ThaiPublica > เกาะกระแส > ‘ชาญชัย’ เตรียมฟ้องศาล – ป.ป.ช.ไต่สวน ‘ราชทัณฑ์’ ปมให้ “ทักษิณ” รักษาตัว รพ. – ขัด ป.วิอาญา?

‘ชาญชัย’ เตรียมฟ้องศาล – ป.ป.ช.ไต่สวน ‘ราชทัณฑ์’ ปมให้ “ทักษิณ” รักษาตัว รพ. – ขัด ป.วิอาญา?

23 ตุลาคม 2024


นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดนครนายก พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.)

‘ชาญชัย’ เตรียมฟ้องศาลครั้งที่ 3 – ร้อง ป.ป.ช.ไต่สวนเจ้าหน้าที่ ‘ราชทัณฑ์’ ปมให้ “ทักษิณ” รักษาตัวโรงพยาบาลตำรวจ – ขัด ป.วิอาญาฯ มาตรา 246 หรือไม่? ชี้ล่าสุดรวบรวบพยานหลักฐานไปแล้วกว่า 50%

ต่อกรณีที่นายไพศาล พืชมงคล อดีตกรรมการผู้ช่วยรองนายกรัฐมนตรี ออกมาระบุว่า นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดนครนายก พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) เตรียมร้องต่อศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง โดยขอให้ศาลฯไต่สวน กรณีกรมราชทัณฑ์นำตัวนายทักษิณ ชินวัตร ออกจากเรือนจำไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจ ผิดกฎหมาย เนื่องจากไม่ได้ร้องขออนุญาตต่อศาลฯก่อน และการไปรักษาตัวที่นี้ ไม่ถือว่าเป็นการถูกจำคุก ไม่เข้าเงื่อนไขที่จะขอพักโทษ หรือ ทุเลาโทษ โดยกรมราชทัณฑ์ต้องบังคับการลงโทษ ตามคำพิพากษาศาลนั้น

นายชาญชัย ชี้แจงว่า “ที่ผ่านมาผมเคยยื่นคำร้องต่อศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองไป 2 ครั้ง คือ ยื่นคำร้องต่อศาลฯครั้งแรก เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2566 โดยผมและนายนิติธร ล้ำเหลือ ทนายความ ได้ร่วมกันยื่นร้องต่อศาลฯในประเด็นที่ว่า นายทักษิณได้รับโทษจำคุก และได้ขอพระราชทานอภัยโทษ ลดโทษเหลือ 1 ปี แต่เหตุใดจึงไม่ถูกจำคุกตามคำพิพากษาของศาลแม้แต่วันเดียว โดยมีรายละเอียดข้อเท็จจริง และพฤติกรรมการกระทำของเจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์ที่ไม่ได้ดำเนินการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา และคำสั่งของศาลฯหรือไม่

และในวันเดียวกันนั้น ศาลฯได้มีคำวินิจฉัย และแจ้งให้ผมทราบว่า “ศาลฯออกหมายจำคุก เมื่อคดีถึงที่สิ้นสุดไปแล้ว การบังคับโทษ และอนุญาตให้ส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ เป็นอำนาจหน้าที่ของกรมราชทัณฑ์ ปัญหาว่า เจ้าหน้าที่ของกรมราชทัณฑ์ปฏิบัติชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลฯ จึงไม่ต้องไต่สวน ให้ยกคำร้อง”

“จากคำวินิจฉัยของศาลฯในวันนั้น ทำให้ผมเข้าใจได้ว่าศาลฯได้ชี้ประเด็นกลับมาให้ดูว่า เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ทำผิดกฎหมายเรื่องใด มีพฤติกรรมเช่นใด เพราะคำร้องนี้ ผมร้องเกี่ยวกับพฤติการณ์ของเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ ถ้าเป็นความผิดเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ ต้องไปร้องต่อศาลอื่น ศาลฎีกาแผนคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ไม่มีอำนาจวินิจฉัย” นายชาญชัย กล่าว

นายชาญชัย กล่าวต่อว่า “ต่อมาเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธุ์ 2567 ผมได้ ยื่นคำร้องต่อศาลฯเป็นครั้งที่ 2 ตามข้อกำหนดเกี่ยวกับการดำเนินคดีของศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ.2562 ว่าด้วยหมวด 9 การบังคับคดีข้อ 61 และ 62 ว่า มีกฎหมาย มาตรา 246 และบทบัญญัติอื่นที่เกี่ยวข้อง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา รวมถึงมาตรา 6 ของ พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ พ.ศ.2560 ที่ระบุ “…มิให้ออกกฎกระทรวง หรือ มาตรการบังคับโทษด้วยวิธีการอื่น ที่ขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา…” กรณีกรมราชทัณฑ์ปฏิบัติต่อนายทักษิณ ชินวัตร เป็นไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาหรือไม่ และการที่นายทักษิณ ออกมานอนรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจ ถือเป็นการทุเลาโทษ และชอบด้วยกฎหมาย หรือไม่”

คำร้องครั้งที่ 2 นี้ ศาลฯจึงมีคำวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้วเห็นว่า กรณีไม่ปรากฏ มีการทุเลาการบังคับโทษ จึงไม่ต้องตามบทบัญญัติประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 246 และมาตราอื่นที่ผู้ร้องอ้างมา จึงไม่ต้องไต่สวนให้ยกคำร้อง”

“การที่ศาลฯวินิจฉัยเช่นนี้ ทำให้ผมเข้าใจได้ว่า มาตรา 246 อยู่ในอำนาจของศาลที่สามารถวินิจฉัยได้ แต่ไม่มีการยื่นคำร้องขอทุเลาโทษจากเจ้าหน้าที่ และผู้เกี่ยวข้อง เสมือนศาลต้องการให้ผมไปเขียนคำฟ้องใหม่ โดยต้องรวบรวมพยานหลักฐาน และตัวผู้กระทำความผิดให้ครบถ้วน จึงสามารถยื่นคำร้องใหม่เป็นครั้งที่ 3 ต่อศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้ ซึ่งขณะนี้ผมสามารถรวบรวมพยาน หลักฐาน พฤติการณ์การกระทำความผิดได้ 50% แล้ว หรือ อาจจะยื่นเรื่องนี้ต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ให้รับไปดำเนินการต่อให้แล้วเสร็จ” นายชาญชัย กล่าว

นายชาญชัย กล่าวต่อว่าตนและคณะได้ทำหน้าที่ในฐานะพลเมืองที่ต้องการรักษาความยุติธรรมและ ความถูกต้อง ตามมาตรา 63 ของรัฐธรรมนูญ โดยการชี้เป้าให้ศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง รับทราบพฤติการณ์ และข้อเท็จจริงข้อกฎหมาย เพื่อให้ประชาชนได้เรียนรู้ ถึงปัญหากระบวนการยุติธรรมที่ถูกกัดเซาะ บ่อนทำลาย ว่า เหตุใดเมื่อทรงพระราชทานอภัยโทษ โดยลดโทษให้เหลือ 1 ปีแล้ว ทำไมหน่วยงานราชการของรัฐจึงไม่ปฏิบัติตาม ทั้งนี้ ตนขอแจ้ง สิทธิของพลเมืองต่อพี่น้องประชาชนผู้ที่ต้องการรักษาผดุงความยุติธรรมว่า ตามข้อกำหนดเกี่ยวกับการดำเนินคดีของศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. 2562 หมวด 9 เกี่ยวกับการบังคับคดี ข้อที่ 62 ระบุไว้ว่า “เมื่อบุคคลภายนอกยื่นคำร้อง หรือ คำขอต่อศาลในชั้นบังคับคดี ให้ผู้พิพากษาประจำแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในศาลฎีกาอย่างน้อย 3 คน เป็นองค์คณะพิจารณาชี้ขาดคำร้อง หรือ คำขอดังกล่าว” หรือ พูดตามภาษาชาวบ้านให้เข้าใจง่าย ๆว่า “ประชาชนคนไทยทุกคนมีสิทธิ์ที่จะยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาได้ตามกฎหมายนี้”

ก่อนหน้านี้หลังจากนายชาญชัยไปยื่นคำร้องต่อศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองครั้งแรกเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2566 และศาลมีคำสั่งยกคำร้องในคดีดังกล่าว โดยให้เหตุผลว่าศาลฎีกาฯได้ออกหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดไปแล้ว การบังคับโทษ และการอนุญาตให้ส่งตัวผู้ต้องขัง ไปรักษาตัวนอกเรือนจำเป็นอำนาจหน้าที่ของกรมราชทัณฑ์ แต่มีปัญหาว่าเจ้าหน้าที่ของกรมราชทัณฑ์ปฏิบัติหน้าที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ซึ่งประเด็นนี้ไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลฎีกา ฯ

  • “ชาญชัย” เตรียมฟ้อง‘ราชทัณฑ์’ ปมให้ “ทักษิณ” รักษาตัว รพ.ต่อ – ขัด ป.วิอาญาฯ?
  • อธิบดีกรมราชทัณฑ์ ไฟเขียว “ทักษิณ” นอน รพ.ต่อ
  • กรมราชทัณฑ์แจงส่ง “ทักษิณ” รักษาตัว รพ.ตำรวจ
  • นายชาญชัย จึงมาตรวจดู และศึกษาตามคำสั่งของศาลฎีกาฯ ที่ระบุว่า “ปัญหาว่าเจ้าหน้าที่ของกรมราชทัณฑ์ปฏิบัติหน้าที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่” พบว่าในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ภาค 6 การบังคับตามคำพิพากษา และค่าธรรมเนียม ในหมวด 1 ของการบังคับตามคำพิพากษา มาตรา 246 ระบุว่า “เมื่อจำเลย สามี ภริยา ญาติของจำเลย พนักงานอัยการ ผู้บัญชาการเรือนจำ หรือ เจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่จัดการตามหมายจำคุก ร้องขอ หรือ เมื่อศาลเห็นสมควร ศาลมีอำนาจสั่งให้ทุเลาการบังคับให้จำคุกไว้ก่อน จนกว่าเหตุอันควรทุเลาจะหมดไป ในกรณีต่อไปนี้

      (1) เมื่อจำเลยวิกลจริต
      (2) เมื่อเกรงว่าจำเลยจะถึงอันตรายแก่ชีวิต ถ้าต้องจำคุก
      (3) ถ้าจำเลยมีครรภ์ และ
      (4) ถ้าจำเลยคลอดบุตรแล้วยังไม่ถึงสามปี และจำเลยต้องเลี้ยงดูบุตรนั้น….

    นายชาญชัย กล่าวต่อว่า แต่ข้อเท็จจริงที่ปรากฏตาม คำชี้แจงของกรมราชทัณฑ์เมื่อวันที่ 11 มกราคม 2567 สรุปสาระสำคัญได้ว่า การที่กรมราชทัณฑ์ได้ส่งตัวนายทักษิณ ชินวัตร ออกจากเรือนจำมารักษาที่โรงพยาบาลตำรวจเกินกว่า 120 วัน ตั้งแต่วันที่ 23 สิงหาคม 2566 โดยเรือนจำพิเศษกรุงเทพได้ประสานโรงพยาบาลตำรวจ ซึ่งแพทย์ได้รายงานอาการเจ็บป่วยที่ต้องเฝ้าระวังอยู่ระหว่างการรักษาของแพทย์เฉพาะทาง และต้องดูแลอย่างใกล้ชิดถึงอาการป่วย เพื่อให้พ้นจากสภาวะอันตรายแก่ชีวิต ซึ่งตรงกับบทบัญญัติของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ภาค 6 มาตรา 246 (2) ที่ระบุว่า “เมื่อเกรงว่าจำเลยจะถึงอันตรายแก่ชีวิตถ้าต้องจำคุก” ซึ่งอธิบดีกรมราชทัณฑ์ได้พิจารณาความเห็นของแพทย์ผู้ทำการรักษาแล้วได้มีความเห็นว่า “ยังต้องอยู่ดูแลรักษาอย่างใกล้ชิด จึงพิจารณาเห็นชอบเมื่อวันที่ 8 มกราคม 2567 ให้นายทักษิณอยู่รักษาตัวต่อยังโรงพยาบาลตำรวจ เพราะยังมีอาการเจ็บป่วยที่ต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดโดยแพทย์ผู้ทำการรักษาเฉพาะทาง และหากเกิดภาวะแทรกซ้อน หรือ อาการที่อาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตจะได้รักษาทันท่วงที” โดยกรมราชทัณฑ์ได้ปฏิบัติตามกฎกระทรวงยุติธรรม จึงรายงานให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมทราบต่อไป ซึ่งเป็นไปตามกฎกระทรวงกรณีการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ พ.ศ. 2563

    คำถามก็คือกฎกระทรวงฉบับดังกล่าวนี้ ขัดกับประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 246 (2) ซึ่งกรมราชทัณฑ์ต้องทำเรื่องขอให้ศาลสั่งทุเลาโทษก่อน รวมทั้งขัดกับ พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ พ.ศ.2560 มาตรา 6 ที่ระบุว่า “กรมราชทัณฑ์อาจดำเนินการให้มีมาตรการบังคับโทษด้วยวิธีอื่น นอกจากการควบคุม ขัง หรือ จำคุกไว้ในเรือนจำ แต่มาตรการดังกล่าวต้องไม่ขัดดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา…” หรือไม่ อย่างไร