ThaiPublica > คอลัมน์ > ปูตินผู้นำตลอดกาลของรัสเซีย?

ปูตินผู้นำตลอดกาลของรัสเซีย?

29 พฤษภาคม 2021


ดร. นพ.มโน เลาหวณิช ผู้อำนวยการสถาบันคานธี อาจารย์ประจำวิทยาลัยนวัตกรรม ม.รังสิต

ประธานาธิบดีวาลาดิเมียร์ ปูติน ที่มาภาพ : https://www.ctvnews.ca/world/putin-school-shooting-in-kazan-has-shaken-all-of-us-1.5426112

เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 5 พฤษภาคม 2564 ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีวาลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซียได้ประกาศกร้าวที่จะ “เลาะฟันจากปากของศัตรูของเขาให้หมดปาก” หลังจากที่ประกาศถึงแสนยานุภาพของรัสเซียที่มีความเกรียงไกรมากที่สุดในโลก โดยมีขีปนาวุธความเร็วเหนือเสียงถึง 27 เท่า โดรนใต้น้ำหัวรบนิวเคลียที่สามารถสร้างซึนามิขนาดมหึมาโจมตีเมืองใหญ่ๆ ชายฝั่งทะเลของประเทศที่เป็นศัตรูของเขาได้ทุกเมื่อ และรัสเซียพร้อมที่จะรบตลอดเวลา

การประกาศกร้าวเช่นนี้เห็นได้ชัดเจนว่าเป็นการโต้กลับการถูกโจมตีทางการทูตกับผู้นำสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรปบางประเทศ จนถึงระดับที่ขับนักการทูตออกจากประเทศถึง 10 คน มาตรการรุนแรงประเภทนี้ไม่พบกันบ่อยในวงการทูตระหว่างประเทศ โดยเฉพาะเมื่อบริษัทท่อส่งน้ำมันขนาดใหญ่ที่ส่งน้ำมันไปยังเมืองใหญ่ๆ ในภาคตะวันออกของสหรัฐอเมริกาถูกเจาะเข้าไปในคอมพิวเตอร์ และเรียกค่าไถ่ ทำให้การขนส่งน้ำมันสู่เมืองใหญ่ๆ เหล่านี้หยุดชงัก น้ำมันขาดแคลนขึ้นมาทันที รัฐบาลสหรัฐอเมริกาประกาศว่า “รัสเซีย” เป็นประเทศต้องสงสัยอาชญากรรมในครั้งนี้

แต่ต่อมาเมื่อบริษัทใหญ่นี้ได้จ่ายค่าไถ่จำนวนมหาศาลในรูปของ “คริปโตเคอร์เรนซี” การขนส่งน้ำมันในสหรัฐอเมริกากลับมาเหมือนเดิมอย่างรวดเร็ว ข้อกล่าวหารัสเซียนั้นตกไปทันที ทางการกลับแจ้งว่าเป็นโจรในแอฟริกา ไม่เกี่ยวอะไรด้วยกับรัสเซีย

เมื่อแพทย์ประจำตัวของนายอเล็กซี นิวาลนี (นักการเมืองฝ่ายค้านผู้ที่กล่าวหาว่า ปูตินฉ้อราษฎร์บังหลวงและถูกจับติดคุกดำเนินคดี) หายตัวไปในระหว่างออกล่าสัตว์ในป่าสองวัน กลายเป็นข่าวใหญ่ในโลกว่าเป็นฝีมือของ “ปูติน” แต่ในวันรุ่งขึ้นแพทย์คนดังกล่าวปรากฏตัว และอธิบายว่าเขาหลงป่า ไม่เกี่ยวอะไรกับปูติน

ปูติน ถูกผู้นำสหรัฐอเมริกากล่าวหาในหลายประเด็น เช่น เข้าแทรกแซงการเลือกตั้งในปี ค.ศ. 2016 จนเป็นเหตุให้นายโดนัล ทรัมป์ ชนะเลือกตั้ง และยังเข้าแทรกแทรงการเลือกตั้งประธานาธิบดีที่ผ่านมาในปี ค.ศ. 2020 เป็นผู้สั่งฆ่าผู้นำฝ่ายค้านคำสำคัญคือนายอเล็กซี นิวาลนี โดยการวางยาพิษ และเรียกปูตินว่า “ฆาตกรผู้ไร้หัวใจ” (killer a man with no soul) และประกาศว่า ปูตินต้องรับกรรม พร้อมกับสั่งขับไล่นักการทูตรัสเซียประจำสหรัฐอเมริกา 10 คนในทันที ซึ่งรัฐมนตรีต่างประเทศของรัสเซียก็ได้เชิญทูตสหรัฐอเมริกาเข้ามาพบแล้วเชิญให้กลับไปพักผ่อนนอกรัสเซีย 10 คนเช่นเดียวกัน

นโยบายการทูตของปูตินนั้นชัดเจนว่าใช้นโยบาย “ตาต่อตา ฟันต่อฟัน” (tit for tat) แต่เป็นที่น่าสังเกตว่า ทุกครั้งที่ปูตินตอบโต้รัฐบาลตะวันตกในลักษณะเช่นนี้ คะแนนนิยมของเขาเพิ่มขึ้นมาตลอด แม้ถูกนายอเล็กซี นิวาลนี ประณามอย่างรุนแรง ประชาชนนับหมื่นออกมาเดินขบวนต้านปูตินในเมืองใหญ่ๆ ทั่วประเทศ คะแนนนิยมของเขาตกลงไม่มาก ปัจจุบันอยู่ที่ 62 % ซึ่งต่ำที่สุดในรอบ 20 ปี แต่ก็ยังสูงกว่าประธานาธิบดีโจ ไบเดน เมื่อครบหนึ่งร้อยวันแรกซึ่งอยู่ที่ 52% ดูเหมือนว่ายิ่งโจ ไบเดน โจมตีปูตินมากเท่าใด คะแนนนิยมในตัวของปูตินยิ่งเพิ่มมากขึ้น

คะแนนนิยมในตัวของปูตินเพิ่มสูงสูดถึง 83% เมื่อปูตินส่งทหารเข้าไปยึดครองคาบสมุทรไครเมียร์ แม้ว่าสหรัฐอเมริกาและรัฐบาลของประชาคมยุโรป ออกมาประณามอย่างรุนแรงและประกาศแซงก์ชันไม่มีการค้าขายกับรัสเซียอย่างสิ้นเชิงตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา อันที่จริงอเมริกาก็รุกรานรัสเซียมาตลอดเช่นกัน เช่น ชักชวนประเทศที่หลุดออกมาจากอดีตสหภาพโซเวียตให้เข้ามาเป็นภาคีสนธิสัญญานาโต้ และมีการสอนประชาธิปไตยในประเทศรัสเซียอย่างเปิดเผย

ปูตินและคณะล่องเรือในทะเลสาบของไซบีเรีย ที่ภาพ : rbth.com

อะไรทำให้วลาดิเมียร์ ปูติน สามารถสร้างฐานทางการเมืองในรัสเซียได้มากถึงขนาดนี้ จนเป็นผู้นำรัสเซียคนแรกที่อยู่ในอำนาจติดต่อกันมากว่า 20 ปี? และเมื่อต้นปีนี้เองเขาได้สามารถแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เคยจำกัดเวลาให้อยู่ในอำนาจได้เพียงสองสมัย ให้สามารถลงเลือกตั้งดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของรัสเซียได้อย่างไม่มีที่สุดอีกด้วย ….. คำตอบในเรื่องนี้มากจากหลายสาเหตุด้วยกัน

ประการแรก และน่าจะเป็นประการที่สำคัญที่สุด คือ ตลอดระยะเวลา 20 ปีที่ปูตินอยู่ในอำนาจนั้น เขาได้พัฒนาเศรษฐกิจของรัสเซียให้รายได้แต่ละครอบครัวของรัสเซียเติบโตปีละ 10% อย่างต่อเนื่อง คนชั้นกลางเติบโตและกระจายไปทั่วทุกเมืองใหญ่ๆ ของประเทศ และทำให้รัสเซียกำลังสร้างเมืองหลวงที่สามทางทิศตะวันออกสุด ได้แก่ วลาดิวอสต็อก จากภาวะเศรฐกิจตกต่ำอย่างมากในสมัยประธานาธิบดีกอบาชอฟ ซึ่งเป็นเหตุให้สหภาพโซเวียตแตกออกเป็นประเทศเล็กประเทศน้อย

ประการที่สอง ปูตินมีภาพลักษณ์ของการเป็นชาวรัสเซียที่เคร่งครัดศาสนา ทุกปีในช่วงเทศกาล Christmas (คริสตสมภพของคริสต์ศาสนานิกายรัสเซียนออโทดอกซ์) โทรทัศน์ของรัสเซียจำถ่ายทอดสดพิธีรับศีลบัพติศมา โดยการที่ปูตินผู้ใส่เพียงกางเกงอาบน้ำตัวเดียวเดินลงในน้ำที่หนาวเย็นจนมิด แล้วโผล่ขึ้นมาอีกด้านหนึ่งของทางเดิน โดยไม่แสดงอาการสะทกสะท้านใดๆ ทั้งสิ้น

ปูตินยังไม่ดื่มแอลกอฮอล์เลย และเป็นค่านิยมที่เขาถือปฏิบัติอย่างยาวนาน ค่านิยมนี้ทำให้การดื่มสุราในหมู่ชาวรัสเซียนั้นลดลงอย่างมาก ซึ่งแตกต่างไปจากสมัยประธานาธิบดีคนก่อนๆ ซึ่งประชาชนนิยมดื่มวอดก้ากันอย่างมาก สถิติอาชญากรรมอันเนื่องด้วยการดื่มสุราจึงลดต่ำลงไปด้วย

นอกจากนั้นแล้ว ปูตินยังสนับสนุนให้มีการสร้างโบสถ์ของคริสต์ศาสนานิกายรัสเซียนออโทดอกซ์ทุกหมู่บ้าน แต่ละหมู่บ้านต้องมีโบสถ์หนึ่งแห่งอย่างน้อย โบสถ์แต่ละแห่งที่สร้างขึ้นใหม่นั้นมิใช่มีเฉพาะสถานที่ประกอบศาสนกิจแต่เพียงอย่างเดียว แต่ยังมีห้องใต้ดินอันเป็นที่ฝึกอบรมอาสาสมัครพิทักษ์ศาสนา (เรียกกันเองว่ากลุ่ม 40×40 อันเป็นจำนวนโบสถ์ 1600 แห่งในกรุงมอสโควที่มีก่อนปฏิวัติบอชเชวิกซ์)

หลักสูตรที่ใช้ในการฝึกอบรมนั้นมิใช่มีเฉพาะเรื่องของศาสนาอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงวิชาป้องกันตัวต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น มวย มวยปล้ำ และศิลปะการป้องกันตัวทุกแขนง อาสาสมัครพิทักษ์ศาสนาเหล่านี้คือกำลังสำคัญ

หากชาวบ้านไม่เห็นด้วยกับการสร้างโบสถ์ออกมาเดินขบวนประท้วง ปรากฏบ่อยๆ ว่า เกิดความรุนแรง ถูกคนแปลกหน้าเข้าทำร้าย ซึ่งแม้ไปแจ้งความเพียงใดก็ตามเจ้าหน้าที่ทางบ้านเมืองเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ เผลอๆ วันดีคืนดีถูกตำรวจบุกเข้ามาค้นบ้านกลางดึกมาตลอด จนแต่ละคนเข็ดขยาด เครือข่ายทางศาสนานี้คือฐานอำนาจทางการเมืองที่แท้จริงของผู้นำรัสเซีย

นอกจากเครือข่ายทางศาสนาแล้ว ปูตินยังมีเครือข่ายหน่วยงานสืบราชการลับของรัสเซียอีกด้วย เนื่องจากที่ปูตินเคยเป็นผู้อำนวยการ KGB ในสมัยสงครามเย็น และเคยเป็นสายลับที่สหภาพโซเวียตส่งไปประจำในเยอรมันตะวันออก ปัจจุบันเมื่อสหภาพโซเวียตล่มสลายหน่วยงานนี้เปลี่ยนชื่อเป็น FSB แต่อุดมการณ์ความรักชาตินั้นยังเหมือนเดิม

เครือข่ายของ FSB ปฎิบัติการทั้งภายในและภายนอกประเทศ และไม่ต้องเป็นที่สงสัยเลยว่า ศัตรูทั้งหลายของปูตินมักจะหายสาบสูญหรือมีอันเป็นไป ไม่ด้วยอุบัติเหตุก็ถูกวางยาพิษหรืออยู่ๆ หัวใจก็วายไปเฉยๆ

ในสายตาของคนรัสเซีย ปูตินเป็นผู้ที่มีทั้งพระเดชและพระคุณ แม้ในภาพลักษณ์ของเขาจะดูเป็นคนธรรมะธรรมโม กินอยู่อย่างง่ายๆ ไปไหนมาไหนคนเดียว เมื่อขับรถไปเติมน้ำมันก็เข้าไปคนเดียว ไม่มีอารักขา ไม่มีผู้ติดตาม แต่เป็นที่เชื่อกันว่าอารักขาของเขานั้นมีอยู่รอบตัว จนทำให้อันตรายใดๆ จากผู้ปองร้ายต่อผู้นำท่านนี้ไม่มีเลยก็ว่าได้

นโยบายของประธานาธิบดีปูตินนั้นเป็นที่ทราบดีในหมู่ชาวรัสเซียว่า ปูตินเป็นอนุรักษ์นิยม และต้องการนำความยิ่งใหญ่ของจักรวรรดินิยมรัสเซียกลับคืนมา

โดยเริ่มต้นจากการพัฒนาเศรฐกิจอย่างรีบด่วน การพัฒนายุทโธปกรณ์ทางทหารอย่างต่อเนื่อง และการผนวกดินแดนที่แยกตัวออกไปจากสหภาพโซเวียตกับคืนมาให้หมดหรือมากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เริ่มจากคาบสมุทรไครเมียร์เมื่อปี ค.ศ. 2014 และต่อมา ปูตินได้เคลื่อนทหารจำนวนนับหมื่นประชิดชายแดนยูเครนโดยไม่มีวี่แววที่จะถอนทหารกลับออกมาเมื่อใด แต่นโยบายทางการทูตแบบรอมชอมและยอมรับความช่วยเหลือจากรัสเซียทำให้ยูเครนรอดตัวมาได้ แม้ถูกประชาชนยูเครนออกมาประท้วงอย่างรุนแรงก็ตาม

ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ที่มาภาพ : https://ktla.com/news/nationworld/bidens-63-approval-rating-built-on-broad-backing-for-pandemic-response-ap-norc-poll-says/

ขณะเดียวกัน นโยบายของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ที่ใช้กับปูตินนั้นผิดพลาดมาตลอดอย่างมาก เริ่มตั้งแต่กล่าวหาว่าปูตินเข้ามาแทรกแซงการเลือกตั้งประธานาธิบดีในปี ค.ศ. 2016 จนทำให้โดนัลด์ ทรัมป์ ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี ซึ่งไม่ปรากฏหลักฐานที่แน่ชัด

แต่ในทางตรงข้ามโดนัลด์ ทรัมป์ นั้นได้ว่าจ้างบริษัท Cambridge Analytica ภายหลังจากที่บริษัทนี้ประสบความสำเร็จในการโฆษณาชวนเชื่อเชิงลึกจนทำให้เกิดการลงประชามติของอังกฤษหรือ BREXIT และทำให้นายกรัฐมนตรีต้องลาออกมาแล้ว เพราะผลการลงประชามติให้อังกฤษออกจากสหภาพยุโรปนั้นออกมาชนิดที่คาดไม่ถึง เป็นที่แน่ชัดว่า บริษัท Cambridge Analytica นั้นได้นำข้อมูลจากโซเชียลมีเดียต่างๆ โดยเฉพาะเฟซบุ๊ก จนนำข้อมูลเหล่านี้มาโฆษณาชวนเชื่อให้คนจำนวนที่เฉพาะเจาะจง เป็นเทคโนโลยีทางคอมพิวเตอร์ที่ล้ำยุค และไม่เกี่ยวอะไรกับรัสเซียหรือปูตินเลย

เป็นที่ชัดเจนว่านโยบายที่โจ ไบเดน กล่าวหาปูตินนั้นผิดพลาดอย่างมาก และยังไม่ปรากฏหลักฐานใดๆ ว่ารัสเซียเข้ามาแทรกแซงการเลือกตั้งในสหรัฐอเมริกาเลย ไม่ว่าครั้งใดทั้งนั้น

ตราบใดที่นโยบายของโจ ไบเดน ยังไม่เปลี่ยนแปลง ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐอเมริกากับรัสเซียย่อมไม่ดีขึ้นแม้ว่าทำเนียบขาวประกาศเชิญผู้นำรัสเซียมาประชุมด้วยในช่วงฤดูร้อนนี้ก็ตาม ปูตินยังไม่ให้คำตอบ แต่ประกาศกร้าวที่จะ “เลาะฟันให้หมดปาก” ศัตรูของเขา แต่ที่ชัดเจนคือยิ่งโจ ไบเดน วิจารณ์ปูตินรุนแรงเท่าใด คะแนนนิยมของชาวรัสเซียต่อผู้นำของเขายิ่งมากขึ้นเป็นเงาตามตัว ชาวรัสเซียมีความรักชาติและหยิ่งผยองไม่ยอมให้ผู้นำชาติใดมาบงการประเทศของเขา

ยังมีวิกฤติการณ์ของโลกหลายอย่างที่ต้องการความร่วมมือระหว่างประเทศทั้งสองนี้ เช่น ภาวะโลกร้อน การแพร่ระบาดของโควิด-19 ปัญหาเกาหลีเหนือ และการประชุมทางทหารเพื่อลดความรุนแรงของการเผชิญหน้าทางทหาร แต่ดูเหมือนว่าผู้นำสหรัฐอเมริกากำลังนำโลกไปผิดทางอย่างน่าเสียดายยิ่ง!!