ASEAN Roundup ประจำวันที่ 22-28 พฤศจิกายน 2563
สปป.ลาวเดินเครื่องโรงกลั่นแห่งแรก 30 พ.ย.
สปป.ลาวจะเดินเครื่องเชิงพาณิชย์โรงกลั่นน้ำมันแห่งแรกในสัปดาห์หน้า วันที่ 30 พฤศจิกายนนี้ เพื่อตอบสนองการบริโภคในประเทศ โรงกลั่นนี้ตั้งอยู่ในเขตเศรษฐกิจพิเศษไชยเชษฐา นครเวียงจันทน์โครงการโรงกลั่นเริ่มขึ้นในปี 2558 โดยบริษัทอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ลาว-จีน ต่งหย่าน ที่มีบริษัทยูนนาน ต่งหย่าน อินดัสเตรียล โฮลดิ้ง ถือหุ้น 75% โดยรัฐวิสาหกิจน้ำมันเชื้อเพลิงลาว (Lao State Fuel) ถือหุ้น 20% ที่เหลืออีก 5% ถือโดยบริษัทร่วมลงทุนลาว-จีน จำกัด
“โครงการโรงกลั่นปิโตรเลียมตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 280,000 ตารางเมตร โดยใช้เงินลงทุนประมาณ 179 ล้านเหรียญสหรัฐ” นายพะนาย พวงเพชร รองผู้จัดการทั่วไปของลาวปิโตรเลียมและเคมี กล่าวกับสื่อเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน
“ โครงการโรงกลั่นน้ำมันปิโตรเลียมจะช่วยลดการนำเข้าเชื้อเพลิงและลดราคาน้ำมันในตลาดภายในประเทศ”
โรงกลั่นแห่งนี้คาดว่าจะผลิตน้ำมันเบนซิน(gasoline) ดีเซล เบนซีน(benzene) และก๊าซปิโตรเลียมเหลว(Liquefied Petroleum Gas:LPG)ได้ 1 ล้านตันต่อปี
ลาวสร้างเขื่อนเซเปียนเซ-น้ำน้อยขึ้นใหม่
โครงการไฟฟ้าพลังน้ำเซเปียนเซ-น้ำน้อยในแขวงอัตตะปือ ได้สร้างเขื่อนกั้นน้ำที่อ่างเก็บน้ำขึ้นใหม่ หลังจากที่เขื่อนได้แตกเมื่อ 2 ปีก่อนจนทำให้เกิดน้ำท่วมรุนแรงเจ้าหน้าที่โครงการกล่าวกับผู้สื่อข่าวที่มาสำวจโครงการเมื่อวันพุธที่ 25 พฤศจิกายนว่า มีการสร้างเขื่อนแห่งใหม่ไม่ไกลจากโครงสร้างเดิมที่ได้พังลงมาและทำให้มวลน้ำมหาศาลไหลมาท่วมหมู่บ้านจำนวนมากในตำบลสนามไซซึ่งอยู๋ท้ายเขื่อน
เขื่อนได้ทรุดตัวลงหลังฝนตกหนักติดต่อกันหลายวัน เพราะเป็นเขื่อนดินไม่สามารถรองรับมวลน้ำปริมาณมากได้
“เขื่อนกั้นน้ำใหม่ทำจากคอนกรีต มีความมั่นคงและแข็งแรงและสร้างขึ้นภายใต้คำแนะนำของวิศวกรผู้เชี่ยวชาญจาก บริษัทพลังงานระดับสากลนานาชาติ” เจ้าหน้าที่กล่าว
ดร.สินาวา สุพานุวง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพลังงานและบ่อแร่ ได้เดินทางไปเยี่ยมชมโรงไฟฟ้าพลังน้ำในวันเดียวกัน เพื่อตรวจสอบมาตรฐานการก่อสร้างและเพื่อสร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยให้กับชุมชนที่อาศัยอยู่ท้ายเขื่อน
เขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำที่อยู่ระหว่างก่อสร้างในลาวมีจำนวนมาก โดยมีเป้าหมายที่จะสร้างให้ได้ 100 แห่ง ภายในปี 2573 ปัจจุบันมีเขื่อน 78 แห่งที่ใช้งานแล้วด้วยกำลังการผลิตติดตั้ง 9,972 เมกะวัตต์ซึ่งสามารถผลิตไฟฟ้าได้ 52,211 กิโลวัตต์ต่อชั่วโมงต่อปี
หากเขื่อนถูกสร้างขึ้นตามมาตรฐานทางเทคนิคสูงสุด เขื่อนเหล่านี้จะคงอยู่ไปอีกนานและเป็นส่วนหนึ่งของมรดกทางเศรษฐกิจสังคมของลาวสำหรับคนรุ่นต่อไป
การพังทลายของเขื่อนที่โรงไฟฟ้าเซเปียนเซ-น้ำน้อยเป็นบทเรียนครั้งใหญ่สำหรับลาว ทำให้รัฐบาลทบทวนมาตรฐานความปลอดภัยในการพัฒนาไฟฟ้าพลังน้ำ เพื่อไม่ให้เกิดการสูญเสียชีวิตและความเสียหายอีกต่อไป
เมื่อสันเขื่อนทรุดตัวลงในเดือนกรกฎาคม 2018 ส่งผลให้น้ำท่วมนชจนมีผู้เสียชีวิตกว่า 40 คนและอีกหลายคนสูญหายไป ในขณะที่อีกหลายพันคนต้องไร้ที่อยู่อาศัย หลายหมู่บ้านในตำบลสนามไซถูกน้ำพัดพา
ขณะนี้โครงการไฟฟ้าพลังน้ำทั้งหมดอยู่ภายใต้การตรวจสอบของรัฐบาล โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้รับคำสั่งให้ตรวจสอบเขื่อนทั้งหมดที่กำลังก่อสร้างและดูแลความปลอดภัย
เวียดนามเริ่มขยายอายุเกษียณปีหน้า
เวียดนามจะค่อยๆ ขยายอายุเกษียณเป็น 60 ปีสำหรับผู้หญิงและ 62 สำหรับผู้ชาย โดยเริ่มในปีหน้า
รัฐบาลได้ออกกฏหมายกำหนดระยะเวลาของการขยายอายุเกษียณภายในปี 2578 จาก 55 ปีสำหรับผู้หญิงและ 60 สำหรับผู้ชาย โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคมปี 2564 ซึ่งผู้ชายสามารถเกษียณได้ที่ 60 ปี 3 เดือนและผู้หญิงที่ 55 ปี 4เดือน
หลังจากนั้นในแต่ละปีจะมีการเพิ่มเวลาการเข้าสู่วัยเกษียณของผู้ชายเข้าไป 3 เดือนจนกว่าจะเป็น 62 ปีในปี 2571 สำหรับผู้หญิงจะมีการเพิ่ม 4 เดือนจนกว่าจะครบ 60 ปี ในปี 2578
กฏหมายฉบับนี้มาจากการแก้ไขกฎหมายแรงงาน ที่ผ่านการพิจารณาของรัฐสภาในเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว ซึ่งจากการแก้ไขส่งผลให้ประชาชนสามารถเกษียณได้ก่อนเวลา 5 ปีหรือหลังจากนั้น ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขบางประการ เช่น การทำงานในสภาพแวดล้อมที่อันตราย หรือพื้นที่ที่มีสภาพเศรษฐกิจและสังคมที่ยากลำบากเป็นเวลา 15 ปี การทำงานที่เกี่ยวข้องกับการยกของหนัก หรือความสามารถในการทำงานลดลง 61% หรือมากกว่านั้น หากต้องการเกษียณอายุก่อนกำหนด และหากต้องการเกษียณอายุช้าต้องมีความเชี่ยวชาญพิเศษ
การขยายอายุเกษียณเป็นเรื่องที่ “ล่าช้าไม่ได้” ด่าว ง็อก ดุง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ผู้พิการและกิจการสังคมกล่าวไว้ในปีที่แล้ว
จากข้อมูลของกระทรวงระบุว่า อายุเกษียณในเวียดนามอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ที่ใกล้เคียงกัน ขณะที่อายุขัยเพิ่มขึ้น ดังนั้นเพื่อรับมือกับประชากรสูงวัย และรักษาสมดุลให้กับกองทุนบำนาญของประเทศ การขยายอายุเกษียณจึงเป็นเรื่องเร่งด่วน
เมื่อประชากรมีอายุมากขึ้น กองทุนประกันสังคมของประเทศอาจมีปัญหาในปี 2563 และเงินจะหมดภายในปี 2580 กองทุนประกันสังคมเวียดนาม (Vietnam Social Security:VSS) ได้เตือนไว้
กองทุนประกันสังคมเวียดนามระบุว่า หากรัฐบาลไม่ขยายอายุเกษียณภายในปี 2580 รายจ่ายของรัฐบาลจะเท่ากับรายรับ ก่อนที่จะสูงว่าจากนั้นและรัฐบาลจะต้องควักกระเป๋าจ่าย
ปัจจุบันเวียดนามมีประชากรราว 96.2 ล้านคน และมีประชากรสูงอายุในสัดส่วน 11.7% องค์การสหประชาชาติระบุว่า สัดส่วนประชากรที่มีอายุมากกว่า 65 ปี ในประเทศจะสูงถึง 12.9% ในปี 2573 และ 23% ในปี 2593
ฟิลิปปินส์ผ่านกฎหมายฟื้นฟูเศรษฐกิจ CREATE
สำนักงานเศรษฐกิจและการพัฒนาแห่งชาติ (National Economic and Development Authority:NEDA) ได้ชื่นชมวุฒิสภาได้ผ่านร่าง กฎหมายการฟื้นฟูธุรกิจและสิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับวิสาหกิจ หรือ Corporate Recovery and Tax Incentives for Enterprises(CREATE) เพื่อช่วยให้ประเทศฟื้นตัวจากวิกฤตโลกในแถลงการณ์ นายคาร์ล เคนดริก ที. ฉั่ว รักษาการเลขานุการ สำนักงานวางแผนเศรษฐกิจและสังคม กล่าวว่า CREATE จะช่วยให้วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดเล็กสามารถแข่งขันได้และมีประสิทธิผลมากขึ้น ซึ่งจะสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในท้องถิ่น
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 26 พฤศจิกายน 2563 วุฒิสมาชิกได้ผ่านกฎหมาย Senate Bill 1357 หรือ CREATE Act ในการวาระ ที่2 และ 3
พระราชบัญญัติ CREATE เมื่อมีการลงนามเพื่อบังคับใช้เป็นกฎหมายแล้ว จะมีส่วนช่วยในโครงการฟื้นฟูเศรษฐกิจของรัฐบาลซึ่งรวมถึง มาตรการมาตรการที่ออกมาในระยะที่ 1 (Bayanihan 1) รวมทั้งมาตรการระยะที่ 2 (Bayanihan 2) และพระราชบัญญัติการโอนทรัพย์สินด้อยคุณภาพ(Financial Institutions Strategic Transfer:FIST) ของสถาบันการเงิน
CREATE จะช่วยให้ธุรกิจฟื้นตัวจากผลกระทบของโควิด-19 จะเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจขนาดกลางขนาดย่อมและขนาดเล็ก (MSMEs) ซึ่งประกอบด้วยผู้ประกอบการ 99% และแรงงานชาวฟิลิปปินส์ 60%
ร่างกฏหมาย CREATE ฉบับที่ผ่านวุฒิสภา อนุญาตให้ลดภาษีเงินได้นิติบุคคล 10% จาก 30% เป็น 20% เปอร์เซ็นต์สำหรับธุรกิจในประเทศที่มีรายได้สุทธิที่ต้องเสียภาษีเท่ากับ 5 ล้านเปโซหรือต่ำกว่านั้น และมีสินทรัพย์รวม (ไม่รวมที่ดิน) ไม่เกิน 100 ล้านเปโซ ธุรกิจอื่นๆ จะได้รับประโยชน์จากอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลที่ลดลงมาที่ 25% จาก 30% เปอร์เซ็นต์
มาตรการนี้ยังปรับเปลี่ยนสิทธิประโยชน์ทางการเงินให้ทันสมัย โดยการให้เป็นไปตามประสิทธิภาพ เป้าหมาย กรอบเวลาและความโปร่งใส
“ด้วยกฏหมาย CREATE ประเทศจะสามารถดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศได้มากขึ้น และด้วยสิ่งจูงใจที่ปรับใหม่ซึ่งจะเพิ่มผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจตามที่ต้องการ เช่น การสร้างงาน การเพิ่มมูลค่าในประเทศ และการถ่ายทอดเทคโนโลยี”
การประมาณการโดยคณะกรรมการประสานงานงบประมาณการพัฒนาแสดงให้เห็นว่า เมื่ออัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลมีผลบังคับใช้ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้จะส่งผลให้รายได้ของรัฐบาลลดลงประมาณ 44.6 พันล้านเปโซ อย่างไรก็ตามการเสียรายได้จากการจัดเก็บภาษีจะเป็นประโยชน์ต่อทุก บริษัท โดยเฉพาะ MSMEs เนื่องจากสามารถใช้การประหยัดภาษีเพื่อเป็นทุนในการดำเนินงานและรักษาพนักงาน
สำหรับปี 2564 และ 2565 ก่อนหน้านี้ได้มีการประเมินการจัดเก็บรายได้ไว่าจะมีจำนวน 97.2 พันล้านเปโซและ 7,600 ล้านเปโซตามลำดับซึ่งบริษัท เหล่านี้สามารถลงทุนเพื่อฟื้นฟูธุรกิจ และสร้างงานให้กับคนงานชาวฟิลิปปินส์ได้มากขึ้น
กัมพูชาตั้งนิคม SME Cluster แห่งแรก
Cambodia’s First SME Cluster Park Breaks Ground in Kandal Provinceกัมพูชาเปิดตัวนิคมเครือข่าย เอสเอ็มอี หรือ SME Cluster Park แห่งแรก โดยได้มีการวางศิลาฤกษ์ไปในวันที่ 27 พฤศจิกายน ที่เมืองตาเขมา ในจังหวัดกันดาล ซึ่งคาดว่าจะเพิ่มการผลิตในท้องถิ่นเพื่อรองรับความต้องการในประเทศและการส่งออกเมื่อเริ่มเปิดดำเนินการฃ
พิธีวางศิลาฤกษ์ใช้ชื่อว่า Worldbridge 14.0 SME Cluster จัดขึ้น โดยมี นายจาม ประสิทธิ์ รัฐมนตรีอาวุโส รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม
โครงการ SME คลัสเตอร์พาร์คมีเนื้อที่ 6 เฮกตาร์ และมีบริษัทเวิล์ดบริดจ์ อินดัสเตรียล ดิเวลลอปเม้นท์(Worldbridge Industrial Development) ซึ่งเป็นบริษัทท้องถิ่น เป็นผู้ลงทุนด้วยเงินลงทุนรวม 30 ล้านเหรียญสหรัฐ การก่อสร้างจะใช้เวลาประมาณ 8 เดือนจึงจะแล้วเสร็จ
นายจาม ประสิทธิ์กล่าวว่า การจัดตั้ง Worldbridge 14.0 SME Cluster เป็นสิ่งสำคัญสำหรับรัฐบาลในการเปิดสู่ตลาดโลกผ่านการส่งออกผลิตภัณฑ์ของกัมพูชา
สำหรับวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ที่เข้ามาในนิคมจะผลิตสินค้าที่มีคุณภาพและผลิตภัณฑ์สินค้าจริงที่ไม่ลอกเลียนแบบจากผู้อื่น รวมทั้งจะติดฉลากการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา เพื่อรับรองคุณภาพของผลิตภัณฑ์กัมพูชา เพื่อส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศเขากล่าว
นายแซ ริทธิ ประธานฝ่ายพัฒนาอุตสาหกรรม Worldbridge กล่าวว่า คลัสเตอร์ของ SME ประกอบด้วยศูนย์บริการ ศูนย์สนับสนุนอุปกรณ์อุตสาหกรรม โซน SME โครงสร้างพื้นฐาน ศูนย์โลจิสติกส์และบริการ ที่ทำการสำนักงานและที่พักคนงาน
บริษัท ได้ทำงานอย่างใกล้ชิดกับพันธมิตรด้านการพัฒนา เช่น องค์การพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งสหประชาชาติ (UNIDO) และโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) เพื่ออำนวยความสะดวกในการจัดตั้งคลัสเตอร์ SME
อินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทยลงนามความร่วมมือด้านศุลกากร
อินโดนีเซีย มาเลเซียและไทย เสร็จสิ้นการหารือเกี่ยวกับกรอบความร่วมมือ(Frame of Cooperation:FoC) ในเขตศุลกากร การโยกย้ายและการกักกัน ท่ามกลางการแพร่ระบาดของโควิด-19 และวางแผนที่จะรับรองความร่วมมือในปีหน้า
นายฟีร์ดาอุส ดะห์ลัน ผู้อำนวยการศูนย์กลางโครงการพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย มาเลเซีย ไทย (Center for Indonesia-Malaysia-Thailand Growth Triangle:CIMT) เปิดเผย หลังจากเข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรี IMT-GT ครั้งที่ 26 ซึ่งจัดขึ้นผ่านระบออนไลน์เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 26 พฤศจิกายนผ่านมา
การหารือเกี่ยวกับความร่วมมือดังกล่าวได้ชะงักลงตั้งแต่ปี 2557 อย่างไรก็ตามในระหว่างการระบาดของโควิด-19 ในระดับอนุภูมิภาคสามารถสรุปการหารือเกี่ยวกับ FoC ในเขตศุลกากร การโยกย้ายและการกักกันได้ ในแถลงการณ์ระบุ
นายฟีร์ดาอุสย้ำว่า ทั้งสามประเทศหวังว่าจะให้การรับรองและนำเอกสารความร่วมมือไปปรับใช้ในปี 2564
“(ความร่วมมือในด้านศุลกากร) คาดว่าจะก่อให้เกิดประโยชน์ที่มากขึ้น ต่อภาคการค้าและห่วงโซ่อุปทานสินค้า ผ่านกฎระเบียบและขั้นตอนที่ง่ายขึ้น”
อินโดนีเซีย มาเลเซียและไทย ซึ่งมีพรมแดนทางบกและทางทะเลร่วมกัน ได้จัดตั้งความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้าที่เรียกว่าโครงการพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย มาเลเซีย ไทย(IMT-GT) ในปี2536 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อยกระดับความเป็นอยู่และการเติบโตทางเศรษฐกิจในสามประเทศ ที่มีประชากรรวมกันประมาณ 84 ล้านคน
ด้วยเหตุนี้ IMT-GT จึงจัดทำโครงการประจำหลายโครงการ เพื่อรวบรวมผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในสามประเทศ ในช่วงการระบาดของไวรัสโควิด -19 ทั้งสามประเทศได้จัดการประชุมรัฐมนตรี IMT-GT ครั้งที่ 26 ผ่านระบบออนไลน์
ในการประชุมทั้งสามประเทศยังได้หารือเกี่ยวกับกลยุทธ์ในการขยายตลาด สำหรับสินค้าส่งออกของทั้งสามประเทศ ผ่านช่องทางดิจิทัล
“IMT-GT มีแผนจะเปิดตัว IMT-GT อีคอมเมิร์ซ แพล็ตฟอร์มในปี 2564 เพื่อเปิดรับยุคดิจิทัลในภาคการค้า”
ทั้งสามประเทศยังยืนยันคำมั่นสัญญาที่จะดำเนินโครงการโครงสร้างพื้นฐานหลายโครงการมูลค่า 51 พันล้านเหรียญสหรัฐให้สำเร็จ ซึ่งโครงการประกอบด้วยสะพาน ท่าเรือ รางรถไฟ การขนส่งทางบก และเขตเศรษฐกิจพิเศษ
“ โครงการพัฒนาส่วนใหญ่จะแล้วเสร็จในปี 2564” เขากล่าว