
ที่มาภาพ : www.thaigov.go.th/
นายกฯไล่นักข่าวถาม ‘ทักษิณ’ ปมถือ 2 สัญชาติ – พา ‘ยิ่งลักษณ์’ กลับบ้าน แจงอัยการสูงสุดไม่รับคดี ‘ทักษิณ’ ย้ำไม่เคยแทรกแซง ชี้ ‘ทักษิณ’ ปราศรัยอุดรฯ เป็นสีสัน – ไม่กระทบรัฐบาล ต่อสายตรง ‘ทรัมป์’ หารือภาพรวมเศรษฐกิจ เคาะแจก ‘เงินหมื่น’ คนชรา โยนบอร์ดสรรหาแจงคุณสมบัติ ‘กิตติรัตน์’ นั่งประธาน ธปท. มติ ครม.จี้ ‘ดีอี’ ออก พ.ร.ก.เร่งแบงก์คืนเงินลูกค้าถูกโกงออนไลน์ เพิ่มราคากลางนำโรงเรียนอีก 0.46 บาท ไฟเขียวคลังค้ำเงินกู้ รฟท. 17,500 ล้านบาท ยกเลิกเวนคืนอสังหาฯที่รัฐไม่ได้ใช้ประโยชน์เกิน 10 ปี ตั้ง ‘อนุกูล พฤกษานุศักดิ์’ เป็นรองโฆษกฯรัฐบาลเพิ่ม
เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2567 นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ภายหลังการประชุม ครม. เสร็จสิ้น นางสาวแพทองธาร ได้มอบหมายให้ นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี รายงานข้อสั่งการ
ปลื้ม GDP ปี’67 โต 2.6% สั่งคลังหนุนการลงทุนต่อ
นางสาวแพทองธาร กล่าวว่า สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รายงานสถานการณ์เศรษฐกิจประจำไตรมาส 3/67 ในที่ประชุม ครม. วันนี้ โดยในไตรมาส 3 จีดีพีขยับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 3 เศรษฐกิจไทยขยายตัว 2.3% และคาดว่าสิ้นปี 2567 เศรษฐกิจไทยจะขยายตัว 2.6% ถือว่าเป็นสัญญาณที่ดีของเศรษฐกิจไทย
นางสาวแพทองธาร กล่าวต่อว่า เศรษฐกิจที่เติบโตขึ้นมาจากการลงทุนของภาครัฐและการท่องเที่ยว แต่การลงทุนของภาคเอกชนยังต้องเพิ่มขึ้นไปอีก จึงสั่งการเพิ่มเติม โดยขอให้กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ สภาพัฒน์ฯและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หามาตรการเพื่อจะช่วยให้เอกชนลงทุนมากยิ่งขึ้น เพื่อทำให้จีดีพีประเทศขยับมากขึ้น
ต่อสายตรง ‘ทรัมป์’ หารือภาพรวมเศรษฐกิจ
นางสาวแพทองธาร กล่าวต่อว่า ก่อนเข้าประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ ตนมีโอกาสพูดคุยกับ โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ผ่านการประงานผ่านกระทรวงการต่างประเทศ โดยตนได้แสดงความยินดีในการเข้ารับตำแหน่ง และถ้ามีความร่วมมือใดๆ รัฐบาลไทยก็พร้อมช่วยเหลือ เพื่อสนับสนุนซึ่งกันและกัน
“ท่านประธานาธิบดีก็น่ารักมากๆ เป็นกันเอง และพูดว่า ประเทศไทยกำลังเป็นไปได้ดีใช่ไหม ถามว่าเศรษฐกิจของเรากำลังดีขึ้นเรื่อย ๆ ก็ให้กำลังใจทางตัวดิฉันด้วย ตัวดิฉันเองเชิญว่า ถ้ามีโอกาสก็อยากเชิญท่านประธานาธิบดีมา official visit ที่เมืองไทย พูดกันเนื้อหาประมาณนี้” นางสาวแพทองธาร กล่าว
ชี้ ‘ทักษิณ’ ปราศรัยอุดรฯ เป็นสีสัน – ไม่กระทบรัฐบาล
ผู้สื่อข่าวบอกว่า การเคลื่อนไหวของนายทักษิณ ชินวัตร บนเวทีปราศรัย (อบจ.อุดรธานี) อาจทำให้เกิดแรงกระเพื่อมทางการเมือง และไม่ได้เป็นไปในทิศทางบวก และหลังกล่าวจบ นางสาวแพทองธาร นิ่งคิดและทวนคำถาม ก่อนจะกล่าวว่า
“ท่านทักษิณออกมา เศรษฐกิจไม่บวก…คือ อย่างนี้นะคะ ต้องขอเล่าให้ฟังนิดนึงว่า เวลาเราไปเวทีหาเสียง หลักๆ เลย หนึ่ง เราเอานโยบายไปเล่าเป็นภาษาง่ายๆ ให้พี่น้องประชาชนเข้าใจตรงกันว่าแต่ละพรรคต้องการทำอะไรเพื่อพี่น้องประชาชนและประเทศชาติ ไม่ว่าจะเป็นการเมืองท้องถิ่นหรือของประเทศก็ตาม” นางสาวแพทองธาร กล่าว
“นอกนั้นคำพูดต่างๆ ก็เป็นสีสันที่ทำให้การพูดคุยสนุกสนานมากยิ่งขึ้น นี่คือรูปแบบของเวทีปราศรัย เพราะฉะนั้นเราก็ทำอย่างนี้เช่นกัน” นางสาวแพทองธาร กล่าว
“ส่วนเรื่องการที่ท่านทักษิณออกมา ถามว่ากระทบไหมกับเศรษฐกิจและระหว่างประเทศ ตัวดิฉันเชื่อว่าไม่ เพราะหลังจากที่ไปประชุมที่เอเปคมา ก็ได้คุยกับผู้นำหลายประเทศ ทุกคนมีสัญญาณดีมากๆ ที่อยากลงทุนกับประเทศไทย และมีความเชื่อมั่น มั่นคงมากขึ้น ก็ได้ไปคุยกับซีอีโอของธุรกิจหลายประเทศ มีโอกาสนั่งคุยเป็น CEO Lunch มีตัวดิฉันและนายกฯ แคนาดานั่งด้วยกัน มีโต๊ะกลม ซึ่งมีซีอีโอหลายประเทศนั่งอยู่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง AI คนที่เคยมาลงทุนจากไต้หวัน เรื่องนี้ได้คุยกันและคิดว่าประเทศไทยมีโอกาสอย่างมาก ฉะนั้นคิดว่าไม่น่าจะเกี่ยวข้องอะไรเลย” นางสาวแพทองธาร กล่าว
เคาะแจก ‘เงินหมื่น’ คนชรา
เมื่อถามถึงโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ หรือ เงินหมื่นเฟส 2 นางสาวแพทองธาร ตอบว่า “ตอนบ่ายนี้จะมีประชุมการกระตุ้นเศรษฐกิจอยู่แล้ว ก็ขอให้ทุกอย่างที่เกี่ยวกับการกระตุ้นเศรษฐกิจ รอหลังจากการประชุมบ่ายนี้ว่าเคาะอย่างไร ไม่ว่าใครก็ตาม เป็นการพูดในเวที ก็ขอให้มันเป็นทางการเมื่อที่ประชุมได้เคาะออกมาผ่านคนหลายๆ คน”
“ต้องผ่านที่ประชุมก่อน สิ่งที่เราคิดหรือเป็นนโยบายขึ้นมา ยังไงต้องผ่านที่ประชุมอยู่ดี” นางสาวแพทองธาร กล่าว
แจงอัยการสูงสุดไม่รับคดี ‘ทักษิณ’ ย้ำไม่เคยแทรกแซง
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่อัยการสูงสุดไม่รับดำเนินคดี ประเด็นที่นายธีรยุทธ สุวรรณเกษร ยื่นคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และพรรคเพื่อไทย ร่วมกันกระทำการอันเป็นการใช้สิทธิ หรือ เสรีภาพ เพื่อล้มล้างการปกครองฯ โดย นางสาวแพทองธาร ตอบว่า “เรื่องแบบนี้ต้องให้เป็นไปตามกระบวนการกฎหมายทั้งหมด ฉะนั้นเราก็ไม่ได้เข้าไปแทรกแซงอยู่แล้ว”
ถามต่อว่าเรื่องนี้จะสร้างความมั่นใจให้รัฐบาลหรือไม่ นางสาวแพทองธาร ตอบว่า “เราให้ผ่านไปทีละเรื่อง ถ้าเรื่องนี้เราไม่มีอะไร ก็ให้ผ่านไปทีละเรื่อง เพราะเราก็ไม่อยากไปตีเรื่องนี้ไปกระทบเรื่องนั้น อย่าให้เป็นแบบนั้นเลย”
ไล่นักข่าวถาม ‘ทักษิณ’ ปมถือ 2 สัญชาติ – พา ‘ยิ่งลักษณ์’ กลับบ้าน
เมื่อถามว่า นายกฯ ในฐานะหัวหน้าพรรคเพื่อไทย มองอย่างไรที่มีการหยิบยกเรื่องการถือสองสัญชาติ ของนายทักษิณ ไปช่วยหาเสียง ซึ่งอาจผิดกฎหมายเลือกตั้งท้องถิ่น นางสาวแพทองธาร สวนกลับว่า “นั่นสิ เอ่อ…ท่านทักษิณกลับมาแล้ว เชิญสื่อมวลชนถามท่านทักษิณได้เลยนะคะ”
ถามต่อว่า นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้ประสานกับรัฐบาลเพื่อขอกลับประเทศไทยบ้างหรือไม่ เนื่องจากนายทักษิณได้ให้สัมภาษณ์สื่อต่างประเทศว่า อาจจะกลับในช่วงสงกรานต์ปี 2568 นางสาวแพทองธาร ตอบว่า “อย่างที่บอกค่ะ ท่านทักษิณกลับมาแล้ว เชิญสัมภาษณ์ท่านทักษิณได้เลย”
ผู้สื่อข่าวพูดย้ำว่า หมายถึงนางสาวยิ่งลักษณ์ ทำให้นางสาวแพทองธาร ตอบว่า “ก็เห็นบอกทักษิณเป็นคนให้สัมภาษณ์ใช่ไหม ท่านยิ่งลักษณ์ไม่ได้มีการประสานรัฐบาลมาเลยค่ะ ถ้ามีคือโทรหาหลาน”
โยนบอร์ดสรรหาแจงคุณสมบัติ ‘กิตติรัตน์’ นั่งประธาน ธปท.
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง ประธานบอร์ด ธปท. ซึ่งมีเสียงวิจารณ์ว่าเคยดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี (นายเศรษฐา ทวีสิน) แต่ยังไม่พ้นเวลาที่กฎหมาย อาจผิดกฎหมายได้ ทำให้นางสาวแพทองธาร ตอบว่า “ก็ให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการสรรหา…ดีไหมคะ เรื่องนั้นให้เป็นอย่างนั้นละกัน คณะกรรมการสรรหาก็เป็นผู้ทรงคุณวุฒิอยู่แล้ว ฉะนั้นเราก็ปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการเลยค่ะ”
ตำหนิส่วนราชการระดมส่ง กม.ลำดับรองเข้า ครม.กระชั้นชิด
ด้านนายจิรายุ รายงานว่า จากการประชุม ครม. ทั้งหมด 10 ครั้งที่ผ่านมา นายกฯ ไม่เคยตำหนิในที่ประชุมแต่อย่างใด แต่วันนี้เป็นวันแรกที่นายกฯ ได้ตำหนิในที่ประชุมและมีข้อสั่งการเรื่องการดำเนินการออกกฎหมายลำดับรอง
“การประชุมครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายของการดำเนินการออกกฎหมายลำดับรอง ทำให้มีการเร่งเสนอข้อกฎหมายต่างๆ เข้ามายังคณะรัฐมนตรีจำนวนมาก ส่วนราชการจำนวนไม่น้อยส่งเข้ามากระชั้นชิด ทำให้ ครม. ไม่สามารถพิจารณาได้อย่างรอบคอบได้ หลายกฎหมาย หลายข้อบังคับ หลายระเบียบ จำเป็นต้องใช้ระเบียบของ ครม. ปรากฏว่าไม่สามารถดำเนินการได้” นายจิรายุ กล่าว
“นายกฯ ขอตำหนิหน่วยงานต่างๆ ที่ปล่อยปละละเลยให้เกิดปัญหานี้ขึ้น ทั้งที่บางเรื่องมีเวลาในการเตรียมการหลายปี และขอให้หน่วยงานให้ความสนใจในการวางแผน ดำเนินการเรื่องกฎหมายลำดับรอง และเรื่องอื่นๆ ที่มีการกำหนดเวลา เพื่อให้ ครม. มีเวลาเหมาะสมในการพิจารณาด้วยความรอบคอบ และไม่ให้ประชาชนเสียประโยชน์หรือมาเร่งรัดเสนอ” นายจิรายุ กล่าว
จี้พาณิชย์ – ต่างประเทศ เร่งทำ FTA ‘ไทย-เปรู’
นายจิรายุ กล่าวต่อว่า จากการประชุมเอเปค ณ ประเทศเปรู นายกฯ ได้พูดคุยกับเอกอัครราชทูตไทย หรือ ที่เรียกกันว่าทีมไทยแลนด์ และมีข้อสั่งการถึงหน่วยงานต่างๆ ดังนี้
-
• ให้กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงการต่างประเทศ เร่งจัดทำข้อตกลงการค้า FTA ไทย-เปรู ซึ่งปัจจุบันดำเนินการไปแล้วกว่า 70% ดังนั้น ขอให้เร่งให้ครบ 100% ในปีหน้า เพื่อทำให้เกิดการค้าระหว่างสองประเทศ โดยเฉพาะเรื่องการลงทุน เช่น สินค้าการเกษตรไทย
• ให้กระทรวงคมนาคม หาความร่วมมือในการวางยุทธศาสตร์ด้านการขนส่งสินค้าจากโครงการแลนด์บริดจ์ของไทย และท่าเรือของเปรู ซึ่งมีท่าเรือใหม่ในอเมริกาใต้หรือลาตินอเมริกา และให้ไปศึกษาดูว่าถ้าเชื่อมโยงกับแลนด์บริดจ์จะสามารถดำเนินการได้แบบไหน อย่างไร
สั่งพาณิชย์หารือ ‘TikTok’ เพิ่มช่องทางขายสินค้าไทย
นายจิรายุ กล่าวต่อว่า นายกฯ สั่งการให้กระทรวงพาณิชย์ ทำความร่วมมือกับแพลตฟอร์ม TikTok ในการเป็นช่องทางขายสินค้าออนไลน์ให้ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ ขนาดเล็ก (SME) รวมถึงสินค้าโอท็อปของประเทศไทยด้วย
“ผมได้ร่วมพูดคุยกับนายกฯ ผู้บริหาร TikTok ให้ความสนใจอย่างมาก ว่าสินค้าของไทย ถ้าสามารถขายในแพลตฟอร์มต่างๆ ทางออนไลน์ จะสามารถทำรายได้ให้ประเทศไทย” นายจิรายุ กล่าว
ดึง ‘WD- Google- Microsoft’ ยกระดับการศึกษาเด็กไทย
นายจิรายุ กล่าวต่อว่า นายกฯ สั่งการให้กระทรวงแรงงาน กระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงอุดมศึกษาฯ ประสานงานความร่วมมือกับบริษัทต่างๆ เช่น บริษัท Western Digital, Google, Microsoft เพื่อเทรนนิ่งยกระดับทักษะแรงงานของนักเรียนและนักศึกษาไทยในอุตสาหกรรมใหม่
“ที่ผ่านมา นักศึกษาไทยไปเรียนในต่างประเทศ ส่วนใหญ่ไปเรียนด้านการบริหาร นายกฯ บอกว่าการบริหารเมืองไทยดีอยู่แล้ว แต่เทคโนโลยีสมัยใหม่หรืออุตสาหกรรมใหม่ เช่น ดิจิทัล เอไอ น่าจะเป็นสิ่งที่ได้ศึกษาต่อไปในอนาคต” นายจิรายุ กล่าว
นอกจากนี้ นายกฯ ย้ำให้กระทรวงดิจิทัลฯ ประสานงานกับ Google ในการหาความร่วมมือด้าน Cyber Security หรือความปลอดภัยในระบบไซเบอร์ เพื่อลดปัญหาอาชญากรรมที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของไทย
เชิญชวนผู้ผลิตภาพยนตร์อเมริกาถ่ายทำในไทย
นายจิรายุ กล่าวต่อว่า นายกฯ สั่งการให้กระทรวงการต่างประเทศ และกระทรวงวัฒนธรรม เร่งหาความร่วมมือกับบริษัทภาพยนตร์ของสหรัฐอเมริกา สืบเนื่องจากที่นายกฯ เดินทางไปที่นครลอสแองเจลิส ซึ่งเป็นเมืองผลิตภาพยนตร์ชื่อดังของฮอลลีวูด (Hollywood) และได้พบกับผู้บริหาร รวมถึงสมาคมผู้ผลิตรายการโทรทัศน์ วิทยุและภาพยนตร์ของสหรัฐอเมริกา
“ควรจะยกระดับทักษะและเทคโนโลยีในการผลิต และเชิญเข้ามาใช้กองถ่ายทำในประเทศไทย ซึ่งที่ผ่านมาสหรัฐฯ ก็เดินทางมาถ่ายทำในสถานที่่ท่องเที่ยวไทยเป็นจำนวนมาก” นายจิรายุ กล่าว
จี้ ‘ทีมไทยแลนด์’ ทำงานเชิงรุก – ดึงต่างชาติลงทุนในไทย
นายจิรายุ กล่าวต่อว่า นายกฯ ขอให้ทุกกระทรวงที่มีสำนักงานในต่างประเทศ บูรณาการการทำงานร่วมกันในฐานะทีมไทยแลนด์ ยกระดับไปสู่การต่างประเทศเชิงรุก เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศและประชาชน โดยเฉพาะสถานเอกอัครราชทูตและกงสุล ซึ่งต้องทำหน้าที่เชิงรุกในการดึงดูดนักลงทุนเข้ามาลงทุนในประเทศไทย
สั่งส่วนราชการส่งเสริมผ้าไทย
นายจิรายุ กล่าวต่อว่า นายกฯ ขอให้หน่วยงาน ภายใต้กระทรวงมหาดไทย ซึ่งได้จัดงานด้านผ้าและหัตถกรรมตามแนวพระราชดำริ “ผ้าไทย ใส่ให้สนุก” ร่วมกันประชาสัมพันธ์ว่ากิจกรรมสำคัญของรัฐบาลและเชิญชวนให้ประชาชนสนใจผ้าไทย
นายจิรายุ กล่าวต่อว่า นายกฯ ยังสั่งการให้ส่วนราชการส่งเสริมการใส่ผ้าไทยในการทำงานของส่วนราชการ
วอนส่วนราชการช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ มั่นใจปีหน้าคึกคัก
นายจิรายุ กล่าวต่อว่า นายกฯ ขอให้ส่วนราชการต่างๆ ช่วยกันกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยทำนโยบายอะไรต่างๆ ออกมาให้ประชาชนได้สัมผัส และเชื่อว่าเศรษฐกิจปีหน้าของไทยจะกลับมาคึกคักอีกครั้ง
มติ ครม.มีดังนี้

ที่มาภาพ : www.thaigov.go.th
จี้ ‘ดีอี’ ออก พ.ร.ก.เร่งแบงก์ คืนเงินลูกค้าถูกโกงออนไลน์
นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า วันนี้ที่ประชุม ครม.มีมติรับทราบ ผลการดำเนินการปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ตามข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี ครั้งที่ 5/2567 โดยกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้รายงานผลการดำเนินการและจัดประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (คณะกรรมการฯ) ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงาน กสทช. สมาคมธนาคารไทย สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน กรมสอบสวนคดีพิเศษ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์และสมาคมโทรคมนาคมแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์
โดยผลการดำเนินงานที่สำคัญในระยะ 30 วัน โดยเฉพาะการแก้กฎหมายเร่งด่วนเพื่อช่วยผู้เสียหาย และป้องกันอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ซึ่งกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้เร่งดำเนินการยกร่างพระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ. 2566 ฉบับที่ 2 ในการแก้ปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ และเพิ่มความรับผิดชอบผู้ให้บริการเครือข่ายสังคมออนไลน์ ผู้ให้บริการโทรคมนาคม และสถาบันการเงินโดยมีสาระสำคัญ ดังนี้
-
1. การเร่งคืนเงินผู้เสียหาย
2. การเพิ่มสิทธิผู้เสียหาย และเพิ่มความรับผิดชอบผู้ให้บริการเครือข่ายสังคมออนไลน์ ผู้ให้บริการโทรคมนาคม และสถาบันการเงิน
3. การเพิ่มโทษการซื้อขายข้อมูลส่วนบุคคล และบทลงโทษผู้ฝ่าฝืนกฎหมาย
4. การป้องกันการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างผิดกฎหมาย
5. การระงับการใช้ซิมต้องสงสัย
ทั้งนี้ ในเดือนสิงหาคม 2567 กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้ดำเนินการปรับเป็นพินัยกับผู้ให้บริการโทรคมนาคม หรือ ISP ที่ไม่ดำเนินการตามกฎหมาย โดยได้แจ้งข้อกล่าวหา ผู้ให้บริการโทรคมนาคม หรือ ISP จำนวน 4 ราย และได้มีคำสั่งปรับพินัยผู้ให้บริการโทรคมนาคม หรือ ISP จำนวน 4 ราย รวมมูลค่าทั้งสิ้น 677,500 บาท
นางสาวศศิกานต์ กล่าวถึงผลงานการปราบปรามจับกุมอาชญากรรมออนไลน์ โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในช่วงระหว่างวันที่ 1-31 สิงหาคม 2567 เทียบกับการดำเนินงานช่วงที่ผ่านมา ดังนี้
-
1. การจับกุมคดีอาชญากรรมออนไลน์รวมทุกประเภท ในเดือนสิงหาคม 2567 มีการจับกุม จำนวน 1,945 ราย ซึ่งลดลงร้อยละ 22.04 เมื่อเทียบกับการจับกุมก่อนดำเนินการตามมาตรการปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ในช่วงเดือนมกราคม–มีนาคม 2567 ซึ่งมีการจับกุมเฉลี่ยจำนวน 2,495 คน ต่อเดือน
2. การจับกุมคดีเว็บพนันออนไลน์ ในเดือนสิงหาคม 2567 มีการจับกุม จำนวน 732 ราย ซึ่งลดลงร้อยละ 31.20 เมื่อเทียบกับการจับกุมก่อนดำเนินการตามมาตรการปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ในช่วงเดือนมกราคม – มีนาคม 2567 ที่มีการจับกุมเฉลี่ยจำนวน 1,064 คนต่อเดือน
3. การจับกุมคดีบัญชีม้า ชิมม้า ในเดือนสิงหาคม 2567 มีการจับกุม จำนวน 122 ราย ซึ่งลดลงร้อยละ 49.17 เมื่อเทียบกับการจับกุมก่อนดำเนินการตามมาตรการปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ ซึ่งมีการจับกุมเฉลี่ยในช่วงเดือนมกราคม – มีนาคม 2567 จำนวน 240 คนต่อเดือน
4. การจับกุมครั้งสำคัญของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในห้วงเดือนสิงหาคม 2567 อาทิ (1) การจับกุมเว็บพนันออนไลน์ หวยแบงก็.com มีเงินหมุนเวียนมูลค่าประมาณ 11 ล้านต่อเดือน ยึดทรัพย์สินมูลค่า 16 ล้านบาท จับกุมผู้กระทำผิดจำนวน 2 ราย (2) ปฏิบัติการบุกตรวจค้น “4 บริษัทเทรดหุ้นต่างประเทศ” หลอกลวงผู้เสียหายทั่วประเทศรวมมูลค่าความเสียหายกว่า 70 ล้านบาท จับกุมผู้เกี่ยวข้องแล้วจำนวน 4 ราย
สำหรับกรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้ดำเนินการจับกุมคดีที่สำคัญในเดือนสิงหาคม 2567 ได้แก่ การจับกุมผู้ต้องหาเพิ่มเติม จำนวน 4 ราย อันเป็นผลมาจากการสืบสวนขยายผลอย่างต่อเนื่องในการจับกุมเครือข่ายเว็บพนันออนไลน์รายใหญ่ เครือข่ายแม่มนต์ ซึ่งมีเงินหมุนเวียนกว่า 5,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ ในภาพรวมการจับกุมในเดือนสิงหาคม 2567 พบว่า มีแนวโน้มลดลงเมื่อเทียบกับการจับกุมในช่วงก่อนดำเนินการตามมาตรการปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ในช่วงเดือนมกราคม – มีนาคม 2567 โดยเฉพาะการจับกุมบัญชีม้า ชิมม้า ที่ลดลงถึงร้อยละ 49.17 ซึ่งคณะกรรมการฯ ได้กำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการให้เป็นไปตามมาตรการอย่างต่อเนื่องต่อไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
นางสาวศศิกานต์ กล่าวถึงผลงานการปิดกั้นโซเชียลมีเดีย เว็บผิดกฎหมาย และเว็บพนัน โดยกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมระยะเวลา 11 เดือน ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2566 ถึง 31 สิงหาคม 2567 เทียบกับ การดำเนินงานช่วงเวลาเดียวกันในปีงบประมาณที่ผ่านมา โดยสรุปผลได้ ดังนี้
-
1. ดำเนินการปิดกั้นเว็บไซต์ผิดกฎหมายทุกประเภท จำนวน 138,660 รายการ เพิ่มขึ้น 11 เท่า จากช่วงเวลาเดียวกันของปีงบประมาณ 2566 ที่มีการปิดกั้นเว็บไซต์ผิดกฎหมายทุกประเภท จำนวน 12,591 รายการ
2. ดำเนินการปิดกั้นเว็บไซต์ประเภทพนันออนไลน์ จำนวน 58,273 รายการ เพิ่มขึ้น 34.3 เท่า จากช่วงเวลาเดียวกันของปีงบประมาณ 2566 ที่มีการปิดกั้นเว็บไซต์ประเภทพนันออนไลน์ จำนวน 1,700 รายการ
มาตรการแก้ไขปัญหาบัญชีม้า เร่งอายัด และตัดตอนการโอนเงิน ดังนี้
-
1. การระงับบัญชีม้าสะสมถึงเดือนสิงหาคม 2567 มีการระงับบัญชีม้ารวมกว่า 1,000,000 บัญชี แบ่งเป็นสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ปิด 450,000 บัญชี ธนาคารระงับเอง 300,000 บัญชี และศูนย์ AOC ระงับ 291,256 บัญชี
2. ธนาคารแห่งประเทศไทยและสมาคมธนาคารไทย ดำเนินการยกระดับการป้องกันการเปิดบัญชีและการจัดการบัญชีม้า โดยเฉพาะบุคคลที่ยินยอมเปิดบัญชีธนาคารให้คนร้ายใช้ อาทิ การออกมาตรการระงับบัญชีของผู้ที่เปิดบัญชีให้คนร้ายทุกบัญชี และการใช้มาตรการเพื่อทำการตรวจสอบเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับลูกค้า (Customer Due Diligence : CDD) ตามระดับความเสี่ยงของผู้เปิดบัญชีใหม่ เป็นต้น
มาตรการแก้ไขปัญหาชิมม้า และชิมที่ผูกกับโมบายแบงก์กิ้ง ผลการดำเนินงานสำคัญถึงวันที่ 31 สิงหาคม 2567 ดังนี้
-
1. การระงับหมายเลขโทรศัพท์ที่มีการโทรออกเกิน 100 ครั้งต่อวัน จำนวน 80,731 หมายเลข มีผู้มายืนยันตัวตน 418 หมายเลข ส่วนที่ไม่มายืนยันตัวตน ระงับหมายเลขแล้ว จำนวน 80,313 หมายเลข
2. การกวาดล้างชิมม้าและชิมต้องสงสัย โดยสำนักงาน กสทช. และผู้ให้บริการโทรคมนาคมได้ระงับชิมม้าแล้ว จำนวนกว่า 2.8 ล้านหมายเลข
3. การขับเคลื่อนมาตรการคัดกรองผู้ใช้งานโมบายแบงก์กิ้ง ใช้ระบบคัดกรองผู้ใช้งาน (Sim Screening) ตรวจสอบหมายเลขบัตรประชาชนผู้ครอบครองหมายเลขโทรศัพท์ตรงกับหมายเลขโทรศัพท์ที่ลงทะเบียนโมบายแบงก์กิ้งกับธนาคารหรือไม่ โดยคาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จในวันที่ 30 กันยายน 2567 เพื่อตรวจสอบกลุ่มบัญชีที่มีความเสี่ยงถูกใช้เป็นบัญชีม้า ในเบื้องต้นประเมินว่ามีผู้ใช้งานที่เป็นบัญชีคนไทย 15 ล้านคน และต่างด้าว 3 ล้านคน ซึ่งจะต้องจัดทำรายละเอียดแนวทางการดำเนินงานต่อไป
นางสาวศศิกานต์ กล่าวถึงการดำเนินการเรื่องเสาโทรคมนาคม สายสัญญาณอินเทอร์เน็ต และสายโทรศัพท์ ที่ผิดกฎหมายตามแนวชายแดนประเทศเพื่อนบ้าน โดยสำนักงาน กสทช. ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ และผู้ให้บริการโทรคมนาคมในพื้นที่ดำเนินยุทธการ “ระเบิดสะพานโจร” โดยร่วมกันตรวจสอบการลักลอบลากสายสัญญาณข้ามแดนโดยไม่ได้รับอนุญาต ณ ตำบลบางทรายใหญ่ อำเภอเมืองมุกดาหาร จังหวัดมุกดาหาร และสะพานมิตรภาพไทย – ลาว แห่งที่ 2 จากการตรวจสอบพบว่า มีการลักลอบลากสายสัญญาณจากบ้านเช่าในตำบลบางทรายใหญ่ อำเภอเมืองมุกดาหาร จังหวัดมุกดาหาร ซึ่งขอใช้บริการอินเทอร์เน็ตจากผู้ให้บริการบริการอินเทอร์เน็ต 3 ราย นำมาทำ Load Balance และ ลากสายสัญญาณไฟเบอร์ออฟติกขนาด 12 Core ไปยังตู้ชุมสายสัญญาณไฟเบอร์ออฟติก (ODF) ของบริษัท ก (นามสมมุติ) ผู้รับใบอนุญาตประเภท 1 และ 3 บริเวณสะพานมิตรภาพไทย – ลาว แห่งที่ 2 โดยบริษัทฯ ดังกล่าว ไม่ได้รับอนุญาตให้บริการโทรคมนาคมออกนอกราชอาณาจักรไทย ต่อมาที่ตู้ของบริษัทฯ ดังกล่าวตรวจพบการติดตั้งอินเทอร์เน็ตจากผู้ให้บริการเพิ่มเติมอีก 3 ราย โดยสายสัญญาณที่ลากออกจากตู้ ๆ ดังกล่าวนั้นมีการลากต่อไปยังสะพานมิตรภาพไทย – ลาว แห่งที่ 2 และเชื่อมต่อไปสู่สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
นอกจากนี้ สำนักงาน กสทช. อยู่ระหว่างการจัดทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือด้านการป้องกันการให้บริการระบบโทรคมนาคมข้ามพรมแดนเพื่อการก่อการร้ายทางเศรษฐกิจและสนับสนุนการค้ามนุษย์กับกองทัพไทย ซึ่งประกอบด้วย กองบัญชา การกองทัพไทย กองทัพบก กองทัพเรือ และกองทัพอากาศ โดยจะดำเนินการให้เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานของกองทัพไทยช่วยสนับสนุนลาดตระเวนพื้นที่ชายแดนและตรวจสอบการใช้สัญญาณโทรคมนาคมข้ามพรมแดนที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยีและการค้ามนุษย์ โดยมีกำหนดการลงนามความร่วมมือภายในเดือนตุลาคม 2567
ด้านการแก้ปัญหาหลอกลวงขายสินค้าออนไลน์ โดยสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ดำเนินมาตรการแก้ไขกฎหมาย COD หรือซื้อสินค้าแบบเก็บเงินปลายทาง โดยออก “ประกาศคณะกรรมการว่าด้วยสัญญา เรื่อง ให้ธุรกิจการบริการขนส่งสินค้า โดยเรียกเก็บเงินปลายทางเป็นธุรกิจที่ควบคุมรายการในหลักฐานการรับเงิน พ.ศ. 2567” ซึ่งมีผลบังคับใช้ในวันที่ 3 ตุลาคม 2567 เป็นต้นไป เพื่อแก้ไขปัญหาการซื้อขายสินค้าหรือบริการออนไลน์แบบใช้บริการเก็บเงินปลายทาง (COD) ตามที่คณะกรรมการว่าด้วยสัญญาภายใต้สำนักงานคณะกรรมการ คุ้มครองผู้บริโภค มีมติเห็นชอบและประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อเดือนกรกฎาคม 2567 ที่ผ่านมา
นางสาวศศิกานต์ ทิ้งท้ายว่า กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้ประชุมหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สมาคมธนาคารไทย สมาคมโทรคมนาคม ในการแลกเปลี่ยนข้อมูล เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้ศูนย์ AOC 1441 เป็นแพลตฟอร์มรับและแลกเปลี่ยนข้อมูลบูรณาการข้อมูลหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อยกระดับการจัดการบัญชีม้า ชิมม้า และคนร้ายได้รวดเร็วมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ กรมพัฒนาธุรกิจการค้ามีการดำเนินการเพิ่มความเข้มงวดในการจดทะเบียนนิติบุคคล กรณีบุคคลที่สำนักงานป้องกันและปราบปราม
ออก กม.ห้ามโฆษณาเครื่องสำอางเกินจริง
นางสาวศศิกานต์ กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดข้อความโฆษณาเครื่องสำอางที่ไม่เป็นธรรมต่อผู้บริโภคหรือที่อาจก่อให้เกิดผลเสียต่อสังคมเป็นส่วนรวม พ.ศ. …. ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงสาธารณสุข เสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้
1. ร่างกฎกระทรวงกำหนดข้อความโฆษณาเครื่องสำอางที่ไม่เป็นธรรมต่อผู้บริโภคหรือที่อาจฯ คณะรัฐมนตรีได้เคยมีมติ (3 กันยายน 2567) อนุมัติหลักการ และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีการแก้ไขถ้อยคำเพียงเล็กน้อยและมิได้แก้ไขเพิ่มเติมในสาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง ยังคงหลักการตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ กล่าวคือ กำหนดข้อความที่ต้องห้ามใช้ในการโฆษณาเครื่องสำอางเพิ่มเติมจากที่พระราชบัญญัติเครื่องสำอาง พ.ศ. 2558 กำหนดไว้ โดยมีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเพิ่มเติมให้ข้อความดังต่อไปนี้ เป็นข้อความที่ต้องห้ามใช้ในการโฆษณาเครื่องสำอาง
-
1) ข้อความที่ทำให้เข้าใจว่าใช้กับบริเวณภายในร่างกายมนุษย์ แต่ไม่รวมถึงข้อความที่ใช้ในการโฆษณาผ้าอนามัยชนิดสอดหรือที่ทำให้เข้าใจว่าใช้กับฟันและเยื่อบุในช่องปาก
2) ข้อความที่ทำให้เข้าใจว่านำไปใช้ฉีดหรือใช้ร่วมกับเครื่องมือหรืออุปกรณ์ที่รุกล้ำเข้าไปในร่างกาย หรือข้อความที่ทำให้เข้าใจว่านำไปใช้ประกอบหรือใช้ร่วมกับเครื่องมือหรืออุปกรณ์เพื่อทำให้มีการผลักดันสารเข้าสู่ร่างกายลึกกว่าชั้นหนังกำพร้า (epidermis)
เพิ่มราคากลางนำโรงเรียนอีก 0.46 บาท
นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติอนุมัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) เสนอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2565 [เรื่อง ขออนุมัติปรับเพิ่มราคากลางในการจำหน่ายผลิตภัณฑ์นม โครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียน] เพื่อขออนุมัติปรับเพิ่มราคากลางในการจำหน่ายผลิตภัณฑ์นมโครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียน เพิ่มขึ้นถุง หรือ กล่องละ 0.46 บาท ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2567 เป็นต้นไป ดังนี้
(ตาราง ราคากลางนมโรงเรียน)
สาระสำคัญของเรื่อง
1. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่6 ธันวาคม 2565 เพื่อปรับเพิ่มราคากลางในการจำหน่ายผลิตภัณฑ์นมโครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียน เพิ่มขึ้นถุงหรือกล่องละ 0.46 บาท ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2567 เป็นต้นไป ซึ่งการปรับราคารับซื้อน้ำนมโคตามประกาศดังกล่าว เนื่องจากมีการปรับเพิ่มราคากลางรับซื้อน้ำนมโคขึ้นกิโลกรัมละ 2.25 บาท จึงส่งผลให้ต้นทุนการผลิตนมโรงเรียนเพิ่มขึ้นถุงหรือกล่องละ 0.46 บาท โดยคณะกรรมการอาหารนมเพื่อเด็กและเยาวชนมีมติเห็นชอบการปรับเพิ่มราคากลางนมโรงเรียนดังกล่าวแล้ว ทั้งนี้ หากมีการปรับเพิ่มราคากลางนมโรงเรียนดังกล่าวจะส่งผลให้หน่วยงานที่รับผิดชอบในการจัดซื้อนมโรงเรียน [(1) กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น (2) สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (3) กรุงเทพมหานคร และ (4) เมืองพัทยา] ต้องได้รับการอุดหนุนงบประมาณเพิ่มเติมทั้งสิ้น 777.44 ล้านบาท เพื่อจัดซื้อนมโรงเรียนสำหรับเด็กนักเรียน จำนวน 6,500,298 คน เป็นเวลา260 วัน โดยหน่วยงานที่มีงบประมาณไม่เพียงพอจะขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นต่อไป
2. กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย (มท.) กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) สำนักงบประมาณ (สงป.) สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) กรุงเทพมหานคร และคณะกรรมการโคนมและผลิตภัณฑ์นมพิจารณาแล้วเห็นควรที่คณะรัฐมนตรีจะอนุมัติหลักการ/ไม่ขัดข้อง/เห็นชอบ/เห็นด้วย โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีความเห็น/ข้อเสนอเพิ่มเติม เช่น สงป. มีความความเห็น/ข้อเสนอ
-
(1) ควรมีการพิจารณาอย่างรอบคอบถึงแหล่งที่มาของค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นเพื่อให้สามารถได้รับงบประมาณทันการจัดซื้อในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2567 และไม่ส่งผลกระทบต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง (อก.)
(2) งบประมาณที่เพิ่มขึ้นเห็นสมควรอนุมัติจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับสนับสนุนอาหารเสริม (นม) ให้หน่วยรับงบประมาณทุกแห่งและขอให้ กษ. เป็นผู้เสนอขอรับจัดสรรงบประมาณในส่วนที่เพิ่มเติม (มท. ศธ.)
(3) งบประมาณที่เพิ่มขึ้นจากการดำเนินการ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาปรับแผนปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ หรือโอนเงินจัดสรรหรือเปลี่ยนแปลงเงินจัดสรรแล้วแต่กรณี รวมถึงพิจารณานำเงินรายได้หรือเงินสะสมมาสมทบในส่วนที่เพิ่มขึ้นในโอกาสแรกก่อน สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีต่อไป ให้หน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป (สงป.)
ไฟเขียวคลังค้ำเงินกู้ รฟท. 17,500 ล้านบาท
นายคารม กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงคมนาคม (คค.) เสนอการกู้เงินของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ตามพระราชบัญญัติการรถไฟแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2474 มาตรา 39 (4) โดยให้กระทรวงการคลัง (กค.) เป็นผู้ค้ำประกัน รวมทั้งพิจารณาวิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดตามความเหมาะสม ซึ่ง รฟท. จะดำเนินการกู้เงินได้ภายหลังจากวงเงินกู้ได้รับการบรรจุไว้ในแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ที่ผ่านความเห็นชอบตามขั้นตอนแล้ว ทั้งนี้ การขอยกเว้นค่าธรรมเนียมการกู้เงินให้ รฟท. พิจารณาดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และเงื่อนไขที่เกี่ยวข้องสำหรับการกู้เงินเพื่อใช้ในการดำเนินงาน (กรณีรายได้ไม่เพียงพอสำหรับรายจ่าย) ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 วงเงิน 17,500 ล้านบาท และให้ กค. พิจารณาเร่งรัดการกำหนดหลักเกณฑ์การขอรับการจัดสรรเงินชดเชยของรัฐวิสาหกิจตามความเห็นของสำนักงบประมาณ (สงป.) ต่อไป
ให้นายจ้างตรวจสุขภาพแรงงานนอกระบบปีละครั้ง
นายคารม กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงการตรวจสุขภาพของแรงงานนอกระบบ พ.ศ. …. ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ สาระสำคัญของเรื่อง
ร่างกฎกระทรวงที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอคณะรัฐมนตรี ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ตรวจพิจารณาเสร็จแล้ว เป็นการกำหนดสิทธิการตรวจสุขภาพของแรงงานนอกระบบ เฉพาะที่เป็นแรงงานไทย กับหน่วยบริการอาชีวเวชกรรมโดยนายจ้าง เพื่อประโยชน์ในการเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมโรคจากการประกอบอาชีพ (เช่น โรคจากตะกั่วหรือสารประกอบตะกั่ว) ประกอบด้วย กรณีก่อนเข้าทำงาน กรณีก่อนกลับเข้าทำงานหลังจากการเจ็บป่วย หรือประสบอันตราย และกรณีฉุกเฉินหรือมีเหตุจําเป็นเร่งด่วน
ทั้งนี้ ได้แก้ไขเพิ่มเติมรายละเอียด เกี่ยวกับการตรวจสุขภาพของแรงงานนอกระบบ เช่น การตรวจสุขภาพก่อนเข้าทำงานภายใน 30 วัน นับแต่วันที่เริ่มทำงานและการตรวจสุขภาพให้เหมาะสมกับงานอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง (เดิม ตรวจสุขภาพ แรกเข้าภายใน 30 วัน และตรวจสุขภาพเป็นระยะ) และการแจ้งผลการตรวจสุขภาพของแรงงานนอกระบบที่ต้องแจ้งเป็นหนังสือภายใน 7 วัน นับแต่วันที่ได้ผลการตรวจสุขภาพของแรงงาน นอกระบบ (เดิม ไม่ได้กำหนดระยะเวลาการแจ้ง) สำหรับประเด็นสำคัญอื่นยังคงหลักการเดิม ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ เช่น กำหนดวันใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนด 360 วันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป การแจ้งผลการตรวจสุขภาพของแรงงานนอกระบบโดยวิธีอื่น เพื่อความสะดวกของแรงงานนอกระบบ เช่น แจ้งด้วยวาจา แจ้งโดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น ร่างกฎกระทรวงฯ มีสาระสำคัญสรุป ดังนี้
บังคับผู้ผลิต – นำเข้าบุหรี่ แจ้งส่วนผสม – สารที่เกิดจากการเผาไหม้
นายคารม กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดส่วนประกอบผลิตภัณฑ์ยาสูบ และสารที่เกิดจากการเผาไหม้ของส่วนประกอบผลิตภัณฑ์ยาสูบประเภทบุหรี่ซิกาแรตและบุหรี่ชิการ์ การแจ้งและการออกใบรับรอง พ.ศ. …. ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (สคก.) ตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เสนอ สาระสำคัญของเรื่อง
1. ร่างกฎกระทรวงกำหนดส่วนประกอบผลิตภัณฑ์ยาสูบ และสารที่เกิดจากการเผาไหม้ของส่วนประกอบผลิตภัณฑ์ยาสูบประเภทบุหรี่ซิกาแรตและบุหรี่ชิการ์ การแจ้งและการออกใบรับรอง พ.ศ. …. ที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ คณะรัฐมนตรีได้เคยมีมติ (เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2567) อนุมัติหลักการ และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ตรวจพิจารณาแล้ว ซึ่งยังคงหลักการเดิม โดยมีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ผู้ผลิต หรือ ผู้นำเข้าผลิตภัณฑ์ยาสูบ ประเภทบุหรี่ซิกาแรต และบุหรี่ซิการ์ที่จะขายในราชอาณาจักรต้องแจ้งรายการส่วนประกอบผลิตภัณฑ์ยาสูบ และสารที่เกิดจากการเผาไหม้ของส่วนประกอบผลิตภัณฑ์ยาสูบ เพื่อควบคุมและตรวจสอบส่วนประกอบผลิตภัณฑ์ยาสูบ และสารที่เกิดจากการเผาไหม้ของส่วนประกอบผลิตภัณฑ์ยาสูบที่เป็นอันตราย เช่น สารชูรส สารชูกำลัง กัญชา หรือ สารที่ทำให้เกิดสีอันอาจจูงใจ หรือ ดึงดูดให้บุริโภคผลิตภัณฑ์ยาสูบเพิ่มขึ้น แต่ได้กำหนดเพิ่มเติมสำหรับข้อยกเว้นสารอื่นใดที่ทำให้เกิดรสชาติ หรือ กลิ่นเมนทอล หรือ ชะเอม เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถใส่สารที่ใช้ในการปรุงแต่งที่จำเป็นในกระบวนการผลิตที่ทำให้เกิดขึ้นรสชาติ หรือ กลิ่นของเมนทอล หรือ ชะเอมได้ ซึ่งเป็นการปรับแก้ที่สอดคล้องกับความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และเพิ่มอำนาจให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขสามารถออกประกาศเกี่ยวกับสารอื่นที่ห้ามใส่เป็นสารที่ใช้ในการปรุงแต่งเพิ่มเติม แทนการใช้ดุลยพินิจของนายทะเบียน (เดิมจะไม่ได้กำหนดให้มีการออกประกาศกำหนด จึงเป็นดุลยพินิจของปลัดกระทรวงสาธารณสุขซึ่งเป็นนายทะเบียนในการพิจารณา) และกำหนดปริมาณสารที่เกิดจากการเผาไหม้ของส่วนประกอบผลิตภัณฑ์ยาสูบ ได้แก่ ทาร์ ต้องไม่เกิน 10 มิลลิกรัมต่อมวน นิโคติน ต้องไม่เกิน 1 มิลลิกรัมต่อมวน และคาร์บอนมอนอกไซด์ ต้องไม่เกิน 10 มิลลิกรัมต่อมวน กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขการแจ้ง การออกใบรับรอง และการออกใบแทนใบรับรอง และอายุใบรับรอง (มีอายุ 3 ปี) ตลอดจนค่าใช้จ่ายที่ผู้ผลิต หรือ ผู้นำเข้าผลิตภัณฑ์ยาสูบเป็นผู้รับผิดชอบ เช่น ค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบส่วนประกอบ ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการทำลายผลิตภัณฑ์ยาสูบที่ไม่เป็นตามที่กำหนด และค่าธรรมเนียมใบรับรองอัตราฉบับละ 100,000 บาท และใบแทนใบรับรองอัตราฉบับละ 2,000 บาท ซึ่งเป็นอัตราที่ไม่เกินตามที่กำหนดไว้ท้ายพระราชบัญญัติควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ พ.ศ. 2560
ทั้งนี้ ร่างกฎกระทรวงในเรื่องนี้ได้กำหนดระยะเวลามีผลใช้บังคับเมื่อพ้น 180 วันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา เว้นแต่การควบคุมสารที่ใช้ในการปรุงแต่งตามร่างข้อ 4 และสารที่เกิดจากการเผาไหม้ ตามร่างข้อ 5 จะมีผลใช้บังคับเมื่อครบกำหนด 4 ปีนับแต่วันที่กฎกระทรวงนี้ใช้บังคับเพื่อให้ผู้ผลิตและผู้นำเข้าผลิตภัณฑ์ยาสูบประเภทบุหรี่ซิกาแรตและบุหรี่ซิการ์ปรับตัวเพื่อปฏิบัติตามกฎหมาย
2. ร่างกฎกระทรวงฯมีรายละเอียดสรุปดังนี้
เห็นชอบ กม.ความร่วมมือของสถาบันอุดมศึกษารัฐ-เอกชน
นายคารม กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงความร่วมมือระหว่างสถาบันอุดมศึกษา พ.ศ. …. ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เสนอและให้ดำเนินการต่อไปได้ สาระสำคัญของเรื่อง
1. ร่างกฎกระทรวงฯ ที่ อว. เสนอ (คณะรัฐมนตรีได้เคยมีมติอนุมัติหลักการเมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2567) สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ตรวจพิจารณาแล้ว เป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขระหว่างสถาบันอุดมศึกษาของรัฐและเอกชนให้มีความร่วมมือในการจัดการศึกษา การวิจัย และการสร้างนวัตกรรม และในด้านอื่น ๆ รวมถึงการใช้บุคลากรร่วมกัน การร่วมกันออกค่าจ่าย การใช้ทรัพยากรร่วมกัน อาทิ การจัดทำหลักสูตร การใช้ฐานข้อมูลงานวิจัย การใช้สถานที่และอุปกรณ์ทางการศึกษาร่วมกัน การวิจัยและการสร้างนวัตกรรมร่วมกัน การรับและให้ทุนวิจัย การแบ่งปันประสบการณ์ของนักวิจัย ตลอดจนการถ่ายทอดเทคโนโลยีและการบริการ ด้านวิชาการแก่สังคม
2. ร่างกฎกระทรวงมีสาระสำคัญ สรุปได้ ดังนี้
ยกเลิกเวนคืนอสังหาฯที่รัฐไม่ได้ใช้ประโยชน์เกิน 10 ปี
นายคารม กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงการขอให้จดทะเบียนเลิกภาระในอสังหาริมทรัพย์ และการเรียกคืนเงินค่าทดแทนจากเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. …. ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ สาระสำคัญของเรื่อง
1. ร่างกฎกระทรวงการขอให้จดทะเบียนเลิกภาระในอสังหาริมทรัพย์ และการเรียกคืนเงินค่าทดแทนจากเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. …. ที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ซึ่งคณะรัฐนตรีได้เคยมีมติอนุมัติหลักการและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ตรวจพิจารณาแล้ว เป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการขอให้จดทะเบียนเลิกภาระในอสังหาริมทรัพย์ (จำเป็นต้องใช้อสังหาริมทรัพย์ แต่ไม่จำเป็นต้องเวนคืน) และการเรียกคืนเงินค่าทดแทนจากเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ที่ขอจดทะเบียนเลิกภาระในอสังหาริมทรัพย์ ในกรณีการจดทะเบียน กำหนดลักษณะภาระในอสังหาริมทรัพย์แบบไม่มีกำหนดเวลา (ถาวร เช่น การก่อสร้างอุโมงค์) แต่มิได้ใช้ตามวัตถุประสงค์ภายในกำหนดเวลา 10 ปี นับแต่วันที่จดทะเบียน เจ้าของอสังหาริมทรัพย์มีสิทธิขอให้จดทะเบียนเลิกภาระในอสังหาริมทรัพย์นั้นได้ ซึ่งจะทำให้ประชาชนได้รับสิทธิประโยชน์จากกฎหมายและสามารถกลับไปใช้ประโยชน์ในที่ดินของตนเองได้ดังเดิม
ส่วนกรณีการจดทะเบียนกำหนดลักษณะภาระในอสังหาริมทรัพย์แบบมีกำหนดเวลา เช่น ใช้สำหรับติดตั้งอุปกรณ์ขนาดใหญ่ในการก่อสร้าง เมื่อการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยดำเนินการใช้ประโยชน์ในที่ดินเสร็จแล้วจะดำเนินการส่งคืนให้แก่เจ้าของที่ดิน
2. ร่างกฎกระทรวงฯ มีรายละเอียดสรุปสาระสำคัญ
ตั้ง ‘อนุกูล พฤกษานุศักดิ์’ เป็นรองโฆษกฯรัฐบาลเพิ่ม
นายคารม กล่าวต่อว่า วันนี้ที่ประชุม ครม.มีมติแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการและผู้บริหารระดับสูงของหน่วยงานรัฐมีรายละเอียดดังนี้
1. เรื่อง การแต่งตั้งผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติเป็นหลักการ มอบหมายให้รัฐมนตรีเป็นผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในกรณีที่ไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม หรือมีแต่ไม่อาจปฏิบัติราชการได้ ตามความในมาตรา 42 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 จำนวน 2 ราย ตามลำดับ ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ ดังนี้
-
1. รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นางสาวจิราพร สินธุไพร)
2. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล)
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 19 พฤศจิกายน 2567 เป็นต้นไป
2. เรื่อง แต่งตั้งผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติเป็นหลักการ มอบหมายให้รัฐมนตรีเป็นผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในกรณีที่ไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หรือมีแต่ไม่อาจปฏิบัติราชการได้ ตามความในมาตรา 42 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 จำนวน 2 ราย ตามลำดับ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
-
1. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม (นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์)
2. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (นายสรวงศ์ เทียนทอง)
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 19 พฤศจิกายน 2567 เป็นต้นไป
3. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอแต่งตั้ง นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ เป็นข้าราชการการเมือง ตำแหน่งรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 19 พฤศจิกายน 2567 เป็นต้นไป
นายอนุกูล กล่าวทักทายสื่อมวลชนและประชาชน และกล่าวว่า “มีความยินดีและความตั้งใจอย่างสูงที่จะเป็นปากเป็นเสียงให้พี่น้องประชาชนจากนโยบายต่างๆ ของภาครัฐ หวังว่าจะเป็นส่วนหนึ่งในการสื่อสาร”
4. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศเพื่อดำรงตำแหน่งแทนผู้ซึ่งพ้นจากตำแหน่งก่อนวาระ (กระทรวงกลาโหม)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเสนอแต่งตั้ง นายพรเทพ ศรีสอ้าน เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (ด้านเศรษฐศาสตร์ หรือบริหารธุรกิจ) ในคณะกรรมการสถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ แทนกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมที่พ้นจากตำแหน่งก่อนครบวาระเนื่องจากขอลาออก
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 19 พฤศจิกายน 2567 เป็นต้นไป
5. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการคดีพิเศษ วาระปี พ.ศ. 2567 (กระทรวงยุติธรรม)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการคดีพิเศษ จำนวน 9 คน เนื่องจากกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมได้ดำรงตำแหน่งครบวาระสองปี ดังนี้
-
1. นายเพ็ชร ชินบุตร (ด้านเศรษฐศาสตร์)
2. นายณปกรณ์ ธนสุวรรณเกษม (ด้านการเงินการธนาคาร)
3. นางดวงตา ตันโช (ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ)
4. นายชาติพงษ์ จีระพันธุ (ด้านกฎหมาย)
5. นายนรินท์พงศ์ จินาภักดิ์ (ด้านกฎหมาย)
6. นางทัชมัย ฤกษะสุต (ด้านกฎหมาย)
7. พลตำรวจเอก สุทิน ทรัพย์พ่วง (ด้านการสอบสวนคดีอาญา)
8. พลตำรวจโท สำราญ นวลมา (ด้านการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน)
9. พลตำรวจเอก มนู เมฆหมอก (ด้านการปราบปรามผู้มีอิทธิพล)
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 19 พฤศจิกายน 2567 เป็นต้นไป
6. เรื่อง การสรรหากรรมการในคณะกรรมการป้องกัน และปราบปรามการทุจริตในภาครัฐแทนตำแหน่งที่ว่า’ (สำนักงาน ป.ป.ท.)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (สำนักงาน ป.ป.ท.) เสนอ นายสุภัทร์ สุทธิมนัส และนายวรวิทย์ จำปีรัตน์ เป็นบุคคลที่คณะรัฐมนตรีสรรหาและเสนอรายชื่อต่อคณะกรรมการคัดเลือกกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ เพื่อคัดเลือกให้ดำรงตำแหน่งกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (กรรมการ ป.ป.ท.) แทนนายวิโรจน์ จิวะรังสรรค์ และ พลเอก จิระ โกมุทพงศ์ กรรมการ ป.ป.ท. เดิมที่ครบวาระการดำรงตำแหน่งสี่ปี เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2567 ตามพระราชบัญญัติมาตรการของฝ่ายบริหารในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2551 และที่แก้ไขเพิ่มเติม
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 19 พฤศจิกายน 2567 เป็นต้นไป
อ่าน มติ ครม. ประจำวันที่ 19 พฤศจิกายน 2567 เพิ่มเติม