ThaiPublica > คอลัมน์ > พึ่ง ‘ท่องเที่ยว’ ดันเศรษฐกิจครึ่งปีหลัง…

พึ่ง ‘ท่องเที่ยว’ ดันเศรษฐกิจครึ่งปีหลัง…

29 กรกฎาคม 2023


จิตติศักดิ์ นันทพานิช

การคาดการณ์เศรษฐกิจของสำนักต่าง ๆ ล้วนยกให้ ‘ท่องเที่ยว’ เป็นหัวใจสำคัญที่จะสูบฉีดให้เศรษฐกิจในปีนี้ขยายตัวเข้าเป้าทั้งสิ้น สัปดาห์ก่อนหน้า ‘พรชัย ฐีระเวช’ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศต.) ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง ออกมาแถลงว่า ปีนี้คลังคาดว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวราว 3.5 % โดยได้แรงส่งจากภาคท่องเที่ยว และอุปสงค์ภายในประเทศที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง

โฆษกกระทรวงการคลัง คาดว่าปีนี้จะมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าไทย 29.5 ล้านคน โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากภูมิภาคเอเชีย ส่งผลให้รายได้จากภาคการท่องเที่ยวและธุรกิจบริการที่เกี่ยวข้องเพิ่มสูงขึ้นที่ขยายตัว 164.2 % ต่อปี และคาดว่าจะมีรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ จำนวน 1.25 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 243.8 % จากปี 2565

รายได้จากภาคท่องเที่ยวและธุรกิจบริการที่เกี่ยวข้องที่เพิ่มสูงขึ้น สอดรับกับอุปสงค์ในประเทศที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง โดยประเมินว่าการบริโภคภาคเอกชนคาดว่าจะขยายตัว 4.5 % ตามรายได้ภาคประชาชนที่ฟื้นตัวตามสถานการณ์เศรษฐกิจภายในประเทศ ประกอบกับอัตราเงินเฟ้อที่ลดลง จะเป็นตัวหนุนให้การบริโภคเพิ่มขึ้น

การให้น้ำหนักกับภาคท่องเที่ยว ว่าจะเป็นปัจจัยสำคัญ ที่จะดันให้เศรษฐกิจขยายตัวตามเป้าหมาย ท่ามกลางความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะตัวเลขนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าไทยเพิ่มขึ้นต่อเนื่องนับจากต้นปีที่ผ่านมา โดยปลายเดือนมิถุนายน กระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา รายงานว่าตัวเลขนักท่องเที่ยวเข้าไทยทะลุ 12 ล้านคนเป็นครั้งแรกในรอบ 3 ปี หรือนับจากปี 2563

ตัวเลขที่รายงาน ล่าสุดจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นเป็น 14,758,273 คน ณ ช่วงปลายเดือนกรกฎาคม เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนหน้าถึง 406 % สร้างรายได้สะสมราว 1.045 ล้านล้านบาท (จำนวน 613,030 ล้านบาทมาจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ )

โดยนักท่องเที่ยว 5 อันดับแรกที่มาเที่ยวไทยคือ มาเลเชีย 2,364,546 คน รองลงมา จีน 1,746,809 คน ตามด้วย เกาหลีใต้ 866,747 คน ต่อด้วย อินเดีย 858,843 คน และรัสเชีย 840,128 คน

อย่างไรก็ดี แม้จำนวนนักท่องเที่ยวเข้าไทยสะสมมาถึงครึ่งทางของเป้าหมายที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) คาดว่าปีนี้จะมีนักท่องเที่ยวเข้าไทยราว 29-30 ล้านคน แต่ใช่ว่าครึ่งทางที่เหลือของปีจะเป็นเรื่องง่าย ๆ เพราะมีหลายปัจจัยที่อาจเปลี่ยนทิศทางของตลาดนักท่องเที่ยวจีนได้

โดยหลังจีนเปิดประเทศ (6 ก.พ.2566)ให้กรุ๊ปทัวร์จีนเดินทางไปยังประเทศที่รัฐบาลอนุญาต ซึ่งไทยเป็นหนึ่งในนั้น มีนักท่องเที่ยวจีนเดินทางมาไทยราว 500,000 คนจากเป้า 300,000 คน ในไตรมาสแรก จนททท. ปรับเป้านักท่องเที่ยวจีนปีนี้เป็น 7 ล้านคน จากเดิมวางไว้ 5 ล้านคน

แต่หลังจากนั้น จำนวนนักท่องเที่ยวจีนเริ่มชะลอตัวและเสียตำแหน่งนักท่องเที่ยวอันดับหนึ่งของไทยให้มาเลเชียมาจนบัดนี้ จนถึงล่าสุดมีนักท่องเที่ยวจีนเข้าไทยสะสมแล้วราว 1 ล้านคนเศษ และททท.ได้ปรับเป้า นักท่องเที่ยวจีนเข้าไทยลงไปที่ 5 ล้านคนเช่นเดิม สาเหตุที่นักท่องเที่ยวจีนมาไทยไม่คึกคักอย่างที่คิดมาจากหลายปัจจัยผสมกัน

เริ่มจากเศรษฐกิจจีนที่เติบโตต่ำกว่าเป้าหมาย ตามด้วยปัญหาสายการบินไม่เพียงพอ การยื่นขอ อี-วีซ่าต้องใช้เวลา 15 วัน ซึ่งกระทบต่อตลาดกรุ๊ปทัวร์ โดยบริษัททัวร์บ่นว่าระยะเวลาทำวีซ่าไม่ควรเกิน 3 วัน และที่ทำท่าว่าจะกลายเป็นปัญหาที่กระทบต่อตลาดนักท่องเที่ยวจีนได้ถ้าไม่ระวังคือ กรณีจีนเทา ที่ถูกนำไปขยายต่อจนสถานฑูตจีนออกมาส่งเสียงเตือน

เมื่อเร็วนี้เว็บไซต์ของสถานทูตจีนประจำประเทศไทยรายงานว่า เนื่องในวันครบรอบ 48 ปีแห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างจีนและไทยเมื่อ วันที่ 1 กรกฎาคม 2566 เอกอัครราชทูตหาน จื้อเฉียง ได้ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์เดลินิวส์เกี่ยวกับนโยบายการค้าและการลงทุนของจีนต่อไทย พร้อมกันนี้ทูตหาน จื้อเฉียง ได้กล่าวเตือนให้ระมัดระวังกลุ่มที่มีเจตนาซ่อนเร้น โดยใช้เรื่องทุนสีเทามาทำลายความสัมพันธ์ระหว่างจีนและไทย

นอกจากปัจจัยที่ไล่เรียงมาข้างต้นแล้ว ตลาดนักท่องเที่ยวจีน ที่ไทยครองตลาดมานานเป็นที่หมายตาของชาติต่างทั้งในและนอกอาเซียนเช่นกัน ทำให้การแข่งขันชิงตลาดนักท่องเที่ยวจีนมีแนวโน้มเข้มข้นกว่าเดิม สะท้อนจากช่วงที่ผ่านมาหลายประเทศ ขยับเพิ่มความคล่องตัวในการ ดึงนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะจากจีนให้เข้ามาเที่ยว

ตัวอย่างเช่น เวียดนาม ปรับเป้าหมายนักท่องเที่ยวปีนี้ จาก 8 ล้านคน เป็น 12 ล้านคน พร้อมนำนโยบายวีซ่าใหม่ที่ผ่อนปรนมากขึ้น เช่นชาวต่างชาติที่ขอ อี-วีซ่าสามารถเข้าออกเวียดนามได้โดยไม่จำกัดจำนวนครั้ง โดยไม่ต้องทำขอวีซ่าใหม่ หรือ พลเมืองจากประเทศที่เวียดนามยกเว้นวีซ่าฝ่ายเดียว สามารถพำนักได้ 45 วันจากเดิม 15 วันเป็นต้น หรือฟิลิปปินส์เตรียนำระบบอี-วีซ่ามาใช้เร็ว ๆ นี้ กระตุ้นภาคการท่องเที่ยว

ออสเตรเลียแม้นโยบายใหญ่ของประเทศไม่เอาจีน แต่หน่วยงานด้านการท่องเที่ยว เร่งเจาะตลาดท่องเที่ยวจีน โดยเมื่อเร็วๆนี้ คณะผู้แทนจากออสเตรเลีย นำโดยนางฟิลลิปปา แฮร์ริสัน กรรมการผู้จัดการการท่องเที่ยวออสเตรเลีย ไปจัดกิจกรรมที่ เมืองเฉิงตู มณฑลเสฉวน โดย จีนเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดของออสเตรเลียในปี 2562 ด้วยจำนวนนักท่องเที่ยวจากจีนถึง 1.4 ล้านคน

ครึ่งปีหลัง นักท่องเที่ยวจีนจะสามารถเพิ่มขึ้นอีกเกือบ 4 ล้านคนเพื่อบรรลุเป้าหมาย 5 ล้านคนในปีนี้ได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับการผันแปรของปัจจัยตามที่กล่าวข้างต้น แน่นอนว่าการถึงเป้าหรือต่ำกว่าเป้า ของนักท่องเที่ยวจีนที่ครองสัดส่วนกว่า 20% ของตลาดท่องเที่ยวไทย ย่อมมีแรงกระเพื่อมต่อเป้าหมายใหญ่ ด้านการท่องเที่ยวและผูกโยงไปถึงเศรษฐกิจภาพรวมในที่สุด