
ที่มาภาพ : www.thaigov.go.th/
นายกฯปัดพักโทษ ‘บุญทรง’ ไม่เกี่ยว ‘ยิ่งลักษณ์’ กลับไทย โยนสภาฯพิจารณาฝ่ายค้านขอเปิดอภิปราย ‘MOU44’ ต่อเวลาเก็บ VAT ของนำเข้าต่ำกว่า 1,500 บาท ถึงสิ้นปี’68 ยันเงินหมื่นเฟส 2 ไม่เข้า ครม. ขอตรวจประเด็นกฎหมายก่อน สั่ง BOI เร่ง 4 มาตรการดึงดูดการลงทุนต่างชาติ สั่งกลาโหม-กรมศุลฯ สกัด ‘ยางเถื่อน’ ทะลัก มติ ครม.ควักเงิน ธ.ก.ส. 3.8 หมื่นล้าน แจกชาวนาไร่ละ 1,000 บาท ไฟเขียวมอเตอร์เวย์ ‘บางขุนเทียน – บางบัวทอง’ 4.7 หมื่นล้าน พัฒนาที่ดิน รฟท.สร้าง “บ้านเพื่อคนไทย” ห้ามนำเข้าเศษพลาสติกเริ่ม 1 ม.ค.ปีหน้า
เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2567 นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล ภายหลังการประชุม ครม. เสร็จสิ้น นางสาวแพทองธาร มอบหมายให้ นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี รายงานข้อสั่งการ
เพิ่ม “เงินทดลองจ่าย” ช่วยน้ำท่วมภาคใต้เป็น 50 ล้าน
นางสาวแพทองธาร กล่าวว่า ปัญหาอุทกภัยภาคใต้เป็นวาระเร่งด่วนของรัฐบาล ดังนั้น ที่ประชุม ครม. ได้รับทราบตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ โดยมีการเพิ่มกรอบเงินทดลองของจังหวัด จากเดิม 20 ล้านบาท ขยายเพิ่มเป็น 50 ล้านบาทในจังหวัดที่ผู้ว่าฯ ประกาศเป็นจังหวัดที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติ 6 จังหวัด ได้แก่ นครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี สงชลา ยะลา ปัตตานี และนราธิวาส
เยียวยาน้ำท่วมภาคใต้เพิ่ม 16 จว. ครัวเรือนละ 9,000 บาท
นางสาวแพทองธาร กล่าวต่อว่า ที่ประชุม ครม. มีมติเห็นชอบอนุมัติใช้จ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยในช่วงฤดูฝนปี พ.ศ. 2567 เพิ่มเติมในกรอบของงบประมาณตามหลักเกณฑ์เงื่อนไขและก็วิธีการจ่ายเงิน ที่มีการให้ปรับให้ในกรณีที่อยู่อาศัยประจำอยู่ในพื้นที่ น้ำท่วม ดินถล่ม น้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก น้ำล้นตลิ่งไม่เกิน 7 วัน และในส่วนของทรัพย์สินที่ได้รับความเสียหายหรือที่อยู่อาศัยประจำถูกน้ำท่วมขัง ติดต่อกันเกินกว่า 7 วันให้ความช่วยเหลืออัตราเดียว ทุกๆ ครัวเรือนละ 9,000 บาท จากเดิมในพื้นที่ 57 จังหวัด โดยได้เพิ่มเติมอีก 16 จังหวัด รวมถึงในพื้นที่จังหวัดในภาคใต้ที่ได้รับผลกระทบในครั้งนี้ เป็นจำนวนเงิน 5,000 ล้านบาท จนถึงสิ้นปี พ.ศ 2567 โดยให้กระทรวงมหาดไทยดำเนินการอย่างเร่งด่วนต่อไป
สั่ง ‘ประเสริฐ จันทรรวงทอง’ เจ้าภาพแก้ PM 2.5
นางสาวแพทองธาร กล่าวถึงข้อสั่งการเรื่องปัญหาฝุ่น PM2.5 และหมอกควัน โดยสั่งการให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวของนำโดย นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ร่วมหารือกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงคมนาคม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อเร่งกำหนดมาตรการในการป้องกันมลพิษทางอากาศ ทั้งในส่วนของปัญหาจากการเผาในการเกษตร ควันและไอเสียของรถยนต์ และฝุ่นควันจากภาคอุตสาหกรรม
นางสาวแพทองธาร ยกตัวอย่างมาตรการที่เกี่ยวข้อง เช่น มาตรการไม่รับซื้อผลผลิตทางการเกษตรจำพวก อ้อย ข้าวโพด ในกรณีที่พิสูจน์ได้ว่ามีกระบวนการผลิตที่ใช้การเผา ตัวอย่างเช่น ในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่จะมีในจุดที่เป็น hotspot และพื้นที่เผาไหม้ลดลงจากปี 2566 คิดเป็นร้อยละ 50%
ดังนั้น แนวโน้มของปี 2568 คาดว่าจะมีแนวโน้มไม่รุนแรงเมื่อเทียบกับปี 2566 ประกอบกับในส่วนของมาตรการที่ประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น ได้แก่ การครอบคลุมเมืองป่าเกษตรหมอกควันข้ามแดน โดยกระทรวงการต่างประเทศ ได้มีมาตรการในการแก้ไขปัญหาหมอกควันข้ามแดนภายใต้ยุทธศาสตร์ฟ้าใส (Clear Sky Strategy) ที่ได้ร่วมกับประเทศเพื่อนบ้าน รวมถึงมีนวัตกรรมอีกมากที่รัฐบาลจะสนับสนุนในเรื่องของการดักฝุ่นควัน
นางสาวแพทองธาร กล่าวถึงส่วนของกรุงเทพมหานคร ว่า ตนสั่งการให้ผู้ว่าราชการจังหวัดกรุงเทพ ร่วมมือกับทุกภาคส่วน ในการดำเนินการป้องกันปัญหาฝุ่น PM2.5 โดยจำนวนในการตรวจพบค่า PM 2.5 ที่เกินมาตรฐานเมื่อเทียบกับปี 2566 นับว่ามีแนวโน้มการลดลงถึง 20% โดยคาดการณ์ว่าปัญหาของเรื่องฝุ่นควันในปีนี้ จะมีแนวการทางการจัดการได้ดียิ่งขึ้น
แจกเงินชาวนาไร่ละ 1,000 บาท ไม่เกิน 10 ไร่
นางสาวแพทองธาร กล่าวต่อว่า ที่ประชุม ครม. มีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าวในปี 2567/68 เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้กับเกษตรกรสามารถดำรงชีพได้มีรายได้ที่เพิ่มขึ้น ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมาย 4.61 ล้านครัวเรือน โดยรัฐบาลจ่ายเงินสนับสนุนแก่เกษตรกรในอัตราไร่ละ 1,000 บาท ไม่เกินครัวเรือนละ 10 ไร่ และครัวเรือนละไม่เกิน 10,000 บาท
ต่อเวลาเก็บ VAT ของนำเข้าต่ำกว่า 1,500 บาท ถึงสิ้นปี’68
นางสาวแพทองธาร กล่าวต่อว่า ที่ประชุม ครม. มีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอในการขยายระยะเวลาหลักการแนวทางการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากสินค้านำเข้าราคาไม่เกิน 1,500 บาท เป็นการชั่วคราวตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 จนถึง 31 ธันวาคม 2568 เพื่อเป็นการป้องกันสินค้านำเข้าจากต่างประเทศที่ผิดกฎหมายจากแพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ และพร้อมจะเป็นการส่งเสริม SMEs ของไทย
ให้กำลังใจคนพิการ
นางสาวแพทองธาร ยังกล่าวเนื่องในโอกาสวันคนพิการสากล ซึ่งองค์การสหประชาชาติ กำหนดให้วันที่ 3 ธันวาคมของทุกปี เป็นวันคนพิการสากล ว่า “ความเท่าเทียมของโอกาส คือสิ่งเราเชื่อมั่น ทุกนโยบายของรัฐบาล จึงถูกออกแบบโดยคำนึงถึงคนพิการและครอบครัวคนพิการ เพื่อให้คนพิการได้เข้าถึงสิทธิที่สมควรได้รับ เข้าถึงโอกาสทางเศรษฐกิจ ทรัพยากร กระบวนการยุติธรรม บริการสาธารณะ และมีหลักประกันทางสังคม ที่ครอบคลุมและเหมาะสม โดยบูรณาการการทำงานทุกภาคส่วน ในการขจัดอุปสรรคต่างๆ เพื่อให้คนพิการได้ใช้ชีวิตอย่างมีอิสระ มีศักดิ์ศรี ได้เป็นในสิ่งที่อยากเป็น ได้ทำในสิ่งที่อยากทำ โดยที่ความพิการไม่ใช่อุปสรรคอีกต่อไป”
“ในโอกาสวันคนพิการสากล ประจำปี 2567 นี้ ดิฉันขอส่งกำลังใจให้พี่น้องคนพิการ และครอบครัวของคนพิการทุกท่าน ขอให้เชื่อมั่นว่า รัฐบาลจะดูแลทุกคน ให้สามารถดำรงชีวิต และเข้าถึงสวัสดิการพื้นฐานได้อย่างเท่าเทียมกัน เพื่อให้พี่น้องคนพิการทุกคนมีความสุข มีแรงบันดาลใจในการดำเนินชีวิต ได้ใช้ศักยภาพของตัวเองอย่างเต็มที่” นางสาวแพทองธาร กล่าว
ยันเงินหมื่นเฟส 2 ไม่เข้า ครม. ขอตรวจประเด็นกฎหมายก่อน
ผู้สื่อข่าวถามว่า ที่ประชุม ครม. วันนี้ ได้มีการพูดคุยเรื่องดิจิทัลวอลเล็ตหรือไม่ โดย นางสาวแพทองธาร ตอบว่า “ไม่มีค่ะ ต้องขอตรวจความรอบคอบเรื่องกฎหมายนิดนึง”
ถามต่อว่าติดขัดอะไรหรือไม่ นางสาวแพทองธาร ตอบว่า “ขอพิจารณาในข้อกฎหมายในรายละเอียดก่อน ให้มันรอบคอบ ไม่ติดเรื่องอะไร…แต่เรื่องเนื้อความ ทางกระทรวงการคลังกำลังดูอยู่”
เผยเยียวยาน้ำท่วมเท่าเทียมกันทุกจังหวัด
เมื่อถามถึงดราม่าน้ำท่วมภาคใต้ และนายกฯ มีแผนจะลงพื้นที่อย่างไร นางสาวแพทองธาร ตอบว่า “เรื่องของภาคใต้เอง ดราม่าก็ตัดไปบางส่วน สื่อถามตอนแรกถามว่ามีมาตรการอย่างไร ก็ตอบเรื่องมาตรการไปแล้ว ทางสื่อมวลชนก็ถามต่อว่า นายกฯ ได้ยินเรื่องดราม่าไหม ก็ตอบว่าได้ยิน ก็เลยตอบไป”
“จริงๆ แล้วปัญหาใหญ่คือน้ำท่วม ก็อย่าเอาดราม่าไปปนแบบนั้นเลย อย่างที่เคยพูดไป มันก็ไม่ได้จำเป็น ปัญหาคือน้ำท่วมภาคใต้ มาตรการต้องไปถึง คือสิ่งที่สำคัญ ส่วนตัวดิฉันจะไปหรือไม่ ขอดูสถานการณ์ว่าเป็นอย่างไร” นางสาวแพทองธาร ตอบ
นางสาวแพทองธาร กล่าวต่อว่า “เรื่องน้ำลด นโยบายฟื้นฟูไปถึงอยู่แล้ว และหาโอกาสจะไปอยู่แล้ว บังเอิญเดือนธันวาคมนี้ ก็เป็นเดือนที่มีภารกิจค่อนข้างแน่น เดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ก็เป็นเดือนที่เวลาหมดไปเร็วมาก เพราะได้ไปประชุมต่างประเทศด้วย พยายามทำทุกอย่างให้ได้มากที่สุดค่ะ แน่นอนว่าเราส่งรัฐมนตรี ส่งคนต่างๆ ไปหลายท่านมากๆ”
“การเยียวยาหรือฟื้นฟูไม่มีน้อยกว่าที่ใดเลย เราก็พิจารณาตามหลักการ และความช่วยเหลือที่บอกว่าเป็น Flat Rate 9,000 บาท สิ่งที่รัฐบาลชุดนี้ได้ทำตั้งแต่น้ำท่วมที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นภาคเหนือ หรืออีสาน ก็ถือว่าเป็นรัฐบาลที่จ่ายเงินได้เร็วมาก ถ้าไม่เอาเรื่องดราม่า เราลงพื้นที่คุยกับพี่น้องประชาชน ก็จะทราบว่าเราได้มาช่วยแบบนี้จริง ๆ ไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ที่จังหวัดไหนในประเทศไทย ก็ต้องได้รับการดูแลจากรัฐบาลแบบนี้เช่นกัน” นางสาวแพทองธาร กล่าว
ถามต่อว่า นายกฯ จะเตรียมรับมือพายุที่จะเข้าอีกระลอกในภาคใต้อย่างไร โดย นางสาวแพทองธาร ตอบว่า “ทาง ปภ. แจ้งเรียบร้อยแล้ว เมื่อกี้ที่ประชุมก็พูดเรื่องนี้ว่าจะมีฝนตกหนักเพิ่ม ก็จะกระทบต่อการที่มีน้ำท่วมอยู่แล้ว ฉะนั้นทุกหน่วยเตรียมการ ได้มีการแจ้งเตือนเรียบร้อยหมดแล้ว”
คาดเมียนมาปล่อยตัว 4 ลูกเรือประมงไทยเร็วๆนี้
ผู้สื่อข่าวถามถึงความคืบหน้าการให้ความช่วยเหลือ 4 ลูกเรือประมงชาวไทย ที่ถูกเมียนมาจับตัวไป โดย นางสาวแพทองธาร ตอบว่า “กระทรวงการต่างประเทศได้มีจดหมายยื่นไปเรียบร้อย และก็ได้รับการคอนเฟิร์มมาว่า ทั้ง 4 คน ที่โดนจับไปยังปลอดภัยอยู่ ทางรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศก็ได้คุยกับทูตของที่นี่แล้ว และติดต่อกับ รมว.ต่างประเทศของเมียนมาด้วย”
เมื่อถามย้ำเรื่องความปลอดภัยของลูกเรือ นางสาวแพทองธาร ย้ำว่า “ใช่ค่ะ ได้รับแจ้งมาว่ายังปลอดภัย ไม่มีผลกระทบอะไร คงจะเจรจาให้ออกมาเร็วที่สุด เรื่องนี้ก็ได้กำชับไปแล้ว”
ถามต่อว่า นายกฯ จะส่งตัวแทนไปเยี่ยมทั้ง 4 คน ในระหว่างที่รอการปล่อยตัวหรือไม่ นางสาวแพทองธาร ตอบว่า “รมว.ต่างประเทศ ได้ประสานกับทางหน้างานของสถานทูตที่นั่นแล้ว ก็ได้รับการคอนเฟิร์มมาเรียบร้อย คิดว่าในไม่นานนี้ต้องได้รับการปล่อยตัว และทางกองทัพ กระทรวงกลาโหมก็ได้ประสานอยู่ด้วย”
โยนสภาฯพิจารณาปมฝ่ายค้านขอเปิดอภิปราย ‘MOU44’
เมื่อถามถึงกรณีที่ฝ่ายค้านจะขอเปิดสภาตามรัฐธรรมนูญมาตรา 155 ในการอภิปรายไม่ลงมติ เพื่อหารือเรื่อง MOU44 นางสาวแพทองธาร ตอบว่า “ต้องคุยกัน เรื่องนี้ต้องคุยกัน ก็ยังอยู่ใน process เรื่องนี้ ก็ยังไม่เรียบร้อย มีรายละเอียดอื่นๆ อีก ก็เปิดรับฟังทุกความคิดเห็นอยู่แล้ว”
ถามต่อว่า นายกฯ เห็นด้วยหรือไม่กับการเปิดสภาเพื่อหารือประเด็นนี้ นางสาวแพทองธาร ตอบว่า “ให้เป็นเรื่องของสภา แต่ในพรรคเองที่สื่อสารก็เปิดฟังทุกความคิดเห็น และเอาข้อมูลมาประกอบกันดู”
เมื่อถามถึงความคืบหน้าในการตั้งคณะกรรมการร่วมด้านเทคนิค (JTC) นางสาวแพทองธาร ตอบว่า “กำลังทำเรื่องกรรมการอยู่ นี่เร่งอยู่ค่ะ เร่งอยู่จริงๆ ระบุวันยังไม่ได้เลย แต่พยายามเร่งให้เร็วที่สุด จะได้คุยกันได้ จะได้ราบรื่นไปได้”
ถามต่อว่า ติดขัดอะไรหรือไม่ นางสาวแพทองธาร ตอบว่า “ติดในฝั่งของเราด้วย เนื้อความกฎหมายด้วย อะไรด้วย”
ปัดพักโทษ ‘บุญทรง’ ไม่เกี่ยว ‘ยิ่งลักษณ์’ กลับไทย
ผู้สื่อข่าวยังถามถึงกรณีการพักโทษ นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งถูกตั้งข้อสังเกตว่าเป็นการเปิดทางให้กับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กลับประเทศไทย โดย นางสาวแพทองธาร ตอบว่า “ท่านบุญทรงเป็นผู้ต้องขัง ท่านยิ่งลักษณ์ไม่ได้เป็น ไม่น่าจะเกี่ยวกัน…ฟังจาก รมว.ยุติธรรม เขาก็เข้าเกณฑ์ และมีคนเข้าเกณฑ์อีกมากมาย น่าจะเป็นเกณฑ์ของราชทัณฑ์ และกระทรวงยุติธรรมน่าจะทราบดี แต่ไม่เกี่ยวกับท่านนายกฯ ยิ่งลักษณ์อยู่แล้ว คนละ Status กันเลย”
นางสาวแพทองธาร ตอบคำถามเรื่องนางสาวยิ่งลักษณ์ได้ประสานเพื่อจะกลับประเทศหรือไม่ ว่า “ไม่มีค่ะ เหมือนเดิม โทรคุยเฉยๆ”
ยื่นบัญชีทรัพย์สินให้ ป.ป.ช.วันนี้
เมื่อถามถึงความคืบหน้าการยื่นแสดงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน ต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) นางสาวแพทองธาร ตอบว่า “ยื่นวันนี้ค่ะ”
ถามต่อว่า รายละเอียดการถือหุ้น 16 บริษัท นายกฯ จัดการอย่างไร นางสาวแพทองธาร ตอบว่า “วันนี้ได้ส่งไปแล้ว ขอให้รอดูรายละเอียด อีกสักพักนักข่าวคงจะได้ถามกันเยอะแยะเลย…วันนี้พอแค่นี้ก่อน ขอบคุณนะคะ”
มอบนโยบายโฆษกรัฐบาล เน้น PR ผลงานทุกกระทรวง
อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่า นางสาวแพทองธาาร ได้สั่งให้คณะโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เข้าพบที่ตึกไทยคู่ฟ้าเพื่อรับมอบนโยบายการประชาสัมพันธ์ โดยเฉพาะการสื่อสารถึงสถานการณ์ปัจจุบัน ทั้งกรณีน้ำท่วมทางภาคเหนือและภาคใต้ ซึ่งนายกรัฐมนตรีย้ำว่าให้นำเสนอให้กับประชาชนทราบถึงนโยบายต่างๆ ที่รัฐบาลได้ทำจนเป็นผลสำเร็จโดยใช้ “แม่สายโมเดล” เป็นการเข้าไปฟื้นฟูในระยะแรก ระยะกลาง และระยะยาว เช่น จังหวัดเชียงใหม่และเชียงรายมีการอนุมัติงบประมาณไปแล้วเกือบ 20,000 ล้านบาท เพื่อวางระบบป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นอีก
โดยนางสาวแพทองธาร กล่าวว่า ภาคใต้เข้าสู่ระยะที่ 2 หลังจากที่มีการฟื้นฟูสถานการณ์น้ำท่วมแล้วจะใช้โมเดลไม่น้อยกว่าที่ภาคเหนือ เพื่อให้เกิดการสมดุลในการแก้ไขปัญหา จึงมีแนวคิดในการปรับปรุง คณะกรรมการศูนย์ภัยพิบัติแห่งชาติ ที่จะต้องรับผิดชอบไม่เพียงเรื่องน้ำท่วมอย่างเดียว ยังมีภัยหนาว แล้ง ฝน ไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์ในลักษณะใด รัฐบาลจะต้องใช้กลไกนี้ดำเนินการได้ฉับพลันทันที ซึ่งต้องมีการสั่งการชัดเจน โดยมีโมเดลแม่สาย ที่ประสบความสำเร็จ เป็นต้นแบบ ซึ่งแม่สายได้คืนพื้นที่อย่างรวดเร็วภายในระยะเวลาสองเดือน
ด้านนายจิรายุ รายงานว่า นายกฯ มอบหมายงานให้ประชาสัมพันธ์นโยบายของรัฐบาล โดยนำเสนอตามข้อเท็จจริงลงรายละเอียดในผลงานทุกกระทรวง เพื่อให้ประชาชนสามารถติดตามการทำงานของรัฐบาลได้ทุกกระทรวง เพราะรัฐบาลที่เข้มแข็งจะต้องมาจากผลการทำงานที่มาจากทุกกระทรวง ส่วนนายกรัฐมนตรีก็มีบทบาทในฐานะหัวหน้ารัฐบาล เพราะเป็นผู้ขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาล
นายจิรายุ กล่าวต่อว่า นายกฯ ยังเปิดเผยสไลต์การทำงานของตนเองว่า ให้ความสำคัญงาน และผลงานเป็นอันดับหนึ่ง ส่วนกระแสวิจารณ์ หรือ เรื่องดราม่าต่างๆ ถือเป็นเรื่องรอง เพราะพบเจอมาตั้งแต่ยังไม่ได้เข้ามาทำงานการเมือง ตนเองเป็นคนใช้เหตุผลในการทำงานมากกว่าอารมณ์ ซึ่งมีความตั้งใจที่จะเดินหน้าทำงานต่อไป ในการทำงานให้กับประเทศไทยและพี่น้องประชาชนต่อไป
มอบ กปภ.ช.แก้ภัยพิบัติทุกประเภท – ไม่ต้องรอสั่ง
นายจิรายุ กล่าวถึงข้อสั่งการเรื่องน้ำท่วมภาคใต้ว่า แม้สถานการณ์น้ำท่วมในภาคใต้จะเริ่มคลี่คลายแล้ว แต่ก็ยังไม่กลับเข้าสู่ภาวะปกติอีกหลายพื้นที่ โดยเฉพาะจังหวัดปัตตานี มีปัญหาระบบไฟและประปา นายกฯ จึงสั่งการให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เช่น การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค การประปาส่วนภูมิภาค และส่วนงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่ให้เร่งแก้ไข และประสานงานกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เช่น กสทช. ในการต่อระบบสัญญาณต่างๆ ให้ประชาชนสื่อสารได้ เนื่องจากในพื้นที่ภาคใต้ที่ประสบอุทกภัยเป็นพื้นที่กว้างขวาง และบ้านแต่ละหลังห่างไกลกัน มีความจำเป็นต้องเร่งต่อระบบสื่อสารให้เรียบร้อยภายในวันนี้หรือพรุ่งนี้
นายจิรายุ กล่าวต่อว่า ข้อมูลจากศูนย์อุตุนิยมวิทยาภาคใต้ฝั่งตะวันออก ได้ประกาศแจ้งเตือนว่าตั้งแต่วันนี้ จนถึงวันที่ 5 ธันวาคม จะมีฝนตกหนักถึงหนักมากบริเวณภาคใต้ฝั่งตะวันออกและคลื่นลมแรงบริเวณอ่าวไทย ซึ่งจะเป็นการซ้ำเติมสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่
นายจิรายุ กล่าวต่อว่า เพื่อให้การป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ นายกฯ สั่งการให้คณะกรรมการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ (กปภ.ช.) ดูแลแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบ
“ไม่ใช่แต่เฉพาะน้ำท่วม เดือนหน้ามกราคมก็อาจมีภัยหนาว ภัยแล้ง ภัยฝน วนไปวนมาแบบนี้ นายกฯ ก็สั่งการให้คณะกรรมการนี้ ซึ่งมีนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงหมาดไทย เป็นประธาน ดำเนินการต่อเนื่องจาก ศปช. ที่ทำงานมาเกือบ 3 เดือน และให้นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเป็นที่ปรึกษาในคณะกรรมการนี้” นายจิรายุ กล่าว
นายจิรายุ เสริมว่า คณะกรรมการนี้มีหน้าที่แก้ไขสถานการณ์ให้เป็นปัจจุบันทันด่วน เร่งปฏิบัติหน้าที่และใช้กลไกตามกฎหมายในการบริหาร ระดมความร่วมมือของรัฐและเอกชนเร่งแก้ไขสถานการณ์ภัยพิบัติโดยเร็ว ตลอดจนขอให้เร่งสำรวจ และรายงานความเสียหาย รวมทั้งแนวทางการฟื้นฟูให้สถานการณ์กลับมาเป็นปกติโดยเร็ว
“ตัวอย่างเช่น มีแผ่นดินถล่ม หรือคลื่นยักษ์สึนามิ อุทกภัย ภัยพิบัติอะไรก็แล้วแต่ในประเทศนี้ คณะกรรมการนี้ดำเนินการได้ทันที ไม่ต้องรอให้นายกฯ สั่ง” นายจิรายุ กล่าว
นายจิรายุ กล่าวต่อว่า นายกฯ ขอให้เร่งปฏิบัติหน้าที่และใช้กลไกตามกฎหมายในการบริหาร และระดมความร่วมมือของรัฐและเอกชนเข้าแก้ไขสถานการณ์ภัยพิบัติโดยเร็ว ตลอดจนเร่งสำรวจพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายและน้ำลดแล้วในสัปดาห์นี้ เพื่อนำเข้าสู่ ครม. ในการพิจารณางบประมาณ
สั่ง BOI เร่ง 4 มาตรการดึงดูดการลงทุนต่างชาติ
นายจิรายุ กล่าวต่อว่า นายกฯ ได้สั่งการในที่ประชุม ครม. วันนี้ว่า จากที่นายกฯ ได้เดินทางไปต่างประเทศ ได้พบกับนักลงทุน สมาคมการค้า ภาคธุรกิจ และได้รับฟังปัญหาต่างๆ ทำให้เห็นถึงโอกาสของประเทศไทยที่จะดึงดูดนักลงทุน ภายใต้สถานการณ์ที่มีความเสี่ยงจากภูมิรัฐศาสตร์การเมืองระหว่างประเทศ (GEOPOLITICS) โดยเฉพาะนโยบายทางการค้าของประธานาธิบดี ทรัมป์ ที่เร่งให้บริษัทจำเป็น ต้องเร่งปรับตัวและปรับแผนในการลงทุนในภูมิภาค ASEAN
นายจิรายุ กล่าวต่อว่า นายกฯ ได้รับฟังถึงความท้าทายและข้อจำกัดต่าง ๆ ที่รัฐบาลต้องเร่งแก้ไข จึงฝากเรื่องที่จะต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วน 4 เรื่อง เพื่อช่วยดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ ดังนี้
-
1. การพัฒนาพื้นที่สำหรับรองรับการลงทุน โดยเฉพาะการจัดสรรและพัฒนาที่ดินให้เป็นพื้นที่อุตสาหกรรมขนาดใหญ่
2. ไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน โดยบริษัทรายใหญ่ในอุตสาหกรรมเป้าหมาย ต้องการพลังงานหมุนเวียนสะอาด (Direct PPA)
3. มาตรการรองรับ Global Minimum Tax ซึ่งจำเป็นต้องออกกฎหมายให้ทันการบังคับใช้ในปี 2568 ทั้งในส่วนของการจัดเก็บภาษีขั้นต่ำ และมาตรการด้านสิทธิประโยชน์
4. การแก้ไขกฎระเบียบอื่นๆ เพื่อเพิ่มความสะดวกในการประกอบธุรกิจ หรือ Ease of Doing Business เช่น การผ่อนปรนเงื่อนไขการจ้างงานชาวต่างชาติของกระทรวงแรงงาน โดยเฉพาะในกลุ่มบุคลากรทักษะสูง โดยมอบหมายให้ BOI จัดทำรายละเอียดมาตรการ ผ่านรองนายกฯ พิชัย เพื่อมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป
สั่งกลาโหม-กรมศุลฯ สกัด ‘ยางเถื่อน’ ทะลัก
นายจิรายุ กล่าวถึงการปราบปรามยางเถื่อนผิดกฎหมายว่า ที่ผ่านมาโครงการของรัฐบาลมีการให้สินเชื่อชะลอการขายยาง เป็นประโยชน์ต่อเกตรกรผู้ปลูกยาง เพื่อรักษาเสถียรภาพราคายางในตลาด แต่ยังมีปัญหาการลักลอบนำยางเถื่อนเข้ามาในประเทศไทยตามแนวชายแดน ทำให้ราคายางในประเทศต่ำลง
นายจิรายุ กล่าวต่อว่า นายกฯ สั่งการให้กระทรวงกลาโหม หน่วยงานความมั่นคง เร่งปราบปรามปัญหาการลักลอบการนำเข้ายางเถื่อนจากต่างประเทศอย่างเร่งด่วน ตลอดจนขอให้กรมศุลกากร กระทรวงการคลัง มีมาตรการที่เข้มงวดในพิธีศุลกากรตามแนวชายแดน เพื่อไม่ให้เกิดการลักลอบยางเถื่อนเข้า และออกจากประเทศ โดยไม่ผ่านพิธีการศุลกากร และให้นำตัวเลขการจับกุม-กวดขันมาสรุปในที่ประชุม ครม.
สั่งทุกหน่วยระดมกำลังช่วยน้ำท่วมภาคใต้- รับมือฝนระลอก 2
ด้านนางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่านางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้ทุกหน่วยระดมสรรพกำลังเข้าช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคใต้ ตามที่ได้ประกาศแจ้งเตือนว่าจะมีฝนระลอกสองตั้งแต่วันนี้ (3 ธ.ค.)ไปจนถึงวันที่ 5 ธ.ค. ขณะนี้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ได้ระดมกำลังพลเจ้าหน้าที่และอาสาสมัครรวม 5,592 ราย พร้อมเครื่องมือ อุปกรณ์ ยุทโธปกรณ์ รวม 6,437 หน่วย เช่น เรือชนิดต่าง ๆ 676 ลำ รถบรรทุกสำหรับเคลื่อนย้ายผู้ประสบภัย 72 คัน เป็นต้น
รองโฆษกฯ เปิดเผยว่า จากสถานการณ์น้ำท่วมภาคใต้ในช่วงที่ผ่านมามีพื้นที่ได้รับผลกระทบทั้งหมด 10 จังหวัด ซึ่งขณะนี้สถานการณ์คลี่คลายแล้ว 4 จังหวัด ได้แก่ ชุมพร สุราษฎร์ธานี ตรัง และสตูล ยังเหลือพื้นที่น้ำท่วมใน 6 จังหวัดได้แก่ นครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส โดยบ้านเรือนที่ได้รับผลกระทบลดลงจาก 664,173 ครัวเรือน เหลือ 302,982 ครัวเรือน ซึ่งสะท้อนว่าสถานการณ์กำลังเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น
“อย่างไรก็ตามเนื่องจากจะมีฝนเข้ามาเติมในพื้นที่ โดยเฉพาะ 4 จังหวัดภาคใต้ตอนล่างที่ยังมีน้ำท่วมสูง หน่วยงานต่าง ๆ ได้จัดตั้งศูนย์พักพิงรวม 489 แห่ง รองรับประชาชนได้ 66,800 ราย ซึ่งขณะนี้มีผู้พักพิงในศูนย์ต่าง ๆ รวม 40,768 ราย ส่วนประชาชนที่ไม่ได้อพยพมายังศูนย์พักพิง ได้จัดตั้งโรงครัวและรถประกอบอาหารรวม 23 แห่ง แจกจ่ายอาหารปรุงสุกไปในพื้นที่ที่ยังมีผลกระทบอย่างทั่วถึง” นางสาวศศิกานต์ กล่าว
นอกจากนี้นายกรัฐมนตรีได้ฝากความห่วงใยไปยังกลุ่มเปราะบาง ผู้ป่วยติดบ้านติดเตียงและผู้สูงอายูในพื้นที่ประสบภัยที่กระทรวงสาธารณสุขรายงานว่ามีอยู่ 18,648 ราย โดยในจำนวนนี้มีหญิงตั้งครรภ์ และผู้ป่วยโรคไตที่ต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดจำนวน 299 ราย ซึ่งหากเป็นผู้ที่อยู่ระหว่างรักษาตัวในโรงพยาบาลที่เสี่ยงน้ำท่วม จะมีการเคลื่อนย้ายไปยังโรงพยาบาลที่ปลอดภัย ส่วนกลุ่มที่ไม่ได้รักษาตัวในโรงพยาบาลได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุขและ อสม.ติดตามอาการและให้การดูแลอย่างใกล้ชิด
“สำหรับมาตรการช่วยเหลือเยียวยา จะใช้แนวทางเดียวกับการดูแลพี่น้องภาคเหนือ โดยเน้นย้ำให้ลดขั้นตอนลดเอกสารและเบิกจ่ายเงินช่วยเหลือให้ถึงมือผู้ประสบภัยโดยเร็วที่สุด ส่วนความเสียหายอื่น ๆ เช่นพื้นที่การเกษตร การประมง และปศุสัตว์ ได้เร่งสำรวจความเสียหายเพื่อดำเนินการจ่ายเงินช่วยเหลือตามหลักเกณฑ์โดยเร็ว” นางสาวศศิกานต์ กล่าว
มติ ครม.มีดังนี้

ที่มาภาพ : www.thaigov.go.th
ไฟเขียวมอเตอร์เวย์ ‘บางขุนเทียน – บางบัวทอง’ 4.7 หมื่นล้าน
นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่างวันนี้ ที่ประชุม ครม.มีมติเห็นชอบให้ ดำเนินการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 9 สายถนนวงแหวนรอบนอก กรุงเทพมหานคร ตอน ทางยกระดับบางขุนเทียน – บางบัวทอง ของกรมทางหลวงกระทรวงคมนาคม (โครงการ M9) ตามหลักการที่ คกก.นโยบายการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน (คกก.PPP) ได้ให้ความเห็นชอบแล้ว ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยแบ่งเบาปริมาณจราจรบนถนนกาญจนาภิเษก ด้านตะวันตก และเชื่อมต่อโครงข่ายทางหลวงพิเศษรอบ กทม.
โดยมีเส้นทางรวมระยะทางประมาณ 35.85 กม. จุดเริ่มต้นบริเวณทางแยกต่างระดับบางขุนเทียน จุดสิ้นสุดบริเวณจุดตัดทางแยกต่างระดับบางบัวทอง โดยมีการเวนคืนที่ดินในพื้นที่โครงการ มีทั้งหมด 3 ตำแหน่ง รวมพื้นที่ทั้งหมด 33 ไร่ 2 งาน 75 ตร.ว. โดยมีรูปแบบการก่อสร้างเป็นทางยกระดับขนาด 6 ช่องจราจร มีทางขึ้น 8 จุด และทางลง 6 จุด ทางแยกต่างระดับ 5 แห่ง
ลักษณะโครงการนี้มีความพิเศษ ที่มีการควบคุมการเข้าออกอย่างสมบูรณ์ รองรับการสัญจรที่สามารถใช้ความเร็วได้อย่างปลอดภัยตามที่กฎหมายกำหนด ส่วนการเก็บค่าธรรมเนียมผ่านทางโดยคิดตามระยะทางด้วยระบบจัดเก็บค่าธรรมเนียมผ่านทางอัตโนมัติแบบไม่มีไม้กั้น (ระบบ M-Flow)
นายจิรายุ กล่าวต่อว่า รูปแบบการลงทุนจะเป็นการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชนในรูปแบบ PPP NET Cost (รูปแบบสัญญาการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ โดยเอกชนจะเป็นผู้รับภาระค่าใช้จ่ายการลงทุน แต่จะได้รับสิทธิในการจัดเก็บรายได้ และต้องรับความเสี่ยงในเรื่องของรายได้ ส่วนรัฐอาจได้รับผลตอบแทนบางส่วนตามที่ตกลงกัน) โดยมีมาตรการสนับสนุนโครงการร่วมลงทุนในกรอบวงเงินค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน 4,253.30 ล้านบาท (ขอรับจัดสรรงบฯ ปี 68 ) – กรอบวงเงินร่วมลงทุนที่เป็นมูลค่าปัจจุบัน 47,521.04 ล้านบาท (ทยอยจ่ายให้เอกชนหลังจากเริ่มเปิดให้บริการแล้ว และแบ่งจ่ายเป็นรายปี โดยกำหนดระยะเวลาการแบ่งจ่ายไม่ต่ำกว่า 15 ปี)
สำหรับการแบ่งปันผลประโยชน์ เอกชนจะเป็นผู้รับสัมปทานเป็นผู้ได้รับอนุญาตในการจัดเก็บค่าธรรมเนียมผ่านทางตามอัตราค่าธรรมเนียมผ่านทางที่กำหนด โดยให้มีการปรับขึ้นทุก 5 ปี โดยอัตราค่าธรรมเนียมผ่านทางมีดังนี้
-
• รถยนต์ 4 ล้อ 10 บาท + 1.50 บาท/กม.
• รถยนต์ 6 ล้อ 15 บาท + 2.40บาท/กม.
• รถยนต์มากกว่า 6 ล้อ 25 บาท + 3.45 บาท/กม.
โดยมีระยะเวลาของโครงการรวมทั้งสิ้น 34 ปี โดยแบ่งออกเป็น 2 ระยะ
-
(1) ออกแบบ และก่อสร้าง 4 ปี (สามารถเปิดให้บริการบางส่วนก่อนได้)
(2) ดำเนินงานและบำรุงรักษา 30 ปี (เริ่มนับตั้งแต่เอกชนเปิดให้บริการได้ครบทั้งสาย)
ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี อนุมัติในหลักการตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้รับความเห็นของหน่วยงานไปดำเนินการต่อไป
สสช.โพลชี้คนถือบัตรคนจน 87% พอใจนโยบาย ‘แจกเงินหมื่น’
นายจิรายุ กล่าวที่ประชุม ครม.รับทราบผลสำรวจความคิดเห็นของสำนักงานสถิติแห่งชาติ (สสช.) ที่ได้ดำเนินการสำรวจความต้องการของประชาชน พ.ศ. 2568 (ของขวัญปีใหม่ที่ต้องการจากรัฐบาล) ในระหว่างวันที่ 4 – 22 พฤศจิกายน 2567 เพื่อสอบถามความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับความต้องการให้รัฐบาลช่วยเหลือ ทั้งในรูปแบบของขวัญปีใหม่ ความพึงพอใจ และ ความเชื่อมั่นในการบริหารงานของรัฐบาล โดยใช้แผนการเลือกตัวอย่างแบบ Stratified Two-Stage Sampling เก็บรวบรวมข้อมูล โดยส่งเจ้าหน้าที่ของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ไปสัมภาษณ์ประชาชนตัวอย่างที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป ที่ได้รับสิทธิในโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปี 2567 ทุกจังหวัดทั่วประเทศ จำนวนตัวอย่างทั้งสิ้น 31,500 ราย (ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐจำนวน 26,469 ราย และคนพิการจำนวน 5,031 ราย) สรุปผลประชาชนตัวอย่าง ดังนี้
1. ประชาชนมีความพึงพอใจในภาพรวมต่อโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปี 2567 ผ่านผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและคนพิการ ในระดับมาก – มากที่สุด ร้อยละ 87.7 (มากร้อยละ 47.8 และมากที่สุดร้อยละ39.9) โดยร้อยละ 47.8 ระบุว่ามีความพึงพอใจฯ ในระดับมาก , ร้อยละ 11.2 ระบุว่ามีความพึงพอใจฯในระดับปานกลาง , ร้อยละ 0.9 ระบุว่ามีความพึงพอใจฯ ในระดับน้อย และร้อยละ 0.2 ระบุว่ามีความพึงพอใจฯ ในระดับน้อยที่สุด
2. ประชาชนร้อยละ 75.8 ระบุว่านำเงินไปใช้จ่าย ขณะที่ร้อยละ 12.8 ระบุว่านำไปชำระหนี้สิน และร้อยละ 11.4 ระบุว่าเก็บออมไว้ สำหรับประชาชนที่นำเงินไปใช้จ่าย ร้อยละ 95.1 ระบุว่านำเงินไปซื้ออาหารและเครื่องดื่ม เช่น ข้าวสาร หมูสด เป็นต้น ในสัดส่วนที่สูงที่สุด รองลงมา ได้แก่ ซื้อของใช้ในครัวเรือน เช่น ผงซักฟอก สบู่ เป็นต้น (ร้อยละ 89.1) ชำระค่าสาธารณูปโภค เช่น ค่าไฟฟ้า ค่าน้ำประปา เป็นต้น (ร้อยละ 57.2) ชำระค่าน้ำมันเชื้อเพลิง เช่น น้ำมัน แก๊ส เป็นต้น (ร้อยละ 26.7 ) และให้คนในครอบครัวหรือญาติไว้สำหรับใช้จ่าย (ร้อยละ 26.3)
สำหรับสถานที่ที่ประชาชนที่นำเงินไปใช้จ่าย ร้อยละ 96.3 ระบุว่านำเงินไปใช้จ่ายที่ร้านค้าในชุมชน/ร้านขาย ของชำในสัดส่วนที่สูงที่สุด รองลงมา ได้แก่ หาบเร่ แผงลอยทั่วไป/ในตลาด (ร้อยละ 70.9) ร้านสะดวกซื้อ/มินิมาร์ททั่วไป เช่น 7-Eleven Mini Big C เป็นต้น (ร้อยละ 54.1) ดิสเคาท์สโตร์/ซูเปอร์มาร์เก็ต เช่น Big C Tesco Lotus Tops เป็นต้น (ร้อยละ 18.4)
ทั้งนี้ ประชาชน ร้อยละ 21.1 ระบุระยะเวลาที่ใช้เงิน 10,000 บาท น้อยกว่า 1 เดือน ส่วนร้อยละ 60.5 ใช้เงิน 1- 3 เดือน ร้อยละ 13.7 ใช้ 4 – 6 เดือน และร้อยละ 4.7 ใช้มากกว่า 6 เดือน
ผ่อนผัน ‘กัปตันต่างชาติ’ บินในประเทศได้ชั่วคราว
นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.อนุมัติ ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ ให้สามารถจ้างนักบินต่างชาติ ให้สามารถขับเครื่องบินในเที่ยวบินภายในประเทศไทยได้ เนื่องจากปัจจุบันนโยบายเร่งด่วนในการส่งเสริมการท่องเที่ยวของรัฐบาล ส่งผลให้มีการเดินทางผ่านทางอากาศยานเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว และมีการเติมโตสูงมากในช่วงปลายปีนี้ แต่ปัจุบันสายการบินมีอากาศยาน (เครื่องบิน) และผู้ควบคุมอากาศยาน (นักบิน) ไม่เพียงพอกับการรองรับจำนวนการเติบโตของผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้น ทำให้สายการบินต้องแก้ปัญหา โดยใช้วิธีการเช่าอากาศยาน (เครื่องบิน)พร้อมผู้ประจำหน้าที่ (Wet Lease) มาให้บริการเป็นการชั่วคราว รวมถึงผู้ควบคุมอากาศยานต่างชาติ (นักบิน) ทำการบินในเส้นทางการบินภายในประเทศไทยซึ่งสายการบินได้รับอนุญาตให้มีการเช่าอากาศยานพร้อมผู้ประจำหน้าที่รวมถึงนักบินแล้ว
แต่การทำงานของนักบินเป็นงานที่คนต่างชาติ ถูกห้ามทำงานโดยเด็ดขาดตามประกาศ แรงงาน เรื่อง กำหนดงานที่ห้ามคนต่างด้าวทำ (เม.ย. 2563) เพื่อให้ผู้ควบคุมอากาศยานต่างชาติ (นักบิน) ซึ่งเป็นคนต่างด้าวที่มาพร้อมอากาศยาน (เครื่องบิน) สามารถทำการบินในเส้นทางการบินภายในประเทศไทยได้เป็นการชั่วคราว จึงมีความจำเป็น ต้องขออนุญาตให้คนต่างด้าวเข้ามาทำหน้าที่เป็นผู้ประจำหน้าที่นักบิน หรือ ผู้ควบคุมอากาศยานเป็นกรณีพิเศษ
ในครั้งนี้ กระทรวงแรงงาน จึงได้จัดทำร่างประกาศฉบับนี้ขึ้น ซึ่งมีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้คนต่างด้าวสามารถทำงานเป็นผู้ควบคุมอากาศยานต่างชาติ (นักบิน) ทำการบินในเส้นทางในประเทศ ทั้งนี้ อยู่ภายใต้กฎระเบียนด้านความปลอดภัย และการตรวจสอบประวัติ และ ระบบป้องกัน ตามระบบการคมนาคมทางอากาศอย่าง เคร่งครัด
ปรับปรุง ‘One Map’ บูรณาการแนวเขตที่ดินรัฐ 11 จังหวัด
นายคารม กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติเห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (สคทช.) เสนอ ดังนี้
-
1. ให้ความเห็นชอบผลการดำเนินการปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐแบบบูรณาการ มาตราส่วน 1 : 4000 (การปรับปรุงแผนที่ One Map) พื้นที่กลุ่มที่ 4 จำนวน 11 จังหวัด ประกอบด้วย กาฬสินธุ์ มุกดาหาร หนองบัวลำภู อำนาจเจริญ (ยกเว้นวนอุทยาน ภูสิงห์ – ภูผาผึ้ง) สกลนคร ยโสธร บึงกาฬ หนองคาย ขอนแก่น อุดรธานี (ยกเว้นพื้นที่เขตห้ามล่าสัตว์ป่าลำปาว) และนครพนม และให้หน่วยงานที่มีที่ดินอยู่ในความรับผิดชอบ เพื่อปรับปรุงแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ให้สอดคล้องกับผลการดำเนินการปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐดังกล่าว โดยใช้แผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้ความเห็นชอบแล้ว ในการแก้ไขแผนที่แนบท้ายกฎหมาย และใช้เป็นแนวเขตที่ดินของรัฐตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้แล้วเสร็จภายใน 360 วัน โดยอาจขอขยายระยะเวลาการดำเนินการต่อคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.) ได้ตามเหตุผลความจำเป็น แต่ไม่เกิน 180 วัน ทั้งนี้ แนวทางการแก้ไขปัญหาผลกระทบที่อาจขึ้นกับประชาชน ทั้งนี้ให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2565 ที่ให้นำไปใช้กับทุกกลุ่มจังหวัดเพื่อเป็นมาตรฐานเดียวกัน
2. ให้ความเห็นชอบการขยายระยะเวลาการดำเนินการให้หน่วยงานที่มีที่ดินอยู่ในความรับผิดชอบ ปรับปรุงแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้สอดคล้องกับผลการดำเนินการปรับปรุงแผนที่ One Map ของพื้นที่กลุ่มที่ 1 จำนวน 11 จังหวัด ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2565 เพิ่มเติมอีก 180 วัน โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรายงานผลการดำเนินงานให้ สคทช. ทราบทุกเดือนและให้ สคทช. นำเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบทุกไตรมาส
3. ให้มอบหมาย สคทช. กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดศ.) สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) (สทอภ.) สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (สคก.) กรมแผนที่ทหาร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันพิจารณา แนวทางการจัดทำแผนที่ท้ายกฎหมายในรูปแบบแผนที่ดิจิทัล โดยให้มีผลทางกฎหมายและเพื่อให้เป็นไปตามนโยบายรัฐบาลดิจิทัล
ผ่านร่าง พ.ร.บ.ตั๋วร่วมฯ
นายคารม กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติการบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม พ.ศ. …ซึ่งมีสาระสำคัญเป็นการกำหนดมาตรฐานทางเทคโนโลยีของระบบตั๋วร่วม เพื่อเป็นมาตรฐานกลาง สำหรับการให้บริการระบบตั๋วร่วมในอนาคต และสำหรับผู้ให้บริการในปัจจุบันที่จะเข้าสู่ระบบตั๋วร่วม กำหนดอัตราค่าโดยสารร่วม การจัดตั้งกองทุนส่งเสริมระบบตั๋วร่วม เพื่อสนับสนุนประชาชน รวมถึงสนับสนุนผู้รับใบอนุญาตที่เข้าร่วมระบบตั๋วร่วม กำหนดผู้ประกอบการที่จะมีสิทธิขอรับการสนับสนุนจากกองทุนส่งเสริมระบบตั๋วร่วม และในกรณีมีความจำเป็นให้ตราพระราชกฤษฎีกา กำหนดให้การประกอบกิจการขนส่งสาธารณะใดเป็นกิจการที่ต้องใช้ระบบตั๋วร่วม และรับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ต้องออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวตามที่กระทรวงคมนาคม (คค.) เสนอ
สาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติสรุปได้ดังนี้
กำหนดบทนิยาม ร่างมาตรา 3
-
• “ตั๋วร่วม” หมายความว่า รูปแบบการชำระค่าโดยสาร ค่าธรรมเนียม หรือค่าบริการในการขนส่ง สาธารณะทางอิเล็กทรอนิกส์ โดยใช้มาตรฐานทางเทคโนโลยีของระบบตั๋วร่วม ไม่ว่าด้วยการใช้บัตรหรือสิ่งอื่นใดแทนการใช้บัตรก็ตาม
• “ระบบตั๋วร่วม” หมายความว่า ระบบชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์สำหรับค่าโดยสารค่าธรรมเนียม หรือค่าบริการ ในการขนส่งสาธารณะ ซึ่งใช้มาตรฐานทางเทคโนโลยีของระบบตั๋วร่วม
• “ขนส่งสาธารณะ” หมายความว่า การขนส่งผู้โดยสารโดยระบบขนส่งสาธารณะ ทั้งรูปแบบทางถนน รูปแบบทางราง หรือรูปแบบทางน้ำ
หมวด 2 การบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม (ร่างมาตรา 14 – 23) การประกอบกิจการระบบตั๋วร่วม
-
• กำหนดให้ผู้ใดประสงค์จะประกอบกิจการระบบตั๋วร่วมตามพระราชบัญญัตินี้ ต้องได้รับใบอนุญาตจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการนโยบายตั๋วร่วม (คนต.) ทั้งนี้ โดยการขอรับใบอนุญาตเป็นโดยความสมัครใจของผู้ประกอบการ หากผู้ประกอบการรายใดไม่ขอรับใบอนุญาต จะมีผลทำให้ไม่มีสิทธิได้รับการสนับสนุนเงินกองทุน แต่จะไม่มีโทษ ทั้งนี้ ใบอนุญาตประกอบกิจการระบบตั๋วร่วมแบ่งเป็น 3 ประเภท และมีอายุไม่เกิน 10 ปี ได้แก่ (1) การให้บริการศูนย์บริหารจัดการรายได้กลาง (2) การให้บริการออกตั๋วร่วม และ (3) การให้บริการระบบตั๋วร่วม
• กำหนดให้ในกรณีจำเป็น เพื่อรักษาการให้บริการระบบตั๋วร่วม หรือเพื่อประโยชน์ในการเสริมสร้างระบบตั๋วร่วม หรือเพื่อป้องกันความเสียหายต่อสาธารณชน ให้มีการตราพระราชกฤษฎีกากำหนดให้การประกอบกิจการขนส่งสาธารณะใดเป็นกิจการที่ต้องใช้ระบบตั๋วร่วม และต้องได้รับใบอนุญาตตามพระราชบัญญัตินี้ โดยก่อนมีการตราพระราชกฤษฎีกานั้น จะต้องจัดให้มีการเจรจา และทำความตกลงร่วมกับผู้ประกอบกิจการขนส่งสาธารณะที่จะถูกบังคับ รวมถึงดำเนินการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนตามความเหมาะสมและนำข้อมูลที่ได้รับมาประกอบการพิจารณา ซึ่งหากผู้ประกอบการที่ถูกบังคับภายใต้พระราชกฤษฎีกาดังกล่าวไม่ปฏิบัติตามจะมีโทษทางปกครอง
หมวด 3 การดำเนินงานในการบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม (ร่างมาตรา 24) – กำหนดหน้าที่ของผู้รับใบอนุญาต
-
1. ประกอบกิจการระบบตั๋วร่วมให้เป็นไปตามมาตรฐานทางเทคโนโลยีของระบบตั๋วร่วม เพื่อให้ระบบตั๋วร่วมทั้งหมดมีมาตรฐานเดียวกันและสามารถเชื่อมโยงข้อมูลถึงกันได้
2. บำรุงรักษา ซ่อมแซม และแก้ไขปรับปรุงระบบตั๋วร่วม หรือเครื่องมือต่าง ๆ ที่ใช้ในการประกอบกิจการระบบตั๋วร่วมให้ใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีมาตรฐาน ในกรณีที่เกิดความชำรุดเสียหาย จะต้องดำเนินการแก้ไขให้สามารถใช้งานได้โดยเร็ว
3. รวบรวมข้อมูลการใช้บริการระบบตั๋วร่วม ข้อมูลการเดินทาง และข้อมูลมูลส่วนบุคคลอื่น ๆ ที่ สนข. ร้องขอ และประมวลผลข้อมูลเพื่อรายงานต่อสำนักงาน ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ สนข. ประกาศกำหนด
4. รับเรื่องราวร้องทุกข์จากผู้ใช้บริการที่ไม่ได้รับความสะดวก ได้รับการบริการที่ไม่สุภาพ หรือได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหายอื่นใดอันเนื่องมาจากการให้บริการระบบตั๋วร่วม เพื่อรายงานต่อ สนข.
5. นำส่งเงินเข้ากองทุนส่งเสริมระบบตั๋วร่วม
6. ปฏิบัติหน้าที่อื่นตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัตินี้ หรือ ตามที่กำหนดในประกาศระเบียบ หรือ ข้อบังคับของคณะกรรมการ
หมวด 4 อัตราค่าโดยสารร่วม (ร่างมาตรา 25 – มาตรา 28) – การกำหนดอัตราค่าโดยสารร่วมให้เป็นไปตามที่กำหนดในกฎกระทรวง โดยจะต้องสอดคล้องกับหลักเกณฑ์และวิธีการคำนวณอัตราค่าโดยสารร่วมตามที่ คนต. กำหนด โดยให้คำนึงถึงหลักเกณฑ์ ดังต่อไปนี้
-
1. การบูรณาการอัตราค่าโดยสารระหว่างระบบขนส่งสาธารณะที่ต่างระบบและต่างผู้ให้บริการขนส่ง
2. ค่าใช้จ่ายอันสมควรในการให้บริการขนส่งสาธารณะโดยมีกำไรที่สมเหตุสมผล ตามประเภทและลักษณะของการให้บริการที่เป็นไปตามปกติในการประกอบธุรกิจ
หมวด 5 กองทุนส่งเสริมระบบตั๋วร่วม (ร่างมาตรา 29 – มาตรา 34) – ให้จัดตั้งกองทุนส่งเสริมระบบตั๋วร่วมใน สนข. โดยมีวัตถุประสงค์ของกองทุนส่งเสริมระบบตั๋วร่วม ดังนี้
-
1. เพื่อส่งเสริมและอุดหนุนประชาชนผู้ใช้บริการระบบตั๋วร่วมให้สามารถใช้ระบบขนส่งสาธารณะด้วยความสะดวก โดยมีต้นทุนการเดินทางที่สมเหตุสมผล
2. เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานระบบตั๋วร่วมของผู้รับใบอนุญาตที่ได้รับผลกระทบ เนื่องจากการเข้าร่วมระบบตั๋วร่วม และ
3. เพื่อให้ผู้รับใบอนุญาตกู้ยืมสำหรับดำเนินการลงทุน ปรับปรุง และพัฒนาการให้บริการระบบตั๋วร่วม
แหล่งที่มาของเงินกองทุนส่งเสริมระบบตั๋วร่วม
-
(1) เงินทุนประเดิมที่รัฐบาลจัดสรรให้
(2) เงินอุดหนุนที่รัฐบาลจัดสรรให้จากงบประมาณรายจ่ายประจำปี
(3) เงินค่าธรรมเนียมการออกใบอนุญาต
(4) เงินที่ได้รับจากผู้ได้รับใบอนุญาต
(5) เงินที่ได้รับจากผู้ให้บริการขนส่ง เมื่อมีสัญญาสัมปทาน สัญญาร่วมงาน หรือสัญญาร่วมลงทุน แล้วแต่กรณี มีข้อสัญญาให้ผู้ให้บริการขนส่งจะต้องส่งเงินเข้ากองทุน
(6) เงินค่าปรับทางปกครอง
(7) เงินหรือทรัพย์สินที่มีผู้บริจาคให้แก่กองทุน
(8) ดอกผลของเงินหรือทรัพย์สินของกองทุน
(9) เงินอุดหนุนที่รัฐบาลจัดสรรให้จากกองทุน กองทุนหมุนเวียน เงินทุน เงินทุนหมุนเวียน หรือทุนหมุนเวียน
กำหนดการใช้จ่ายเงินกองทุน เพื่อเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของกองทุน ดังต่อไปนี้
-
(1) เป็นเงินส่งเสริมและอุดหนุนผู้รับใบอนุญาต เนื่องจากประกอบกิจการระบบตั๋วร่วมเพื่อให้ประชาชนผู้ใช้บริการระบบตั๋วร่วมสามารถใช้ระบบขนส่งสาธารณะด้วยความสะดวก โดยมีต้นทุน และค่าใช้จ่ายในการเดินทางตามที่ คนต. กำหนด
(2) เป็นเงินสนับสนุนการดำเนินงานระบบตั๋วร่วมของผู้รับใบอนุญาต เนื่องจากการนำอัตราค่าโดยสารร่วมมาประยุกต์ใช้
(3) เป็นเงินสนับสนุนการจัดตั้งหรือปรับปรุงศูนย์บริหารจัดการรายได้กลางที่ดำเนินการโดยหน่วยงานของรัฐ
(4) เป็นเงินสนับสนุนการลงทุนพัฒนาระบบจัดเก็บค่าโดยสารอัตโนมัติของผู้รับใบอนุญาต
(5) ให้ผู้รับใบอนุญาตกู้ยืมสำหรับดำเนินการลงทุน ปรับปรุง และพัฒนาการให้บริการระบบตั๋วร่วม
(6) เป็นเงินสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการลงทุน การวิจัย และพัฒนาระบบตั๋วร่วม
(7) เป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของกองทุน – ให้มีคณะกรรมการบริหารกองทุนส่งเสริมระบบตั๋วร่วม ที่เป็นไปตามมาตรา 18 แห่งพระราชบัญญัติการบริหารทุนหมุนเวียน พ.ศ. 2558
เสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดแข่งขันวอลเลย์บอลหญิงชิงแชมป์โลก 2025
นายคารม กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติเห็นชอบการเสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาวอลเลย์บอล FIVB Women’s World Championships 2025 ตามที่กระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา (กก.) เสนอ ซึ่งสมาคมกีฬาวอลเลย์บอลแห่งประเทศไทย ได้นำเรื่องการเสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาวอลเลย์บอล์ FIVB Women’s World Championships 2025 เสนอในที่ประชุมใหญ่สามัญของสหพันธ์วอลเลย์บอลนานาชาติ ครั้งที่ 39 ระหว่างวันที่ 15 – 17 พฤศจิกายน 2567 ณ เมืองปอร์โต้ สาธารณรัฐโปรตุเกส และจะต้องแจ้งยืนยันการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาวอลเลย์บอล FIVB Women’s World Championships 2025 ของประเทศไทยอย่างเป็นทางการไปยังสหพันธ์วอลเลย์บอลนานาชาติ (FIVB) ภายในวันที่ 6 ธันวาคม 2567 และได้กำหนดให้มีพิธีจับฉลากแบ่งสายภายในวันที่ 15 ธันวาคม 2567
นายคารม กล่าวว่า การเป็นเจ้าภาพดังกล่าวสอดคล้องกับคำแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรีต่อรัฐสภา เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2567 ที่ระบุว่ารัฐบาลจะเร่งส่งเสริมการท่องเที่ยว ด้วยการสานต่อความสำเร็จในการปรับโครงสร้างการตรวจลงตราทั้งหมดของประเทศเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ขอวีซ่า เช่น กลุ่มผู้เข้าร่วมงานแสดงสินค้านานาชาติ (MICE) และกลุ่มชาวต่างชาติที่ทำงานทางไกล (Digital Nomad) ซึ่งสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวถึง 1.892 ล้านล้านบาท ในปี 2566 โดยส่งเสริมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ เพิ่มแหล่งท่องเที่ยวที่มนุษย์สร้างขึ้น (Man-made Destinations) เช่น สวนน้ำ สวนสนุก ศูนย์การค้า สถานบันเทิงครบวงจร (Entertainment Complex) นำคอนเสิร์ต เทศกาล และการแข่งขันกีฬาระดับโลกมาจัดในประเทศไทย รวมถึงส่งเสริมการท่องเที่ยว เมืองน่าเที่ยว เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวและเม็ดเงินมหาศาลที่จะกระจายลงสู่ผู้ประกอบการภายในประเทศได้อย่างรวดเร็ว โดยการเป็นเจ้าภาพมีรายละเอียดสรุปได้ ดังนี้
(1) กำหนดการแข่งขันกีฬาวอลเลย์บอล FIVB Women’s World Championships 2025จัดขึ้นระหว่างวันที่ 22 สิงหาคม – 7 กันยายน 2568
(2) สถานที่จัดการแข่งขัน ณ ประเทศไทย (จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดภูเก็ต จังหวัดนครราชสีมา และกรุงเทพมหานคร)
(3) ผู้เข้าร่วมการแข่งขันทั้งหมด 32 ทีม ประกอบด้วย
-
(3.1) ประเทศไทย (เจ้าภาพ 1 ทีม)
(3.2) สาธารณรัฐเซอร์เบีย (แชมป์เก่า 1 ทีม)
(3.3) ทีมชนะเลิศ รองชนะเลิศ และอันดับ 3 จากชิงแชมป์ของทั้ง 5 ทวีป รวมเป็น 15 ทีม ได้แก่ ทวีปเอเชีย ได้แก่ สาธารณรัฐประชาชนจีน ประเทศญี่ปุ่น และสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ทวีปยุโรป ได้แก่ ประเทศทูร์เคีย ราชอาณาจักรเนเธอแลนด์ และสาธารณรัฐอิตาลี ทวีปแอฟริกา ได้แก่ สาธารณรัฐเคนยา สาธารณรัฐอาหรับอียิปต์ และสาธารณรัฐแคเมอรูน นอร์เซกา ได้แก่ สหรัฐอเมริกา สมาพันธ์รัฐแคนาดา และสาธารณรัฐโดมินิกัน ทวีปอเมริกาใต้ ได้แก่ สหพันธ์สาธารณรัฐบราซิล สาธารณรัฐอาร์เจนตินา และสาธารณรัฐโคลอมเบีย
(3.4) ทีมคะแนนสะสมอันดับโลก (FIVB World Ranking) ที่ยังไม่ผ่านเข้ารอบ 15 ทีม ได้แก่ สาธารณรัฐโปแลนด์ สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ราชอาณาจักรเบลเยียม สาธารณรัฐเช็ก เครือรัฐปวยร์โตรีโก สาธารณรัฐประชาชนยูเครนตะวันตก สาธารณรัฐฝรั่งเศส สาธารณรัฐบัลแกเรีย สาธารณรัฐคิวบา ราชอาณาจักรสวีเดน สหรัฐเม็กซิโก สาธารณรัฐสโลวีเนีย สาธารณรัฐสโลวัก ราชอาณาจักรสเปน และสาธารณรัฐเฮลเลนิก
ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
-
1. สร้างภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศไทยสู่สายตาประชาคมโลก ผ่านการถ่ายทอดสดการแข่งขันฯ และสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยวและนักลงทุนนานาชาติ ให้เห็นถึงศักยภาพความพร้อมของประเทศในทุก ๆ ด้าน ทั้งในด้านการท่องเที่ยว เศรษฐกิจ สังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะสามารถสร้างรายได้ให้กับประเทศเกิดการหมุนเวียนในระบบ และ
2. ประเทศไทยจะมีรายได้จากการใช้จ่ายเงินของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางติดตามชมการแข่งขัน มีโอกาสนำเสนอความสวยงามของแหล่งท่องเที่ยวและวัฒนธรรมอันดีงามของประเทศไทย รวมทั้งมีรายได้จากการใช้จ่ายเงินของนักกีฬา เจ้าหน้าที่ ผู้แทนองค์กรกีฬาต่าง ๆ และผู้สังเกตการณ์ ประมาณ 768,300,000 บาท มูลค่าด้านการประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อโซเชียลมีเดียทั่วโลก จากจำนวนผู้เข้าชมโดยรวมประมาณ 1,300,000,000 คน คิดเป็นมูลค่าประมาณ 5,596,500,000 บาท และก่อให้เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจโดยรวมในประเทศประมาณ 2,070,900,000 บาท คิดเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจที่คาดว่าประเทศไทยจะได้รับจากการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาดังกล่าวทั้งสิ้นประมาณ 8,435,700,000 บาท
ควักเงิน ธ.ก.ส. 3.8 หมื่นล้าน แจกชาวนาไร่ละ 1,000 บาท
นายอนุกูล พฤกษานุกูล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้
-
1. เห็นชอบการยกเลิกโครงการสนับสนุนปุ๋ยลดต้นทุนการผลิตของเกษตรกรผู้ปลูกข้าว (โครงการสนับสนุนปุ๋ยลดต้นทุนฯ) ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2567
2. เห็นชอบโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2567/68 วงเงินงบประมาณ 38,578.22 ล้านบาท โดยใช้แหล่งเงินทุนธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) 2 ส่วน ดังนี้ 1) กรอบวงเงินโครงการสนับสนุนปุ๋ยลดต้นทุนฯ จำนวน 29,518.02 ล้านบาท และ 2) กรอบวงเงินทุน ธ.ก.ส.สำรองจ่ายการดำเนินงานตามโครงการฯ เพิ่มเติมอีก จำนวน 9,060.20 ล้านบาท และให้ ธ.ก.ส. ขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีต่อไป
3. อนุมัติผ่อนปรนการไม่ถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2566 ในกรณีให้ทุกหน่วยงานหลักเลี่ยงการดำเนินการในลักษณะการให้เงินอุดหนุน ช่วยเหลือ ชดเชย หรือประกันราคาสินค้าเกษตร โดยตรงแก่เกษตรกรเฉพาะสินค้าข้าว
นายอนุกูล กล่าวว่า โครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2567/68 กรมส่งเสริมการเกษตรจะนำข้อมูลรายชื่อเกษตรที่ผ่านการขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2567/68 ส่งให้ ธ.ก.ส. ดำเนินการจ่ายเงินให้เกษตรกร ในอัตราไร่ละ 1,000 บาทไม่เกินครัวเรือน 10 ไร่ หรือครัวเรือนละไม่เกิน 10,000 บาท ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายเกษตรผู้ปลูกข้าว ประมาณ 4.61 ล้านครัวเรือนทั่วประเทศ โดยมีระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบจนถึง 30 กันยายน 2568 ส่วนระยะเวลาจ่ายเงิน หลังจากที่คณะรัฐมนตรีและคณะกรรมการ ธ.ก.ส.มีมติเห็นชอบจนถึง 30 กันยายน 2568
“การดำเนินโครงการฯ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้เกษตรสามารถดำรงชีพอยู่ได้ และสามารถลดต้นทุนการผลิตของเกษตรกรผู้ปลูกข้าวของศูนย์ข้าวชุมชนและขยายผลไปให้ครอบคลุม ประมาณ 4.6 ล้านครัวเรือน ส่งผลให้เกษตรกรมีรายได้ส่วนเหลือเพิ่มขึ้นทำให้มีอำนาจการใช้จ่ายภาคครัวเรือนของเกษตรกรและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น รวมถึงเพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายในระดับเศรษฐกิจฐานราก ซึ่งเป็นการเพิ่มการหมุนเวียนของเงินในระบบเศรษฐกิจของประเทศ ทำให้เกษตรมีเงินไว้สำหรับใช้จ่ายในการซื้อปัจจัยการผลิตข้าวหรือจ่ายค่าบริหารจัดการในการผลิตข้าว เช่น เมล็ดพันธุ์ ปุ๋ย ยา เป็นต้น” นายอนุกูล กล่าว
ห้ามนำเข้าเศษพลาสติกเริ่ม 1 ม.ค.ปีหน้า
นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติอนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง ให้เศษพลาสติกเป็นสินค้าที่ต้องห้ามในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน โดยให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไปประกอบพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ และให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงมหาดไทยไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง ให้เศษพลาสติกเป็นสินค้าต้องห้ามฯ เป็นการปรับปรุงมาตรการควบคุมนำเศษพลาสติกเข้ามาในราชอาณาจักร โดยกำหนดให้เศษ เศษตัดและของที่ใช้ไม่ได้ ที่เป็นพลาสติก ตามพิกัดศุลกากรประเภท 39.15 เป็นสินค้าที่ต้องห้ามในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร (ในพื้นที่ทั่วไปและพื้นที่เขตปลอดอากร) ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 เป็นต้นไป เพื่อให้สอดคล้องกับมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 5/2565 เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2565 ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบแล้วเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2566 (เรื่อง นโยบายกำกับการนำเข้าเศษพลาสติก) ที่กำหนดให้ห้ามนำเข้าเศษพลาสติกตั้งแต่ปี 2568 เพื่อแก้ปัญหาการล้นทะลัก และปัญหาการลักลอบนำเข้าขยะอิเล็กทรอนิกส์ปะปนมากับขยะพลาสติก รวมทั้งมีการนำเข้าเศษพลาสติกไม่เป็นไปตามที่ได้รับอนุญาต ประกอบกับการจัดการปัญหาขยะที่มีอยู่เดิมภายในประเทศยังไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ ซึ่งส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขอนามัยของประชาชน ตลอดจนยังเป็นการสนับสนุนการนำเศษพลาสติกภายในประเทศมาหมุนเวียนเพื่อใช้เป็นวัตถุดิบในโรงงาน
หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเห็นชอบด้วยในหลักการและมีความเห็นเพิ่มเติมบางประการ โดยกระทรวงมหาดไทยเห็นว่า ควรดำเนินการตามระเบียบ กฎกระทรวง มติคณะรัฐมนตรี และหนังสือเวียนที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เห็นว่า ควรแก้ไขชื่อร่างประกาศฯ เป็น “ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้เศษพลาสติกเป็นสินค้าที่ต้องห้ามในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. …” เพื่อให้สอดคล้องกับบทอาศัยอำนาจตามมาตรา 5 (1) แห่งพระราชบัญญัติการส่งออกไปนอกและการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้า พ.ศ. 2522 และสอดคล้องกับชื่อประกาศกระทรวงพาณิชย์ฉบับอื่นที่ออกโดยอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัตินี้ การอ้างบทอาศัยอำนาจในร่างประกาศฯ เห็นควรให้ตัดการอ้างวรรคหนึ่งของมาตรา 5 ออก และระบุเป็นมาตรา 5 (1) และวรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติการส่งออกไปนอกและการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้า พ.ศ. 2522 เนื่องจากตามมาตรา 5 ไม่มีอนุมาตราในวรรคอื่น และตัดวันที่คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติร่างประกาศฯ ออก เนื่องจากเป็นเนื้อหาที่ไม่ต้องระบุไว้ และร่างข้อ 3 ควรใช้คำว่า “พิกัดอัตราศุลกากร” เพื่อให้เป็นไปตามพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 และขอให้กระทรวงพาณิชย์ใช้เป็นแนวทางการเขียนร่างประกาศให้เป็นไปในแนวทางเดียวกันต่อไป
พัฒนาที่ดิน รฟท.สร้าง “บ้านเพื่อคนไทย”
นางสาวศศิกานต์ กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติรับทราบ “โครงการบ้านเพื่อคนไทย” โครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่ประชาชน โดยนำที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทยที่ไม่ได้ใช้เพื่อการเดินรถมาพัฒนาเป็นที่อยู่อาศัยภายใต้ชื่อโครงการบ้านเพื่อไทย
รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า โครงการบ้านเพื่อคนไทย เป็นโครงการเร่งด่วนตามนโยบายรัฐบาลเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับประชาชน และสร้างความมั่นคงทางด้านเศรษฐกิจและสังคมในมิติของที่อยู่อาศัยให้กับประเทศ โดยสรุปรายละเอียดได้ดังนี้
จากการสำรวจข้อมูลที่ดินที่มีศักยภาพของการรถไฟแห่งประเทศไทย เพื่อพิจารณาดำเนินการพัฒนาที่อยู่อาศัยให้แก่ประชาชนพบว่า ที่ดินรอบพื้นที่สถานีรถไฟ หรือ มีทำเลที่ตั้งใกล้กับระบบรางที่ไม่ได้ใช้ เพื่อการเดินรถมีประมาณ 38,000 ไร่ ซึ่งตั้งอยู่ในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล รวมไปถึงกระจายตัวอยู่ทุกภูมิภาคทั่วทั้งประเทศ โดยใช้เกณฑ์การพิจารณาในการคัดเลือกพื้นที่ศักยภาพ ประกอบด้วย
-
1. พื้นที่มีตำแหน่งที่ตั้งใกล้กับสถานีรถไฟของการรถไฟแห่งประเทศไทย
2. พื้นที่อยู่ในจังหวัดหลักที่เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจหรือศูนย์กลางภูมิภาค
3. พื้นที่มีตำแหน่งที่ตั้งอยู่บริเวณศูนย์กลางชุมชน
4. ความพร้อมในการพัฒนาพื้นที่
5. ความพร้อมของระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน
6. ความเป็นไปได้ในการจองสิทธิ์โครงการ
7. พื้นที่มีตำแหน่งที่ตั้งใกล้กับมหาวิทยาลัยภูมิภาค
8. อัตราความหนาแน่นของประชากรรอบพื้นที่
9. ราคาประเมินที่ดิน
จากเกณฑ์พัฒนาข้างต้นพบว่า มีพื้นที่มีศักยภาพจำนวน 112 พื้นที่ และได้ประเมินเพื่อคัดเลือกพื้นที่ที่มีศักยภาพสูงจำนวน 25 พื้นที่ รวมพื้นที่ประมาณ 700.14 ไร่ เพื่อศึกษาความเหมาะสมเบื้องต้นในการดำเนินการโครงการ โดยแบ่งการพัฒนาโครงการบ้านเพื่อคนไทยเป็น 3 ระยะ
-
1.) ระยะเร่งด่วน (พ.ศ. 2567 – 2568) โครงการบ้านเพื่อคนไทย สำหรับโครงการนำร่องแบ่งออกเป็น 2 ระยะ
-
• ระยะที่ 1 การดำเนินการโครงการอาคารชุด 3 พื้นที่ ได้แก่ พื้นที่เชียงใหม่ พื้นที่เชียงราก พื้นที่บางซื่อ กม. 11
• ระยะที่ 2 การดำเนินการโครงการบ้านพัก 3 พื้นที่ ได้แก่ พื้นที่เชียงใหม่ พื้นที่กาญจนบุรี และพื้นที่นครราชสีมา
2.) ระยะสั้น (พ.ศ. 2569-2571) โครงการบ้านเพื่อคนไทย สำหรับโครงการตามแผนงานเบื้องต้น จำนวน 22 โครงการ
3.) ระยะกลาง (พ.ศ. 2572-2576) โครงการบ้านเพื่อคนไทย สำหรับพื้นที่ที่มีศักยภาพ จำนวน 87 โครงการ
กระทรวงคมนาคมพิจารณาแล้วเห็นว่า โครงการบ้านเพื่อคนไทยเป็นโครงการที่มีประโยชน์อย่างครอบคลุมทางด้านเศรษฐกิจและสังคม ส่งเสริมการเข้าถึงการมีที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อย-ปานกลาง เพื่อเสริมสร้างคุณภาพชีวิตแก่ประชาชน สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่ได้แถลงต่อรัฐสภาเมื่อวันที่ 12 กันยายน 2567 ที่รัฐจะส่งเสริมพัฒนาศักยภาพและจัดสวัสดิการสังคมให้สอดคล้องกับสภาพสังคมที่เปลี่ยนไป สร้างความเท่าเทียมทางโอกาสและเศรษฐกิจ พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อขยายโอกาส โดยรัฐบาลจะเดินหน้าลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนาดใหญ่อย่างต่อเนื่อง ทั้งทางราง ทางน้ำ ทางถนน และทางอากาศอย่างไร้รอยต่อ รวมถึงจะเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการที่ดินของรัฐ
ดัน ‘ธีระชุณ บุญสิทธิ์’ ขึ้นอธิบดีกรมทรัพยากรน้ำ
นางสาวศศิกานต์ กล่าวต่อว่า วันนี้ที่ประชุม ครม.มีมติเห็นชอบเรื่องการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ และผู้บริหารระดับสูงของหน่วยงานรัฐมีรายบละเอียดดังนี้
1. เรื่อง การแต่งตั้งผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ พิจารณามอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค) เป็นผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ในกรณีที่ไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม หรือมีแต่ไม่อาจปฏิบัติราชการได้ ตามความในมาตรา 42 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 3 ธันวาคม 2567 เป็นต้นไป
2. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมเสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน 3 ราย เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ดังนี้
-
1. นายสุรินทร์ วรกิจธำรง รองอธิบดีกรมควบคุมมลพิษ ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
2. นายยงยุทธ นาควิโรจน์ รองอธิบดีกรมทรัพยากรน้ำบาดาล ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
3. นายธีระชุณ บุญสิทธิ์ รองอธิบดีกรมทรัพยากรน้ำ ดำรงตำแหน่ง อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำ
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 3 ธันวาคม 2567 ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
3. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี (สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี)
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอแต่งตั้ง พันเอก เฟื่องวิชชุ์ อนิรุทธเทวา เป็นกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่นายกรัฐมนตรีลงนามในประกาศแต่งตั้ง ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้เห็นชอบแล้ว
4. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอแต่งตั้ง นายเศรษฐเกียรติ กระจ่างวงษ์ (ผู้แทนสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม) เป็นกรรมการอื่นในคณะกรรมการ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร แทน นายวิณะโรจน์ ทรัพย์ส่งสุข กรรมการอื่นเดิมที่พ้นจากตำแหน่งเนื่องจากขอลาออก
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 3 ธันวาคม 2567 เป็นต้นไป และผู้ได้รับแต่งตั้งแทนนี้อยู่ในตำแหน่งตามวาระของผู้ซึ่งตนแทน
5. เรื่อง การแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีเพื่อทำหน้าที่ผู้แทนการค้าไทย
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอแต่งตั้ง นายอุเมสนัส ปานเดย์ และนายวีระพงษ์ ประภา เป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีเพื่อทำหน้าที่ผู้แทนการค้าไทย ตั้งแต่วันที่ 5 พฤศจิกายน 2567 เป็นต้นไป
อ่าน มติ ครม.ประจำวันที่ 3 ธันวาคม 2567 เพิ่มเติม