ThaiPublica > คอลัมน์ > ซีรึม มรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ระหว่างเกาหลีใต้และเหนือ

ซีรึม มรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ระหว่างเกาหลีใต้และเหนือ

13 มกราคม 2024


1721955

Like Flowers in Sand เป็นซีรีส์เรื่องแรกและเรื่องเดียวของเกาหลีใต้ในตอนนี้ที่เล่าถึงกีฬามวยปล้ำเกาหลีแบบดั้งเดิมที่เรียกว่า ซีรึม (Ssirum / Ssireum) อันเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวอีกเช่นกันที่เกาหลีใต้และเกาหลีเหนือจับมือร่วมกันยื่นขอจดทะเบียนมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมวลมนุษยชาติกับยูเนสโก จนในปี 2018 ทั้งสองเกาหลีก็ได้ร่วมกันขึ้นทะเบียนซีรึม ซึ่งเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ในเกาหลีใต้ลำดับที่ 131 (ในจำนวนนี้มีเพียง 14 รายการที่ได้รับการขึ้นทะเบียนกับยูเนสโก และหนึ่งในนั้นคือ ซีรึม)

Like Flowers in Sand เล่าเรื่องในเมืองโกซาน ที่ทีมแข่งมวยปล้ำซีรึมเคยเป็นหน้าเป็นตาของเมืองนี้ โดยเฉพาะพ่อของพระเอกที่มีลูกชายสามคน ซึ่งทั้งคนพ่อและคนลูกสองคนแรกต่างล้วนเป็นแชมป์ (ชอนฮาจังซา ตำแหน่งแชมป์ซีรึม มีความหมายว่า “ชายผู้แข็งแกร่งที่สุดในใต้ฟ้า”) ส่วนพระเอก คิมแบ็กดู (จาง ดง-ยุน) ผู้เคยมีพรสวรรค์และเป็นที่จับตามองมาตั้งแต่สมัยเด็กๆ แต่จวบจนบัดนี้ยังไม่เคยคว้าตำแหน่งนี้มาได้แม้แต่ครั้งเดียว ขณะที่เพื่อนสนิทรุ่นเดียวกับเขาหันเหไปเป็นตำรวจ คนอื่นไปทำการทำงานในเมืองหลวง ความกดดันต่างๆ ถาโถมให้เขาต้องเลือกระหว่างยังจะทนทู่ซี้อยู่บนสังเวียนซีรึม หรือออกไปทำมาหากินอย่างอื่นแทน ระหว่างนั้นในเมืองเล็กๆ แห่งนี้ก็เกิดคดีหนึ่งขึ้นซึ่งเกี่ยวพันกับการล้มมวย แล้วไม่กี่วันถัดมาก็มีหญิงปริศนา จูมีรัน (คิม โบ-รา) ย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองนี้ เรื่องวุ่นๆ ในหมู่บ้านนี้ก็เริ่มต้น

ส่วนตัวผู้เขียนคิดว่าถ้าใครชอบซีรีส์แนวอย่าง Hometown Cha-Cha-Cha (2021), When the Camellia Blooms (2019) น่าจะชอบเรื่องนี้ได้ไม่ยาก เพราะอันที่จริงความน่ารักของ Like Flowers in Sand กำลังพูดถึงวิถีชีวิตของผู้คนภายในชุมชนเล็กๆ ที่รู้จักกันหมด เคยเห็นกันมาตั้งแต่เด็ก รู้ไส้รู้พุงกัน มีทั้งมิตรภาพและปมในใจต่อกัน มันจึงสนุกมากเพราะนอกจากพระเอกจะเสมือนเป็นลูกชายคนดังในหมู่บ้านแล้ว ขณะเดียวกันเขายังดูไม่เอาไหนอีกด้วย แต่ก็เป็นที่รักของทุกคน แล้วอันที่จริงเขาเก็บซ่อนไหวพริบเอาไว้ภายใต้สีหน้าทึ่มๆ ของตัวเองโดยไม่ได้เสแสร้งใดใดเลย

บทพระเอกคิมแบ็กดูที่ว่านี้ นักแสดงจาง ดง-ยุน ถ่ายทอดออกมาได้หมดจดจริงๆ ที่เห็นได้ชัดตั้งแต่วินาทีแรกคือเขาเพิ่มน้ำหนักเปลี่ยนลุคตัวเองสลัดคราบคุณชายหน้าหวานผอมบางในซีรีส์แจ้งเกิดของเขา The Tale of Nokdu (2019) ที่หลังจากเรื่องนั้น ในปี 2021 เขาได้รับบทในซีรีส์อีพิกทุ่มทุนสุดอลัง Joseon Exorcist (2021) ที่เคยถูกคาดหมายว่าจะปังมากบนตารางเรตติ้งสูงสุด ซึ่งก็กลายเป็นเช่นนั้นจริงๆ แต่เรตติ้งสูงในแบบทั้งรักทั้งเกลียด คนชอบก็ชอบมาก คนเกลียดก็แห่กันเข้ามาด่า ไม่ใช่เพราะซีรีส์ไม่สนุก มันสนุกมาก เป็นซีรีส์ซอมบี้ในยุคโชซอน แต่เพราะเกาหลีซีเรียสมากกับเรื่องการเมืองจนกลายเป็นกระแสดราม่าเรื่องการบิดเบือนประวัติศาสตร์ ด้วยความที่ซีรีส์นั้นมีนายทุนจีนหนุนหลัง ทำให้บทมีรายละเอียดที่เอนเอียงในทางอวยจีนมากจนเกินงาน ส่งผลให้ซีรีส์เรื่องนั้นออนแอร์ได้แค่ 2 อีพีก็ถูกถอดออกกลางอากาศ

แต่จาง ดง-ยุนก็ฆ่าไม่ตายจริงๆ เพราะในช่วงเวลาไม่นานหลังจากนั้นเขาโดดไปเล่นหนังที่พลิกไปเล่นบทโหดใน Project Wolf Hunting (2022) ที่นอกจากหนังจะเปิดตัวในเทศกาลหนังโตรอนโตแล้ว ยังได้ประกบดารายอดฝีมือคนดังอย่างซอ อิน-กุก แถมยังมีบทเดือดๆ อีกในหนังเรื่องต่อจากนั้น Devils (2023) กระทั่งต้นปีที่แล้วนอกจากเขาจะมีซีรีส์ที่เล่าในช่วงนักศึกษาประท้วงรัฐบาลเผด็จการทหารใน Oasis แล้ว ปลายปีเฉพาะเขาคนเดียวก็ฟาดเรียบมีซีรีส์ออนแอร์พร้อมๆ กัน 3 เรื่องรวดในแบบที่ไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน แถมทั้ง 3 เรื่องเขารับบทนำทั้งหมด ก็คือ Daily Dose of Sunshine, My Man is Cupid และเรื่องที่เรากำลังพูดถึงอยู่ตอนนี้ Like Flowers in Sand แล้วรายชื่อทั้งหมดที่เราพล่ามมา ถ้าคุณมีโอกาสย้อนไปดูผลงานของเขา คุณจะขยี้ตานึกไม่ถึงเลยว่าเขาสามารถแปลงร่างสวมวิญญาณเป็นตัวละครแต่ละตัวที่มีบทบาทต่างกันสุดขั้วได้แบบเข้าถึงในทุกเรื่อง

แต่ไม่แค่นั้น เพราะล่าสุดในเทศกาลหนังเมืองพูชอน (BIFAN) ปรากฏว่ามีหนังสั้น 21 นาทีเรื่อง Please be My Ear ที่นอกจากเขาจะแสดงเองแล้ว เขายังกำกับเองอีกด้วย โดยตัวเขาแสดงเป็นชายหูหนวกที่ต้องมาเลี้ยงลูกที่ยังเป็นทารกน้อย หลังจากแฟนสาววัยใสของเขาทิ้งไป ล่าสุดในปีนี้เขายังจะมีซีรีส์อีกเรื่องคือ The Fairy and the Bald Idol อันเป็นซีรีส์แฟนตาซีที่ดัดแปลงจากนิทานเกาหลีพื้นบ้าน นางฟ้ากับคนตัดฟืน แต่คราวนี้จะว่าด้วยนางฟ้าที่มาอาศัยอยู่กับไอดอลหนุ่มที่กำลังมีปัญหาเนื่องจากหัวล้าน ฟังดูพลอตฮาๆ ก็ไม่รู้ว่าซีรีส์จะออกมายังไง แต่ตัวนิทานดั้งเดิมนั้นตอนจบค่อนข้างเศร้า

ในส่วนของงานกำกับ Like Flowers in Sand ได้คิม จิน-อู ที่ตลอดมาเขามักจะกำกับร่วมกันสองหรือสามคนมาตลอด แต่คราวนี้เป็นการกำกับเดี่ยวครั้งแรกของเขา ที่น่าสนใจคือรายชื่อซีรีส์ที่เขาเคยกำกับร่วมนั้นล้วนแล้วแต่เป็นซีรีส์ฮิตที่โด่งดังเป็นอย่างมาก เช่น Good Doctor (2013 ถูกดัดแปลงเป็นซีรีส์อเมริกัน), Healer (2014), Queen of Mystery (2017), Suits (2018), Love Alarm 2 (2021) และ A Model Family (2022)

ซีรึม

ซีรึมเป็นรูปแบบมวยปล้ำที่พบเฉพาะในเกาหลี หลักฐานเก่าแก่ที่สุดเป็นภาพวาดจิตรกรรมฝาผนังบนสุสานหลวง ซึ่งอยู่ในเมืองหลวงเก่าของราชวงศ์โกคูรยอทางตอนใต้ของแมนจูเรีย ราวศตวรรษที่ 4-6 ในตอนแรกมันเป็นการฝึกฝนเพื่อใช้ต่อสู้ป้องกันตัวทางทหาร ต่อมาในสมัยโครยอและโชซอน มันได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของพิธีกรรมที่สืบทอดมาจากรัฐชนเผ่าโบราณ ในช่วงวันหยุดดาโน (วันซูริตนัล วันพิธีกรรมทางจิตวิญญาณและความเพลิดเพลิน ร้องรำทำเพลงและร่ำสุรา) ของเกาหลี อันเป็นวันที่ 5 ของเดือนจันทรคติที่ 5, วันหยุดชูซอก (วันฮันกาวี เทศกาลเก็บเกี่ยวหรือวันขอบคุณเทพเจ้า) อันเป็นวันเพ็ญเดือนแปดในทางจันทรคติ และวันแดโบรึม (วันเพ็ญปีใหม่) อันเป็นเพ็ญแรกของเดือนแรกทางจันทรคติ ต่อมาในยุคหลังการแข่งขันจะจัดขึ้นในช่วงฤดูร้อนกับฤดูใบไม้ร่วง วันที่สามเดือนสาม วันที่แปดเดือนสี่ และวันเพ็ญเดือนหก (วันพุทธปรินิพพาน หรือวันวิสาขบูชาของไทยเรา) เดิมทีรางวัลของการแข่งขันคือวัว อันเป็นของมีค่าในสังคมเกษตรกรรม และเป็นสัญลักษณ์สำหรับตำแหน่งชายผู้แข็งแกร่งที่สุดในใต้ฟ้า ชอนฮาจังซา

ในวรรณกรรมสมัยต่างๆ กีฬาชนิดนี้เคยถูกเรียกด้วยชื่อต่างๆ เช่น กักโจ, ซังบัก, แจงกโย, กักกี ส่วนชาวจีนเคยเรียกการต่อสู้ของเกาหลีชนิดนี้ว่า โคเรียวงิ หรือโยกิว ส่วนในเกาหลีมีการลงมติในปี 1920 ให้เรียกว่าซีรึม อย่างไรก็ตาม ไม่เคยมีเอกสารทางประวัติศาสตร์ที่อธิบายที่มาของคำนี้ แต่มีทฤษฎีหนึ่งว่ามาจากคำกริยา Ssirunda อันหมายถึงการต่อสู้กันเพื่อแสดงพลังทางกาย อีกทฤษฎีอ้างว่าอาจมีวิวัฒนาการมาจากคำว่า Silum อันหมายถึงมวยปล้ำในสไตล์มองโกเลีย

เดิมทีซีรึมมีสองแบบ คือซีรึมทางขวาที่แพร่หลายในจังหวัดคยองกี และโฮนัมทางตอนใต้ของเกาหลี กับซีรึมทางซ้ายที่แพร่หลายในแถบจังหวัดฮัมกยอง คยุงซัง และชุนชอง อันเป็นรูปแบบการคาดเชือกซัตบะที่ต่างกันไปในแต่ละจังหวัด (ซีรึมทางขวาคือพันเชือกที่ขาซ้าย เพื่อคู่ต่อสู้จะใช้มือขวาในการจับเชือก ส่วนซีรึมทางซ้ายคือการพันเชือกไว้รอบขาขวา) กระทั่งในปี 1994 สมาพันธ์ซีรึมแห่งเกาหลีจัดให้มีการถกเถียงกันอย่างดุเดือดจนได้ผลสรุปให้ทั้งประเทศใช้รูปแบบซีรึมทางซ้าย (อันหมายถึงการพันเชือกที่ขาขวา) เหมือนกันทั้งประเทศมาจนถึงปัจจุบัน

ซีรึมในทางประวัติศาสตร์

อย่างที่บอกไปข้างต้นว่าซีรึมปรากฏหลักฐานบนฝาผนังเก่า แต่บันทึกฉบับแรกถูกพบใน Koryosa หรือประวัติศาสตร์ราชวงศ์โคเรียว ในพงศาวดารเล่าเรื่องในเดือนมีนาคม 1330 ว่าพระเจ้าชุงเหอทรงมอบภารกิจให้ผู้ช่วยของพระองค์ทุกวัน เพื่อที่พระองค์จะได้แอบหนีไปเล่นซีรึมกับเด็กรับใช้ อันทำให้บรรดาข้าราชการวิจารณ์ว่าไม่คำนึงถึงธรรมเนียมปฏิบัติของราชวงศ์ แต่พระเจ้าชุงเหอก็ไม่ทรงแคร์
ต่อมาในพงศาวดารของราชวงศ์โชซอนบันทึกว่าพระเจ้าเซจง เสด็จไปเกาะโจจาเพื่อล่องเรือสำราญและจัดงานเลี้ยงบนเกาะและแข่งขันซีรึมกันบนเกาะแห่งนั้น อย่างไรก็ตาม กลับพบว่าตามพงศาวดารกษัตริย์เมียงจงในปี 1560 ได้เล่าว่ากษัตริย์มุงจองทรงห้ามคนรับใช้ของพระองค์เล่นซีรึมภายในบริเวณราชวัง

การแข่งขันอย่างเป็นทางการครั้งแรกจัดขึ้นในโซล เมื่อเดือนตุลาคม 1912 ภายใต้การอุปถัมภ์ของสมาคมยูกักควอน (ยู = ยูโด, กักกี = ชื่อเก่าของซีรึม และควอนตู = มวย) ในการแข่งขันในปีแรกๆ ไม่มีการแบ่งประเภทน้ำหนัก ดังนั้น ผู้ชนะจะต้องท้าชิงกับคู่ต่อสู้ทุกขนาดเพื่อให้ได้แชมป์ ตลอดทัวร์นาเมนต์จะจัดขึ้นภายในสามวัน การแข่งขันในยุคนั้นเรียกว่าปานมะกึม

กระทั่งในการแข่งชิงแชมป์แห่งชาติครั้งที่ 12 จึงเริ่มมีการแบ่งน้ำหนัก คือ น้ำหนักมากกว่า 71.3 กก. และน้ำหนักต่ำกว่า 71.3 กก. อย่างไรก็ตามกลับพบว่ามีปัญหาเกิดขึ้นมากมาย จนกระทั่งในปี 1967 จึงได้มีมติให้แบ่งออกเป็น 5 รุ่น ได้แก่ จูเนียร์ ต่ำกว่า 60 กก., รุ่นเยาวชน ต่ำกว่า 65.5 กก., รุ่นวอร์ริเออร์ ต่ำกว่า 75 กก., รุ่นไจแอนต์ ต่ำกว่า 82.5 กก. และรุ่นเฮอร์คิวลิส น้ำหนักมากกว่า 82.5 กก. ต่อมาในปี 1972 เปลี่ยนให้เหลือแค่ 3 รุ่น คือ น้ำหนักเบา ต่ำกว่า 70 กก., น้ำหนักกลาง ต่ำกว่า 80 กก. และน้ำหนักหนัก มากกว่า 80 กก.

(จากซ้าย) กึมกัง, ฮันรา และแบ็กดู ภาพขวาคนพ่อชื่อ แทแบ็ก

ในยุคปัจจุบันมีการก่อตั้งสมาพันธ์ซีรึมพื้นบ้านเกาหลี เมื่อวันที่ 16 มีนาคม 1983 แล้วนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาได้มีการเปลี่ยนจากการปล้ำกันบนเสื่อมาเป็นปล้ำกันบนลานทรายแทน อันเป็นสิ่งที่ชื่อของซีรีส์นี้หมายถึง สังเวียนทราย ทรายที่ดอกไม้จะไม่มีวันเบ่งบาน

ต่อมาสมาพันธ์ได้มีการกำหนดระยะเวลาของเกมให้สั้นลง จากเดิมห้านาทีเหลือเพียงสามนาทีนับตั้งแต่เดือนสิงหาคม 1985 โดยแบ่งคู่ต่อสู้เป็นสองทีม คือ มังกรและพยัคฆ์ แบ่งกลุ่มน้ำหนักออกเป็น 4 กลุ่ม แต่ละหมวดน้ำหนักต้องมีนักกีฬาเพียง 8 คนเท่านั้น ชื่อในแต่ละช่วงน้ำหนักถูกตั้งตามชื่อภูเขาใหญ่ในเกาหลี 4 ลูก ได้แก่ น้ำหนักแบ็กดู 95.1 กก., น้ำหนักฮันรา ระหว่าง 85.1-95 กก., น้ำหนักกึมกัง ระหว่าง 75.1-85 กก. และน้ำหนักแทแบ็ก ต่ำกว่า 75 กก.

จะเห็นได้ว่าสิ่งที่ซีรีส์ไม่เคยเล่าคือที่มาของชื่อตัวละคร ชื่อของพระเอกในซีรีส์นั้นคือแบ็กดู ส่วนพี่ชายคนโตชื่อฮันรา กับคนกลางชื่อกึมกัง และคนพ่อชื่อแทแบ็ก มาจากสาเหตุนี้เอง