
“ชาญชัย” เตรียมฟ้องเจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์อ้างกฎกระทรวงฯ ปมให้ “ทักษิณ” รักษาตัวใน รพ.ต่อ – ขัด ป.วิอาญา ม.246 (2) หรือไม่? ชี้หากเข้าข่ายการทุเลาโทษตามกฎหมาย – เมื่อหายจากอาการเจ็บป่วยแล้ว อาจต้องกลับมาเริ่มจำคุกใหม่ตามคำพากษาศาลฎีกา แผนกคดีอาญานักการเมืองต่อไป
เมื่อวันที่ 13 มกราคม 2567 นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีต ส.ส.จังหวัดนครนายก พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวถึงกรณีที่ตนเคยไปร้องขอให้ศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2566 ให้ดำเนินการไต่สวน บังคับคดีตามคำพิพากษาในกรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และเป็นนักโทษชาย ได้เข้ารับการรักษาอาการป่วยที่โรงพยาบาลตำรวจกว่า 120 วัน โดยศาลฎีกาฯได้มีคำสั่ง ยกคำร้องในคดีดังกล่าว โดยให้เหตุผลว่าศาลฎีกาฯได้ออกหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดไปแล้ว การบังคับโทษ และการอนุญาตให้ส่งตัวผู้ต้องขัง ไปรักษาตัวนอกเรือนจำเป็นอำนาจหน้าที่ของกรมราชทัณฑ์ แต่มีปัญหาว่าเจ้าหน้าที่ของกรมราชทัณฑ์ปฏิบัติหน้าที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ซึ่งประเด็นนี้ไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลฎีกา ฯ จึงให้ยกคำร้องนั้น
ต่อมา เมื่อตนได้ตรวจดู และศึกษาตามคำสั่งของศาลฎีกาฯ ที่ระบุว่า ปัญหาว่าเจ้าหน้าที่ของกรมราชทัณฑ์ปฏิบัติหน้าที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่นั้น นายชาญชัย กล่าวว่า ตนได้ไปตรวจดู และศึกษาประเด็นข้อกฎหมายแล้ว พบว่าในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ภาค 6 การบังคับตามคำพิพากษา และค่าธรรมเนียม ในหมวด 1 ของการบังคับตามคำพิพากษา มาตรา 246 ระบุว่า “เมื่อจำเลย สามี ภริยา ญาติของจำเลย พนักงานอัยการ ผู้บัญชาการเรือนจำ หรือ เจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่จัดการตามหมายจำคุก ร้องขอ หรือ เมื่อศาลเห็นสมควร ศาลมีอำนาจสั่งให้ทุเลาการบังคับให้จำคุกไว้ก่อน จนกว่าเหตุอันควรทุเลาจะหมดไป ในกรณีต่อไปนี้
-
(1) เมื่อจำเลยวิกลจริต
(2) เมื่อเกรงว่าจำเลยจะถึงอันตรายแก่ชีวิต ถ้าต้องจำคุก
(3) ถ้าจำเลยมีครรภ์ และ
(4) ถ้าจำเลยคลอดบุตรแล้วยังไม่ถึงสามปี และจำเลยต้องเลี้ยงดูบุตรนั้น….”
นายชาญชัย กล่าวต่อว่า แต่ข้อเท็จจริงที่ปรากฏตาม คำชี้แจงของกรมราชทัณฑ์เมื่อวันที่ 11 มกราคม 2567 สรุปสาระสำคัญได้ว่า การที่กรมราชทัณฑ์ได้ส่งตัวนายทักษิณ ชินวัตร ออกจากเรือนจำมารักษาที่โรงพยาบาลตำรวจเกินกว่า 120 วัน ตั้งแต่วันที่ 23 สิงหาคม 2566 โดยเรือนจำพิเศษกรุงเทพได้ประสานโรงพยาบาลตำรวจ ซึ่งแพทย์ได้รายงานอาการเจ็บป่วยที่ต้องเฝ้าระวังอยู่ระหว่างการรักษาของแพทย์เฉพาะทาง และต้องดูแลอย่างใกล้ชิดถึงอาการป่วย เพื่อให้พ้นจากสภาวะอันตรายแก่ชีวิต ซึ่งตรงกับบทบัญญัติของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ภาค 6 มาตรา 246 (2) ที่ระบุว่า “เมื่อเกรงว่าจำเลยจะถึงอันตรายแก่ชีวิตถ้าต้องจำคุก” ซึ่งอธิบดีกรมราชทัณฑ์ได้พิจารณาความเห็นของแพทย์ผู้ทำการรักษาแล้วได้มีความเห็นว่า “ยังต้องอยู่ดูแลรักษาอย่างใกล้ชิด จึงพิจารณาเห็นชอบเมื่อวันที่ 8 มกราคม 2567 ให้นายทักษิณอยู่รักษาตัวต่อยังโรงพยาบาลตำรวจ เพราะยังมีอาการเจ็บป่วยที่ต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดโดยแพทย์ผู้ทำการรักษาเฉพาะทาง และหากเกิดภาวะแทรกซ้อน หรือ อาการที่อาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตจะได้รักษาทันท่วงที” โดยกรมราชทัณฑ์ได้ปฏิบัติตามกฎกระทรวงยุติธรรม จึงรายงานให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมทราบต่อไป ซึ่งเป็นไปตาม กฎกระทรวงกรณีการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ พ.ศ. 2563นั้นขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 246 (2) หรือไม่ อย่างไร ทั้งที่กรมราชทัณฑ์ต้องทำรายงานขออนุญาตต่อศาล รวมทั้งต้องทำเรื่องขอให้ศาลทุเลาโทษจำคุก โดยให้รักษาตัวให้หายจากอาการป่วยเสียก่อน แล้วค่อยกลับมารับโทษจำคุกตามคำพิพากษาของศาลฯต่อไป
“กรณีอ้างเหตุเจ็บป่วยไม่ยอมเข้ารับโทษในเรือนจำ น่าจะเข้าหลักเกณฑ์เรื่องการทุเลาโทษจำคุกตาม ป.วิ อาญา ม. 246 (2) ดังนั้น หากเป็นการทุเลาโทษจำคุก อาจถือได้ว่า นายทักษิณยังไม่ได้รับโทษจำคุก จนกว่าจะหายป่วย และส่งตัวเข้าเรือนจำตามปกติจึงจะเริ่มรับโทษจำคุกใหม่ การพักโทษก็ยังไม่เริ่มนับเช่นเดียวกัน ศาลยังไม่ได้สั่งให้ทุเลาโทษจำคุก แต่กลับไปทุเลากันเอง ถามว่า เรื่องนี้ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ อย่างไร กรณีดังกล่าวนี้ ผมเห็นว่าเป็นการทำความผิดกฎหมาย ป. วิอาญา ม.246 และขัดต่อคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งผมจะนำเรื่องนี้ยื่นฟ้องร้องต่อศาลยุติธรรม และรวมถึงผู้กระทำความผิดอื่นที่ไม่ใช่เจ้าหน้าที่ของรัฐที่ร่วมกระทำความผิด ซึ่งเป็นทั้งตัวการและผู้สนับสนุนให้เกิดการกระทำความผิด” นายชาญชัย กล่าว