1721955
“กบที่ถูกปาก้อนหินใส่… ใครเป็นคนปาหิน? แล้วปาใส่ฉันทำไม?” เป็นประโยคหลอกหลอนซ้ำ ๆ ที่เราคนดูจะได้ยินไปตลอดทุกอีพีของซีรีส์ The Frog (2024)
‘The Frog เต็มไปด้วยเสน่ห์ของพล็อตเรื่องคู่ขนานที่เข้มข้นด้วยการทับซ้อนกันหรือบางทีก็แยกออกจากกัน ด้วยกลวิธีเล่าเรื่องในแบบระทึกขวัญอย่างชำนาญ’ – นักวิจารณ์ อีดงจิน
The Frog คือสุดยอดซีรีส์ที่ทุกคนรอคอย เพราะมันสร้างมาจากสคริปต์ซีรีส์เรื่อง 모두 그곳에 있다 (ทุกคนอยู่ที่นั่น) โดย ซอนโฮยอง ซึ่งคว้ารางวัลยอดเยี่ยมในการประกวดนักเขียนหน้าใหม่ของช่อง JTBC เมื่อปี 2021 อีกทั้งมันยังถูกกำกับโดย โมวันอิล เจ้าของรางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยม Baeksang Arts Awards ผู้ที่ทำให้ซีรีส์ช่อง JTBC เรื่อง The World of the Married (2020) ยังคงครองตำแหน่งซีรีส์เรตติ้งสูงสุดตลอดกาลอย่างไม่มีใครคว่ำลงได้มาจนทุกวันนี้
“โครงเรื่องที่เชื่อมโยงกันอย่างซับซ้อน โดยอาศัยกลไกพล็อตที่ไม่เหมือนใคร บวกกับการใช้แสง สี และดนตรีอย่างเชี่ยวชาญเพื่อสร้างบรรยากาศให้กับแต่ละฉาก…ลำพังแค่การแสดงระดับพันล้านโดยเฉพาะในช่วงครึ่งหลังก็ทำให้ซีรีส์ The Frog เรื่องนี้คุ้มค่าแก่การรับชมแล้ว”–เรจิน่าคิม นิตยสาร Forbes
ตอนประกาศโปรเจกต์ซีรีส์นี้ใช้ชื่อภาษาอังกฤษว่า Alone in the Woods (เดียวดายกลางป่าลึก) ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็น The Frog ส่วนชื่อเกาหลีที่ใช้อยู่ตอนนี้มีความหมายว่า “ในป่ากับการไม่มีใคร” และสิ่งที่ซีรีส์ไม่เคยอธิบายเอาไว้เลยคือคำว่า “กบ” ในชื่อเรื่องซึ่งเราจะได้ยินเสียงกบร้องเป็นช่วง ๆ ในซีรีส์นี้ มาจากสุภาษิตเกาหลีโบราณ 무심코 던진 돌에 개구리는 맞아 죽는다 (กบบังเอิญถูกหินปาโดยไม่คิดว่าจะตาย) อาจจะเทียบได้กับคำไทยที่ว่า “คำพูดเป็นนาย” ในสารานุกรมวัฒนธรรมเกาหลี สถาบันเกาหลีศึกษาอธิบายไว้ว่า ‘ในแง่หนึ่งเป็นคำเตือนให้จงระวังคำพูด เพราะคำพูดที่หลุดออกจากปากเราไปโดยไม่รู้ตัวหรือโดยบังเอิญ เหมือนดั่งบังเอิญปาหินสุ่มไปใส่กบตัวใดตัวหนึ่งสักตัว แม้เราจะไม่ตั้งใจ และไม่ได้เจาะจงว่าจะเป็นกบตัวไหน แต่กลับก่อให้เกิดผลเลวร้ายลุกลามตามมา…จนถึงแก่ความตาย
แต่ในอีกแง่หนึ่งมันแฝงความหมายถึงการต่อสู้กับผู้ที่มีอำนาจเหนือกว่า หากเราอยู่ในฐานะผู้ด้อยอำนาจ การโต้ตอบจะไม่มีประโยชน์อะไรเลย เพราะรังแต่กบตัวเล็ก ๆ จะถูกหินปาใส่ซ้ำแล้วซ้ำอีก โดยเราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าไอ้มือปามันเป็นใคร หรืออันที่จริงมันก็แค่สนุกมือสนุกปาก ดังนั้นจงเลี่ยงหรือหนีออกไปจากสถานการณ์นั้น ก่อนที่เราจะกลายเป็นฝ่ายตายเสียเอง และจะทำให้เราหมดโอกาสตอบโต้อีกเลย คือไม่จำเป็นต้องอดทนต่อการถูกทำร้าย หรือรู้สึกว่าเป็นผู้พ่ายแพ้ แต่จงเก็บเอาความเคียดแค้นนั้นไว้เป็นพลัง…ตราบเท่าที่ยังมีลมหายใจอยู่’
‘ในอีกด้านหนึ่ง The Frog จงใจจะคลุมเครือ ให้ข้อมูลไม่ชัดเจน และพยายามเบี่ยงเบนความสนใจให้เรางุนงง แต่ไม่ใช่ว่า The Frog จะดูยาก แปดตอนของเรื่องนี้ลื่นไหลราวกับดื่มโซจู ดำรงอยู่ในภูมิทัศน์ที่สวยงาม เหมาะกับผู้ที่เบื่อหน่ายรสชาติที่ขุ่นมัว แอ็คชั่นที่จัดแสงคลุมเครือ และบทสนทนางึมงำ คิมยุนซ็อกเหนื่อยล้าอย่างเห็นได้ชัดในบทเจ้าของบ้านผู้ใช้ชีวิตบั้นปลาย ส่วนโกมินซีก็ถ่ายทอดพลังชั่วร้ายได้อย่างน่าดึงดูดใจ ซีรีส์นี้มีส่วนผสมของหญิงใจเหี้ยมอย่างในหนัง Misery, Gon Girls และ Killing Eve’ –นิค ฮิลตัน หนังสือพิมพ์ Independent
The Frog เป็นซีรีส์สุดลุ้นระทึก สยดสยองและตึงเครียดที่เล่าอย่างมีชั้นเชิง ใส่ใจทุกรายละเอียด ท่ามกลางบรรยากาศงดงามแสนสงบ เป็น 8 ตอนจบที่ไม่เว้นช่องว่างให้พักได้เลย เรายอมรับว่าปกติเป็นคนดูซีรีส์เร็วมากเพราะสกิปต์ข้าม ๆ เน้นแต่ช่วงสำคัญ แต่กลายเป็นว่า The Frog ไม่มีตรงไหนที่จะกดข้ามได้เลย ทุกองค์ประกอบถูกเล่าอย่างมีนัยยะแม้แต่เสียงลมบางเบา หรือกิ่งไม้หัก ล้วนถูกบรรยายอย่างละเมียดละไม และลุ้นตามไปด้วยทุกวินาทีจนแทบลืมหายใจ
ซีรีส์เล่า 2 เหตุการณ์ที่เหมือนจะไม่เกี่ยวข้องกัน หนึ่งคือ ชอนยองฮา (คิมยุนซ็อก ส่วนใหญ่เขาจะแสดงแต่หนังใหญ่ที่บ้านเราน่าจะคุ้นเขาจากหนังทำเงินสูงสุดและชิงออสการ์เรื่อง Escape from Mogadishu-2021 หรือไม่ก็หนังไล่ล่าคดีพลิก The Chaser-2008 ส่วน The Frog นับเป็นการกลับมาแสดงซีรีส์ของเขาในรอบ 18 ปี) ชายชราอดีตซีอีโอผู้เกษียณก่อนวัยหนีความวุ่นวายในเมืองมาทำธุรกิจบ้านพักให้เช่ากลางป่ากลางเขา กับมิตรสหายที่เกื้อกูลกันทางธุรกิจไม่ว่าจะบ้านพักให้เช่าใกล้เคียงกัน หรือร้านคาเฟ่ซักแห้ง แล้วจู่ ๆ ก็มีหญิงแปลกหน้าแต่งตัวเรียบง่ายแต่มีระดับและดูแพง มาเข้าพักกับเด็กชายตัวเล็ก ๆ สุดคิ้วไม่มีพิษมีภัย
อีกเหตุการณ์เป็นครอบครัวพ่อแม่ลูกชายหนึ่ง สร้างโมเต็ลเล็ก ๆ ริมทางในชนบทห่างไกล ด้วยความอัธยาศัยดีของเจ้าของโมเต็ลอย่าง กูซังจุน (ยุนคเยซัง จากซีรีส์ The Kidnapping Day-2023, Kiss Sixth Sense-2022, Crime Puzzle-2021, The Good Wife-2016) ด้วยแค่ว่าเขาอยากจะเชื้อเชิญใครสักคนให้เข้ามาพักสักรายในวันฝนตกที่ลูกค้าไม่เข้า เขาจึงเผอิญไปชวนชายท่าทางไม่น่าไว้ใจคนหนึ่งที่เผอิญขับเข้ามาอยู่ในเส้นทางผ่านโมเต็ล แถมยังอัพเกรดห้องพักวิวดีให้ด้วย โดยทั้งสองเหตุการณ์นี้พวกเขาไม่รู้เลยว่าจะตามมาซึ่งหายนะที่สร้างบาดแผลลึกร้ายให้แก่ครอบครัวและตัวเองไปตลอดกาล
นังตัวร้ายจอมคลั่งของเรื่องแสดงโดย โกมินซี ดารานางแบบผู้โด่งดังจากซีรีส์ Love Alarm (2019–2021), Sweet Home (2020–2023), Youth of May (2021) ที่คราวนี้เธอพลิกบทบาทเป็นนางสุดเหี้ยมในระดับที่จะไม่มีใครในซีรีส์เกาหลีเรื่องไหนจะเหี้ยมได้เท่านางได้อีกเลยนับจากนี้
ส่วนดาราดังอีกรายในบทตำรวจสายสืบฉายา “ผู้ล่า” แสดงโดย อีจองอึน จากหนังคานส์ออสการ์ Parasite (2019) และซีรีส์ดัง ๆ อาทิ Miss Night and Day (2024), Juvenile Justice (2022) และStrangers From Hell (2019) ส่วนบทเภสัชกรสาวสุดแกร่งลูกลุงเจ้าของบ้านพักกลางป่า แสดงโดย โรยุนซอ จาก Crash Course in Romance (2023) ผู้กำกับเดียวกันกับซีรีส์แสนจะโรแมนติกคอมิดี้ Hometown Cha-Cha-Cha (2021)
และเราเชื่อว่าหลายคนน่าจะอยากรู้จักน้อนผู้ชายโซคิ้ว โชยอจุน น้องมีสามพี่น้องชายสองหญิงหนึ่ง (โชยอบิน, โชยอนา และน้องเป็นคนเล็กสุด โชยอจุน) ที่ทั้งหมดเป็นนักแสดงและนายแบบนางแบบเด็ก สามารถติดตามไอจีของแม่น้อง ๆ ได้เลยที่ https://www.instagram.com/bina_sweets ส่วนใครที่อยากตามผลงานน้องโชยอจุน ตอนนี้น้อนมีซีรีส์ Love Next Door (2024) แสดงเป็นพระเอกตอนเด็กได้น่ารักมว้ากคอนเฟิร์ม! ผู้กำกับเดียวกันกับ Hometown Cha-Cha-Cha อีกเช่นกัน
โกมินซี นอกจากจะมาในบทนังเหี้ยมสุดขีดคลั่ง ลูกคุณ (ศัพท์พี่จะเลย ย่อมาจาก ลูกคุณหนู) อันที่จริงสิ่งที่เธอทำในเรื่องนับว่าเป็นฆาตกรรม…ในดีกรีที่เกินกว่าใครจะจินตนาการได้ การฆาตกรรมเกิดได้ทุกที่ที่มีมนุษย์ เผ่าพันธุ์มนุษย์ไม่เคยหยุดฆ่ามาตั้งแต่เริ่มมีมนุษย์ผุดขึ้นมาบนโลกใบนี้ ไม่ว่าด้วยข้ออ้างทางอำนาจสูงส่งเพียงใด หรือโฉดชั่วต่ำตมแค่ไหน สารพัดวิธีฆ่าที่มนุษย์จะสรรหาความโหดเหี้ยม ยัดใส่ตะกร้อให้ช้างเตะ ตัดหัวประหารชีวิต ยิงเจาะกะโหลก เสียบไม้ประจาน เอารถถังเหยียบ ซุ่มยิงจากตึกสูงกลางเมือง หรือกราดยิง ไม่ว่าจะฆ่าต่อเนื่อง หรือสังหารหมู่จำนวนมาก ล้วนเป็นความรุนแรงโหดร้ายที่ไม่มีมนุษย์หน้าไหนจะยอมรับได้…แต่มนุษย์ก็ยังคงกระทำต่อกันในทุกเมื่อเชื่อวัน
โรเบิร์ต เคนเนธ เรสสเลอร์ (1937 – 2013) เจ้าหน้าที่เอฟบีไอและนักเขียนชาวอเมริกัน ผู้สร้างโปรไฟล์เลอร์ทางจิตวิทยาของผู้กระทำความผิดรุนแรงในช่วงทศวรรษ 1970 และมักได้รับเครดิตในการบัญญัติคำว่า “ฆาตกรต่อเนื่อง” (แม้ว่าคำนี้จะเป็นการแปลตรงตัวจากคำเยอรมัน “Serienmörder” ที่คิดขึ้นเมื่อปี 1930 โดยนักสืบชาวเบอร์ลิน เอิร์นสท์ เกนนาท ก็ตาม) เรสสเลอร์เคยระบุว่า “ฆาตกรรมทั่วไปเกิดขึ้นด้วยเหตุผลเฉพาะ เช่น ความเคียดแค้น ความหึงหวง ความรัก แต่โดยทั่วไปแล้ว ฆาตกรต่อเนื่องอาจพ่วงความโกรธ การกระตุ้นความตื่นเต้น การได้รับผลประโยชน์ทางการเงิน การเรียกร้องความสนใจจากสังคม และทุกการฆ่ามีแรงจูงใจเสมอ แม้ว่าแรงจูงใจนั้นอาจจะฟังดูพิลึกเหลือเชื่อ หรือไร้สาระในสายตาของคนปกติทั่วไปก็ตาม”
เว็บคลังข้อมูลเกาหลี Namu อธิบายว่า ‘กรณีอาชญากรชาย พวกเขามีแนวโน้มใช้ความรุนแรงอย่างเปิดเผย เห็นได้ชัดเจน และส่วนใหญ่มักจะแสดงออกด้วยการใช้พละกำลัง อำนาจในทางโกรธแค้น หรือเพื่อระบายอารมณ์ และอาจมีแนวโน้มจะกระทำในแบบไม่กำหนดเป้าหมาย ทว่าสำหรับอาชญากรหญิงแล้ว พวกเธอมักจะเลือกวิธีฆาตกรรมในแบบลับ ๆ โดยกำหนดเป้าหมายไปที่คนในครอบครัวเครือญาติหรือคนรอบข้างก่อน หรือมีเป้าหมายเจาะจง และส่วนใหญ่มักจะมุ่งเน้นเพื่อการแสวงผลประโยชน์จากการฆาตกรรมนั้น ไม่ว่าจะเป็นการแก้แค้น หรือผลกำไรทางการเงิน อีกทั้งด้วยสรีระที่บอบบางกว่า ทำให้ฆาตกรหญิงมักจะมีแนวโน้มในการใช้ยาพิษ มากกว่าจะใช้พละกำลังต่อสู้’
สำนักข่าว yonhap ระบุว่า ‘หลังจากช่วงทศวรรษที่ 2010 แนวโน้มฆาตกรต่อเนื่องในเกาหลีใต้มีจำนวนลดน้อยลง แม้จะยังคงมีเหตุฆาตกรรมรุนแรงอยู่ก็ตาม แต่การฆ่าคนตายอย่างต่อเนื่องกระทำได้ยากขึ้น เนื่องจากปัจจัยต่าง ๆ อาทิ พัฒนาการของกล้องวงจรปิด เป็นสาเหตุที่เด็ดขาดที่สุด แม้จะถูกวิจารณ์ว่าเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล แต่ด้วยขนาดที่เล็กลง คุณภาพของภาพและเสียงที่ถูกบันทึกไว้มีความละเอียดคมชัดมากขึ้น ทำให้ลดจำนวนอาชญากรรมไปได้
จากการสำรวจในปี 2006 พบว่าผู้คนสัญจรทั่วไปถูกบันทึกภาพผ่านกล้องวงจรปิด 140 ครั้งต่อวัน มีเครือข่ายกล้องแพร่กระจายอย่างทั่วถึง ทำให้แม้แต่อุบัติเหตุเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เพียงแค่ทิ้งรอยขีดข่วนไว้ก็ยังสามารถตามจับได้ง่ายขึ้น รวมถึงกล้องบันทึกภาพในรถที่เริ่มใช้กันอย่างแพร่หลายนับตั้งแต่ปี 2010 หรือแม้แต่กล้องซ่อนตามตู้เอทีเอ็ม ภาพถ่ายมือถือของผู้คนตามถนนที่บังเอิญถ่ายติดภาพคนร้าย รวมถึงภาพวิดีโอไลฟ์สดก็ทำให้คนร้ายทำงานได้ยากลำบากขึ้นด้วยเช่นกัน
การพัฒนาทักษะการสืบสวนและนิติวิทยาศาสตร์ อาทิพัฒนาการของเทคโนโลยีการตรวจ DNA หรือการใช้สารลูมินอลในการตรวจหารอยเลือดที่ถูกลบคราบอย่างสะอาดหมดจด หรือการตรวจวิถีการกระจายของเลือดสามารถระบุแนวทางการประกอบอาชญากรรม หรืออาวุธที่ใช้ ไปจนถึงช่วงเวลาฆ่าได้อย่างแม่นยำขึ้น
ในโลกปัจจุบันอัตราการไขคดีฆาตกรรมได้สำเร็จในเกาหลีมีสูงมาก โดยบันทึกพบว่าผลสัมฤทธิ์มีถึง 98.2% ต่อปี และส่วนใหญ่ของ 1.8% ที่หายไป คนร้ายมักจะถูกจับได้ในช่วงปีถัดไป ช่วงต่อไปนี้เราเลยขอรวบรวมตัวอย่างคดีสุดโหดในเกาหลีใต้ โดยเน้นเฉพาะฆาตกรหญิงเท่านั้นที่เราขอยกมาเล่าให้ฟัง 8 คดีเด่น ๆ
พัคบุนรเย เธอคือฆาตกรต่อเนื่องรายแรกของเกาหลี เหยื่อของเธอ 5 คนประกอบด้วย พี่สาว พี่เขย หลานสาว น้องเขย และเพื่อนของเธอ เหตุการณ์เริ่มต้นในปี 1973 ขณะที่นางพัคบุนรเย มีอายุ 48 ปี อาศัยอยู่ ณ เมืองปูซาน เมื่อเพื่อนสมัยมัธยมมาชวนให้เธอซื้อประกัน อันเป็นการลงเงินเล็กน้อยที่อาจทำกำไร 5-10 เท่า ทำให้เธอเห็นช่องทางในการเอาเงินประกัน…ด้วยการฆาตกรรม
วันที่ 30 มกราคม 1975 นางพัคเดินทางไปคยองซังนัมเพื่อเยี่ยมพี่สาวในเมืองนัมแฮกุน คืนนั้นเธอวางเพลิงเผาบ้านพี่สาวในเวลาตีหนึ่ง ทำให้มีผู้เสียชีวิตทั้งหมด 3 คนคือ พี่สาว พี่เขย และหลานสาววัย 13 ขวบ เธอสร้างข้อแก้ตัวด้วยการไปนอนบ้านลูกพี่ลูกน้องที่อยู่ห่างออกไปราว 300 เมตร แล้วแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นอะไร เนื่องจากพี่เขยของเธอป่วยเป็นโรคหลอดเลือดสมอง ตำรวจจึงปิดคดีโดยสันนิษฐานว่าพี่เขยน่าจะเผลอชนตะเกียงน้ำมันจนไฟลุกท่วมบ้าน หลังเหตุการณ์นางพัคฉกเงินประกันไป 15 ล้านวอน
ต่อมาเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 1975 นางพัคกลับไปบ้านที่ปูซาน แล้วโทรนัดน้องเขยที่ร้านกาแฟแห่งหนึ่งในย่านจอนโพดง แล้วฆ่าเขาด้วยการแอบหยดยาพิษลงในนม ครอบครัวของพี่เขยคิดว่าเขาตายด้วยอาการหัวใจวายเนื่องจากเป็นโรคหัวใจอยู่ก่อนแล้ว จากนั้นเธอก็หลอกน้องสาวของเธอว่าน้องเขยได้ทำประกันชีวิตมูลค่า 4 ล้านวอนเอาไว้ แล้วมอบให้น้องสาวเธอ แต่ความเป็นจริงแล้วเงินประกันทั้งหมดที่นางพัคได้มาคือ 44 ล้านวอน
เรื่องมาแดงขึ้นเมื่อครอบครัวแรกที่โดนไฟคลอกทั้งบ้านนั้น พวกเขามีลูกชายคนโตด้วย แต่ช่วงที่เกิดเหตุการณ์เขาอยู่ในกองทัพ หลังจากปลดประจำการก็พบว่าป้าพัคบุนรเย ได้หอบเงินประกันไปหมด ทำให้มีการรื้อคดีนี้ใหม่ที่นำไปสู่การจับกุมเธอได้ในปี 1977 ซ้ำยังพบอีกด้วยว่าเธอฆ่าเพื่อนตายอีกคนหนึ่งในช่วงเดือนตุลาคม 1974 ต่อมาศาลแขวงเมืองปูซานตัดสินประหารชีวิตพัคบุนรเย ซึ่งในเวลานั้นยังมีการประหารชีวิตจริง ๆ อยู่ ทำให้อีก 5 ปีต่อมาเมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 1983 เธอถูกประหารในวัย 57 ปี
ฮงซุนยอง เติบโตมาในครอบครัวนักธุรกิจร่ำรวย เธอพยายามสอบเข้ามหาวิทยาลัยซ้ำแล้วซ้ำเล่าแต่ก็ไม่เคยสอบติด ด้วยความเสียหน้าไม่ได้ ฮง จึงหลอกที่บ้านด้วยการปลอมตัวไปเรียนในมหาวิทยาลัยสตรีซุกมยอง ในช่วงทศวรรษที่80s สมัยนั้นยังไม่มีระบบคอมพิวเตอร์ทำให้การปลอมเป็นนักศึกษาจึงทำได้ง่าย เธอหลอกขอเงินพ่อแม่ว่าเรียนด้านรัฐศาสตร์การทูตมาตลอด 4 ปี จนถึงขั้นเข้าร่วมพิธีรับปริญญา
หลังจากเรียนจบแบบปลอม ๆ เธอก็โกหกต่อไปอีกว่าได้งานเป็นมือเขียนบทให้ช่องทีวี KBS ทว่าสมัยเรียนเธอได้แต่แบมือขอเงินทางบ้าน แต่เมื่อต้องทำงาน(หลอก ๆ)แปลว่าเธอจะขอเงินจากที่บ้านไม่ได้อีกแล้ว อีกทั้งเมื่อเวลาผ่านไปผู้คนรอบตัวเธอก็เริ่มสงสัยว่าเธอจะเป็นนักศึกษาปลอม ข่าวลือแพร่สะพัดไปยังครอบครัวของแฟนหนุ่ม
สำหรับฮงตอนนั้นทางออกเดียวคือต้องรีบแต่งงาน เพื่อเป็นข้ออ้างในการไม่ต้องทำงานทำการ ทว่าพ่อแม่ของฝั่งแฟนที่ระแคะระคายยืนกรานคัดค้าน เมื่อสถานการณ์รอบด้านเริ่มกดดัน ฮงจึงหวังจะรวยทางลัดเพื่อพิสูจน์ว่าเธอไม่ได้ปลอมเปลือกอย่างที่บ้านฝ่ายชายกล่าวหา…ด้วยการลักพาตัว
25 มิถุนายน 1990 เด็กหญิงควากวัย 6 ขวบอาศัยอยู่ในอาคารคอมเพล็กซ์ใกล้โอลิมปิกพาร์ค ย่านซองพา ในโซล เธอไปเรียนด้วยเสื้อกันฝนสีเหลือง รองเท้าผ้าใบสีแดง และบนร่มของสาวน้อยมีชื่อเต็มปักเอาไว้ ฮงเห็นชื่อของน้องควากบนร่ม พอใกล้เลิกเรียน ฮงไปดักรอหน้าทางออกบอกว่าแม่ของน้องควากมีธุระด่วนให้เธอมารับแทน เมื่อครูเห็นว่าฮงสามารถระบุชื่อจริงของน้องควากได้ถูกต้อง ครูจึงยอมปล่อยให้น้องควากกลับบ้านกับคนแปลกหน้า
26 มิถุนายน หนึ่งวันถัดมา ฮง โทรหาแม่ของน้องควากขู่เรียกเงิน 50 ล้านวอนและสำทับว่าห้ามแจ้งตำรวจ ทำให้ในที่สุดแม่ของน้องควากโอนเงินสามสิบล้านวอนเข้าบัญชีในชื่อ อีซังมิน สมัยนั้นระบบในการทำบัญชีเงินฝากธนาคารไม่จำเป็นต้องใช้ชื่อจริง จึงเป็นไปได้ว่านั่นอาจเป็นชื่อปลอม อย่างไรก็ตามในที่สุดตำรวจก็จับตัวฮงได้ในวันที่ 29 มิถุนายนขณะกำลังถอนเงินออกจากตู้เอทีเอ็มในห้างลอตเต้สาขาเมียงดง
แต่สิ่งที่ตำรวจคาดไม่ถึงคือคนร้ายเป็นหญิงสาวหน้าใส วัยแค่ 23 ปีผอมบาง ตอนแรกจึงคิดว่าอาจจะมีคนอื่นบงการ ฮงได้ทีจึงโบ้ยว่าคนร้ายตัวจริงคือแฟนหนุ่มของเธอ แต่หลังจากสอบสวนอย่างหนักก็พบว่าฮงโกหก แต่สิ่งที่แม่น้องควากอยากรู้คือตอนนี้ลูกของเธอยังมีชีวิตอยู่หรือไม่
ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 25 หลังจากฮงลักพาตัวหนูน้อย 6 ขวบ เธอพาน้องควากขึ้นไปดาดฟ้าคณะดนตรีของมหาวิทยาลัยซุกมยอง หลอกถามชื่อและเบอร์โทรติดต่อแม่น้องควาก ก่อนจะบีบคอน้องควากจนสิ้นลมหายใจ แล้วซุกศพไว้ตรงช่องว่างหลังแทงก์น้ำบนดาดฟ้านั้นเอง แปลว่าขณะที่ฮงโทรเรียกค่าไถ่ตอนนั้นน้องควากได้จากโลกนี้ไปแล้ว
ฮงซุนยองถูกประหารชีวิตร่วมกับนักโทษประหารอีกแปดรายเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 1990 ก่อนการประหารเธอร้องคร่ำครวญเสียงดัง “คดีของฉันยังไม่ถึงครึ่งปีเลย…ฉันไม่รู้เลยว่าจะถูกประหารเร็วขนาดนี้” บาทหลวงคาทอลิกคนหนึ่งเข้ามาทำพิธี ระหว่างการสารภาพบาปครั้งสุดท้าย ฮงร้องว่า “ขอให้ครอบครัวเหยื่ออภัยให้ฉันด้วย ฉันทำผิดอย่างมหันต์ต่อพ่อแม่ของฉัน”
คิมซุนจา เป็นแม่บ้านในย่านซินดง กรุงโซล มีลูกชายสามคนที่ทั้งบ้านต้องอาศัยเงินจากสามีผู้เป็นจิตรกร เหตุการณ์เริ่มต้นในวันที่ 31 ตุลาคม 1986 เมื่อคิมคเยฮวานเพื่อนบ้านวัย 49 ของนางคิมซุนจาเกิดลื่นล้มในห้องน้ำสาธารณะ จนต้องนำส่งโรงพยาบาลแล้วเสียชีวิตในทันที นางคิมซุนจาขโมยสร้อยและแหวนของผู้ตายไป ส่วนตำรวจไม่พบหลักฐานใดที่จะสาวไปถึงนางคิมซุนจาได้เลย
4 เมษายน 1987 ขณะนางคิมนั่งรถบัสไปกับนางจอนซุนจาเพื่อนบ้านวัย 50 ปีของเธอ เพื่อไปยืมเงินจากเพื่อนอีกรายหนึ่งในย่านยอนดึงโพ แต่แล้วจู่ ๆ นางจอนก็ล้มตึงตกจากเก้าอี้ก่อนจะถูกส่งโรงพยาบาลแล้วเสียชีวิตไปอีกราย
27 มีนาคม 1988 หลังกลับจากเยี่ยมญาติในระหว่างนั่งรถบัสไปกับ คิมจองชุน วัย 73 ปี พ่อของนางคิมเอง จู่ ๆ นายคิมก็เป็นลมบนรถบัสแล้วไปตายโรงพยาบาลอีกราย
29 เมษายน 1988 นางคิมไปหาน้องสาววัย 46 ปี ขณะรอรถเมล์ด้วยกันที่สถานีฮวายาง น้องสาวเธอก็เป็นลมล้มตายไปอีกราย ในระหว่างช่วงชุลมุนรอรถพยาบาล นางคิมก็หนีไปจากที่เกิดเหตุพร้อมกระเป๋าและเครื่องประดับของน้องสาว และแน่นอนว่าน้องของนางคิมก็ตายอีกเช่นกัน
8 สิงหาคม 1988 นางคิมไปหาซอนชีวอนลูกพี่ลูกน้องวัย 46 ปีของเธอ ณ ร้านกาแฟย่านชางซิน คิมขอกู้เงิน 484 ล้านวอนเพื่อไปมัดจำซื้อบ้าน แต่แล้วนางซอนก็ล้มตายบนรถบัสด้วยอีกราย
2 กันยายน 1988 ตำรวจยงซาน จับกุมนางคิมซุนจาหลังจากพบว่าผู้ตายทั้ง 5 รายมีความเชื่อมโยงกันตรงที่ทั้งหมดเป็นเจ้าหนี้ของนางคิม เพราะนางคิมติดการดูโชว์คาบาเรต์และติดพนันอย่างหนัก ผู้ตายทั้งหมดเสียชีวิตด้วยไซยาไนต์ อย่างไรก็ตามเมื่อสืบย้อนกลับไปพบว่ามีอยู่รายหนึ่งรอดตายมาได้ เนื่องจากเหยื่อจิบเครื่องดื่มที่นางคิมชงให้ไปเพียงเล็กน้อยแล้วอ้วกออกมา
คิมซุนจาถูกศาลตัดสินประหารชีวิตเมื่อปี 1989 ก่อนจะขังคุกแล้วรวบไปรอประหารในปี 1997 พร้อมกับอาชญากรรุนแรงรวม 23 รายจากเรือนจำทั่วประเทศ อันเป็นการประหารชีวิตครั้งสุดท้ายในเกาหลีใต้ ก่อนที่จะมีการแก้กฎหมายโดยประธานาธิบดีคิมแดจุงเมื่อปี 1998 ทำให้นับแต่นั้นมาแม้โทษประหารจะยังคงมีอยู่ แต่เกาหลีใต้ได้ปิดฉากการประหารชีวิตนักโทษจริง ๆ มาจนถึงปัจจุบัน
อ่านกรณีเกาหลีใต้ยกเลิกโทษประหารในทางปฏิบัติ ได้ที่บทความนี้ https://thaipublica.org/2024/08/series-society-no-way-out-the-roulette/
ชอนฮยอนจู เป็นลูกคนโตจากลูกสาวสองคนของพ่อผู้เป็นอดีตนายพันเอกที่เกษียณจากกองทัพเมื่อปี 1990 ในหน่วยใต้บังคับบัญชาของกระทรวงกิจการภายใน ชอนเติบโตมาอย่างลูกคุณหนูในช่วงยุคเผด็จการทหารร่ำรวย ทำให้เธอติดหรูฟุ่มเฟือยและจมไม่ลง แม้เธอจะเรียนดีรสนิยมเริ่ดในทางไวโอลินและเปียโน แต่เธออยากจะเป็นหมอหรือไม่ก็นักเขียน ทว่ามหาวิทยาลัยที่ตอบรับเธอกลับเป็นแผนกธุรกิจการค้าที่เธอไม่สนใจ ช่วงแรกในมหาวิทยาลัยเธอจึงหันไปทำงานในสภานักศึกษา และทนทู่ซี้เรียนจนจบ
ปี 1995 เธอหันเหไปเริ่มเรียนปีหนึ่งใหม่ในด้านการเขียนเชิงสร้างสรรค์ ที่นั่นเธอได้พบกับนายชเว สมาชิกสภานักศึกษาและนักแสดงละครเวที ระหว่างที่ชอนคบหาดูใจกับนายชเว เธอไม่ค่อยได้เข้าเรียนทำให้โดนตะเพิดออกเพราะหน่วยกิตไม่พอ ส่วนพ่อแม่ก็โมโหมากที่ไปคบหากับนายชเวเพราะเป็นพวกคนจน การงานไม่มั่นคง แถมยังทำชอนเสียคน แต่ในที่สุดชอนก็ตั้งครรภ์ในปี 1997 อยู่กินกันในสตูดิโอเล็ก ๆ ชั้นใต้ดินย่านซินกิลในโซล
ทว่าโรงละครหุ่นเชิดของนายชเวล้มเหลว พวกเขาเป็นหนี้หลายสิบล้านวอน รถหรูของนางชอนถูกยึด ระหว่างที่เธอถูกกดดันจากเจ้าหนี้ นางชอนก็เริ่มไปส่องเด็กนักเรียนประถมที่มาเรียนเสริมภาษาอังกฤษในศูนย์วัฒนธรรมนิวคอร์ ย่านชัมวอน จากนั้นนางชอนก็ล่อลวงน้องพัคเด็กหญิงที่แต่งตัวแบรนด์เนมราคาแพง ไปยังห้องใต้ดินในย่านซาดัง ผ่านไปสามชั่วโมง เย็นวันนั้นนางชอนโทรตู้สาธารณะไปเรียกค่าไถ่จากพ่อแม่ของน้องพัค คืนนั้นน้องพัคงอแงขอกลับบ้าน นางชอนจึงทำให้น้องสงบลงด้วยการบีบคอน้องอย่างแรงจนตาย
วันรุ่งขึ้นนางชอนหลอกพ่อแม่ของน้องว่าน้องยังมีชีวิตอยู่ให้รีบนำเงินค่าไถ่มา ภายหลังตำรวจตามไปจับเธอในคาเฟ่แห่งหนึ่งย่านเมียงดง แต่เธอหลุดออกไปได้ด้วยข้ออ้างว่า “ฉันกำลังท้องอยู่นะ” ศพของน้องพัคถูกพบในวันที่ 30 สิงหาคม 1997 ส่วนนางชอนหนีไปกบดานบ้านพ่อแม่ ในที่สุดนางชอนถูกตำรวจจับได้เพราะแม่เป็นคนโทรไปแจ้งตำรวจเมื่อวันที่ 12 กันยายน 1997 ขณะนั้นชอนมีอายุ 28 ปี เธอคลอดลูกสาวในคุกแล้วเลี้ยงดูอยู่ 18 เดือน ก่อนที่แฟนหนุ่มจะยกให้คนอื่นไปอุปการะต่อในอเมริกา คำให้การจากเพื่อนเล่าว่าหลังจากฆ่าน้องพัค นางชอนแต่งตัวหรูจัดงานปาร์ตี้เลี้ยงเพื่อน ๆ ตลอดทั้งคืนนั้นด้วย
แม่ของชอนเขียนจดหมายไปขอโทษพ่อแม่เหยื่อที่ตัวเธอเลี้ยงลูกมาไม่ดี ก่อนจะฆ่าตัวตาย ชอนฮยอนจูโดนโทษประหาร แต่ก็ยังโชคดีเพราะเธอถูกพิพากษาในช่วงปี 1998 อันเป็นปีที่จะไม่มีการประหารชีวิตจริง ๆ ศาลอุทธรณ์ลดหย่อนให้เธอจำคุกตลอดชีวิต ปัจจุบันเธออายุ 55 ปี ยังคงพยายามยื่นคำร้องขอปล่อยตัว แต่การฆ่าเด็กเป็นคดีร้ายแรงทำให้บัดนี้ยังไม่มีวี่แววว่าจะได้รับการอภัยโทษ
คดีนี้ถูกดัดแปลงไปเล่าในซีรีส์ Signal (2016) ในคดีแรกอันเป็นฉากเปิดของอีพี 1 ด้วย แต่ในซีรีส์ถูกปรับให้เหตุการณ์เกิดขึ้นในโรงเรียนประถม และมีเด็กชายคนหนึ่งรู้เห็นเหตุการณ์
ออมอินซุก มีอายุเพียง 20 กว่า ๆ ในตอนก่อเหตุเมื่อช่วงปี 2000-2005 เธอสวยตัวสูง มีเสน่ห์น้ำเสียงนุ่มนวล ดูเรียบร้อย จนไม่มีใครคิดเลยว่าจะเป็นฆาตกร ขนาดพ่อแม่สามีที่เธอดูแลเป็นอย่างดียังเรียกนางออมว่า “นางฟ้า” พยานทุกคนยอมรับว่านางออมเป็นคนฉลาด มีไหวพริบ และจิตใจแน่วแน่ ทำให้เธอสามารถก่ออาชญากรรมอย่างต่อเนื่องได้อย่างน้อย 11 ราย ซึ่งทั้งหมดเป็นญาติและคนในบ้านของเธอเอง
หลังจากเรียนจบมัธยมนางออมก็ไปขายประกัน เธอแต่งงานสองครั้ง สามีคนแรกตายเพราะถูกเธอวางยา ก่อนจะพบว่าถ้าทำให้เหยื่อประสบเหตุก็จะได้เงินเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะอุบัติเหตุเกี่ยวกับดวงตาหรือรอยไหม้จะยิ่งได้เงินประกันมากที่สุด ก่อนสามีคนที่สองจะตาย เธอทำเงินจากเขาได้หลายรอบ ไม่ว่าจะตกบันได ลื่นล้มในห้องน้ำ ตาบอด โดนน้ำเดือดลวกหน้า จนเสียชีวิตในที่สุด และทุกอุบัติของสามีคนนี้ล้วนเป็นฝีมือเธอ แต่ตอนนั้นสามีเธอก็อยู่ในสภาพผักที่ปริปากเอ่ยอะไรไม่ได้เนื่องจากโดนฉีดยาจนกล้ามเนื้ออ่อนแรง
นอกจากสามีทั้งสองแล้วยังมีพี่ชาย แม่ และน้องชาย รวมถึงครอบครัวแม่บ้านทั้งสามีภรรยาและลูก ๆ ของแม่บ้านถูกไฟคลอกตายเกือบหมดบ้าน ยกเว้นแต่ตัวแม่บ้านรอดมาได้ แต่นางออมก็ยังจะตามไปเผาเธอถึงโรงพยาบาล โชคดีที่ไม่สำเร็จ อีกทั้งก่อนหน้านี้นางออมยังทำคนรู้จักอีก 5 คนตาบอด และมีความเป็นไปได้อย่างมากว่าเธออาจจะฆ่าทารกน้อยวัยสามขวบซึ่งเป็นลูกสาวของตัวเธอเองด้วย
เธอถูกจับกุมเมื่อวันที่ 19 เมษายน 2005 คาดว่าได้กวาดเงินประกันไปทั้งสิ้น 590 ล้านวอน เพราะเธอติดหรูใช้ชีวิตฟุ่มเฟือย อยากได้อยากกินอะไรแพงแค่ไหนก็ต้องได้ ในปี 2005 เป็นปีแรกที่ศาลนำความเห็นทางจิตเวชเข้าร่วมพิจารณาคดีด้วย ซึ่งอาชญากรส่วนใหญ่จะได้คะแนนทดสอบ PCL-R (Psychopathy Checklist—revised) อยู่ที่ราว 30 คะแนน แต่ปรากฎว่านางออมได้คะแนนเต็ม 40 กลายเป็นที่ลือลั่นถึงความโรคจิตขั้นสุด สุดท้ายศาลตัดสินจำคุกตลอดชีวิตโดยห้ามขออภัยโทษ แล้วจนถึงปัจจุบันนี้เธอยังไม่เคยขอโทษเหยื่ออย่างเหมาะสมเลยสักราย
นางสาวพัคและนางสาวคิม รู้จักกันในเกมออนไลน์สวมบทบาทสมมติ (Massively multiplayer online role-playing game-MMORPG) ก่อนที่พวกเธอจะสวมบทบาทเป็นนักล่าในโลกแห่งความเป็นจริง…อันเป็นคดีสะเทือนขวัญที่สุดคดีหนึ่งในประวัติศาสตร์เกาหลี
ณ เมืองอินชอน 29 มีนาคม 2017 นางสาวคิมอายุ 17 ปลอมตัวเป็นแม่ของตัวเองด้วยการสวมเสื้อผ้าของแม่และแว่นกันแดดปิดบังตัวตน ส่งภาพถ่ายตัวเองในชุดดังกล่าวไปให้นางสาวพัคอายุ 19 ปีแฟนสาวของเธอดู พร้อมข้อความ “ฉันกำลังจะออกล่า” ก่อนลงไปที่สวนสาธารณะใกล้อพาร์ตเมนต์ เวลา 12.44 น.ขณะที่เด็กหญิงเอวัยแปดขวบชั้นป.2 กำลังเล่นอยู่กับเพื่อนสองคนใกล้ ๆ นั้น น้องเอเดินเข้าไปยืมมือถือจากนางสาวคิมเพื่อจะโทรหาแม่ คิมตอบไปว่าแบตหมด แล้วชวนให้น้องเอไปใช้โทรศัพท์ที่บ้าน (ภายหลังตำรวจสอบสวนระบุว่ามือถือของคิมชาร์จเต็มอยู่ การอ้างว่าแบตหมดจึงเป็นการโกหกเพื่อลวงเด็กหญิงเอ)
บ้านของนางสาวคิมอยู่ชั้น 15 แต่เธอรู้ว่ามีกล้องวงจรปิดอยู่ในลิฟต์จึงออกจากลิฟต์ที่ชั้น 13 แล้วเดินขึ้นบันไดไป เวลาประมาณบ่ายสามโมงขณะที่น้องเอกำลังเล่นอยู่กับแมวในบ้านของนางสาวคิม คิมก็คุยแชทกับนางสาวพัคไปด้วยว่า “จับเธอได้แล้ว…แต่เธอยังมีชีวิตอยู่เลยนะสาวน้อย” ก่อนที่พัคจะสั่งคิมทางแชทว่า “พันรอบคอเธอสิ” แล้วคิมก็ใช้สายชาร์จแท็บเล็ตรัดคอน้องเอจากด้านหลัง
นางสาวคิมลากร่างของน้องเอไปที่ห้องน้ำ ถอดเสื้อผ้าของน้องเอออกหมด ก่อนจะเริ่มตัดนิ้วก้อยขวา แล้วแทงน้องเอไม่ยั้ง ก่อนจะเริ่มชำแหละร่างของเธอ นางสาวคิมหย่อนนิ้วก้อยใส่ขวดแก้วใส เนื้อบางส่วนของปอดและต้นขาห่อด้วยถุงดำ แล้วห่อทั้งหมดด้วยถุงกระดาษ คิมแชทหาพัคว่า “ฉันห่อมันเอาไว้แล้ว” พัคถามกลับว่า “นิ้วของเธอ(น้องเอ)สวยมั้ย” คิมตอบแชทว่า “สวย”
คิมแยกเศษชิ้นส่วนร่างของน้องเอลงในถุงขยะ ยกเว้นปอดและอวัยวะภายในบางชิ้นแยกไปทิ้งในถังเศษอาหารของอพาร์ตเมนต์ แสดงให้เห็นถึงความพิถีพิถันและไตร่ตรองมาอย่างรอบคอบ คิมบรรจงทำความสะอาดห้องน้ำด้วยสารฟอกขาว แล้วเพื่อที่จะสร้างความสับสนให้กับเจ้าหน้าที่ นางสาวคิมออกจากบ้านด้วยการเปลี่ยนชุดใหม่ที่ต่างไปจากตอนเดินเข้าห้องมา แบกชิ้นส่วนร่างน้องเอปีนขึ้นไปบนหลังคาอพาร์ตเมนต์แล้วซ่อนถุงนั้นเอาไว้บริเวณโครงหลังคา เหตุการณ์ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นภายใน 2 ชั่วโมง
คิมออกจากบ้านในเวลา 16.09 น. เพื่อไปพบกับพัคในเวลา 17.44 น. แล้วยื่นถุงกระดาษที่บรรจุชิ้นส่วนศพให้กับพัค พวกเธอไปกินข้าว เดินเล่น พร้อมกับถือห่อกระดาษนั้นไว้ในมือตลอดสามชั่วโมง ก่อนทั้งคู่จะแยกทางกันกลับบ้านในเวลา 20.30 น. นางสาวพัคกลับบ้านพร้อมของขวัญจากคิม ภายหลังพัคเล่าว่า “คิมเล่าให้ฉันฟังว่าเธอตัดชิ้นส่วนเหล่านี้ทั้งหมดด้วยกรรไกรทำครัวเพียงอันเดียว”
ฟากพ่อแม่น้องเอ ตั้งแต่เวลาบ่ายแก่ ๆ ของวันเกิดเหตุ พ่อแม่เหยื่อพบกระเป๋าน้องเอถูกทิ้งไว้ในสวนสาธารณะ ระหว่างนั้นเริ่มมีการพูดคุยเรียลไทม์กันในแชทกลุ่มของอพาร์ตเมนต์ มีคนพบเห็นเด็กขึ้นลิฟต์ไป ทำให้ต่อมามีการตรวจเช็คบ้านทุกหลัง ต่อมาแม่ของคิมเห็นภาพวงจรปิดจากในแชทกลุ่มจึงเอะใจว่าหญิงอีกคนในลิฟต์น่าจะเป็นลูกตัวเองจึงบอกตำรวจ หลังจากเวลา 22.00 น. ตำรวจพบว่าภายในบ้านของคิมมีปฏิกิริยาจากสารลูมินอลที่ใช้พิสูจน์รอยเลือดกระจายอยู่ทั่วห้อง ทั้งยังพบอาวุธในการทำลายศพ ก่อนจะพบเหยื่อบนโครงหลังคาอพาร์ตเมนต์ นางสาวคิมถูกจับกุมได้ขณะกลับบ้านในเวลา 00.40 น. ไม่กี่ชั่วโมงหลังก่อเหตุ
8 เมษายน 2017 นางสาวพัคถูกตั้งข้อหาช่วยเหลือสนับสนับการฆาตกรรมและทอดทิ้งศพ ส่วนนางสาวคิมถูกตั้งข้อหาฆาตกรรมเมื่อวันที่ 19 เดือนเดียวกันนั้น เหตุผลที่ตั้งข้อหาคิมล่าช้ากว่าเพราะทนายอ้างว่าคิมมีอาการป่วยจิต จึงต้องรอผลการประเมิน คดีผ่านการสอบสวนอยู่หลายรอบเนื่องจากทั้งคู่โบ้ยความผิดกันไปมา ในที่สุดศาลปฏิเสธข้อมูลจากจิตแพทย์เรื่องที่ว่าคนร้ายมีอาการซึมเศร้า หลงผิด และเป็นออทิสติกชนิดแอสเพอร์เกอร์ ด้วยเหตุผลว่าการกระทำของคิมเป็นการเจตนาฆ่าโดยไตร่ตรองมาแล้วอย่างรอบคอบ ไม่ใช่ผลจากอาการป่วยจิต อีกทั้งแทนที่พัคจะยับยั้งหรือโน้มน้าวให้คิมหยุด แต่กลับสนับสนุนชี้แนะ ศาลจึงตัดสินให้นางสาวคิมจำคุก 20 ปี ส่วนนางสาวพัคจำคุก 13 ปี
อ่านเกี่ยวกับแอสเพอร์เกอร์ ได้ที่บทความนี้ https://thaipublica.org/2020/08/series-society02/
ในซีรีส์ Juvenile Justice (2022) สองตอนแรกมีคดีที่คล้ายกัน แต่เหยื่อถูกเปลี่ยนให้เป็นเด็กผู้ชาย และปรับอายุของฆาตกรคนหนึ่งลดลงเป็นเด็กหญิงทอมบอยวัยต่ำกว่า 14 ปี อีกทั้งยังเขียนให้ฆาตกรทั้งสองร่วมกันก่อเหตุ (ในความเป็นจริงพัคไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุ)
โกยูจอง เป็นลูกคนโตของครอบครัวร่ำรวย เธอจึงใช้ชีวิตอย่างสุขสบายโดยไม่เคยกังวลเรื่องเงิน เพื่อนร่วมชั้นเรียนจดจำเธอได้ในฐานะหญิงสาวอ่อนหวาน สดใส ใจดี และทุ่มเท โกเข้าเรียนภาควิชาเคมีในมหาวิทยาลัยบนเกาะเชจู ที่นั่นเธอพบกับนายคังในชมรมอาสาบริการชุมชน พวกเขาดูใจกันอยู่ 6 ปี ก่อนจะแต่งงานในปี 2013
แต่แล้วชีวิตคู่ก็จบลงในปี 2017 หลังจากเธอคลอดลูกชายกับเขาหนึ่งคน คังยื่นฟ้องหย่าโดยอ้างว่าเธอนอกใจ ขณะที่โกก็กล่าวหาว่าคังติดเหล้าและขาดงานบ่อย แม้ว่าคังจะไม่เคยดื่มเหล้าเลยก็ตาม คังยื่นของสิทธิ์ในการดูแลลูกชาย แต่เขาไม่มีเงินมากพอและยังอยู่ระหว่างการเรียนในระดับปริญญาเอก ส่วนโกไม่เคยมีปัญหาทางการเงินเลย ศาลจึงตัดสินให้ลูกอยู่กับโก ส่วนคังจะได้รับอนุญาตให้เจอลูกได้เดือนละสองครั้ง
คังต้องทำงานพิเศษและรวบรวมรายได้ของเขากับเงินช่วยเหลือจากงานวิจัยเพื่อส่งค่าเลี้ยงดูให้โกเดือนละสี่แสนวอน แต่โกขัดคำสั่งศาลด้วยการไม่ยอมให้ลูกชายได้เจอหน้าพ่ออีกเลย แล้วไม่นานจากนั้นเธอก็แต่งงานใหม่กับฮง ข้าราชการในเมืองเชจู แล้วฝากลูกชายไว้กับพ่อแม่ของเธอ ก่อนจะย้ายไปอยู่กินกับฮงที่จังหวัดชุงชองเหนือ
คังยื่นฟ้องโกอีกครั้งด้วยข้อหาดูหมิ่นกฎหมายละเมิดคำสั่งศาล ทำให้นางโกยอมให้คังพบเจอลูกชาย พวกเขานัดกันที่รีสอร์ทแห่งหนึ่งบนเกาะเชจูในวันที่ 25 พฤษภาคม 2019 อันเป็นการพบกันครั้งแรกระหว่างพ่อลูกในรอบสองปี…แต่หลังจากนั้นก็ไม่มีใครพบเห็นนายคังอีกเลย
สองวันต่อมา 27 พฤษภาคม น้องชายของคังกังวลเพราะขาดการติดต่อจากพี่ชาย ตำรวจโทรไปหาโก แล้วโกก็ฟ้องตำรวจว่านายคังพยายามจะข่มขืนเธอ ทำให้เธอขัดขืนต่อสู้แล้วจู่ ๆ นายคังก็เตลิดหนีไป แต่เมื่อตำรวจเรียกตัวเธอมาให้ปากคำ เธอกลับตอบว่า “ตอนนี้ฉันไม่ได้อยู่บนเกาะเชจู” แล้วให้ข้อมูลเพิ่มว่า “ดูเหมือนนายคังพยายามจะฆ่าตัวตาย”
ตำรวจจับสัญญาณมือถือของนายคังพบว่าอยู่ห่างออกไปหลายไมล์จากรีสอร์ท ก่อนจะพบรถของนายคังจอดอยู่หน้าซูเปอร์มาร์เก็ต แม้ว่ารีสอร์ทที่พวกเขาเข้าพักจะไม่มีกล้องวงจรปิด แต่สุดท้ายน้องชายของคังได้ภาพจากอาคารใกล้เคียง แล้วพบว่าเมื่อวันที่ 25 คังเข้าไปในรีสอร์ทจริง…แต่กลับไม่มีภาพออกมาจากรีสอร์ทเลย ก่อนที่ต่อมาในช่วงบ่ายวันที่ 26 โกจะไปเที่ยวชายหาดกับลูกชาย แล้วพบว่าช่วงเช้าวันที่ 27 นางโกแบกถุงดำใบใหญ่สองถุงออกจากบ้านพัก
31 พฤษภาคม 2019 ตำรวจได้ทำการค้นบ้านพักแห่งนั้นแล้วพบปฏิกิริยาลูมินอลบนพื้นห้องน้ำเป็นจำนวนมาก แสดงให้เห็นร่องรอยคราบเลือดที่ถูกลบออกด้วยน้ำยาฟอกขาว รอยเลือดลากยาวมาจากห้องนั่งเล่น ห้องครัว และกระจายไปบนเพดานห้องนอน วันรุ่งขึ้นตำรวจจึงจับกุมนางโกมาเค้นความจริง
น้องชายของคังเล่าว่า “โกเป็นคนโกหกจนเป็นนิสัย” เขารู้จักโกตั้งแต่สมัยพี่ชายยังออกเดทกับโกใหม่ ๆ “ผมไม่เคยรู้จักโฉมหน้าที่แท้จริงของเธอมาก่อนเลย จนกระทั่งเธอเริ่มแสดงด้านที่น่าเกลียดออกมา” อันเป็นชนวนที่ทำให้เขากังวลเกี่ยวกับการหายตัวไปของพี่ชายในครั้งนี้
โกเปลี่ยนคำให้การว่าคังพยายามจะทำร้ายเธอตอนที่เธอกำลังหั่นแตงโมอยู่ เธอจึงแทงเขาไปเพื่อป้องกันตัวแล้วเขาก็เตลิดหนีออกจากบ้านไป อย่างไรก็ตามตำรวจยังไม่สามารถจับกุมเอาผิดโกได้เนื่องจากไม่มีหลักฐานหรือประจักษ์พยาน ระหว่างนั้นฮงสามีใหม่ของเธอไปเยี่ยม เขาพบว่าเมียมีพฤติกรรมแปลกมากที่เอาแต่ถามถึงกระเป๋าสะพาย เขาจึงกลับบ้านไปค้นแล้วพบใบสั่ง Zolpidem ยาระงับประสาทสำหรับคนนอนไม่หลับ จึงนำซองยาดังกล่าวมามอบให้ตำรวจ
9 มิถุนายน ก่อนครบกำหนดปล่อยตัวโก ผลตรวจคราบเลือดของนายคังในที่เกิดเหตุยืนยันว่าพบยาโซลพิเดมในเลือด อันกลายเป็นหลักฐานมัดโกนำไปสู่ชั้นศาล ก่อนจะพบข้อเท็จจริงว่าสามวันก่อนเกิดเหตุ โกไปซูเปอร์มาเก็ตเพื่อซื้อมีด น้ำยาฟอกขาว อุปกรณ์ทำความสะอาด ถุงมือยาง อีกทั้งยังมีเลื่อยที่นำมาจากบ้านพ่อแม่อยู่ท้ายรถ คืนวันที่ 25 หลังจากสองพ่อลูกพบกัน นางโกวางยาโซลพิเดมใส่ในแกงเผ็ดให้นายคังกิน
โกสั่งให้ลูกชายไปเล่นเกมในอีกห้องหนึ่ง ก่อนที่เธอจะจ้วงแทงนายคังที่อยู่ในอาการมึนยาซ้ำแล้วซ้ำเล่า คังพยายามดิ้นทุรนทุรายจากห้องครัวไปยังประตูบ้านพักก่อนจะล้มลงตาย แล้วโกก็เริ่มจัดการกับศพในห้องน้ำด้วยเลื่อยแล้วแยกชิ้นส่วนลงในกระเป๋าถือใบใหญ่สองใบ ศพส่วนหนึ่งถูกโยนลงทะเลตอนพาลูกไปเที่ยวชายหาด จากนั้นโกก็พาลูกชายไปส่งบ้านพ่อแม่ ก่อนจะวกกลับมาที่บ้านพักแล้วค่อย ๆ บรรจงทำความสะอาดคราบเลือด 27 พฤษภาคมเธอแกล้งทำเป็นส่งข้อความไปหากันระหว่างมือถือของเธอกับคัง ก่อนที่ 28 พฤษภาคมเธอจะขับไปบ้านพ่อแม่ที่เมืองกิมโปเพื่อเอาเลื่อยไปคืน ระหว่างทางเธอทยอยเหวี่ยงชิ้นส่วนศพทิ้ง ก่อนจะขับกลับไปหาสามีใหม่ที่ชุงชองเหนือ และทิ้งชิ้นส่วนสามีเก่าไประหว่างทางกลับบ้านจนหมด
ครอบครัวของเหยื่อเรียกร้อง 3 สิ่ง 1.ขอให้เปิดเผยใบหน้าฆาตกร 2.เรียกร้องโทษประหาร 3.ขอให้นำศพกลับคืนมา น้องชายกล่าวต่อสื่อว่า “นางโกไม่เพียงแต่ฆ่าพี่ชายของผม แต่เธอยังฆ่าครอบครัวของผมให้แหลกสลายไปด้วย” ศาลพิพากษาจำคุกนางโกตลอดชีวิต ไม่เคยมีการพบศพของนายคังเลย ครอบครัวนายคังทำพิธีศพโดยมีเพียงเส้นผมเจ็ดเส้นที่รวบรวมมาได้จากหมวกใบโปรดของนายคัง…โกไม่เคยเปิดเผยว่าอะไรคือสาเหตุแห่งแรงจูงใจในการก่อคดีร้ายแรงนี้
จองยูจุง นักศึกษาสาวชาวเมืองปูซานวัย 23 ปี หมกมุ่นกับการดูซีรีส์แนวฆาตกรรมและอ่านนิยายสืบสวน เธอสร้างคดีฆาตกรรมด้วยการสวมรอยเป็นแม่ที่กำลังตามหาครูสอนพิเศษภาษาอังกฤษให้กับลูกสาววัยมัธยมปลายผ่านทางแอปประกาศหางาน มีผู้สมัครเข้ามามากกว่า 50 คน จองสนใจครูสาววัย 26 ปีรายหนึ่งในนั้น
จองปลอมตัวเป็นนักเรียนมัธยมปลายทำทีไปเรียนพิเศษในบ้านของครูสาว ทันทีที่เหยื่อเปิดประตูบ้านต้อนรับเธอ จองก็กระหน่ำแทงเหยื่อซ้ำ ๆ ไม่ต่ำกว่าร้อยครั้งอย่างบ้าคลั่งแม้ว่าเหยื่อจะเสียชีวิตไปแล้ว ก่อนที่เธอจะหั่นแยกชิ้นส่วนเหยื่อแล้วยัดใส่กระเป๋าเดินทางใบใหญ่ลากขึ้นแท็กซี่ไปทิ้งเอาไว้ในสวนสาธารณะห่างไกลทางตอนเหนือของเมืองปูซาน
จองถูกจับกุมหลังจากคนขับแท็กซี่เกิดสงสัย จึงตามไปเห็นกระเป๋าเดินทางโชกเลือดถูกเหวี่ยงทิ้งไว้ในป่าข้างทาง ตำรวจแกะรอยจากอินเทอร์เนตพบว่าจองมักจะค้นข้อมูลเกี่ยวกับวิธีฆ่าและกำจัดศพมานานหลายเดือน แต่เธอก็ประมาทเพราะทิ้งร่องรอยไว้ในกล้องวงจรปิดที่จับภาพเธอบริเวณบ้านครูสอนพิเศษอยู่หลายครั้ง
มิถุนายน 2023 จองสารภาพและร้องขอให้ลดหย่อนโทษ เธออ้างว่ามีอาการประสาทหลอนและผิดปกติทางจิตในขณะลงมือฆ่า แต่ศาลโต้แย้งเนื่องจากขั้นตอนการประกอบอาชญากรรมเป็นหลักฐานยืนยันถึงการวางแผนเอาไว้ล่วงหน้า อีกทั้งในช่วงแรกของการสืบสวนเธอยังให้การวกวนและอ้างว่าเธอไม่ได้ฆ่า แต่ถูกจ้างวานให้มาทิ้งกระเป๋าโดยไม่รู้มาก่อนว่ามีอะไรอยู่ในนั้น อีกทั้งต่อมายังกลับคำให้การด้วยว่าก่อเหตุเนื่องจากทะเลาะวิวาท
เดือนพฤศจิกายน 2023 ศาลเมืองปูซานตัดสินโทษประหารให้แก่เธอ แต่เนื่องจากเกาหลีไม่มีการประหารชีวิตจริง ๆ เธอจึงต้องติดคุกตลอดชีวิต สุดท้ายเมื่อยอมจำนนต่อศาลเธอสารภาพถึงสาเหตุที่ลงมือฆ่าว่า “ฉันอยากจะรู้ว่าความรู้สึกของการฆ่าคนจริง ๆ มันเป็นอย่างไร”
กบที่ถูกปาก้อนหินใส่… ใครเป็นคนปาหิน? แล้วปาใส่ฉันทำไม?