ThaiPublica > คอลัมน์ > สมเด็จพระสันตปาปานักปฏิรูปของคริสตจักรโรมันคาทอลิก

สมเด็จพระสันตปาปานักปฏิรูปของคริสตจักรโรมันคาทอลิก

10 มิถุนายน 2023


ดร.นพ.มโน เลาหวณิช อาจารย์ประจำวิทยาลัย นวัตกรรมสังคม ม.รังสิต

สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส ที่มาภาพ : https://www.vaticannews.va/en/pope/news/2023-05/pope-francis-dialogue-bishops-italy-problems-church.html

สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส ประสูติ เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2479 เป็นหัวหน้าคริสตจักรคาทอลิก บิชอปแห่งโรม และอธิปไตยของนครรัฐวาติกัน ‘ฟรานซิส’ เป็นพระสันตปาปาองค์แรกที่เป็นสมาชิกของคณะเยซูอิต พระองค์แรก จากทวีปอเมริกาใต้ และเป็นพระสันตะปาปาองค์แรกจากนอกยุโรปตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 8

นายแบร์โกกลิโอ เกิดในบัวโนสไอเรส อาร์เจนตินา เคยทำงานเป็นคนการ์ดของไนต์คลับแห่งหนึ่งและภารโรงอยู่ช่วงหนึ่ง ตั้งแต่ในวัยหนุ่ม ก่อนจะฝึกเป็นนักเคมีและทำงานเป็นช่างเทคนิคในห้องปฏิบัติการวิทยาศาสตร์การอาหาร หลังจากหายป่วยจากโรคปอดบวมและถุงลมโป่งพองขั้นรุนแรง

ท่านได้รับแรงบันดาลใจให้เข้าร่วมคณะเยซูอิตในปี พ.ศ. 2501 และต่อมาได้รับ เป็นนักบวชคาทอลิกในปีพ.ศ. 2512 และตั้งแต่ปีพ.ศ. 2516 ถึงพ.ศ. 2522 เป็นอธิการนิกายเยซูอิตในอาร์เจนตินา เขากลายเป็นอาร์คบิชอปแห่งบัวโนสไอเรสในปี 2541 และได้รับแต่งตั้งให้เป็นพระคาร์ดินัลในปีพ.ศ. 2544 โดยพระสันตปาปาจอห์น ปอลที่ 2 เขาเป็นผู้นำคริสตจักรอาร์เจนตินาระหว่างการจลาจลอาร์เจนตินาในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2544 การบริหารงานของ Néstor Kirchner และ Cristina Fernández de Kirchner ถือว่าพระองค์ท่านเป็นคู่แข่งทางการเมือง

หลังจากการลาออกของสมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16 เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 ที่ประชุมสันตะปาปาได้เลือกคาร์ดินัลแบร์โกกลิโอเป็นผู้สืบทอดตำแหน่ง ในวันที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2556 พระองค์ทรงเลือก ‘ฟรานซิส’ เป็นพระนามของพระองค์ เพื่อเป็นเกียรติแก่นักบุญฟรานซิสแห่งอัสซีซี (Saint Francis of Assisi) ผู้มีชื่อเสียงในเรื่องความกรุณาปราณี

นโยบายของพระองค์ท่านแตกต่างจากสมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16 อย่างหน้ามือเป็นหลังมือ เป็นที่ทราบกันดีว่าพระสันตะปาปาเบเนดิกต์เป็นนักอนุรักษ์นิยมสุดโต่ง ทรงปกป้องบาทหลวงที่มีพฤติกรรมล่วงละเมิดทางเพศ แต่สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส ทรงเห็นว่าพฤติกรรมล่วงละเมิดทางเพศเป็นอาชญากรรมที่ยิ่งใหญ่ไม่ทรงปกป้องผู้กระทำความผิดในคดีใด ๆ ทั้งสิ้น

อพาร์ตเมนต์หรูของสมเด็จพระสันตะปาปาในวังของพระสันตะปาปา (Apostolic Palace) ที่พระสันตะปาปาองค์ก่อน ๆ เคยใช้อยู่ ที่มาภาพ : https://simple.wikipedia.org/wiki/Apostolic_Palace#/media/File

ตลอดช่วงชีวิตในที่สาธารณะของเขา ฟรานซิส ได้รับการกล่าวขานถึงความอ่อนน้อมถ่อมตน การเน้นย้ำถึงความเมตตาของพระเจ้า การมองเห็นในระดับนานาชาติในฐานะพระสันตะปาปา ความห่วงใยต่อคนยากจน และความมุ่งมั่นในการเสวนาระหว่างศาสนา เขาได้รับเครดิตจากการเข้าหาตำแหน่งสันตะปาปาอย่างเป็นทางการน้อยกว่าประมุขของโรมันแคทอลิกคนก่อน ๆ เช่น พระองค์เลือกที่จะพำนักในห้องพักเล็ก ๆ เพื่อรับรองอาคันตุกะในนครวัดวาติกัน ชื่อว่า Domus Sanctae Marthae แทนที่จะอยู่ในอพาร์ตเมนต์หรูของสมเด็จพระสันตะปาปาในวังของพระสันตะปาปา (Apostolic Palace) ที่พระสันตะปาปาองค์ก่อน ๆ เคยใช้อยู่

สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส รักษามุมมองของศาสนจักรเกี่ยวกับการแต่งตั้งสตรีเป็นนักบวช แต่ได้ริเริ่มการสนทนาเกี่ยวกับความเป็นไปได้ของมัคนายกและทำให้สตรีเป็นสมาชิกเต็มรูปแบบของคณะสงฆ์ใน Roman Curia

เขายืนยันว่าศาสนจักรควรเปิดกว้างและต้อนรับสมาชิกของชุมชน LGBTQ มากขึ้น และเรียกร้องให้ลดทอนความเป็นอาชญากรรมของการรักร่วมเพศทั่วโลก ทรงตรัสว่า..“การรักร่วมเพศไม่ใช่อาชญากรรม” (Homosexuality is not a crime)

นอกจากนั้นทรงเป็นนักวิจารณ์อย่างตรงไปตรงมาเกี่ยวกับระบบทุนนิยมและเศรษฐกิจตลาดเสรี การบริโภคนิยม และการพัฒนาที่มากเกินไป เขาสนับสนุนการดำเนินการเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งเป็นจุดเน้นของพระสันตะปาปาในหนังสือวารสารของนครวาติกัน ทรงตรัสถึงโทษประหารชีวิตว่า “ยอมรับไม่ได้” และมอบคำมั่นให้คริสตจักรคาทอลิกทั่วโลกยกเลิกโทษประหาร

ที่มาภาพ : https://www.vaticannews.va/en/pope/news/2023-05/pope-francis-hands-off-africa-chimamanda-ngozi-adichie.html

ในระดับการทูตระหว่างประเทศ พระองค์ช่วยฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางการทูตเต็มรูปแบบระหว่างสหรัฐอเมริกาและคิวบา สนับสนุนสาเหตุของผู้ลี้ภัยในช่วงวิกฤตการณ์ผู้อพยพในยุโรปและอเมริกากลาง และทรงทำข้อตกลงกับจีนเพื่อกำหนดว่าประเทศมีอิทธิพลมากน้อยเพียงใดในการแต่งตั้งคาทอลิกของพวกเขา บิชอป เขาเผชิญกับการวิพากษ์วิจารณ์จากกลุ่มอนุรักษนิยมเทววิทยาในหลายคำถาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิ่งที่บางคนตีความว่าเป็นคำแนะนำของพระองค์ ในเชิงอรรถของวารสารอมอริส ไลติติต้า (Amoris Laetitia) ที่ว่าชาวคาทอลิกที่หย่าร้างและแต่งงานใหม่ย่อมได้สิทธิการยอมรับให้รับศีลมหาสนิทและร่วมในพิธีกรรมต่าง ๆ ของคริสตจักรโรมันคาทอลิกได้ โดยไม่ถูกเลือกปฏิบัติ

สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส ทรงสถาปนาแม่ชีหกรูปขึ้นดำรงตำแหน่งสูงสุดในนครวัดวาติกัน หรือที่รู้จักกันในชื่อสำนักเลขาธิการแห่งรัฐ ในปีพ.ศ. 2562 ได้แก่เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ทางศาสนานิกายโรมันคาทอลิก ได้แก่

    1. แม่ชี Carmen Ros Nortes ผู้เป็นแพทย์หญิงชาวสเปน ผู้ได้รับแต่งตั้งเป็นปลัดกระทรวงสาธารณสุข
    2. แม่ชี Olga Nur แม่ชีชาวอียิปต์ที่ทำงานในสำนักเลขาธิการรัฐวาติกันตั้งแต่ปี พ.ศ. 2548 ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นรองเลขาธิการคณะอนุศาสนาจารย์
    3. แม่ชี Kathleen Appler สมาชิกของ Sisters of Notre Dame de Namur จากสหรัฐอเมริกา ได้รับแต่งตั้งเป็นปลัดของกระทรวงฝ่ายฆราวาส
    4. แม่ชี Raffaella Petrini แม่ชีและทนายความชาวอิตาลี ได้รับแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้ากระทรวงเผยแพร่ศาสนาแก่ฆราวาส
    5. แม่ชี Ivana Ištvanic นักเทววิทยาชาวโครเอเชีย ได้รับแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้ากระทรวงการสื่อสารองค์กรที่เกี่ยวข้องกับศาสนา
    6. แม่ชี Michèle Harnoncourt นักดนตรีหญิงชาวออสเตรีย ได้รับแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าสำนักงานเพื่อมรดกทางวัฒนธรรมของศาสนจักร

สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสถือเป็นนักปฏิรูปของคริสตจักรเนื่องจากความพยายามของพระองค์ท่านที่ทำให้คริสตจักรคาทอลิกมีความเมตตากรุณามากขึ้น

แม้กระนั้นก็ตามชาวคาทอลิก ทั้งนักบวชและฆราวาสที่เป็นอนุรักษ์นิยมต่าง ๆ ไม่เห็นด้วยกับนโยบายของพระองค์

สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสเสด็จเยือนแคนาดาในปีพ.ศ. 2558 เป็นเวลาหกวัน ในระหว่างการเยือน พระองค์ได้จัดแถลงข่าวแก่สื่อมวลชนทั่วโลก พบปะกับชนพื้นเมือง และขอโทษสำหรับบทบาทของคริสตจักรคาทอลิกในระบบโรงเรียนประจำที่บังคับให้เด็กพื้นเมืองต้องปรับตัวเข้ากับสังคมแคนาดาด้วยความยากลำบาก เด็ก ๆ เหล่านี้นับร้อยคนเสียชีวิตและถูกฝังไว้ในสุสานด้านหลังของโรงเรียน ตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สองได้ยุติ นอกจากนี้พระองค์ท่านยังแสดงความเสียใจต่อครอบครัวที่สูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักจากเหตุกราดยิงในมัสยิดควิเบกที่เกิดขึ้นเมื่อต้นปีนั้นอีกด้วย

ที่มาภาพ : https://www.vaticannews.va/en/pope/news/2023-05/pope-to-be-present-at-lisbon-world-youth-day.html

สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสเสด็จเยือนประเทศไทยระหว่างวันที่ 20-23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562 เป็นเวลาสามวัน เป็นสมเด็จพระสันตะปาปาองค์ที่สองที่เสด็จเยือนประเทศไทย

หลังจากนั้นอีกสองปี คือ วันที่ 5-8 มีนาคม พ.ศ.2564 ทรงเสด็จเยือนประเทศอิรัก ทั้ง ๆ ที่มีประชากรคาทอลิกในประเทศเพียง 2% เท่านั้น โดยพระองค์มีวัตถุประสงค์เพื่อสานสัมพันธ์ระหว่างศาสนาในอิรัก ในบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความวุ่นวาย การก่อการร้ายและการจลาจลอันเกิดจากมุสลิมหัวรุนแรงหลายฝ่าย

ระหว่างสงครามรัสเซีย-ยูเครนกำลังปะทะกันอย่างดุเดือด พระสันตะปาปาฟรานซิส ได้ติดต่อทางการทูตอย่างลับ ๆ ประสานงานจนมีการหยุดยิงชั่วคราวจนมีการแลกเปลี่ยนเชลยศึกกันทั้งสองฝ่าย

จากครอบครัวชาวอาร์เยนตินาเชื้อสายอิตาลีที่ยากจนซึ่งต้องทำงานเป็น ภารโรง ใครจะนึกได้ว่าท่านจะไต้เต้าขึ้นมาเป็นประมุขสูงสุดของคริสตจักรโรมันคาทอลิก สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส ประสบความสำเร็จ เป็นสันตะปาปาของคนยากจน นักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชน ทรงเป็นตนแบบของนักปฏิรูปศาสนาทั้งหลาย ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ศาสนจักรโรมันคาทอลิก และทรงเป็นต้นแบบของนักต่อสู้ เพื่อคนยากจนไปอีกนานแสนนานสมกับพระนามฟรานซิสตามนักบุญฟราซิส แห่งอซิซีผู้เปียมล้นไปด้วยความเมตตาไม่มีผิดผลงานของพระองค์จะเป็นเครื่องพิสูจน์ในอนาคตอันใกล้นี้