ThaiPublica > สู่อาเซียน > ASEAN Roundup เวียดนามดันภาคตะวันออกเฉียงใต้ศูนย์กลางเศรษฐกิจทางทะเล

ASEAN Roundup เวียดนามดันภาคตะวันออกเฉียงใต้ศูนย์กลางเศรษฐกิจทางทะเล

25 ธันวาคม 2022


ASEAN Roundup ประจำวันที่ 18-24 ธันวาคม 2565

  • เวียดนามดันภาคตะวันออกเฉียงใต้ศูนย์กลางเศรษฐกิจทางทะเล
  • ทางรถไฟเชื่อมท่าเรือท่าแขก-หวุงอ่างเริ่มก่อสร้างต้นปีหน้า
  • อินโดนีเซีย เวียดนามตกลงเป้าหมายการค้าทวิภาคีใหม่ 1.5 หมื่่นล้านดอลล์
  • อินโดนีเซียตั้งเป้าส่งออกก๊าซธรรมชาติไปยังเวียดนามในปี 2066
  • เวียดนามจ่อขึ้นแท่นคู่ค้าใหญ่ 7 อันดับแรกของสหรัฐฯ
  • กระทรวงพาณิชย์ลาวเสนอแก้ไขกฎหมายวิสาหกิจ
  • กัมพูชาเดินหน้าสร้างรถไฟความเร็วสูง
  • เวียดนามดันภาคตะวันออกเฉียงใต้ศูนย์กลางเศรษฐกิจทางทะเล

    ที่มาภาพ: https://en.wikivoyage.org/wiki/File:Vung_Tau,_Viet_Nam_2021.jpg
    คณะกรรมการกรมการเมืองเวียดนามมีมติว่าด้วยการพัฒนาเศรษฐกิจสังคมและการป้องกันความมั่นคงในภาคตะวันออกเฉียงใต้ถึงปี 2030 โดยวางวิสัยทัศน์ถึงปี 2045 เปิดโอกาสการพัฒนาใหม่สำหรับท้องถิ่นในภาค รวมถึงจังหวัดบ่าเสี่ยะ – หวุงเต่า

    มติดังกล่าวได้กำหนดทิศทางที่ชัดเจนสำหรับภูมิภาคนี้ให้ก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจทางทะเลของประเทศ(national sea-based economic hub) ซึ่งรวมถึงท่าเรือท่องเที่ยว การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ การท่องเที่ยวเพื่อการพักผ่อน การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม และบริการความบันเทิงคุณภาพสูง และเพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางดังกล่าว จังหวัดบ่าเสี่ยะ – หวุงเต่าจะใช้มาตรการใหม่เพื่อดึงดูดนักลงทุน พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและการเชื่อมโยงการขนส่ง และสร้างผลิตภัณฑ์การท่องเที่ยว

    กลยุทธ์ดึงดูดการลงทุนในเขตการค้าเสรี
    เลขาธิการคณะกรรมการพรรคประจำจังหวัด Pham Viet Thanh ยืนยันว่า สำนักงานพรรค ฝ่ายบริหาร ประชาชน และชุมชนธุรกิจในจังหวัดบ่าเสี่ยะ – หวุงเต่าได้บรรลุฉันทามติและมีมติให้เดินหน้าสู่เป้าหมายที่กำหนดโดยมติของคณะกรรมการ ทั้งนี้จังหวัดจะเร่งจัดทำโรดแมปและวางแผนที่จะดำเนินการตามมติอย่างเต็มที่

    Nguyen Van Tho ประธานคณะกรรมการประชาชนประจำจังหวัดเน้นย้ำว่า หนึ่งในมาตรการพัฒนาระดับภูมิภาคที่ระบุไว้ในมติ คือ การจัดตั้งเขตการค้าเสรีที่เชื่อมกับท่าเรือกายแหม็บ เพื่อปรับจังหวัดบ่าเสี่ยะ – หวุงเต่า ให้เป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวระดับโลก นอกจากนี้ยังกล่าวว่า มาตรการเหล่านั้นเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายเชิงกลยุทธ์ ที่มุ่งสร้างแรงกระตุ้นการพัฒนาใหม่สำหรับภาคตะวันออกเฉียงใต้ทั้งหมดตั้งแต่ตอนนี้ถึงปี 2030 โดยมีวิสัยทัศน์ถึงปี 2045

    เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการจัดตั้งเขตการค้าเสรีกายแหม็บ จังหวัดบ่าเสี่ยะ – หวุงเต่าได้ริเริ่มที่จะนำการพัฒนาเขตการค้าเสรีมารวมไว้ในแผนแม่บทการพัฒนาของจังหวัดสำหรับปี 2021-2030 โดยมีวิสัยทัศน์ถึงปี 2050 รวมทั้งจังหวัดได้จัดทำ แผนงานสำหรับศูนย์โลจิสติกส์ กายแหม็บ และรายงานการศึกษาความเป็นไปได้เบื้องต้นของโครงการ เพื่อเสนอต่อหน่วยงานที่ได้รับอนุญาต ให้พิจารณาอนุมัติการลงทุน จังหวัดบ่าเสี่ยะ – หวุงเต่ายังเปิดตัวการลงทุนในโครงการขนส่งที่เชื่อมต่อท่าเรือและภูมิภาคต่างๆ ขณะเดียวกันก็ประสานงานกับรัฐบาลกลางและท้องถิ่นอื่นๆ เพื่อผลักดันโครงการขนส่งที่เชื่อมต่อกับภาคตะวันออกเฉียงใต้

    สำหรับการจัดตั้งเขตการค้าเสรีกายแหม็บ ในระยะแรก จังหวัดจะใช้มาตรการอย่างเร่งด่วน รวมถึงการมอบหมายหน่วยงานมืออาชีพเพื่อกำหนดเนื้อที่ของเขตการคาเสรี และที่ตั้งตามแผนแม่บทของจังหวัดสำหรับปี 2021-2030 โดยมีวิสัยทัศน์ถึงปี 2050 ตลอดจนความต้องการใช้ที่ดินและผิวน้ำในพื้นที่

    จังหวัดจะประสานงานกับกระทรวง ภาคส่วน และท้องถิ่นต่อไป เพื่อเร่งดำเนินโครงสร้างพื้นฐานทางเทคนิค โดยเฉพาะโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งในภาคตะวันออกเฉียงใต้ และโครงการที่เชื่อมต่อเขตการค้าเสรีกายแหม็บกับระบบท่าเรือ สนามบินนานาชาติ ล็องถั่ญ และ ศูนย์กลางการเงินระหว่างประเทศในนครโฮจิมินห์ นิคมอุตสาหกรรม เขตเศรษฐกิจ เมืองใหญ่ในภาคตะวันออกเฉียงใต้และทั่วประเทศ รวมทั้งในระเบียงเศรษฐกิจข้ามทวีปเอเชีย

    ผู้แทนจากกระทรวงการวางแผนและการลงทุน กล่าวในการประชุมเพื่อเปิดตัวแผนปฏิบัติการเพื่อดำเนินการตามข้อมติของคณะกรรมการกรมการเมืองและส่งเสริมการลงทุนในภาคตะวันออกเฉียงใต้ว่า กระทรวงฯ ได้เปิดเผยรายการโครงการที่ผ่านการจัดลำดับความสำคัญจากการเรียกร้องให้มีการลงทุน ในภาคตะวันออกเฉียงใต้ โดยหนึ่งในโครงการที่เชิญชวนให้เกิดการลงทุนคือส่วนหนึ่งของเส้นทางบ่าเสี่ยะ – หวุงเต่าในส่วนของ Belt Road หมายเลข 4 รอบนครโฮจิมินห์ ด้วยเงินลงทุนประมาณ 7,772 พันล้านดอง

    ถนนเส้นนี้จะเชื่อมต่อกลุ่มท่าเรือน้ำลึก Cai Mep – Thi Vai กับศูนย์กลางการผลิตในด่งนาย–บิ่ญเซือง–โฮจิมินห์ซิตี้–ล็องถั่ญ (ท่าเรือ Hiep Phuoc) ซึ่งจะเป็นการยกระดับการเชื่อมโยงภายในภาคและระหว่างภาค และเอื้อต่อในการทำให้เป็นเมือง ซึงจะมีส่วนสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมโดยเฉพาะในจังหวัดบ่าเสี่ยะ – หวุงเต่าและภาคตะวันออกเฉียงใต้โดยทั่วไป

    ส่งเสริมความเชื่อมโยง การลงทุนพัฒนาท่องเที่ยว
    สำหรับเป้าหมายในการปรับจังหวัดบ่าเสี่ยะ – หวุงเต่า ให้เป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวระดับโลกตามมติคณะกรรมการกรมการเมืองนั้น ผู้นำของจังหวัดระบุว่าจังหวัดบ่าเสี่ยะ – หวุงเต่าเป็นพื้นที่แห่งเดียวในภาคตะวันออกเฉียงใต้ที่มีชายฝั่งทะเลยาว ชายหาดที่สวยงาม เหมาะที่จะเป็นแหล่งท่องเที่ยวคุณภาพสูง จังหวัดนี้ยังมีพื้นที่สวยงามหลายแห่ง มีสภาพแวดล้อมที่สะอาด พร้อมด้วยโบราณสถานทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมและเทศกาลวัฒนธรรมดั้งเดิมมากมาย ตัวอย่างเช่น หมู่เกาะกงด๋าว ซึ่งเป็นทั้งอนุสรณ์สถานแห่งการปฏิวัติและพื้นที่ชุ่มน้าที่มีความสาคัญระหว่างประเทศ เป็นที่น่าสังเกตว่า จังหวัดบ่าเสี่ยะ – หวุงเต่าตั้งอยู่สุดชายฝั่งตอนกลาง ซึ่งเหมาะสำหรับการท่องเที่ยวทางทะเล บวกกับที่ตั้งที่อยู่ใกล้กับศูนย์กลางทางเศรษฐกิจในภาคตะวันออกเฉียงใต้ที่มีประชากรมากกว่า 18 ล้านคน ด้วยเงื่อนไขดังกล่าว จังหวัดสามารถก้าวสู่ศูนย์กลางการท่องเที่ยวและการพักผ่อนของภาคตะวันออกเฉียงใต้และภาคใกล้เคียง

    ประธานคณะกรรมการประชาชนประจำจังหวัด Nguyen Van Tho กล่าวว่า จังหวัดจะลงทุนในเครือข่ายการขนส่งที่เชื่อมต่อพื้นที่ที่กำหนดไว้สำหรับการพัฒนาการท่องเที่ยว และประสานงานกับกระทรวง ภาคส่วน และท้องถิ่นในภูมิภาคตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อให้เครือข่ายการขนส่งในภาคเสร็จสมบูรณ์ รวมถึงทางด่วนเบียนฮวา –หวุงเต่า ถนนตามโครงการ Belt and Road หมายเลข 4 รอบนครโฮจิมินห์ การปรับปรุงสนามบินกงด๋าว อาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศและระบบทางน้ำภายใน ทางรถไฟสายเบียนฮวา-หวุงเต่า และเส้นทางรถไฟในเมือง เพื่อเพิ่มการเชื่อมโยงระหว่างท้องถิ่นต่างๆ ในภาค ในเชิงกิจกรรมการท่องเที่ยว โดยเฉพาะและกิจกรรมทางเศรษฐกิจและสังคมโดยทั่วไป

    ข้อความที่จังหวัดต้องการสื่อถึงนักลงทุนคือจังหวัดบ่าเสี่ยะ – หวุงเต่า พร้อมรับแนวคิดและการลงทุนขององค์กรเสมอ ฝ่ายบริหารทุกระดับในจังหวัดจะพยายามอย่างดีที่สุด เพื่อดูแลผลประโยชน์ที่ถูกต้องตามกฎหมายของกิจการ เช่นเดียวกับของรัฐและประชาชน ซึ่งจะช่วยส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืนของจังหวัด

    ทางรถไฟเชื่อมท่าเรือท่าแขก-หวุงอ่างเริ่มก่อสร้างต้นปีหน้า

    ที่มาภาพ: https://www.vientianetimes.org.la/sub-new/Previous_248/freeContent/FreeConten2022_Construction248.php

    การก่อสร้างเส้นทางรถไฟที่เชื่อมระหว่างท่าแขก เมืองหลวงของแขวงคำม่วน ทางตอนกลางของลาว กับท่าเรือหวุงอ่างในจังหวัดห่าติ๋ญ ทางตอนกลางของเวียดนาม คาดว่าจะเริ่มในเดือนมีนาคม 2023 จากการเปิดเผยของผู้พัฒนาโครงการในลาว และหากทุกอย่างเป็นไปตามแผน การก่อสร้างเส้นทางรถไฟระยะทาง 240 กิโลเมตรคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี 2026

    ทางรถไฟสายนี้เป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางรถไฟที่มีระยะทาง 554 กิโลเมตรที่วางแผนไว้ ซึ่งเชื่อมระหว่างเมืองหลวงเวียงจันทน์ของลาวกับท่าเรือน้ำลึกในเวียดนาม

    ทางรถไฟสายเวียงจันทน์-หวุงอ่างและท่าเรือเวียดนามเป็นส่วนหนึ่งของโครงการลาวโลจิสติกส์ลิงค์ (Lao Logistics Link-LLL) บริษัท Petroleum Trading Lao Public Company (PetroTrade) ผ่านการพิจารณาให้เป็นพันธมิตรกับรัฐบาลลาวและเวียดนามในการพัฒนาและดำเนินการโครงการนี้่

    ในขณะบรรยายสรุปแก่นักการทูตและผู้บริหารธุรกิจจากยุโรปเมื่อเร็วๆ นี้เกี่ยวกับความคืบหน้าของโครงการรถไฟ นายจันทอน สิดทิไซ ประธานคณะกรรมการบริหาร PetroTrade กล่าวว่า ทางรถไฟเชื่อมระยะทาง 240 กิโลเมตรจะแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนที่หนึ่งฝั่งลาวและ อีกส่วนหนึ่งบนแผ่นดินเวียดนาม

    การศึกษาความเป็นไปได้ของส่วนในฝั่งลาวได้เสร็จสิ้นและได้รับอนุมัติจากกระทรวงโยธาธิการและขนส่งแล้ว ผู้พัฒนาจากลาว กล่าวและว่า กำลังเจรจาข้อตกลงสัมปทานกับรัฐบาลซึ่งคาดว่าจะได้ข้อสรุปในปีนี้

    “เราคาดว่าจะเริ่มก่อสร้างทางรถไฟจากฝั่งลาวไปยังชายแดน [ของเวียดนาม]ตั้งแต่เดือนมีนาคมปีหน้า” นายจันทอนกล่าวกับคณะผู้แทนยุโรป

    นายจันทอนกล่าวกับที่ประชุมว่า International Finance Corporation (IFC) องค์กรในกลุ่มธนาคารโลก ซึ่งก่อนหน้านี้ได้จัดแพคเกจทางการเงินจำนวน 67 ล้านดอลลาร์สหรัฐสำหรับท่าเรือบกท่านาแล้ง ได้แสดงความสนใจในการจัดหาเงินทุนสำหรับการก่อสร้างทางรถไฟ

    ทางฝั่งลาว PetroTrade จะจับมือกับรัฐบาลลาวเพื่อพัฒนาเส้นทางรถไฟ โดยบริษัทถือหุ้นร้อยละ 80 ส่วนในเวียดนาม PetroTrade จะร่วมมือกับรัฐบาลเวียดนามและธุรกิจเอกชนในการพัฒนาทางรถไฟ

    การศึกษาความเป็นไปได้ในส่วนของฝ่ายเวียดนามคาดว่าจะเสนอต่อสมัชชาแห่งชาติเวียดนามในเดือนมิถุนายน 2จ23 และได้รับการอนุมัติภายในเดือนกันยายนปีเดียวกัน ส่วนการก่อสร้างในฝั่งเวียดนามคาดว่าจะเริ่มในปลายปี 2023

    “คาดว่าการก่อสร้างโครงการนี้จากฝั่งลาวถึงท่าเรือหวุงอ่างจะแล้วเสร็จในปี 2026” ประธานกล่าว

    เงื่อนไขทางการเงินสำหรับการก่อสร้างส่วน 240 กิโลเมตรยังไม่มีการกำหนด แต่ทั้งเส้นทางทางงรถไฟเชื่อมเวียงจันทน์-หวุงอ่างทางเพียงเส้นทางเดียวที่มีความยาว 554 กิโลเมตรคาดว่าจะมีราคาสูงถึง 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

    เมื่อเสร้างเสร็จแล้ว เส้นทางรถไฟสายเวียงจันทน์-หวุงอ่างจะเชื่อมโยงกับทางรถไฟลาว-จีน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายรถไฟระดับภูมิภาคที่วางแผนไว้ซึ่งเชื่อมต่อมณฑลยูนนานของจีนกับสิงคโปร์ผ่านลาว ไทย และมาเลเซีย

    อินโดนีเซีย เวียดนามตกลงเป้าหมายการค้าทวิภาคีใหม่ 1.5 หมื่่นล้านดอลล์

    ที่มาภาพ: https://en.antaranews.com/news/266913/indonesia-vietnam-agree-on-new-bilateral-trade-target

    อินโดนีเซียและเวียดนามตกลงเป้าหมายใหม่มูลค่าการค้าทวิภาคีระหว่างทั้งสองประเทศ ไว้ที่ มูลค่า 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2028

    “ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา การค้าเพิ่มขึ้น 9.77% ดังนั้นเราจึงตกลงที่จะกำหนดเป้าหมายการค้าทวิภาคีใหม่ที่ 1.5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐภายในปี 2028” ประธานาธิบดีโจโก วิโดโด กล่าวที่ทำเนียบประธานาธิบดีโบกอร์เมื่อวันพฤหัสบดี(22 ธ.ค.)

    ประธานาธิบดีกล่าวถ้อยแถลงในการแถลงข่าวร่วมกับประธานาธิบดีเวียดนาม เหวียน ซวน ฟุก ซึ่งเยือนอินโดนีเซียในช่วงวันที่ 21-23 ธันวาคม 2022

    ประธานาธิบดีโจโควีแถลงว่า มีการหารือหลายประเด็นเกี่ยวกับความร่วมมือทวิภาคี โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับการค้า เป้าหมายการค้าที่ตั้งไว้ว่าจะมีมูลค่า 1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2023 ทะลุเป้าหมายเร็วกว่าเวลาที่กำหนด โดยมีมูลค่า 11.06 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2021

    ประธานาธิบดีโจโควีกล่าวว่า เวียดนามเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ของอินโดนีเซียตั้งแต่ปี 2013

    “ในการประชุมก่อนหน้านี้ เราได้หารือเกี่ยวกับยกระดับด้านต่างๆ ในความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ทั้งในขอบเขตระดับทวิภาคีและระดับภูมิภาค”

    ประธานาธิบดีโจโควียังเรียกร้องให้คุ้มครองการลงทุนของอินโดนีเซียในเวียดนาม

    “ผมขอขอบคุณที่รัฐบาลเวียดนามไว้วางใจบริษัทต่างๆ ของอินโดนีเซียที่เข้าไปลงทุนในเวียดนาม การลงทุนของอินโดนีเซียในเวียดนามสะสมสูงถึงกว่า 600 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากทั้งหมด 101 โครงการ”

    ประธานาธิบดีคาดว่าจะกล่าวถึงปัญหาต่างๆ ที่นักลงทุนชาวอินโดนีเซียประสบ เพื่อให้สามารถกระตุ้นการลงทุนใหม่ๆ ในอนาคต

    ประธานาธิบดีฟุก แห่งเวียดนามกล่าวว่า พอใจกับการหารือที่ครอบคลุมระหว่างอินโดนีเซียและเวียดนาม

    “ผมเห็นด้วยกับสิ่งที่ประธานาธิบดีพูดเกี่ยวกับความสัมพันธ์หุ้นส่วนที่ดีระหว่างอินโดนีเซียและเวียดนามในการเอาชนะความท้าทายหลายประการ เราต้องยกระดับความไว้วางใจทางการเมืองและความร่วมมือทางเศรษฐกิจ” ฟุกกล่าว

    ประธานาธิบดีฟุกระบุว่า ปัจจุบันอินโดนีเซียเป็นคู่ค้ารายใหญ่อันดับสามของเวียดนามในอาเซียน ความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสองประเทศเพิ่มขึ้นเป็น 13 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในรอบ 11 เดือนแรกของปี 2022 เพิ่มขึ้นจาก ปี 2021

    ภายในปี 2021 อินโดนีเซียลงทุนกว่า 600 ล้านเหรียญสหรัฐในที่อยู่อาศัย ซีเมนต์ อาหารสัตว์ และชิ้นส่วนรถยนต์

    “ความร่วมมือนี้มีความสำคัญต่อการยกระดับด้านการป้องกัน ความมั่นคง และกิจการทางทะเล รวมทั้งกระชับความร่วมมือในด้านพลังงาน การท่องเที่ยว การศึกษา และความสัมพันธ์ระหว่างประชาชน”

    ความสัมพันธ์ทวิภาคีระหว่างอินโดนีเซียและเวียดนามเริ่มต้นอย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ 30 ธันวาคม 1955 และยกระดับขึ้นไปอีกขั้นตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2013 เมื่อทั้งสองประเทศตกลงเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์กัน

    ภายในปี 2564 อินโดนีเซียลงทุนกว่า 600 ล้านเหรียญสหรัฐในที่อยู่อาศัย ซีเมนต์ อาหารสัตว์ และชิ้นส่วนรถยนต์

    อินโดนีเซียตั้งเป้าส่งออกก๊าซธรรมชาติไปยังเวียดนามในปี 2066

    อินโดนีเซียตั้งเป้าที่จะ ส่งออกก๊าซธรรมชาติไปยังเวียดนามในปี 2066จากแปลง Tuna นอกชายฝั่งที่ตั้งอยู่ใกล้พรมแดนทางทะเลของอินโดนีเซียและเวียดนาม รัฐมนตรีกระทรวงพลังงานของอินโดนีเซียกล่าวเมื่อวันศุกร์(22 ธ.ค.)

    อินโดนีเซียอาจส่งก๊าซมาตรฐาน 100 ถึง 150 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวันผ่านท่อส่งก๊าซจากแหล่ง Tuna ที่ดำเนินการโดย Harbour Energy รัฐมนตรีกระทรวงพลังงาน Arifin Tasrif กล่าวกับผู้สื่อข่าว

    แหล่ง Tuna ซึ่งมีปริมาณน้ำมันดิบเทียบเท่าประมาณ 100 ล้านบาร์เรล มีการสำรวจในเดือนเมษายน 2014 จากข้อมูลเว็บไซต์ของบริษัท

    เวียดนามจ่อขึ้นแท่นคู่ค้าใหญ่ 7 อันดับแรกของสหรัฐฯ

    ที่มาภาพ: https://en.vietnamplus.vn/vietnam-likely-to-enter-top-seven-trade-partners-of-us-bloomberg/245847.vnp

    เวียดนามกำลังอยู่บนเส้นทางที่จะเบียดอังกฤษออกจากตำแหน่ง คู่ค้าสินค้าใหญ่ใน 7 อันดับแรกของสหรัฐฯที่มีชื่อติดมาอย่างยาวนาน จากรายงานของบลูมเบิร์กเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม

    รายงานบลูมเบิร์กอ้างข้อมูลจากสำนักงาน Census Bureau ของสหรัฐฯ ที่แสดงให้เห็นว่าส่วนแบ่งการค้าสินค้าของสหราชอาณาจักรในตลาดสหรัฐฯลดลงเหลือ 2.6% ในช่วง 10 เดือนแรกของปีนี้ ขณะที่ของเวียดนามเพิ่มขึ้นเป็น 2.7%

    จากตัวเลขทั้งปีย้อนหลังไปเกือบ 20 ปี คู่ค้ารายใหญ่ 7 อันดับแรกของสหรัฐฯ ในการค้าสินค้ายังคงเป็นแคนาดา เม็กซิโก จีน ญี่ปุ่น เยอรมนี สาธารณรัฐเกาหลี และสหราชอาณาจักร แม้ตำแหน่งของแต่ละประเทศภายในกลุ่มจะสลับกันไป

    เวียดนามไม่ปรากฏในรายชื่อ 15 อันดับแรกของสำนักงานจนถึงปี 2019 และไต่อันดับขึ้นเรื่อย ๆ ตั้งแต่นั้นมา โดยสิ้นสุดในปีที่แล้วที่อันดับ 10 หากเวียดนามยังนำเหนืออังกฤษในช่วงสองเดือนสุดท้ายของปี 2022 เวียดนามจะเป็นครั้งแรกที่ติด 7 อันดับแรกเป็นเศรษฐกิจเอเชีย

    ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนถึงแนวโน้มที่เกิดขึ้นก่อนการแพร่ระบาดและถูกเร่งให้เกิดขึ้น ส่วนแบ่งการค้าสินค้าในสหรัฐฯ ของจีน ซึ่งอยู่ที่ 13.2% ในเดือนตุลาคม ลดลงหลังแตะระดับสูงสุดทั้งปีที่ 16.4% ในปี 2017

    ขณะที่บริษัทอเมริกันแสวงหาซัพพลายเออร์นอกประเทศจีนในช่วงสงครามการค้าระหว่างปักกิ่งและวอชิงตัน ส่วนแบ่งการค้าของสหรัฐฯ กับประเทศต่างๆ เช่น เม็กซิโกและเวียดนามก็เพิ่มสูงขึ้น

    การส่งออกทั้งหมดของเวียดนามตั้งแต่เดือนมกราคมถึงพฤศจิกายนเพิ่มขึ้น 13.4% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว จากข้อมูลของสำนักงานสถิติทั่วไปของเวียดนาม

    กระทรวงพาณิชย์ลาวเสนอแก้ไขกฎหมายวิสาหกิจ

    นายมะไลทอง กมมะสิด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและพาณิชย์ ที่มาภาพ: https://kpl.gov.la/EN/detail.aspx?id=70592

    นายมะไลทอง กมมะสิด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและพาณิชย์เสนอ ร่างแก้ไขกฎหมายวิสาหกิจ(Law on Enterprises) ต่อที่ประชุมสภาแห่งชาติสมัยสามัญ สมัยที่ 4 เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบในเช้าวันนี้

    “กฎหมายฉบับนี้มีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมการลงทุนและการจัดการที่มีประสิทธิภาพของวิสาหกิจ สร้างความไว้วางใจจากนักลงทุน ตลอดจนส่งเสริมความทันสมัยในภาคการค้า” นายมะไลทองกล่าว

    “ปัจจุบันมีรัฐวิสาหกิจ 178 แห่งในประเทศ แต่มีเพียง 10 แห่งที่มีประโยชน์ รัฐวิสาหกิจเป็นการลงทุนของรัฐ ถ้าบริหารงานไม่ดี รัฐบาลจะเสียเงินจำนวนมาก ถ้าไปได้ดี หรือสำเร็จ คนบางกลุ่มก็จะรวยขึ้น นี่เป็นปัญหาในลาว” นายสุวันนี ไซเซนา สมาชิกสภาแห่งชาติแขวงบอลิคำไซกล่าว

    นายสุวันนียกตัวอย่างจากประเทศเวียดนาม ที่รัฐบาลตัดสินใจลงโทษบุคคลและให้ผู้จัดการต้องรับผิดชอบในการบริหารรัฐวิสาหกิจที่ผิดพลาด และทำให้สูญเสียเงินจำนวน 2.4 พันล้านเหรียญสหรัฐ และเรียกร้องให้รัฐบาลแก้ไขกฎหมายให้รอบด้านและสอดคล้องกับความเป็นจริง เพราะลาวประสบปัญหาหลายด้านจากที่เห็นในช่วงที่ผ่านมา

    นางวาลี เวดสะพง สมาชิกสภาแห่งชาติจากเขตเลือกตั้งที่ 1 เวียงจันทน์ เรียกร้องให้กระทรวงอุตสาหกรรมและการค้ากำหนดขั้นตอนง่าย ๆ สำหรับการจดทะเบียนธุรกิจ และขอให้กระทรวงมีบทบาทสำคัญในการกำหนดและอนุมัติเอกสารทางธุรกิจ โดยชี้ว่าจะสร้างเงื่อนไขที่เอื้ออำนวยต่อการลงทุน

    “ขณะนี้มีธุรกิจมากกว่า 180,000 แห่งในประเทศนี้ ไม่รวมธุรกิจในเขตเศรษฐกิจพิเศษ ในความเป็นจริงแล้วการจดทะเบียนธุรกิจเป็นเรื่องท้าทายและยุ่งยากเนื่องจากเอกสารจะใช้เวลานานในการอนุมัติ ทำให้นักลงทุนไม่กล้าลงทุนในลาว” นางวาลีกล่าว

    “หากมีการแก้ไข กฎหมายฉบับนี้จะกลายเป็นเครื่องมือพื้นฐานในการช่วยเพิ่มการจดทะเบียนธุรกิจ และทำให้การลงทุนสะดวกและง่ายดาย” นายมะไลทอง กล่าวในการประชุมสมัยสามัญครั้งที่ 4

    ฝ่ายนิติบัญญัติคาดว่าจะหารือกันจนถึงสิ้นเดือนนี้เกี่ยวกับการนำกฎหมายหลายฉบับมาใช้ รวมถึงกฎหมายใหม่ 3 ฉบับ คือกฎหมายว่าด้วยหนังสือเดินทาง กฎหมายว่าด้วยทางน้ำ และกฎหมายพิพิธภัณฑ์ และร่างแก้ไขกฎหมายว่าด้วยทนายความ ทะเบียนศาล การป้องกันและควบคุมโรคติดเชื้อ วิสาหกิจ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงานอัยการทหาร และ ธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์

    กัมพูชาเดินหน้าสร้างรถไฟความเร็วสูง

    ที่มาภาพ: https://www.khmertimeskh.com/501207261/cambodia-on-track-for-high-speed-railway/

    รัฐบาลกัมพูชาได้แสดงความมุ่งมั่นที่จะสร้างรถไฟความเร็วสูงเพื่อเชื่อมโยงพนมเปญกับสีหนุวิลล์และประเทศเพื่อนบ้าน

    นายกรัฐมนตรีฮุน เซน กล่าวว่า รัฐบาลได้ทำการศึกษาเกี่ยวกับรถไฟความเร็วสูงที่เชื่อมต่อภายในประเทศและกับประเทศเพื่อนบ้าน

    “เรากำลังทำการศึกษาเกี่ยวกับรถไฟความเร็วสูงที่เชื่อมกรุงพนมเปญกับจังหวัดพระสีหนุและชายแดนไทย” นายกรัฐมนตรีกล่าวระหว่างพิธีเปิดถนนความยาว 43 กิโลเมตรในจังหวัดพระสีหนุวิลล์

    รถไฟความเร็วสูงจะสร้างขึ้นและปรับปรุงจากรางที่มีอยู่ เพราะรางรถไฟแบบดั้งเดิมที่มีอายุเก่าแก่กว่าทศวรรษไม่สามารถนำมาใช้เพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจได้

    โครงการรถไฟความเร็วสูงของกัมพูชาได้รับการสนับสนุนทางการเงินในหลักการจากรัฐบาลจีน นายกฮุนเซนกล่าว และว่า นายกรัฐมนตรีจีน หลี่ เค่อเฉียง ได้กล่าวถึงประเด็นนี้ [โครงการรถไฟ] ในระหว่างการเจรจาเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม

    รถไฟความเร็วสูงเป็นการวางแผนที่จะสร้างการเชื่อมต่อภายในเพื่อรองรับการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคม

    นายลิม เฮง รองประธานหอการค้ากัมพูชา กล่าวชื่นชมการผลักดันรถไฟความเร็วสูงว่า การเชื่อมต่อทางรถไฟจะช่วยส่งเสริมการขนส่งสินค้าเกษตรและสินค้าอุตสาหกรรมทางเศรษฐกิจให้ดีขึ้น

    “โครงการรถไฟความเร็วสูงจะนำการลงทุนใหม่มาสู่กัมพูชา โดยเฉพาะกับศูนย์กลางการลงทุนที่มีศักยภาพภายในประเทศ” นายเฮงกล่าวนอกจากนี้ยังช่วยลดความเหลื่อมล้ำระหว่างเมืองหลวงและจังหวัดในแง่ของการเดินทางสำหรับผู้คนและสินค้า

    ปัจจุบันกัมพูชามีเส้นทางรถไฟสองสาย สายใต้เชื่อมระหว่างพนมเปญกับสีหนุวิลล์ และสายเหนือเชื่อมเมืองหลวงกับปอยเปต

    รอยัล เรลเวย์ บริษัทลูกของกลุ่มบริษัทรอยัล กรุ๊ป บริหารและดำเนินการทางรถไฟภายใต้การลงทุนที่ได้รับสัมปทาน รถไฟปัจจุบันวิ่งด้วยความเร็วสูงสุดเพียง 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

    บริษัทโลจิสติกส์ท้องถิ่น สมาชิกของสมาคมโลจิสติกส์กัมพูชาได้มองหาความเป็นไปได้ในการให้บริการรถไฟระหว่างจีนและกัมพูชาที่เชื่อมระหว่างลาวและไทย