ThaiPublica > คอลัมน์ > 20 อาร์ตทอยสุดปัง part 01

20 อาร์ตทอยสุดปัง part 01

1 ตุลาคม 2023


1721955

“วงการกล่องสุ่มจุ่มแล้วออกยาก” กลายเป็นคำพูดติดปากใครต่อใคร โดยเฉพาะกระแสจุ่มกล่องที่กลายเป็นคอนเทนต์ฮิตในโลกโซเชียลขณะนี้ ด้วยความน่ารักโซคิ้วของน้อง ๆ อาร์ตทอย โดยเฉพาะจากค่าย Pop Mart ที่ล่าสุดเพิ่งมาเปิดสาขาในไทย อย่างที่เราเล่าให้ฟังไปแล้วในบทความคราวก่อน ที่นี้อย่างที่รู้กันว่า Pop Mart เป็นค่ายจีนที่จดทะเบียนในฮ่องกง และเน้นผลิต “อาร์ตทอย” มาในรูปแบบกล่องสุ่ม ที่มีตัวลับ ตัวrare item จนรวยเละ และกลายเป็นกระแสฮิตในช่วง 2-3 ปีล่าสุดนี้

แต่จริง ๆ อาร์ตทอยเป็นสิ่งที่มีมานานแล้ว บทความคราวนี้(และคราวหน้ารวมทั้งหมดจะจบใน 3 part) เราเลยอยากย้อนรอยกลับไปยังจุดเริ่มต้นของวงการอาร์ตทอย ไปจนถึงแนะนำอาร์ตทอยคูลๆ ปัง ๆ สัก 20 ชิ้น (จากบรรดานับพันนับหมื่นในทุกวันนี้) ว่าแต่ละตัว แต่ละค่าย แต่ละศิลปิน เขามีสตอรี่ ที่มา ไอเดียเจ๋ง ๆ อย่างไรจนสามารถครองใจ ระบาด กลายเป็นงานอาร์ตน่าสะสม แถมยังขายต่อได้ราคาดี บางชิ้นราคาเป็นล้านก็มี วงการอาร์ตทอยมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร

“อาร์ตทอย” หรือบางทีก็เรียก “ดีไซเนอร์ทอย” เป็นของเล่นของสะสมที่ผลิตขึ้นโดยศิลปินและนักออกแบบ อาจจะผลิตเอง หรือผลิตโดยค่ายผลิตของเล่น แต่เดิมผลิตกันเล็ก ๆ ในหมู่ค่ายของเล่นอิสระ ปัจจุบันบางยี่ห้อก็รวยเละขยายใหญ่โต หรือบางทีบางค่ายของเล่นยักษ์ใหญ่ลงมาผลิตรุ่นพิเศษโดยฝีมือศิลปินเองบ้างด้วยก็มี โดยทั่วไปจะมีจำนวนจำกัด มีการบอกจำนวนชิ้นอย่างชัดเจน หมดแล้วหมดเลย หรือถ้าจะผลิตซ้ำก็จะมีความแตกต่างจากรุ่นก่อนหน้านั้น เช่น เปลี่ยนสี เปลี่ยนขนาด เปลี่ยนวัสดุ เพิ่มรายละเอียดบางอย่าง โดยใช้วัสดุหลากหลายชนิด ตั้งแต่พลาสติก ไวนิล วัสดุเอบีเอส อะคริลิค โลหะ ลาเท็กซ์ เรซิน หรือไม่ก็แกะสลักไม้ทำมือ ปั้นปูนก็มี ฯลฯ

โดยประวัติศาสตร์แล้วอาร์ตทอยมีเรื่องเล่าแตกออกเป็น 2-3 สาย สายหนึ่งตามหนังสือ Vinyl Will Kill!: an inside look at the designer toy phenomenon โดยนักวาดภาพประกอบชาวซิดนีย์ Jeremyville ระบุว่า “ปรากฎการณ์ทางวัฒนธรรมของเล่นจากดีไซเนอร์เริ่มต้นขึ้นในช่วงกลางยุค 90s เมื่อ ไมเคิล เลา ศิลปินชาวฮ่องกงนำฟิกเกอร์หุ่น GI Joe มาดัดแปลงเป็นแบบของเขาเองนำไปออกแสดงในฐานะผลงานศิลปะตามที่ต่าง ๆ เขาดัดแปลงหุ่นไวนิลทหารเหล่านั้นให้กลายเป็นตัวละครฮิปฮอป จับแต่งตัวด้วยเครื่องประดับแนวสตรีทเท่ ๆ กลายเป็นของเล่นลิมิเต็ดอิดิชั่น” (เกี่ยวกับ ไมเคิล เลา เราจะเหลาให้ฟังในช่วงถัดไป) ต่อมาสิ่งนี้ถูกเรียกว่า “Urban Vinyl” ก่อนที่จะเรียกรวม ๆ กันว่า “อาร์ตทอย” อย่างในปัจจุบัน

ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น อีกสายบอกว่า Medicom Toy ในญี่ปุ่นเป็นบริษัทแรกที่ผลักดันการผลิตของเล่นที่ออกแบบโดยศิลปิน ต่อมามีบทบาทอย่างมากมาจนปัจจุบัน จนกลายเป็นของแรร์หายาก สะสมได้ราคาแพงที่ทั่วโลกต่างตามล่า อาทิ Kubrick, 5 Devilrobots (ที่ต่อมาผสมพันธุ์ขยายจักรวาลเป็นอีกหลากหลายซีรีส์ อาทิ To-fu, Mimila, Boxy, Evilrob), Be@rbrick ฯลฯ รวมถึงในอีกฟากฝั่งทางสหรัฐ แฟรงค์ โคซิก ศิลปินผู้เพิ่งล่วงลับ(เมื่อ 6 พฤษภาคม 2023) ก็หยิบเอาข้าวของร่วมสมัย แฮมเบอร์เกอร์ ไฟแช็ค มือถือ เฟรนซ์ฟราย โดนัท บะหมี่กระป๋อง เอามายัดบุหรี่เข้าปากพวกมันให้หมดในนามซีรีส์ Mongers รวมถึงตัวละครต่าง ๆ ของนักวาดภาพประกอบ เจมส์ จาร์วิส สิ่งเหล่านี้คือจักรวาลใหม่ที่ไม่ได้อิงจากมังงะ หรือซีรีส์ดังเรื่องไหน

แต่เป็นคาแร็คเตอร์เรียบง่ายที่ศิลปินรังสรรค์ขึ้นมาใหม่ สร้างสตอรี่ ผองเพื่อน เผ่าพันธุ์ของพวกมันใหม่ เหล่านี้เองที่ผลักดันให้ของเล่นกลายมาถูกยกระดับเทียบเท่าผลงานศิลปะที่ไม่ใช่แค่น่ารักน่าสะสม แต่ยังแดกดันสังคมไปด้วย เป็นสะพานเชื่อมระหว่างโลกธุรกิจและงานศิลปินเข้าหากัน

ผลงานแนวโลว์โบรว์ หรือ ป๊อปเซอเรียลิสม์

ส่วนอีกสายเชื่อว่า อาร์ตทอย เติบโตงอกงามมาจากไอเดียของกลุ่มขบวนการเคลื่อนไหวทางป๊อปเซอร์เรียลิสม์ สตรีทอาร์ตทั้งหลายแหล่ ที่เรียกกันว่า “โลว์โบรว์ (Lowbrow)” ที่ถือกำเนิดในแอลเอ แถบแคลิฟอร์เนียมาตั้งแต่ช่วงยุค 60s นู่นแล้ว ก่อนจะระบาดไปทั่วโลก ที่มีรากฐานมาจากการ์ตูนใต้ดิน ผสมไขว้ไปมากับวัฒนธรรมพังก์, ชนเผ่าดั้งเดิมทั้งหลาย, ไปจนงานกราฟิตี้ มีความคิ้ว ความเฟียซ อารมณ์ขัน บางทีชวนขนหัวลุกสยองขวัญ หรือไม่ก็หยาบคายสัปดนปนเสียดสี หยิบเอาวัฒนธรรมป๊อป คนดัง เรื่องเล่า ตำนาน มาผสมกับวัฒนธรรมต่ำชั้นสามานย์ให้กลายเป็นของเท่ น่าชัง แล้วบรรดาศิลปินรุ่นหลังก็หยิบเอาแนวคิดในแบบโลว์โบรว์มาทำเป็นของเล่นของสะสม

แต่ต้องแยกให้ออกว่า แม้ว่าอาร์ตทอยบางทีจะไปคอลแลบกับตัวการ์ตูนดังเอย หนังดังเอย แต่มันไม่ใช่ของสะสมที่ระลึกจากหนังหรือการ์ตูน มันคือตัวละครใหม่ ตัวละครพิเศษที่มีเรื่องราวของมันเอง จากตัวศิลปินหรือนักออกแบบเอง ที่เป็นเอกเทศไม่ได้เกี่ยวข้องกับการ์ตูนหรือหนังดังเลย งงป่ะ เช่น ตุ๊กตา Be@rbrick เรียบ ๆ โล้น ๆ อาจผลิตรุ่นพิเศษจากหนังดัง นักร้องคนดัง อย่าง Daft Punk, Star Wars หรือ Tron ก็ไม่ได้หมายความว่ามันคือของที่ระลึกจากหนัง แต่ควรนับว่ามันเป็นรูปแบบหนึ่งที่ Be@brick ผลิตออกมาเพื่อนักสะสม เช่น Be@rbrick รุ่นมิคกี้เมาส์ มันไม่ใช่มิคกี้เมาส์ที่ออกแบบมาในรูปของ Be@brick แต่ต้องนับว่ามันคือ Be@rbrick รุ่นพิเศษที่ทำออกมาในรูปมิคกี้เมาส์ต่างหากล่ะ

Be@rbrick

ของเล่นสะสมที่ออกแบบและผลิตโดย MediCom Toy Incorporated ในญี่ปุ่นที่พัฒนามาจาก Kubrick ของค่ายเดียวกันอีกที แต่มาในรูปลักษณ์ของหมีอันเป็นที่มาของชื่อ Be@rbrick เปิดตัวครั้งแรกเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2001 เพื่อเป็นของแจกฟรีภายในงาน World Character Convention 12 นับแต่นั้นมาของเล่นชิ้นนี้ก็ถูกทำออกมาขายในหลายรูปแบบกลายเป็นของฮิตของสะสมที่มีหลากหลายขนาด จนปัจจุบันมีรุ่นลับรุ่นแรร์ รุ่นลักซ์ชูที่ราคาแพงระยับพุ่งไปหลักล้านเลยก็มี ปกติแล้วพวกมันจะมีขนาดแค่ 7 เซนติเมตร ก่อนจะมีขนาดอื่น ๆ ตามมา คือ 50% สูง 4 เซนติเมตร, 70% สูง 5 เซนติเมตร, 400% สูง 28 เซนติเมตร, และ 1,000% สูง 70 เซนติเมตร ยุคหลัง ๆ เริ่มมีขนาดพิเศษที่แตกต่างออกไปเช่น 150% หรือ 200% รวมถึงแต่เดิมจะมีชิ้นส่วนประกอบ 9 ชิ้น 8 จุดหมุน บางทีก็ออกแบบมาเป็นชิ้นเดียวกันทั้งหมด

บนกล่องมีระบุว่าไม่ใช่ของเล่น แต่เป็นของสะสมสำหรับผู้ใหญ่ และแนะนำให้นักสะสมควรมีอายุไม่ต่ำกว่า 15 ปี เพราะมันสุ่มเสี่ยงต่อการเสพติดซื้อโดยไม่ยั้งคิด เนื่องจากมันมักจะผลิตออกมาในรูปกล่องสุ่ม ที่หนึ่งเซ็ตจะมี 18 ตัว โดยจะมีตัวลับตัวหายากอยู่ 1 ตัวในแต่ละซีรีส์ ซึ่งมีทั้งหมด 10 ซีรีส์แต่ละซีรีส์จะระบุเปอร์เซ็นต์ของความหายากของตัวแรร์เอาไว้ คือ Basic (มีตัวอักษรกลางอก ครบ 9 ตัวจะเรียงเป็นคำว่า Be@rbrick) 14.58%, Jellybean (วัสดุโปร่งแสง) 11.45%, Pattern (มีรูปแบบลาดลาย) 11.45%, Flag (ลายธง) 9.37%, Horror (สยองขวัญ) 9.37%, SF (แนวไซ-ไฟ) 10.41%, Cute (น่ารัก) 13.54%, Animal (รูปสัตว์) 8.33%, Hero (แนวซูเปอร์ฮีโร่จากค่ายดีซี) 7.29%, Artist (มักผลิตเป็น 2 ลายต่อ 1 ศิลปิน) ลายแรก 4.16% ลายหลัง 1.04% (แปลว่านี่คือตัวแรร์ที่สุด คือในร้อยตัวจะมีแค่ 1.04 ตัวเท่านั้นที่เป็นตัวหายาก) ราคาขายทอดตลาดจะมีความผันผวนตามเปอร์เซ็นต์ความยากในการสุ่ม

(จากซ้ายไปขวา) Be@rbrick เรียงจากแพงที่สุดถึงแพงรองลงมา

Yue Minjun “QIU TU” 1000% Be@rbrick ราวห้าล้านเก้าแสนบาท

เหยาหมินจุน (อ่านเกี่ยวกับเหยาที่ https://thaipublica.org/2023/08/kawsholiday/ ) ออกแบบ Be@rbrick นี้ในปี 2008 เพื่อเป็นเกียรติแก่ศิลปินชาวจีนและใช้รูปแบบศิลปะที่เป็นเอกลักษณ์ของเขา งานศิลปะของเขามักมีรูปลักษณ์ของการหัวเราะอย่างเย็นชา อ้าปากกว้างด้วยท่าทีร่าเริง และด้วยเหตุที่เหยาเป็นหนึ่งในศิลปินที่มีชื่อเสียงที่สุดของจีน จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไม Be@rbrick ตัวนี้จึงมีราคาสูงถึงราวห้าล้านเก้าแสนบาท ตอนนี้มันได้กลายเป็นสถิติแพงที่สุดเท่าที่เคยมีการขายมา

Be@rbrick Coco Chanel 1000%

นี่คือผลงานออกแบบโดยแฟชั่นดีไซเนอร์ผู้ล่วงลับ คาร์ล ลาเกอร์เฟลด์ มาในรูปลักษณ์ของ โคโค ชาแนล เจ้าของแบรนด์ Chanel ด้วยชุดคลาสสิกแจ็คเก็ตและไข่มุก ชาแนล ราคานี้เป็นราคาประมูลการกุศลในปี 2007 มีเพียงตัวเดียวในโลกและไม่เคยถูกผลิตซ้ำ ราคาราวสองล้านเจ็ดแสนบาท คือมูลค่าในปัจจุบันที่ถูกเสนอขายทางออนไลน์

The Contemporary Fix x Sense Stainless Steel Be@rbrick 1000%

Be@rbrick ชิ้นนี้มีน้ำหนัก 14 กิโลกรัม ทำจากสแตนเลสทั้งชิ้น มันถูกสร้างขึ้นโดยร้านบูติก The Contemporary Fix ทำขึ้นในวาระเฉลิมฉลองครบรอบ 9 ปีนิตยสาร SENSE ในปี 2009 มันถูกตั้งราคาขายไว้ราวสองล้านหนึ่งแสนบาท

Be@rbrick Kaws Dissected 1000% Black

Companion ตัวการ์ตูนที่โด่งดังที่สุดของ Kaws (อ่านเกี่ยวกับ Kaws ที่ https://thaipublica.org/2023/08/kawsholiday/ ) ที่ครึ่งขวาถูกผ่าให้เห็นเครื่องใน ด้วยสีสันสดใส ราคาล่าสุดตอนนี้อยู่ที่ราวล้านแปดหมื่นห้าพันบาท

Be@rbrick x Kaws Chomper 1000%

เป็นอีกหนึ่งผลงานของตัวพ่อสตรีทอาร์ต Kaws ราคาเจ้าสีฟ้าฟันหยักตัวนี้ล่าสุดอยู่ราวแปดแสนห้าหมื่นบาท

สำหรับใครที่อยากเจอน้อน Be@rbrick ที่พาเหรดมาโชว์กันแบบจัดเต็มมากกว่า 100 ดีไซน์พิเศษ ล่าสุดจะมีการเวิร์ลทัวร์ครั้งแรกในแถบอุษาเคนย์ ซึ่งจะจัดที่คิงพาวเวอร์ บนชั้น 74 ของอาคารมหานครในวันที่ 5 ตุลาคม – 5 พฤศจิกายน บัตรราคา 500 บาท

สำหรับใครที่อยากเจอน้อน Be@rbrick ที่พาเหรดมาโชว์กันแบบจัดเต็มมากกว่า 100 ดีไซน์พิเศษ ล่าสุดจะมีการเวิร์ลทัวร์ครั้งแรกในแถบอุษาเคนย์ ซึ่งจะจัดที่คิงพาวเวอร์ บนชั้น 74 ของอาคารมหานครในวันที่ 5 ตุลาคม – 5 พฤศจิกายน บัตรราคา 500 บาท

http://www.bearbrick.com/
https://www.facebook.com/medicomtoy.page
ttps://www.instagram.com/medicom_toy/
https://twitter.com/medicom_toy
http://www.medicomtoy.co.jp/
https://toytokyo.com/collections/1000-be-rbrick

Gardener อาร์ตทอยรุ่นบุกเบิก

Micheal Lau

ไมเคิล เลา คิน-มัน (หลิวเจี้ยนเหวิน-จีนกลาง) เป็นที่รู้จักในนามผู้ให้กำเนิดอาร์ตทอยดังที่เราเล่าไปก่อนนี้แล้ว เขาจึงได้ฉายาว่าเป็น “Godfather of designer Toy” เขาเป็นศิลปินชาวฮ่องกงเกิดปี 1970 หลังจากสำเร็จการศึกษาจาก First Institute of Art and Design ในฮ่องกงเมื่อปี 1992 ไมเคิลก็ได้จัดนิทรรศการโซโลผลงานภาพเขียนของเขาเป็นครั้งแรก จนในปี 1999 เขาก็ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้ขับเคลื่อนวงการของเล่นไวนิล อาร์ตทอย จากผลงานซีรีส์ “Gardener” ด้วยการจับแอ็คชั่นฟิกเกอร์ที่มีขายเกลื่อนตลาดในเวลานั้นคือตุ๊กตาทหาร GI Joe ขนาดสูง 12 นิ้ว 99 ตัว มาแต่งตัวแนวสตรีท ในนิทรรศการผลงานเดี่ยวของเขาที่จัดขึ้นที่ศูนย์ศิลปะฮ่องกง จนเป็นที่สนใจไปทั่วโลก ทำให้เขามีโอกาสไปแสดงตามเมืองต่าง ๆ ในญี่ปุ่น ไทเป ลอนดอน และปารีส กลายเป็นผู้นำเทรนด์ของเล่นสะสมที่ต่อมากลายเป็นแรงบันดาลใจให้แก่นักออกแบบอาร์ตทอยมากมายมาจนปัจจุบัน

(แถวแรกจากซ้าย) CSBooth (Stand Crazy Smiles), ซีรีส์ SK3 อุทิศแด่ตัวละครในหนังของแสตนลีย์ คูบริค ผู้กำกับผู้ล่วงลับ, CRAZYCHILDRENKING “Child F” / (แถวสองจากซ้าย) Salvador Michael (ท่าไขว้นิ้วได้แรงบันดาลใจจากภาพวาด Salvator Mundi ของลีโอนาโด ดาร์วินชี), รองเท้า Nike SB Blazer Low รุ่น ‘Salvator Michael’ / (แถวสามจากซ้าย) The Godfather x Michael Lau, Crazymichael, NY Fat / (แถวล่างสุด) รองเท้า Nike SB Dunk Low Michael Lau Gardener Wood

ทุกวันนี้เมื่อถูกถามถึงอาร์ตทอย ไมเคิลตอบว่า “ยังคงเป็นความรักแบบเดิมมาตั้งแต่วันแรก ผมไม่เคยมองสิ่งที่ผมทำว่าเป็น ‘ของเล่น’ ผมมองมันเป็นผลงานศิลปะรูปแบบหนึ่งเสมอมา ดังนั้นไม่ว่าผมจะวาดภาพ ปั้นประติมากรรม หรืออาร์ตทอย ผมจะทุ่มเทพลังงานและความหลงไหลในปริมาณเท่าเดิมเสมอ…ไม่ว่าคุณจะสะสมอะไร ภาพวาด นาฬิกา กระเป๋าถือ รองเท้าผ้าใบ ตุ๊กตา ผมเชื่อว่านักสะสมจะยังคงมองเห็นศิลปะภายในสิ่งเหล่านั้นเสมอ พอ ๆ กับการที่มันเป็นของเล่น เป็นเพื่อน เป็นรูปแบบหนึ่งที่มอบความสบายใจความปลอดภัย ความรู้สึกแตกต่าง ผมจึงกระตือรือร้นเสมอในการรังสรรค์ผลงานเพื่อท้าทายขีดจำกัดของโลกศิลปะแบบเดิม ๆ”

https://www.facebook.com/profile.php?id=100044504706636
https://www.instagram.com/michaellau
https://crazysmiles.com
https://www.facebook.com/Crazysmileshop/
https://www.instagram.com/crazysmileshop/

Mr,DOB

ผลงานออกแบบของศิลปินป๊อปอาร์ตตัวพ่อผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในญี่ปุ่น ทาคาชิ มุราคามิ (เราเคยเขียนถึงเขาไปบ้างแล้วที่ https://thaipublica.org/2023/03/series-society36-show-yanagisawa/ ) ในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา มุราคามิสร้างผลงาน Superflat ในหลายรูปลักษณ์มากมาย ในบรรดาผลงานของเขาทั้งหมดมีตัวการ์ตูน Mr.DOB ถือเป็นผลงานโด่งดังที่สุดของเขา มันมีฟันแหลม ขี้เล่น ชื่อของมันมาจากวลีสแลงของญี่ปุ่นคำว่า “dobojite” แปลว่า “ทำไม” เพื่อตั้งคำถามถึงสังคมจากมุมมองไม่เห็นด้วยของมุราคามิ เกี่ยวกับสังคมบริโภคนิยมว่าไร้ชีวิตชีวาและว่างเปล่า

Mr.DOB นอกจากจะได้แรงบันดาลใจจากแอนิเมะญี่ปุ่นแล้ว โครงหัวของมันดัดแปลงมาจากมิกกี้เมาส์ของวอลท์ ดิสนีย์ เขาให้ความเห็นว่า “ผมตั้งใจจะวิเคราะห์ความลับของผู้รอดชีวิตจากการตลาด ความเป็นสากลของตัวละครอย่าง มิกกี้เมาส์ โซนิคเดอะเฮดจ์ฮ็อก, โดราเอมอน, มิฟฟี่, เฮลโลคิตตี้ และของอื่น ๆ ที่ผลิตในฮ่องกง” ซึ่งกลายเป็นว่าแม้มันจะวิพากษ์วัฒนธรรมบริโภคนิยม แต่ตัวมันเองกลับเป็นส่วนหนึ่งด้วยราคาประมูลที่พุ่งสูงลิบลิ่ว

Mr.DOB เปิดตัวครั้งแรกในปี 1996 ด้วยลักษณะภาพวาดอะคริลิกบนผ้าใบสามแผงมีชื่อผลงานว่า 727 ด้วยขนาดใหญ่ 299X449.6 เซนติเมตรวางมันบนรูปคลื่นที่สื่อถึงภาพพิมพ์แกะไม้อันโด่งดัง Hokusai (1760-1849)

จากข้อมูลของพิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัย MoMA มุราคามิสร้างผลงานนี้ด้วยสีอะครีลิก 20 ชั้นซึ่งเขาขูดออกเพื่อสร้างบรรยากาศอันน่าประทับใจบนฉากหลังด้วยเทคนิคญี่ปุ่นที่เรียกว่า “นิฮงงะ” ที่นิยมกันในญี่ปุ่นช่วงศตรวรรษที่ 19 มุราคามิให้ความเห็นว่า “ผลงานนี้ไม่ได้เป็นตัวแทนของสิ่งใดสิ่งหนึ่งโดยเฉพาะ มันเป็นเพียงการผสมผสานระหว่างเทคนิคทั้งผมที่ผมมีอยู่ในเวลานั้น แค่นั้นเองจริง ๆ”

นับตั้งแต่ปี 1996 มุราคามิสร้าง Mr.DOB ภายใต้ซีรีส์ที่มีชื่อกวน ๆ แต่ชวนตั้งคำถามว่า And then, and then and then and then and then ในปี 2010 การประมูลของฟิลิปส์ที่นิวยอร์ก ภาพวาดต้นฉบับสองภาพของ Mr.DOB ได้ราคาสูงถึง 2,322,500 ดอลลาร์ (ราว 84.6ล้านบาท)

ไม่เพียงเท่านั้นยังมีการขายประติมากรรมชื่อว่า DOB in the Strange Forest (1999) ที่ทำออกมาสองเซ็ตที่ต่างกันแค่ชุดนึง สีแดงอีกชุดสีน้ำเงิน ประกอบด้วยเห็ดหลอนประสาท ดอกไม้ตาแมงกะพรุน ชิ้นสีน้ำเงินขายได้ในราคา 2.4ล้านดอลลาร์ (ราว 87.4ล้านบาท) ในการประมูลที่คริสตี้ นิวยอร์กปี 2011 ขณะที่ชุดสีแดงถูกเคาะไปในราคา 3ล้านดอลลาร์ (ราว109ล้านบาท) อันเป็นราคาลิบลิ่วบ้าคลั่งเกินกว่าจะจินตนาการได้ว่างานศิลปะที่ดูเหมือนของเด็กเล่นพวกนี้จะได้ราคางามขนาดนี้

มุราคามิสร้างชื่อมาตลอดช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา อาทิ ในปี 2003 แบรนด์หรูสุดลักซ์ชู หลุยวิคตอน ได้อันเชิญมุราคามิมาคอลแล็บร่วมกัน อันนับเป็นการปฏิวัติโลกแฟชั่นครั้งแรก ๆ

ปี 2008 นักร้องฮิปฮอปคนดัง(และตัวป่วน)อันเชิญมุราคามิมากำกับ MV เพลง Good Morning

ล่าสุดในช่วงกระแสนิยมเมต้าเวิร์ส รวมถึงศิลปะดิจิตอลในรูปแบบ NFT เมื่อกลางปีที่ผ่านมามุราคามิจัดนิทรรศการในโลกเวอร์ช่วล พร้อม ๆ กับมิวเซียม Gagosian ในนิวยอร์ก ด้วยผลงาน Clone X NFT ร่วมกับ RTFKT (อ่านว่า อาร์ติแฟกต์ สตูดิโอมาแรงสตาร์ทอัพผลงานออกแบบสะสมในรูป NFT (Non-Fungible Token) ปัจจุบันถูก Nike เทคโอเวอร์สตูดิโอนี้ไปด้วยราคาสูงลิ่ว ล่าสุดมีการขายรองเท้าราคา 6-14 ล้านที่คุณสามารถซื้อได้แต่สวมใส่มันจริง ๆ ไม่ได้)

มุราคามินำเสนอ Mr.DOB ในรูปลักษณ์ล้ำอนาคต ภายใต้ชื่อ “An Arrow Through History” โดยต่อมามีการเปิดประมูลอวตารจำนวนสองหมื่นตัวที่ออกแบบโดยมุราคามิและแต่ละตัวไม่มีซ้ำกันเลย โดยอวตารนี้จะถูกนับเป็นทรัพย์สินที่ผู้ซื้อสามารถนำมาใช้ในเกมที่ใช้ NFT, ฟิลเตอร์ AR, การประชุม Zoom และแพลตฟอร์ม Metaverse ในอนาคต อีกทั้ง RTFKT ยังสัญญาว่าจะเปิดตัวอุปกรณ์สวมใส่ Clone X ในอนาคต การดรอปไอเทม IRL และประสบการณ์ล้ำ ๆ ที่จะตามมาอีกเพียบเฉพาะสมาชิกเท่านั้น ดูรูปแบบ Clone X ได้ที่ลิงค์นี้

https://www.instagram.com/reel/CW4A0AtpXY4/?utm_source=ig_web_copy_link
https://www.kaikaikiki.co.jp/
https://www.facebook.com/takashi.murakami.142/
https://www.instagram.com/takashipom/
https://twitter.com/takashipom
https://murakamiflowers.kaikaikiki.com/
https://www.instagram.com/murakami.flower2022/

Dunny

ถ้าว่ากันตามตรง Dunny ไม่ได้มีแนวคิดอะไรมาก ความเป็นจริงคือเป็นเพราะกลางปี 2001 ฟากฝั่งเอเชียผลิต Be@rbrick จากค่ายญี่ปุ่นออกมาสู่ตลาด ซึ่งมันเป็นของฮิตและยังคงความคลาสสิกมาจนทุกวันนี้ สตรีทอาร์ตฝั่งอเมริกาจึงต้องผลิตบางอย่างออกมาที่สูสีกัน Dunny จึงได้ถือกำเนิดขึ้นในปี 2004 โดยนักออกแบบไวนิล พอล บัดนิตซ์ และศิลปิน ทริสเทน อีตัน ผลิตโดยบริษัทของเล่น Kidrobot มีรูปร่างเป็นกระต่าย หูยาวเป็นท่อโต ชื่อของมันเป็นการกร่อนคำมาจาก Devil Bunny (กระต่ายปีศาจ) ยุคแรก ๆ มันมีสามขนาดคือ 3″, 8″ และ 20″ มีจุดขยับได้ 3 จุด คือหัวหมุนนได้ 360 องศา และแขนทั้งสองข้าง ด้วยคอนเส็ปต์คล้าย Be@rbrick คือมีทั้งรุ่นที่บริษัทออกแบบเอง และรุ่นที่อันเชิญศิลปินมาช่วยกันออกแบบ

https://www.kidrobot.com/collections/tristan-eaton
https://www.tristaneaton.com/
https://www.instagram.com/tristaneaton/
https://twitter.com/tristaneaton
www.paulbudnitz.com
https://www.facebook.com/paul.budnitz/
https://twitter.com/paulbudnitz
https://www.kidrobot.com/collections/dunny
https://amp.kidrobot.com/collections/dunny
https://www.kidrobot.com/pages/what-is-a-dunny
https://www.instagram.com/kidrobot
https://www.facebook.com/kidrobot/
https://twitter.com/kidrobot
https://www.youtube.com/c/kidrobottoys
https://www.pinterest.com/kidrobot/

Jason Freeny

เชื่อว่านักสะสมหลายคนต้องเคยเห็นผลงานของเขา ความฉลาดของ เจสัน ฟรีนี คือเขาสามารถคอลแล็บกับใครก็ได้ ไม่ว่าจะ Kaws, Be@rbrick, Yellow Duck, Dunny, Mickey Mouse, Balloon Dog, Barbie, Hello Kitty, Sesame Street ฯลฯ เจสันเคยทำงานศิลปะกับตัวละครดัง ๆ เหล่านี้มาแล้วทั้งสิ้น อาจต้องถามกลับกันว่ามีอะไรในโลกนี้อีกไหมที่ฟรีนี่ยังไม่เคยผ่าชำแหละ ล่าสุดแม้แต่ไม้ดูดส้วม ฟรีนี่ก็ยังผลิตออกมาได้ เพราะไอเดียของเขาคือการคัสตอมผลงานของคนอื่นให้เห็นอวัยวะภายในของสิ่งนั้น
ฟรีนี่ เกิดเมื่อปี 1970 เรียนการออกแบบอุตสาหกรรมในนิวยอร์ก ก่อนจะโดดไปทำงานออกแบบงานสร้างให้ MTV ควบคู่ไปกับการออกแบบมือถือในยุคนั้น และวาดภาพประกอบบทบรรณธิการให้นิตยสารเพนท์เฮาส์ กระทั่งโด่งดังจากผลงานที่ปัจจุบันเรียกว่า XX Ray, หรือ Half Ray อันเป็นการเปิดให้เห็นโครงสร้างกายวิภาคไปจนถึงอวัยวะภายใน ฟรีนี่ก็ก่อตั้งบริษัทในนาม Moist Production

นิตยสารไลฟ์สไตล์เอเชียยกย่องเขาว่า “เจสัน ฟรีนี่ คือหนึ่งในศิลปินทรงอิทธิพลที่สุดแห่งศตวรรษที่ 21” เขาได้รับรางวัลระดับนานาชาติที่ต่างยกย่องเขาในแง่ผลงานที่กระตุกกระตุ้นให้ผู้คนได้คิด ด้วยการผสมผสานประติมากรรมและภาพประกอบอันเป็นเอกลักษณ์ งานของเขาเกี่ยวกับการเปิดผ่าเผยผลงานของตัวละครต่าง ๆ ในวัฒนธรรมป๊อปและสิ่งที่เป็นไอคอนแห่งยุค นำเสนอมุมมองอันแปลกประหลาดและลึกซึ้ง เป็นการแยกโครงสร้างตัวละครยอดนิยมอย่างพิถีพิถัน เปิดเปลือยกายวิภาคภายในและสำรวจกลไกที่ทำให้สิ่งนั้นมีชีวิตขึ้นมา ผลงานของเขามีทั้งประติมากรรม ภาพประกอบ และของเล่นดัดแปลงพิเศษแบบคัสตอม ซึ่งแต่ละชิ้นได้รับการออกแบบมาอย่างปราณีต จุดประกายจินตนาการด้วยฐานแฟนที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก ทำให้ผลงานของฟรีนี่ได้รับการยอมรับในวงกว้าง ถูกยกระดับจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ แกลอรี และนิทรรศการระดับนานาชาติ มีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ได้รับความชื่นชมจากทั้งแวดวงศิลปะและวัฒนธรรมป๊อป ผลงานของเขาผลักดันขอบเขตอิทธิพลต่อนักออกแบบและท้าทายการรับรู้ ก่อผลกระทบอย่างยั่งยืนต่อแวดวงศิลปะโดยรวม

“ไม่มีใครสามารถสอนคุณให้เป็นศิลปินได้หรอก”

ฟรีนี่ตอบเมื่อถูกสัมภาษณ์ว่าวัยเด็กเขาอยากเป็นอะไร “ตอนเด็ก ๆ เราอยากเป็นอะไรก็ได้รอบ ๆ ตัวเรา ดารา นักดับเพลิง แม่ผมอยากให้เรียนสถาปัตย์ แต่สุดท้ายผมก็มาเจอสื่อรูปแบบอื่น ๆ ที่รัดกุมน้อยกว่า ผมกลายมาเป็นศิลปินไม่ใช่เพราะมีใครสอน ถึงครูจะสอนให้คุณเรียนศิลปะ แต่ครูสอนให้ใครเป็นศิลปินไม่ได้”

เมื่อถูกถามเกี่ยวกับโลกของโซเชียลมีเดียในปัจจุบัน ฟรีนี่ตอบว่า “ถ้าไม่มีโซเชียลมีเดีย ผู้คนจะไม่มีวันเห็นตัวตนของผมเลย ผมสร้างสรรค์ผลงานศิลปะมาตั้งแต่ต้นยุค 90 ก่อนที่โลกจะมีอินเทอร์เน็ต เวลานั้นผมต้องรวบรวมสไลด์ผลงานของผม แบกมันไปตามแกลอรีจากที่หนึ่งไปยังอีกที่เพื่อให้พวกเขาหันมาสนใจงานของผม”

ก่อนที่คุณจะรู้ว่าคุณก็เป็นแค่อีกหนึ่งในพอร์ตการลงทุนของนายทุน อินเทอร์เน็ตทำให้แกลเลอรีเกือบจะล้าสมัย ตอนนี้คุณสามารถสร้าแกลเลอรี่ของคุณเองได้ทางออนไลน์

“และมีผู้คนจำนวนมหาศาลมากกว่าที่เดินเข้าไปในแกลเลอรีจริง ๆ เสียอีก ผู้คนจำนวนนั้นจะตัดสินใจว่าชอบผลงานชิ้นใด ไม่ใช่เจ้าของแกลเลอรีเพียงไม่กี่คนในเมืองใหญ่”

โรเบิร์ต วิลเลียมส์

เมื่อถูกถามว่าฟรีนี่ ชื่นชอบผลงานของใครมากที่สุด เขาตอบทันทีว่า “โรเบิร์ต วิลเลียมส์ เขาเป็นตัวพ่อของศิลปินป๊อปเซอเรียลิสม์ โลว์โบรว์ เป็นหนึ่งในแรงบันดาลใจที่ทำให้ผมทำทุกอย่างที่คุณเคยเห็นเกี่ยวกับผลงานของผม การขับเคลื่อนงานไวนิลป๊อป ที่มีความผสานป๊อปเซอเรียลิสม์จะเกิดขึ้นไม่ได้เลยหากไม่มีเขาเป็นผู้มาก่อนกาล ทั้งหมดในวงการศิลปะไวนิลล้วนกำเนิดมาจากงานโลว์โบรว์ของ โรเบิร์ต วิลเลียมส์”

“ผมไม่เคยฝึกอบรมทางการแพทย์ใดใดมาก่อน ทุกอย่างเกิดจากการเรียนรู้กายวิภาคด้วยตัวผมเอง มันเป็นสิ่งสวยงาม แสดงความมหัศจรรย์ซับซ้อนของชีวิต เป็นความลี้ลับละเอียดอ่อน และมันเริ่มต้นมาจากความน่าทึ่งเมื่อผมขบคิดเรื่องนี้ ผมไม่ได้ยึดติดกับเทคนิคทางศิลปะมากนัก แต่อย่ายึดถือว่าผลงานของผมคือความเป็นจริงทางการแพทย์ ผลงานของผมไม่ได้มีความจริงใด ๆ เลย มันเป็นเพียงสิ่งสมมติ เหมือนอย่างตอนเด็ก ๆ ที่คุณมีเพื่อนในจินตนาการ ผมเพียงแค่หยิบเอาจินตนาการเหล่านั้นทำให้มันมีตัวตนจับต้องได้ และอิงกับความเป็นจริงนิดหน่อยให้คนได้ขบคิดพิจารณามัน”

“การใช้ตัวละครไอคอนดัง ๆ ที่เป็นที่จดจำสามารถช่วยให้ผู้คนเชื่อมโยงกับตัวละครเหล่านั้นได้ทันที ข้อเสียคือสิ่งเหล่านี้ล้วนมีลิขสิทธิ์ เป็นทรัพย์สินทางปัญญาของใครสักคน ทำให้ผมไม่สามารถสร้างผลงานได้มากกว่าหนึ่งชิ้น แต่ผมก็ยังไม่เคยได้รับการติดต่อจากผู้ถือ IP ของผลงานชิ้นใดเลย ไม่เคยมีปัญหาด้านลิขสิทธิ์ยกเว้นจะเป็นการทาบทามโดยตรงเพื่อผลิตคราวละมาก ๆ จากตัวศิลปินหรือค่ายของเล่นเอง ที่ผ่านมาเจ้าของ IP ต่าง ๆ ใจดีกับผมมาก พวกเขาเห็นศิลปะในสิ่งที่ผมทำ และตราบเท่าที่ผมผลิตออกมาในแบบจำนวนจำกัด พวกเขาก็ไม่เคยมีปัญหา แน่นอนว่าพวกเขามีสิทธิ์ตามกฎหมายในการป้องกันให้ผมไม่สามารถขายอะไรได้มกกว่าหนึ่งชุด แต่พวกเขาก็ใจดีกับผมมากครับ”

https://jasonfreeny.com/
https://www.deviantart.com/freeny/gallery
https://www.facebook.com/GummiFetus
https://www.instagram.com/gummifetus/
https://www.youtube.com/@jasonfreeny3350
https://www.tiktok.com/@gummifetus
https://twitter.com/gummifetus

จบแล้วสำหรับพาร์ทแรก ที่เราเลือกหยิบ 5 ศิลปินตัวพ่อในช่วงยุคบุกเบิกต้นยุค 2000 มาทั้งสิ้นเพื่อให้เห็นภาพรวม พัฒนาการของแวดวงอาร์ตทอย ยังมีต่ออีก 2 พาร์ท ที่จะเข้าสู่อาร์ตทอยในยุคต่อ ๆ มาจนกลายเป็นฮิตระเบิดระเบ้อในบ้านเราอยู่ตอนนี้