ปัณฑพ ตั้งศรีวงศ์ รายงาน
ในระดับโลก “จีน” โดยตัวของประธานาธิบดี สี จิ้นผิง เอง กำลังเล่นบท “กาวใจ” ไกล่เกลี่ยหาหนทางยุติความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครน
ระดับภูมิภาค “จีน” ก็กำลังเดินบทบาทคล้ายคลึงกัน กับสถานการณ์ความขัดแย้ง “บางส่วน” ที่กำลังดำเนินอยู่ในเมียนมา ประเทศเพื่อนบ้านทางด้านตะวันตกของไทย
……
วันที่ 15-16 มีนาคม 2566 ที่ผ่านมา แกนนำองค์กรการเมืองของกองกำลังติดอาวุธชาติพันธุ์ 7 กลุ่ม ที่รวมตัวกันในนาม Myanmar Peace Commission and Federal Political Negotiation Consultative Committee หรือ FPNCC ได้จัดประชุมกันที่เมืองป๋างซาง หรือในอีกชื่อหนึ่งคือปางคำ เมืองหลวงของเขตพิเศษหมายเลข 2 สหรัฐว้า ชายแดนรัฐฉาน-จีน
7 องค์กรที่เข้าประชุม ประกอบด้วย
1.พรรคสหรัฐว้า(United Wa State Party : UWSP) องค์กรการเมืองของกองทัพสหรัฐว้า(United Wa State Army : UWSA)
2.องค์กรเอกราชคะฉิ่น(Kachin Independence Organization : KIO) องค์กรการเมืองของกองทัพเอกราชคะฉิ่น(Kachin Independence Army : KIA)
3.คณะกรรมการสันติภาพและความเป็นปึกแผ่น เขตพิเศษหมายเลข 4 รัฐฉานตะวันออก(Shan State East Special Region 4 Peace and Solidarity Committee : PSC) องค์กรการเมืองของกองทัพเมืองลา(National Democracy Alliance Army: NDAA)
4.พรรคก้าวหน้ารัฐฉาน(Shan State Progress Party : SSPP) องค์กรการเมืองของกองทัพรัฐฉานเหนือ(Shan State Progress Party / Shan State Army : SSPP/SSA)
5.พรรคเพื่อความจริงและความยุติธรรมแห่งชาติเมียนมา(Myanmar National Truth and Justice Party : MNTJP) องค์กรการเมืองของกองทัพโกก้าง(Myanmar National Democratic Alliance Army : MNDAA)
6.สหสันนิบาตแห่งอาระกัน(United League of Arakan : ULA) องค์กรการเมืองของกองทัพอาระกัน(Arakan Army :AA)
7.แนวร่วมปลดปล่อยแห่งรัฐปะหล่อง(Palaung State Liberation Front : PSLF) องค์กรการเมืองของกองทัพปลดปล่อยแห่งชาติตะอั้ง(Ta’ang National Liberation Army : TNLA)
หลังเสร็จสิ้นการประชุม ทั้ง 7 กลุ่มได้เผยแพร่เอกสารเนื้อหาที่มีการพูดคุยกันในที่ประชุมรวม 7 ข้อ
ประเด็นสำคัญอยู่ในข้อที่ 6 ซึ่งมีใจความว่า ที่ประชุมให้การรับรองการเข้ามามีบทบาทของ “สาธารณรัฐประชาชนจีน” ในฐานะผู้ไกล่เกลี่ยความขัดแย้งระหว่างกองทัพพม่ากับกำลังติดอาวุธกลุ่มต่างๆที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในเมียนมาขณะนี้ เพื่อความสงบสุขของสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา…
ในกองกำลังติดอาวุธทั้ง 7 กลุ่มที่ประชุมกัน มี 4 กลุ่ม ควบคุมพื้นที่ชายแดนเมียนมา-จีน ยาวตลอดตั้งแต่รัฐคะฉิ่น ลงมาถึงภาคตะวันออกของรัฐฉาน ได้แก่ กองทัพคะฉิ่น กองทัพโกก้าง กองทัพสหรัฐว้า และกองทัพเมืองลา
มี 2 กลุ่ม คือ กองทัพตะอั้งและกองทัพรัฐฉานเหนือ ควบคุมพื้นที่บางส่วนในภาคเหนือของรัฐฉาน ถัดจากชายแดน ลึกเข้ามาด้านใน
อีกกลุ่มหนึ่ง คือกองทัพอาระกัน ควบคุมพื้นที่ตอนเหนือของรัฐยะไข่ ขึ้นไปถึงตอนใต้ของรัฐชิน ในภาคตะวันตกของเมียนมา พื้นที่ซึ่งกำลังมีบทบาทสำคัญสำหรับจีน ทั้งผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์
FPNCC เป็นการรวมตัวกันของกองกำลังติดอาวุธชาติพันธุ์ที่ไม่ได้เซ็นสัญญาหยุดยิงทั่วประเทศ(NCA) กับรัฐบาลเมียนมา ในสมัยประธานาธิบดีเตง เส่ง
จีนเป็นประเทศที่ผลักดันให้เกิด FPNCC ขึ้น เมื่อกลางปี 2558 โดยมีกองทัพสหรัฐว้า ซึ่งเป็นกองกำลังติดอาวุธชาติพันธุ์ที่ใหญ่และเข้มแข็งที่สุดในเมียนมา เป็นแกนนำ
ทั้ง 7 กองกำลังรวมตัวกันเป็น FPNCC เพื่อใช้เป็นองค์กรกลางสำหรับการเจรจาประเด็นการเมืองที่สำคัญกับรัฐบาลเมียนมา โดยไม่ต้องการให้มีการแยกเจรจาเป็นรายกลุ่ม
ใน 7 กลุ่มที่เป็นสมาชิก FPNCC ปัจจุบัน มี 3 กลุ่ม คือ กองทัพสหรัฐว้า พรรคก้าวหน้ารัฐฉาน และกองทัพเมืองลา ได้เข้าร่วมกระบวนการเจรจาสันติภาพกับสภาบริหารแห่งรัฐ(SAC) เมียนมา ตามคำเชิญของ พล.อ.อาวุโส มินอ่องหล่าย ประธาน SAC ที่เริ่มมาตั้งแต่ปลายเดือนพฤษภาคม 2565
กองทัพอาระกัน ได้หยุดยิงอย่างไม่เป็นทางการกับกองทัพพม่าแล้ว ตั้งแต่วันที่ 26 พฤศจิกายน 2565 แต่ยังไม่เข้าร่วมกระบวนการเจรจาสันติภาพเหมือนกับ 3 กลุ่มข้างต้น
ส่วนกองทัพคะฉิ่น กองทัพโกก้าง และกองทัพตะอั้ง ยังคงมีการสู้รบอย่างรุนแรงกับกองทัพพม่าอยู่ในหลายพื้นที่ของรัฐคะฉิ่น ภาคสะกาย และภาคเหนือของรัฐฉาน
……
ก่อนหน้าการประชุมเมื่อวันที่ 15-16 มีนาคม มีรายงานว่าในสัปดาห์สุดท้ายของธันวาคม 2565 เติ้ง ซีจุน(Deng Xijun) ทูตพิเศษฝ่ายกิจการเอเซีย กระทรวงการต่างประเทศจีน ได้เชิญตัวแทนผู้นำกองกำลังติดอาวุธที่เป็นสมาชิก FPNCC ทั้ง 7 กลุ่ม เดินทางข้ามชายแดนไปพูดคุยกัน ณ สถานที่แห่งหนึ่งในนครคุนหมิง เมืองเอกของมณฑลยูนนาน
เติ้ง ซีจุน เพิ่งได้รับแต่งตั้งให้เป็นทูตพิเศษฝ่ายกิจการเอเซีย เมื่อปลายปี 2565 แทนซุน กั๋วเสียง ทูตพิเศษคนเก่า ที่ดำรงตำแหน่งนี้ต่อเนื่องมานานหลายปี
เติ้ง ซีจุน เคยเป็นทูตทหารของจีนประจำเมียนมา เมื่อปี 2528 จากนั้นได้เข้าทำงานในกรมเอเซียตะวันออกเฉียงใต้และเอเซียใต้ กระทรวงการต่างประเทศจีน ระหว่างปี 2533-2560
หลังรับหน้าที่ทูตพิเศษฝ่ายกิจการเอเซีย เติ้ง ซีจุน พยายามขับเคลื่อนกระบวนการสันติภาพในเมียนมาให้เดินหน้าไปอย่างเป็นรูปธรรม
วันที่ 29 ธันวาคม 2565 หลังเพิ่งเสร็จสิ้นการพูดคุยกับตัวแทนผู้นำสมาชิก FPNCC 7 กลุ่ม ที่คุนหมิง เติ้ง ซีจุน เดินทางต่อไปยังกรุงเนปิดอและได้เข้าพบกับ พล.อ.อาวุโส มินอ่องหล่าย เป็นครั้งแรก เพื่อพูดคุยเกี่ยวกับการขับเคลื่อนกระบวนการสันติภาพ พร้อมยืนยันความสัมพันธ์ของ 2 ประเทศ และการลงทุนเพื่อการพัฒนาของจีนในเมียนมา
เมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2566 เติ้ง ซีจุน เพิ่งนำทีมงานเข้าพบและพูดคุยกับ พล.อ.อาวุโส มินอ่องหล่าย อีกเป็นครั้งที่ 2
แต่ก่อนหน้านั้น 2 สัปดาห์ ในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2566 เติ้ง ซีจุน ได้เดินทางขึ้นไปยังเขตพิเศษหมายเลข 4 เมืองลา ในภาคตะวันออกของรัฐฉาน และได้พบกับอู ซานเป้ รองประธานเขตพิเศษหมายเลข 4 และประธานคณะกรรมการสันติภาพและความเป็นปึกแผ่น เมืองลา
สื่อในเมียนมารายงานว่าหัวข้อที่เติ้ง ซีจุน พูดคุยกับ อู ซานเป้ เป็นเรื่องความมั่นคง การร่วมกันปราบปรามอาชญากรรม ยาเสพติด การค้ามนุษย์ รวมถึงบ่อนการพนันออนไลน์ที่เกิดขึ้นบริเวณพื้นที่ชายแดนระหว่างเมืองลากับเขตปกครองตนเองชนชาติไต สิบสองปันนา มณฑลยูนนาน
ในเวลาใกล้เคียงกัน มีรายงานว่า เติ้ง ซีจุน ยังได้พบกับและพูดคุยกับแกนนำของกองทัพเอกราชคะฉิ่น และกองทัพสหรัฐว้า อีกด้วย
การเดินทางไปพบและพูดคุยบุคคลที่มีบทบาทสำคัญในความขัดแย้งระหว่างกองทัพพม่า กับกองกำลังติดอาวุธชาติพันธุ์หลายกลุ่มของเติ้งซีจุน ตลอด 3 เดือนที่ผ่านมา นำมาสู่การประชุมแกนนำองค์กรการเมือง ของกองกำลัง 7 กลุ่ม ที่เป็นสมาชิก FPNCC ในวันที่ 15-16 มีนาคม 2566 ที่เมืองป๋างซาง…
นอกจากการรับรองให้จีนเข้ามามีบทบาทไกล่เกลี่ยความขัดแย้งที่กำลังดำเนินอยู่ในเมียนมาแล้ว ในการประชุมที่ป๋างซาง ยังได้มีการพูดคุยถึงความสำพันธ์ระหว่างจีนกับกองกำลังแต่ละกลุ่ม ตลอดจนสถานการณ์ที่กำลังดำเนินอยู่ตามแนวชายแดนที่ติดกับจีน ที่สำคัญคือการระลึกถึงความช่วยเหลืออย่างจริงจังที่จีนมีให้แก่ทหารของกองกำลังแต่ละกลุ่ม และประชาชนที่กองกำลังเหล่านั้นดูแลอยู่ ตลอดเวลา 3 ปี ในช่วงที่เกิดการระบาดหนักของโควิด-19
ตัวอย่างความช่วยเหลือเหล่านี้ เช่น
ที่ประชุมในป๋างซาง ยังมีความเห็นพ้องกันว่า จะร่วมกันสร้างสันติภาพให้เกิดขึ้นในพื้นที่ชายแดนที่ติดกับจีน และสนับสนุนให้เกิดการพัฒนา ตลอดจนส่งเสริมการค้า การลงทุน ของทั้ง 2 ประเทศ
……
ขณะนี้ ยังไม่มีการรายงานว่าจีนจะเข้ามามีบทบาทในฐานะผู้ไกล่เกลี่ยความขัดแย้งที่กำลังดำเนินอยู่ในเมียนมาในลักษณะใด และส่วนใดบ้าง
เพราะภายในเมียนมาเอง ก็มีคณะกรรมการเจรจาสันติภาพ(National Solidarity and Peace Negotiation Committee : NSPNC) ที่มี พล.ท.หย่าปญิ กรรมการ SAC เป็นประธาน และกำลังเดินหน้าพูดคุยอยู่กับกองกำลังติดอาวุธ 10 กลุ่ม ที่เข้าร่วมกระบวนการเจรจาสันติภาพตามคำเชิญของ พล.อ.อาวุโส มินอ่องหล่าย เมื่อเดือนพฤษภาคม 2565 และตลอด 1 ปี มานี้ แต่ละฝ่ายต่างได้พูดคุยกันไปแล้วหลายรอบ
กองกำลังติดอาวุธทั้ง 10 กลุ่ม ที่เข้าร่วมกระบวนการเจรจาสันติภาพกับ NSPNCประกอบด้วย
1.สภาเพื่อการกอบกู้รัฐฉาน(RCSS/SSA) หรือกองทัพรัฐฉานใต้
2.องค์กรปลดปล่อยชาติปะโอ(PNLO)
3.กองกำลังกะเหรี่ยงพุทธเพื่อประชาธิปไตย(DKBA)
4.สภาแห่งชาติกะเหรี่ยงสันติภาพ(KNU/KNLA-PC)
5.พรรครัฐมอญใหม่(NMSP)
6.สหภาพประชาธิปไตยลาหู่(LDU)
7.พรรคปลดปล่อยอาระกัน(ALP)
8.กองทัพสหรัฐว้า(UWSA)
9.พรรคก้าวหน้ารัฐฉาน(SSPP/SSA)
10.กองทัพเมืองลา(NDAA)
ที่ผ่านมา สภาบริหารแห่งรัฐเมียนมา พยายามแยกภาพความขัดแย้งที่กำลังดำเนินอยู่ในประเทศให้ชัดเจน โดยความขัดแย้งระหว่างกองทัพพม่ากับกองกำลังติดอาวุธชาติพันธุ์ จะเน้นการเจรจาเป็นหลัก
ส่วนความขัดแย้งระหว่างสภาบริหารแห่งรัฐ-กองทัพพม่า กับรัฐบาลเอกภาพแห่งชาติ(NUG)-กองกำลังพิทักษ์ประชาชน(PDF) ซึ่งเป็นรัฐบาลเงาที่ตั้งขึ้นโดยคนของพรรค NLD ยังไม่มีช่องทางเจรจาอย่างเป็นทางการ เพราะสภาบริหารแห่งรัฐได้นิยามกลุ่มเหล่านี้ว่าเป็น“กลุ่มก่อการร้าย”ไปแล้ว
ถึงจุดนี้ กองทัพเอกราชคะฉิ่น(KIA) น่าจะเป็นตัวแปรสำคัญ และน่าจับตา เพราะเป็นกองกำลังติดอาวุธขนาดใหญ่ที่เข้มแข็ง และได้ประกาศตัวชัดเจนว่ายืนอยู่ฝ่ายเดียวกับ NUG-PDF รวมถึงที่ผ่านมา KIA ได้ช่วยฝึกฝนกำลังพลให้กับ PDF และสนธิกำลังกับ PDF เปิดศึกสู้รบกับทหารกองทัพพม่าอยู่ในหลายพื้นที่…