการเจรจาข้อตกลงการค้าเสรีระหว่างอินโดนีเซียกับสหภาพเศรษฐกิจยูเรเซีย (I–EAEU FTA) อย่างเป็นทางการ

“ผมหวังว่าทั้งสองฝ่ายจะดำเนินการให้เสร็จสิ้นทุกขั้นตอนที่จำเป็นโดยเร็วที่สุด เพื่อให้สามารถลงนามข้อตกลงได้ในปีนี้” นายแอร์ลังกา ฮาร์ตาร์โต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงประสานงานกิจการเศรษฐกิจ กล่าวที่เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ประเทศรัสเซีย ตามแถลงการณ์อย่างเป็นทางการที่เผยแพร่ที่นี่เมื่อวันศุกร์(20 มิ.ย.)ที่ผ่านมา

นายฮาร์ตาร์โตกล่าวว่า ข้อตกลงดังกล่าวถือเป็นช่วงเวลาสำคัญในการเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างอินโดนีเซียและกลุ่มประเทศ 5 ชาติ ได้แก่ อาร์เมเนีย เบลารุส คาซัคสถาน คีร์กีซสถาน และรัสเซีย

นายฮาร์ตาร์โตกล่าวว่าทั้งสองฝ่ายมีส่วนร่วมในการเจรจา 5 รอบและการประชุมระหว่างรอบลายครั้งนับตั้งแต่การเจรจาเริ่มต้นขึ้นในเดือนธันวาคม 2565

นายฮาร์ตาร์โตกล่าวว่าทั้งสองฝ่ายได้บรรลุข้อตกลงในสาระสำคัญแล้ว และขณะนี้กำลังมุ่งไปที่ขั้นตอนการให้สัตยาบันและการสรุปทางเทคนิค โดยมีเป้าหมายเพื่อนำข้อตกลงไปปฏิบัติอย่างรวดเร็ว

โดยคาดหวังว่าข้อตกลงดังกล่าวจะเปิดช่องทางการส่งออกใหม่ๆ สำหรับสินค้าโภคภัณฑ์หลักของอินโดนีเซีย เช่น น้ำมันปาล์มดิบ (CPO) และสารประกอบของน้ำมันปาล์ม เนื้อมะพร้าวแห้ง กาแฟ ยางธรรมชาติ และเนยโกโก้

จากความร่วมมือครั้งนี้ อินโดนีเซียคาดหวังว่าจะนำเข้าสินค้าเชิงยุทธศาสตร์จาก EAEU เพิ่มมากขึ้น โดยรวมถึงข้าวสาลี ฟอสเฟต ถ่านหิน วัตถุดิบปุ๋ยเคมี และเหล็กกึ่งสำเร็จรูป

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการค้าของคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจยูเรเซีย (EEC) นายแอนเดรย์ สเลปเนฟ ชื่นชมอินโดนีเซียสำหรับผลการเจรจาที่เป็นไปในทางบวก โดยเน้นย้ำถึงบทบาทของอินโดนีเซียในการส่งเสริมความสัมพันธ์ทางการค้าและการติดต่อระหว่างประชาชน

“คณะกรรมาธิการเศรษฐกิจยูเรเซียพร้อมที่จะลงนามในข้อตกลงในปีนี้ และมุ่งมั่นที่จะทำอย่างเต็มที่เพื่อบรรลุข้อกำหนดทางเทคนิคที่จำเป็น” นาย สเลปเนฟยืนยัน

ข้อตกลงการค้าดังกล่าวสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ที่กว้างขึ้นของอินโดนีเซียในการกระจายตลาดส่งออกไปยังภูมิภาคที่ไม่ใช่แบบดั้งเดิม

.มิภาคยูเรเซียได้รับการยอมรับว่ามีศักยภาพที่สำคัญทั้งในฐานะจุดหมายปลายทางการส่งออกและแหล่งการลงทุนเชิงยุทธ์ศาสตร์ โดยมีอัตราการเติบโตของ GDP (ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ) เฉลี่ยที่ 4.4% ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลก

การค้าระหว่างอินโดนีเซียและสหภาพยุโรป (EAEU) เติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยมีมูลค่าถึง 1.57 พันล้านเหรียญสหรัฐในช่วงเดือนมกราคมถึงมีนาคม 2568 ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญถึง 84.63% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีก่อน

อินโดนีเซียยังเชิญชวนการลงทุนจากประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป (EAEU) ในภาคส่วนที่มีความสำคัญ เช่น อุตสาหกรรมการแปรรูป การขนส่ง โลจิสติกส์ การทำเหมืองแร่ และการเกษตร

การลงทุนจากภูมิภาค EAEU ในอินโดนีเซียมีแนวโน้มในเชิงบวกและมีมูลค่ารวม 273.7 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2567