ThaiPublica > สู่อาเซียน > ASEAN Roundup เศรษฐีพันล้านต่างแดนย้ายเข้าสิงคโปร์ หนุนติดเมืองรวยที่สุดอันดับ 5 ของโลกอันดับ 2 เอเชีย

ASEAN Roundup เศรษฐีพันล้านต่างแดนย้ายเข้าสิงคโปร์ หนุนติดเมืองรวยที่สุดอันดับ 5 ของโลกอันดับ 2 เอเชีย

23 เมษายน 2023


ASEAN Roundup ประจำวันที่ 16-22 เมษายน 2566

  • สิงคโปร์ติดเมืองรวยที่สุดอันดับ 5 ของโลกอันดับ 2 เอเชีย
  • เวียดนามประกาศเป้าหมาย GDP โต 7% ไปจนถึงปี 2573
  • เศรษฐกิจสีเขียวของเวียดนามคาดว่าจะสูงถึง 300 พันล้านเหรียญสหรัฐภายในปี 2593
  • ราคาส่งออกข้าวเวียดนามไตรมาสแรกสูงขึ้น
  • กัมพูชาเปิดใช้สนามบินเสียมราฐตุลาคมนี้
  • กัมพูชาเล็งห้ามนำรถมือสองเข้าประเทศ
  • สิงคโปร์ติดเมืองรวยที่สุดอันดับ 5 ของโลกอันดับ 2 เอเชีย

    ภาพต้นแบบ Photo by Jisun Han on Unsplash
    สิงคโปร์ได้รับการจัดอันดับว่าเป็นเมืองที่รวยที่สุดอันดับที่ 5 ของโลก และเป็นเมืองที่ร่ำรวยที่สุดเป็นอันดับ 2 ในเอเชีย จากรายงานเมืองที่ร่ำรวยที่สุดในโลกปี 2023 (World’s Wealthiest Cities Report 2023) ที่ New World Wealth จัดทำร่วมกับ Henley & Partners

    รายงานจัดอันดับจากพฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้ที่มีความมั่งคั่งสุทธิสูง (high net worth individual-HNWI) ใน 97 เมืองทั่วโลก ซึ่ง เป็นผู้ที่มีความมั่งคั่งที่สามารถลงทุนได้ตั้งแต่ 1 ล้านเหรียญสหรัฐขึ้นไป

    ข้อมูลจากรายงานระบุว่า ปัจจุบันสิงคโปร์มีเศรษฐีเงินล้าน(millionaires) 240,100 คน มหาเศรษฐี(Centi-millionaires มีทรัพย์สินมูลค่ามากกว่า 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) 329 คน และเศรษฐีพันล้าน(billionaires) 27 คน ซึ่งแซงหน้าจำนวน HNWI ในเมืองที่ร่ำรวยที่สุดในเอเชียอย่างโตเกียว ในปีนี้ สิงคโปร์ยังแซงหน้าฮ่องกงอีกด้วย

    สิงคโปร์ดึงดูดใจผู้มีอันจะกินได้เป็นอย่างดีเนื่องจากสภาพแวดล้อมที่เป็นมิตรต่อธุรกิจ มี HNWI ประมาณ 2,800 คนโยกย้ายไปยังสิงคโปร์ในปี 2565 โดยมีชนชั้นสูงจำนวนมากตั้งสำนักงานครอบครัว รวมถึงสำนักงานใหญ่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อใช้ประโยชน์จากเงื่อนไขภาษีที่เอื้ออำนวย

    จากข้อมูลของ Henley & Partners การไหลเข้าของ HNWI เป็นประโยชน์ต่อเมืองต่างๆ บ่งชี้ถึงเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง อัตราการเกิดอาชญากรรมต่ำ อัตราภาษีที่แข่งขันได้ และโอกาสทางธุรกิจที่ยอดเยี่ยม

    สำหรับ 10 อันดับแรกของเมืองที่รวยที่สุดในโลกในปี 2566 ได้แก่ นิวยอร์ก โตเกียว ซานฟรานซิสโก ลอนดอน สิงคโปร์ ลอสแองเจลิส ฮ่องกง ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ ซิดนีย์

    Andrew Amoils หัวหน้าฝ่ายวิจัย ของ New World Wealth ให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์รายวัน Lianhe Zaobao ของจีนในวันพฤหัสบดี (20 เม.ย.)ว่า HNWI จำนวนมากถึง 3,500 คนคาดว่าจะกลายเป็นพลเมืองสิงคโปร์ในปี 2566 โดยส่วนใหญ่มาจากประเทศจีน

    แม้ยังบอกไม่ได้ว่า พลเมืองใหม่จะนำความมั่งคั่งมาสู่สิงคโปร์ได้มากเพียงใด แต่รายงานระบุว่า HNWI แต่ละคนมีความมั่งคั่งที่สามารถลงทุนได้อย่างน้อย 6 ล้านเหรียญสหรัฐ

    นอกจากจีนแผ่นดินใหญ่และฮ่องกงแล้ว พลเมืองใหม่ที่มีฐานะดีของสิงคโปร์ยังมาจากอินเดีย อินโดนีเซีย มาเลเซีย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และสหราชอาณาจักรอีกด้วย Amoils กล่าว

    เวียดนามประกาศเป้าหมาย GDP โต 7% ไปจนถึงปี 2573

    ภาพต้นแบบจาก: https://www.uncovervietnam.com/ho-chi-minh-city-vietnam/
    เมื่อวันพฤหัสบดี(20 เม.ย.) รัฐบาลเวียดนามประกาศเป้าหมายอัตราการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP)ร้อยละ 7 ในปี 2564-2563 และรายได้ต่อหัว 7,500 ดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2573 ในการเปิดตัว แผนแม่บทแห่งชาติสำหรับปี 2564-2563(National Master Plan for 2021-30)ในกรุงฮานอย

    เวียดนามมีเป้าหมายที่จะเป็นประเทศอุตสาหกรรมสมัยใหม่ รายได้เฉลี่ยสูง และมีการเติบโตทางเศรษฐกิจบนพื้นฐานของวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี นวัตกรรม และการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลภายในปี 2573 ตามแผนแม่บทแห่งชาติฯ โดยวางวิสัยทัศน์ไว้ถึงปี 2593

    นับเป็นครั้งแรกที่รัฐบาลประกาศใช้แผนแม่บทแห่งชาติ 10 ปี แทนแผน 5 ปีเหมือนที่ผ่านมา

    ตามแผนแม่บทฯจะมีการแบ่งพื้นที่ประเทศเพื่อการพัฒนาออกเป็น 6 ภูมิภาคทางเศรษฐกิจและสังคม ได้แก่
    1.ภูมิภาคตอนกลางและภูเขาตอนเหนือ ซึ่งกำหนดการพัฒนาที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ยั่งยืน และครอบคลุม รวมถึงความพยายามในการปกป้องและฟื้นฟูป่าไม้ พัฒนาการแปรรูป การผลิต และอุตสาหกรรมพลังงาน และส่งเสริมการเกษตรที่มีเทคโนโลยีสูง เกษตรอินทรีย์ และเกษตรกรรมเฉพาะทางในภูมิภาค ซึ่งเมืองที่อยู่ในการพัฒนาอุตสาหกรรมบนเส้นทางนี้ประกอบด้วย บั๊กซาง, ท้ายเงวียน และ ฟู้เถาะ ซึ่งคาดว่าจะเป็นแรงผลักดันการเติบโตของภูมิภาค

    2.ภูมิภาคสามเหลี่ยมปากแม่น้ำแดง ในภูมิภาคนี้มุ่งเน้นการพัฒนาอุตสาหกรรมสมัยใหม่และอุตสาหกรรมบริการ จัดตั้งศูนย์นวัตกรรม และเป็นผู้นำในการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี แผนดังกล่าวยังมุ่งพัฒนาพื้นที่ไฮฟอง-กว๋างนิญ ให้เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจทางทะเลที่ทันสมัยและเป็นที่ยอมรับในระดับสากลในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

    3.ภูมิภาคตอนกลางตอนเหนือและชายฝั่งตอนกลาง จะเน้นไปที่การพัฒนาเศรษฐกิจทางทะเล ในขณะเดียวกันก็ดูแลการป้องกันประเทศและความมั่นคง ซึ่งรวมถึงการปรับปรุงประสิทธิภาพของระบบท่าเรือ เขตเศรษฐกิจชายฝั่ง และนิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่

    แผนแม่บทฯครอบคลุม การดำเนินการในการพัฒนาการท่องเที่ยวทางทะเลและเกาะ การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ และการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม-ประวัติศาสตร์ในเวียดนาม โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งของ ทัญฮว้า , เหงะอาน และ ห่าติ๋ญ ให้เป็นศูนย์กลางการพัฒนาอุตสาหกรรมสำหรับภูมิภาคและประเทศ

    4.ในเขตที่ราบสูงตอนกลาง แผนแม่บทฯเน้นการปกป้องป่าไม้ ในขณะเดียวกันก็ดูแลความมั่นคงของแหล่งน้ำ ทั้งยังมุ่งพัฒนาประสิทธิภาพการพัฒนาโรงงานอุตสาหกรรม และส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมแปรรูปผลิตภัณฑ์วนเกษตรและพลังงานทดแทน ตลอดจนการพัฒนาอย่างยั่งยืนของการทำเหมืองแร่บอกไซต์ การแปรรูปอลูมินา และการผลิตอะลูมิเนียม

    5.ในภูมิภาคตะวันออกเฉียงใต้ คาดว่าจะกลายเป็นศูนย์กลางการพัฒนาที่มีพลวัต มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสูง โดยทำหน้าที่เป็นกลไกขับเคลื่อนการเติบโตที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ โดยมีเป้าหมายให้เป็นศูนย์กลางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี นวัตกรรม อุตสาหกรรมไฮเทค โลจิสติกส์ และศูนย์กลางการเงินระหว่างประเทศที่มีศักยภาพการแข่งขันสูงในภูมิภาค

    6.ภูมิภาคสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง จะเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจการเกษตรที่ยั่งยืน มีพลวัต และมีประสิทธิภาพสูง ไม่เพียงแต่สำหรับเวียดนามเท่านั้นแต่สำหรับภูมิภาคและโลกด้วย

    แผนแม่บทฯยังแบ่งพื้นที่ตามเส้นทางการดำเนินรถไฟออกเป็น 4 ภูมิภาคอีกด้วย ได้แก่ ภาคเหนือ ภาคใต้ ภาคกลาง และสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง โดยมีศูนย์กลางการเติบโตที่ประสานกันคือฮานอย โฮจิมินห์ซิตี้ ดานัง และเกิ่นเทอ

    รัฐบาลจะให้ความสำคัญกับการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจเหนือ-ใต้ และตะวันออก-ตะวันตกในปี 2564-2563 ซึ่งรวมถึงหล่าวกาย-ฮานอย-ไฮฟอง-กว๋างนิญ และหม็อกบ่าย-โฮจิมินห์ซิตี้-หวุงเต่า

    เศรษฐกิจสีเขียวของเวียดนามคาดว่าจะสูงถึง 300 พันล้านเหรียญสหรัฐภายในปี 2593

    ที่มาภาพ: https://en.vietnamplus.vn/vietnams-green-economy-expected-to-reach-300-billion-usd-by-2050/251734.vnp
    นาย เหงียน จี ดุง รัฐมนตรีกระทรวงการวางแผนและการลงทุน เปิดเผยว่า เวียดนามได้ตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนเศรษฐกิจสีเขียวต่อ GDP จาก 6.7 พันล้านเหรียญสหรัฐในปี 2563 เป็น 3 แสนล้านเหรียญสหรัฐภายในปี 2593 ด้วยการมีขั้นตอนในเชิงรุกและก้าวข้าม

    นาย เหงียน จี ดุง กล่าวในการเสวนา “Promoting green growth in Vietnam: Roadmap to Success” ซึ่งจัดขึ้นที่กรุงฮานอยเมื่อวันที่ 18 เมษายนว่า การเติบโตสีเขียวกำลังกลายเป็นสิ่งสำคัญอันดับต้น ๆ ของเศรษฐกิจในโลกที่มีความซับซ้อน ความผันผวนที่คาดเดาไม่ได้ และความท้าทายที่เกี่ยวพันกัน

    สำหรับเวียดนาม การเติบโตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมไปสู่ความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ ความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม และความยุติธรรมทางสังคมไม่ได้เป็นเพียงทางเลือกที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ยังเป็นโอกาสในการเป็นผู้บุกเบิกในภูมิภาคด้วย

    นอกจากนี้ยังช่วยให้เวียดนามตามทันกระแสการพัฒนาของโลกและทำให้พันธสัญญาสำคัญทางประวัติศาสตร์ในการบรรลุการปล่อยมลพิษสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2593 เป็นจริง

    กระทรวงฯในฐานะผู้ประสานงานระดับชาติด้านการเติบโตสีเขียว เสนอให้นายกรัฐมนตรีจัดทำยุทธศาสตร์แห่งชาติว่าด้วยการเติบโตสีเขียวในช่วงปี 2564-2573 โดยวางวิสัยทัศน์ถึงปี 2593 และแผนปฏิบัติการแห่งชาติว่าด้วยการเติบโตสีเขียวในช่วงปี 2564-2573

    เวียดนามมองว่า การเติบโตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเป็นทางเลือกระยะยาว เพื่อให้มีความสมดุลและประสานเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมด รวมถึงการพัฒนาและขนาดเศรษฐกิจที่เติบโตขึ้น นายดุงกล่าว

    ผลการวิจัยเบื้องต้นของ Boston Consulting Group (BCG) แสดงให้เห็นว่า ในการเร่งการเติบโตสีเขียว การเปลี่ยนผ่านของอุตสาหกรรมพลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์เพียงอย่างเดียวสามารถสร้างมูลค่า 70-80 พันล้านเหรียญสหรัฐให้กับ GDP และสร้างงานโดยตรงประมาณ 90,000-105,000 ตำแหน่ง

    นอกจากนี้ ระบบนิเวศไฮโดรเจนที่สะอาดซึ่งอาศัยพลังงานหมุนเวียน มีศักยภาพที่จะเพิ่มมูลค่า 40-45 พันล้านเหรียญสหรัฐต่อปีให้ GDP สร้างงานประมาณ

    ในการเสวนา Jaime Ruiz-Cabrero ผู้บริหารของ BCG ได้เสนอข้อเสนอแนะหลัก 4 ประการสำหรับเวียดนาม ซึ่งรวมถึงการทำให้สถาบันเชิงกลยุทธ์สีเขียวสมบูรณ์แบบและยกระดับการสร้างกรอบกฎหมาย เสริมสร้างการสร้างระบบการเงินสีเขียวที่มั่นคงช่วยลดต้นทุนการลงทุน พัฒนาระบบเครือขายโครงสร้างพื้นฐาน สร้างรากฐานสำหรับการพัฒนาแหล่งพลังงานสะอาดและพลังงานหมุนเวียน และเร่งการพัฒนาระบบนิเวศไฮโดรเจนที่สะอาด

    ผลการวิจัยของ BCG ยังแสดงให้เห็นว่าเวียดนามซึ่งมีศักยภาพและพื้นที่ทางภูมิเศรษฐกิจในห่วงโซ่อุปทานโลก กำลังมีโอกาสที่ดีในการปรับเปลี่ยน ตามทันและมีเส้นทางที่สั้น และพร้อมสำหรับการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมแบบก้าวกระโดด

    ราคาส่งออกข้าวเวียดนามไตรมาสแรกสูงขึ้น

    ที่มาภาพ: https://en.vietnamplus.vn/rice-export-prices-on-the-rise/251650.vnp

    ราคาส่งออกข้าวของเวียดนามเพิ่มขึ้น 9.2% เมื่อเทียบปีต่อปีเป็น 532 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตันในไตรมาสแรกของปี 2566 ทำให้มูลค่าการส่งออกของข้าว 1.79 ล้านตันในช่วง 3 เดือนแรกเพิ่มขึ้น 30.2% เป็น 952 ล้านดอลลาร์ จากการเปิดเผยของกรมศุลกากรเวียดนาม

    ราคาที่เพิ่มขึ้นเป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของสัดส่วนของข้าวคุณภาพสูง เช่น หอม ข้าวเหนียว และข้าวพิเศษ ที่เพิ่มขึ้น โดยข้าวคุณภาพสูงมีสัดส่วนถึง 50% ของปริมาณการส่งออกทั้งหมด ปัจจุบันขายอยู่ที่ 600 – 1,000 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน

    ผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ว่าสภาวะที่เอื้ออำนวยต่อการส่งออกข้าวจะยังคงต่อเนื่อง และราคาจะยังคงดีในระยะสั้น เนื่องจากส่วนแบ่งของข้าวคุณภาพสูงเพิ่มขึ้น และความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการเมืองทั่วโลกได้กระตุ้นให้เกิดความต้องการที่จะสะสมอาหาร

    กัมพูชาเปิดใช้สนามบินเสียมราฐตุลาคมนี้

    สนามบินเสียมราฐ กัมพูชา ที่มาภาพ:https://www.khmertimeskh.com/501277653/siem-reap-angkor-international-airport-to-officially-open-in-october-2023/

    สนามบินนานาชาติแห่งใหม่ของกัมพูชาในจังหวัดแห่งวัฒนธรรมเสียมราฐจะพร้อมเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการในเดือนตุลาคม 2566 จากการเปิดเผยในการประชุมระหว่างนาย Tekreth Samrach รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีต่างประเทศประจำสำนักคณะรัฐมนตรี และนาย Zou Yuhui ประธานคณะกรรมการบริหาร Yunnan Air Investment Cambodia Airport Management (YACA) เมื่อวันพฤหัสบดี(20 เม.ย.)

    คณะกรรมการรายงานว่า การก่อสร้างสนามบินนานาชาติเสียมราฐขณะนี้แล้วเสร็จร้อยละ 92 และจะเปิดให้ทดสอบเที่ยวบินได้ในช่วงกลางเดือนพฤษภาคม 2566

    สนามบินห่างจากตัวเมืองเสียมราฐประมาณ 51 กิโลเมตร และห่างจากนครวัด 40 กิโลเมตร

    การก่อสร้างสนามบินเริ่มขึ้นในเดือนมีนาคม 2563 และสนามบินที่มีมูลค่า 880 ล้านดอลลาร์สหรัฐนี้จัดอยู่ในชั้น 4E ที่สามารถรองรับเครื่องบินระยะไกลได้

    กัมพูชาเล็งห้ามนำรถมือสองเข้าประเทศ

    นายซุน จันทอล รัฐมนตรี รัฐมนตรีอาวุโสและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงโยธาธิการและขนส่ง กัมพูชา ที่มาภาพ:https://www.khmertimeskh.com/501277307/minister-deliberates-banning-used-cars-from-entering-cambodia/

    นายซุน จันทอล รัฐมนตรี รัฐมนตรีอาวุโสและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงโยธาธิการและขนส่ง เปิดเผยว่า กระทรวงโยธาธิการและคมนาคม กระทรวงสิ่งแวดล้อม กระทรวงเศรษฐกิจและการคลัง กำลังหารือและหาแนวทางที่จะห้ามการนำรถยนต์ที่เก่าเกินไปเข้ากัมพูชา

    นายจันทอลกล่าวว่า “เราได้หารือกับกระทรวงสิ่งแวดล้อม กระทรวงเศรษฐกิจและการคลังจะจัดการตรวจสอบว่ารถเก่าเกินไปหรือไม่ ซึ่งจะไม่อนุญาตให้เข้าประเทศ เรากำลังพูดถึงรถยนต์ที่มีอายุเกินกำหนด”

    รัฐมนตรีอาวุโสกล่าวว่า ขณะนี้กระทรวงโยธาธิการและขนส่งกำลังส่งเสริมให้ประชาชนใช้รถยนต์ใหม่หรือรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งใหม่และราคาถูกกว่ารถยนต์ใช้แล้วจากต่างประเทศ

    รัฐมนตรีอาวุโสกล่าวอีกว่า การนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าในกัมพูชาเพิ่มขึ้นมากในแต่ละปี และกระทรวงฯยังได้พยายามสนับสนุนให้นักลงทุนติดตั้งสถานีชาร์จไฟฟ้าเพิ่มขึ้นทั่วประเทศ จนถึงขณะนี้ กัมพูชามีสถานีชาร์จไฟฟ้าแล้ว 13 แห่ง และพันธมิตรด้านการลงทุนกำลังเตรียมติดตั้งเพิ่มเติม