นายกฯจี้พาณิชย์แจง ครม. แก้ “ของแพง” ทุกสัปดาห์-วอนพรรคร่วมฯ อย่าขยายผลความขัดแย้ง-ชี้ ส.ส. ทิ้ง พปชร. ย้ายเข้าพรรค “สร้างอนาคตไทย” เป็นสิทธิตาม กม.-มติ ครม. ผ่าน กม.ลูก 2 ฉบับ ดึงต่างชาติกระเป๋าหนัก เข้าพำนักไทย-อนุมัติงบฯ 1,480 ล้าน จัด “พาณิชย์…ลดราคา! ช่วยประชาชน ปี 2565”
เมื่อวันที่ 18 มกราคม 2565 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ผ่านระบบ video conference ณ ห้อง PMOC ชั้น 2 ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล ภายหลังการประชุม นายกรัฐมนตรียังคงมอบหมายให้ ดร.ธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี รายงานข้อสั่งการและตอบคำถามสื่อมวลชนแทนนายกรัฐมนตรี
ดร.ธนกรกล่าวว่า นายกรัฐมนตรีสั่งการในที่ประชุม ครม. เรื่องการลงทุนของภาครัฐทุกโครงการ ทั้งโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และโครงการไฟฟ้าชุมชน ขอให้ถือเป็นนโยบายของนายกรัฐมนตรีโดยตรง และเน้นให้ประชาชนได้รับประโยชน์สูงสุด
ปลื้มจัดสรรที่ดิน 5.6 ล้านไร่ ให้ ปชช. กว่า 6.6 หมื่นราย
จากนั้น นายกรัฐมนตรีได้แจ้งในที่ประชุม ครม. ว่ารัฐบาลประสบความสำเร็จในเรื่องการจัดสรรที่ดินทำกินในชุมชนให้กับพี่น้องประชาชนได้เป้าหมาย 5.6 ล้านไร่ มีประชาชนได้รับการจัดสรรที่ดินแล้ว 66,368 ราย และได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดูแลประชาชนที่ถูกดำเนินคดีให้ได้รับความเป็นธรรม แต่ถ้าหลักฐานว่ามีเจตนาบุกรุกที่ดิน ขอให้ดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด
จี้พาณิชย์แจง ครม. แก้ “ของแพง” ทุกสัปดาห์
ดร.ธนกรกล่าวว่า ก่อนการประชุม ครม. วันนี้ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้มีการสั่งการให้หน่วยงานที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ติดตามและเร่งแก้ไขราคาสินค้าปรับตัวสูงขึ้น ทั้งเนื้อสัตว์ หมู ไก่ และสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นต่อประชาชนโดยเร่งด่วน โดยได้สั่งการให้ร้านค้าธงฟ้าเปิดจำหน่ายสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการดำรงชีวิตประจำวัน เพื่อเป็นทางเลือกของพี่น้องประชาชน และผู้ใช้สิทธิบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ซื้อสินค้าในราคาประหยัด ซึ่งจะเป็นการบรรเทาความเดือนร้อนของประชาชนในเบื้องต้นในระยะนี้ นอกจากนี้ก็มีการเร่งหารือกับผู้ประกอบการในการตรึงราคาสินค้าที่จำเป็นอื่นๆ อีกด้วย และขอให้กระทรวงพาณิชย์รายงานความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาให้ที่ประชุม ครม. ทราบทุกสัปดาห์
“จากการหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งเกษตรและพาณิชย์ ได้มีการดำเนินการเพื่อช่วยเหลือประชาชนในการแก้ไขราคาสินค้าแพงโดยเฉพาะเนื้อสุกรอย่าเร่งด่วน ซึ่งนายกฯ ได้สั่งการให้มีการติดตามและดำเนินการโดยเร่งด่วนเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน ซึ่งการแก้ปัญหาการดำเนินการของกรมปศุสัตว์ทำให้มีการเลี้ยงหมูที่มีการปลอดโรคและ มีการพิจารณาทั้ง Demand-Supply ในตลาด ส่วนพาณิชย์ ได้เร่งให้ร้านธงฟ้านำสินค้าจำเป็นมาจำหน่ายแก่พี่น้องประชานโดยเร่งด่วน” ดร.ธนกร กล่าว
วอนพรรคร่วมฯ อย่าขยายผลความขัดแย้ง
ดร.ธนกรกล่าวว่า “นายกรัฐมนตรี แสดงความยินดีกับ ส.ส. ใหม่จังหวัดสงขลาและชุมพร ซึ่งเป็นไปตามระบอบประชาธิปไตย พร้อมกับกล่าวขอบคุณหัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาล โดยหลังจากนี้ขอให้ทุกฝ่ายทำงานด้วยความรักและสามัคคี โดยนายกฯ ย้ำว่าตลอด 3 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลร่วมกันทำงานอย่างดีมาโดยตลอด ขณะนี้เรื่องการเมืองได้คลี่คลายแล้ว อย่าไปขยาย ทำให้เกิดความแตกแยก ขอให้รัฐมนตรีทำงานร่วมกันด้วยความเรียบร้อยต่อไป ตามเป้าหมายของประเทศ มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน”
ต่อคำถามว่ามี ส.ส. พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) บางคนออกมาโจมตีพรรคร่วมอย่างหนัก นายกฯ ได้หารือกับ พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ ให้ห้ามปราม เพื่อไม่ให้กระทบการทำงานระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลหรือไม่ ประเด็นนี้ ดร.ธนกรตอบว่า “นายกฯ ได้ขอให้พรรคร่วมรัฐบาล รัก สามัคคี ทำงานเพื่อประโยชน์ประชาชนต่อไป อย่าให้เกิดผลกระทบซึ่งกันและกัน หรือ ขัดแย้งเรื่องที่ไม่จำเป็น”
ชี้ ส.ส.ทิ้ง พปชร.ย้ายเข้าพรรค “สร้างอนาคตไทย” เป็นสิทธิตาม กม.
ดร.ธนกรยังตอบคำถามกรณีที่นายอุตตม นายสนธิรัตน์ เปิดตัวตั้งพรรคใหม่ “สร้างอนาคตไทย” และมี ส.ส. จากพรรคพลังประชารัฐ ที่เริ่มทยอยออก เพื่อไปสังกัดพรรคใหม่นี้ว่า “เป็นสิทธิที่กระทำตามกฎหมาย นายกฯ ไม่ได้เกี่ยวข้องด้วย”
แจงปมผู้เสียชีวิตจาก “โอมิครอน” 2 ราย
ดร.ธนกรตอบคำถามถึงกรณีที่กระทรวงสาธารณสุขรายงานผู้เสียชีวิตจากโอมิครอนแล้ว 2 ราย โดยนายกรัฐมนตรีได้รายงานถึงแนวโน้มการแพร่ระบาด และการป้องกันการสูญเสียอย่างไร ว่า นายกฯ ได้สั่งการให้มีการตรวจสอบกรณีที่มีผู้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งทราบว่าทั้งสองมีโรคประจำตัวและมีอายุมากกว่า 60 ปี คนหนึ่งเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย อีกคนเป็นโรคอัลไซเมอร์ รายหนึ่งไม่ได้รับการฉีดวัคซีน ส่วนอีกรายฉีดวัคซีนเกินกว่า 4 เดือน
วอนผู้ประกอบการช่วยตรึงราคาสินค้า
คำถามสุดท้ายเป็น ราคาสินค้าเกือบทุกชนิดทยอยปรับขึ้นราคา ไม่ว่าจะเป็น เนื้อหมู ไก่ ไข่ ปลา อาหารปรุงสำเร็จ นายกฯ จะปล่อยให้เป็นไปตามกลไกตลาดหรือไม่ ดร.ธนกรตอบว่า “รัฐบาล และทุกหน่วยงาน ได้เข้าไปติดตามการกำกับดูแลแก้ไข เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อประชาชน โดยเฉพาะการกักตุนสินค้า และการปรับขึ้นราคาสินค้าโดยไม่มีเหตุผลสมควร และขอให้ตรึงราคาในธุรกิจรายใหญ่และรายย่อย”
มติ ครม. มีดังนี้
อนุมัติงบฯ 1,480 ล้าน จัด “พาณิชย์…ลดราคา! ช่วย ปชช.”
ดร.ธนกรวังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุม ครม. มีมติอนุมัติงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงินรวมทั้งสิ้น 1,480 ล้านบาท เพื่อดำเนินโครงการ “พาณิชย์…ลดราคา! ช่วยประชาชน ปี 2565”ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนในสถานการณ์การระบาดของเชื้อโควิด-19 เพิ่มช่องทางในการเลือกซื้อสินค้าที่ จำเป็นต่อการดำรงชีพในราคาประหยัดให้แก่ประชาชนได้อย่างทั่วถึง รวมทั้งเพื่อให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากและการบริโภค ซึ่งจะก่อให้เกิดการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น
สำหรับรูปแบบของโครงการฯ จะเป็นการจำหน่ายสินค้าที่จำเป็นต่อการครองชีพให้แก่ประชาชนในราคาประหยัด ระยะเวลาดำเนินการ 90 วัน โดยมีรายละเอียด ดังนี้
-
1) กิจกรรมบริหารจัดการจำหน่ายสินค้าผ่านช่องทางจำหน่าย โดยจัดหา สถานที่จำหน่ายและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ เพื่อจำหน่ายสินค้าที่ จำเป็นต่อการครองชีพ ผ่านช่องทาง เช่น การจำหน่ายผ่านบริเวณร้านสะดวกซื้อ ห้างท้องถิ่น หรือตลาด พื้นที่สาธารณะหรือลานอเนกประสงค์และสถานีบริการน้ำมัน รวมจำนวนไม่น้อยกว่า 3,000 จุด ตามแหล่งชุมชนในพื้นที่กรุงเทพมหานครและภูมิภาค 76 จังหวัด และ การจำหน่ายผ่านรถ Mobile จำนวนไม่น้อยกว่า 50 คัน ตามแหล่ง ชุมชนในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล
-
2) กิจกรรมการส่งเสริมการจำหน่ายสินค้าที่จำเป็นต่อการครองชีพ เพื่อ จัดหาและจำหน่ายสินค้าที่จำเป็นต่อการครองชีพตามชนิด ปริมาณและราคาตามที่กรมฯ กำหนด เช่น สินค้าเกษตร เนื้อไก่ ไข่ไก่ สินค้าอุปโภคบริโภค เป็นต้น จากสมาคม/ผู้ค้าปลีก/ค้าส่ง/Supplier ในพื้นที่ เพื่อจำหน่ายในจุดจำหน่าย
-
3) กิจกรรมการประชาสัมพันธ์เพื่อดำเนินการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ ให้ประชาชนได้รับทราบในวงกว้างผ่านสื่อต่างๆ รวมทั้งจัดกิจกรรมรณรงค์กระตุ้นการบริโภค
“โครงการ พาณิชย์…ลดราคา! ช่วยประชาชน ปี 2565 จะช่วยลดภาระค่าครองชีพและบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน ในช่วงการระบาดของโควิด-19 และภาวะการปรับราคาสินค้าขึ้นอย่างต่อเนื่องจากโรคระบาดในสัตว์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน อีกทั้งจะเป็นเพิ่มช่องทาง ในการเลือกซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคที่มีความจำเป็นต่อการดำรงชีวิตประจำวันในราคาประหยัด ซึ่งเป็นปัญหาที่ต้องเร่งแก้ใน ขณะนี้” ดร.ธนกร กล่าว
ไฟเขียว กทพ. ร่วมทุนเอกชน สร้างทางพิเศษ “กะทู้—ป่าตอง” 14,670 ล้าน
ดร.ธนกรกล่าวว่า ที่ประชุม ครม. มีมติอนุมัติโครงการทางพิเศษสายกะทู้–ป่าตอง จังหวัดภูเก็ต ของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) ซึ่งจะดำเนินการภายใต้รูปแบบคณะกรรมการนโยบายการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน (PPP) เงินลงทุนเริ่มต้น 14,670.57 ล้านบาท ระยะทางรวม 3.98 กิโลเมตร ที่ประชุมวันนี้ ได้อนุมัติค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินและค่าชดเชยสิ่งปลูกสร้าง วงเงิน 5,792.24 ล้านบาท โดยคาดว่า กทพ. จะประกาศเชิญชวนเอกชน ในเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน นี้ เริ่มก่อสร้างในปี 2566 และคาดว่าเปิดให้บริการในเดือนกรกฎาคม 2570
สำหรับโครงการทางพิเศษสายกะทู้–ป่าตอง จังหวัดภูเก็ต มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มเส้นทางการเดินทางระหว่างตัวเมืองฝั่งตะวันออกของภูเก็ตไปยังหาดป่าตองให้กับประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ และนักท่องเที่ยว ลดอุบัติเหตุทางถนนที่เกิดขึ้น เนื่องจาก สภาพเส้นทางที่ลาดชันและคดเคี้ยว และใช้เป็นเส้นทางอพยพ กรณีเกิดภัยพิบัติ (เช่น กรณีเกิดสึนามิ) มีลักษณะ/รูปแบบ เป็นโครงการก่อสร้างทางยกระดับ มีอุโมงค์อยู่ในช่วงกลางของแนวเส้นทาง ระยะทางรวม 3.98 กม. เป็นทางพิเศษ ขนาด 4 ช่องจราจรต่อทิศทาง มี จุดเริ่มต้นโครงการเชื่อมกับ ถ.พระเมตตา ในพื้นที่ ต.ป่าตอง อ.กะทู้จนถึงจุดสิ้นสุดโครงการฯ ในพื้นที่ ต.กะทู้ อ.กะทู้ มีทางขึ้น–ลง 2 แห่ง และมีด่านเก็บค่าผ่านทางตั้งอยู่บริเวณ ต.กะทู้ 1 ด่าน สำหรับรูปแบบการลงทุน เป็นลักษณะการร่วมลงทุน ระหว่าง รัฐและเอกชน (PPP) ใน รูปแบบ PPP Net Cost โดยภาครัฐรับผิดชอบการจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน และภาคเอกชนรับผิดชอบงานส่วนที่เหลือทั้งหมด ได้แก่ การออกแบบ รายละเอียดและการก่อสร้าง และการดำเนินงานและบำรุงรักษา (Operation and Maintenance — O&M) โดยเอกชน จะโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่ลงทุนทั้งหมดให้แก่ภาครัฐก่อนเริ่ม ดำเนินงานพร้อมทั้งให้เอกชนเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รายได้ค่าผ่านทาง ระยะเวลาสัมปทาน 35 ปี
“โครงการทางพิเศษสายกะทู้–ป่าตอง จังหวัดภูเก็ต คาดการณ์จะใช้ระยะเวลาดำเนินโครงการฯ 5 ปี (พ.ค. 2565 ถึง ก.ค. 2570) ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการสัญจรกับประชาชนในพื้นที่ตลอดจนนักท่องเที่ยว และพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมของประเทศเป็นไปตามการสนับสนุนการพัฒนา จ.ภูเก็ต ภายใต้แนวคิดการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ (Smart City) อีกด้วย ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรียังย้ำในที่ประชุม ครม. ว่า การลงทุนของภาครัฐทุกโครงการฯ ทั้งโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน โครงการไฟฟ้าชุมชน และโครงการอื่นๆ ประชาชนต้องได้รับประโยชน์สูงสุด โดยให้เป็นนโยบายของนายกรัฐมนตรีโดยตรง” ดร.ธนกรกล่าว
ตั้ง ม.ล.ชโยทิต นั่งที่ปรึกษานายกฯ-ผู้แทนการค้าไทย
ดร.ธนกรกล่าวว่า ที่ประชุม ครม. รับทราบการแต่งตั้ง หม่อมหลวงชโยทิต กฤดากร เป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี เพื่อทำหน้าที่ผู้แทนการค้าไทย มีผลตั้งแต่ 6 มกราคม 2565 เป็นต้นไป พร้อมมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศ และกระทรวงพาณิชย์สนับสนุนและอำนวยความสะดวกในการปฏิบัติหน้าที่ โดยมีสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีดำเนินการเกี่ยวกับงานด้านเลขานุการให้ผู้แทนการค้าไทย
ดร.ธนกรกล่าวต่อว่า ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยผู้แทนการค้าไทย พ.ศ. 2552 กำหนดให้ในการดำเนินนโยบายด้านการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ นายกรัฐมนตรีมีอำนาจแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีเพื่อทำหน้าที่ผู้แทนการค้าไทยจำนวนไม่เกิน 5 คน โดยแต่งตั้งคนหนึ่งเป็นประธานผู้แทนการค้าไทยทำหน้าที่ประสาน การปฏิบัติงานของผู้แทนการค้าไทยด้วย
อนึ่ง ผู้แทนการค้าไทย มีอำนาจหน้าที่ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยผู้แทนการค้าไทย พ.ศ. 2552 โดยเป็นผู้แทนพิเศษของนายกรัฐมนตรี ในการเจรจากับต่างประเทศหรือกับองค์การระหว่างประเทศ ด้านการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ รวมทั้งเรื่องอื่นที่เกี่ยวเนื่อง เพื่อให้เป็นไปตามนโยบาย ยุทธศาสตร์ ท่าทีของรัฐบาลและคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ตามประเด็นที่นายกรัฐมนตรีมอบหมาย เสนอแนะ และให้คำปรึกษาแก่นายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับการดำเนินนโยบายการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ และเศรษฐกิจระหว่างประเทศ รวมทั้งผลกระทบที่เกิดจากการดำเนินการดังกล่าว หรือผลกระทบด้านการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศจากการคำเนินนโยบายด้านอื่นๆ รวมทั้งบูรณาการและประสานการปฏิบัติตามนโยบายด้านการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ
ผ่าน กม.ลูก 2 ฉบับ ดึงต่างชาติกระเป๋าหนัก เข้าพำนักไทย
ดร.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุม ครม. อนุมัติหลักการร่างประกาศกระทรวง 2 ฉบับ เพื่อรองรับการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุน โดยการดึงดูดชาวต่างชาติที่มีศักยภาพสูงสู่ประเทศไทยตามนโยบายของรัฐบาล อันจะส่งผลให้มีการใช้จ่ายภายในประเทศและเกิดการลงทุนเพิ่มมากขึ้น เป็นผลดีต่อผู้ประกอบการธุรกิจ ประชาชน และแรงงานในประเทศมีรายได้ต่อเนื่อง ซึ่งกลุ่มเป้าหมายชาวต่างชาติที่มีศักยภาพสูงประกอบด้วย 4 กลุ่ม ได้แก่
-
1. กลุ่มประชากรผู้มีความมั่งคั่งสูง (wealthy global citizen)
-
2. กลุ่มผู้เกษียณอายุจากต่างประเทศ (wealthy pensioner)
-
3. กลุ่มที่ต้องการทำงานจากประเทศไทย (work-from-Thailand professional)
-
4. กลุ่มผู้เชี่ยวชาญพิเศษ (high-skilled professional)
ร่างประกาศฉบับแรก คือ ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การอนุญาตให้คนต่างด้าวบางจำพวกเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ ตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนโดยการดึงดูดคนต่างด้าวที่มีศักยภาพสูงสู่ประเทศไทย ซึ่งเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการอนุญาตให้คนต่างด้าวที่มีศักยภาพสูงเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ เพื่อการพำนักระยะยาว (long-term resident visa : LTR visa) มีสาระสำคัญ เช่น
-
1. กำหนดประเภทการตรวจลงตราผู้พำนักระยะยาว (long-term resident visa: LTR visa) ขึ้นใหม่ โดยคุณสมบัติคนต่างด้าวที่ได้รับสิทธิการตรวจลงตราประเภท LTR รวมถึงผู้ติดตามของคนต่างด้าว (คู่สมรสและบุตรที่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งมีอายุไม่เกิน 20 ปี จำนวนไม่เกิน 4 คน) ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ประกาศกำหนด
-
2. คนต่างด้าวต้องยื่นคำขอหนังสือรับรองคุณสมบัติ พร้อมหลักฐานและเอกสารตามที่สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนกำหนด
-
3. อายุการตรวจลงตรา 10 ปี โดยคราวแรกไม่เกิน 5 ปี ขยายระยะได้คราวละไม่เกิน 5 ปี รวมทั้งสิ้นไม่เกิน 10 ปี โดยเสียค่าธรรมเนียมปีละ 10,000 บาท
-
4. คนต่างด้าวและผู้ติดตามต้องแจ้งข้อมูลที่พักต่อเจ้าหน้าที่ทุก 1 ปี
-
5. เมื่อคนต่างด้าวได้รับอนุญาต สามารถยื่นคำขออนุญาตทำงานได้
-
6. คนต่างด้าวและผู้ติดตามที่ได้รับวีซ่า LTR สามารถขอเปลี่ยนประเภทวีซ่าอื่นได้ ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองกำหนด
-
7. หากคนต่างด้าวและผู้ติดตามไม่ปฏิบัติตามประกาศนี้ จะถูกเพิกถอนวีซ่า LTR
ส่วนร่างประกาศฉบับที่ 2 คือ ร่างประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง การอนุญาตให้คนต่างด้าวทำงานในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ ตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนโดยการดึงดูดคนต่างด้าวที่มีศักยภาพสูงสู่ประเทศไทย มีสาระสำคัญ อาทิ
-
1. กำหนดบทนิยาม คนต่างด้าว คือ คนต่างด้าวและผู้ติดตามซึ่งเป็นคู่สมรสของคนต่างด้าว ตามร่างประกาศกระทรวงหมาดไทย เรื่อง การอนุญาตให้คนต่างด้าวบางจำพวกเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ ตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจฯ
-
2. คนต่างด้าวสามารถยื่นคำขอใบอนุญาตทำงาน ตามกฎหมายว่าด้วยการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าวได้ และเมื่อได้ยื่นคำขอแล้ว ให้คนต่างด้าวสามารถทำงานไปพลางก่อนได้ โดยไม่ต้องมีใบอนุญาตทำงาน
-
3. กำหนดอายุของใบอนุญาตทำงาน ดังนี้ (1) กรณีคนต่างด้าวที่ทำงานโดยมีนายจ้าง ให้ใบอนุญาตทำงานมีอายุเท่าสัญญาจ้างแต่ไม่เกิน 5 ปี นับแต่วันที่ออกใบอนุญาตทำงาน และสามารถต่ออายุใบอนุญาตทำงานได้ โดยให้ต่ออายุตามระยะเวลาในสัญญาจ้างแต่ไม่เกินครั้งละ 5 ปี (2) กรณีคนต่างด้าวที่ทำงานโดยไม่มีนายจ้าง (ธุรกิจส่วนตัว) ให้ใบอนุญาตทำงานมีอายุเท่าที่คนต่างด้าวร้องขอแต่ไม่เกิน 5 ปี นับแต่วันที่ออกใบอนุญาตทำงาน และสามารถต่ออายุใบอนุญาตทำงานได้ตามที่ร้องขอแต่ไม่เกินครั้งละ 5 ปี
-
4. การอนุญาตให้คนต่างด้าวทำงานเป็นอันสิ้นสุด เมื่อการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรของคนต่างด้าวเป็นอันสิ้นสุดลง เรื่อง การอนุญาตให้คนต่างด้าวบางจำพวกเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ ตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจฯ เช่น คนต่างด้าวไม่ดำเนินการตามประกาศ ขาดคุณสมบัติตามที่กฎหมายกำหนด
ขยายกลุ่มเป้าหมาย นศ. จังหวัดชายแดนใต้รับทุนเรียนมหาวิทยาลัย
ดร.รัชดากล่าวว่า ที่ประชุม ครม. เห็นชอบปรับรายละเอียดโครงการจัดส่งนักศึกษาชาวไทยที่นับถือศาสนาอิสลาม จังหวัดชายแดนภาคใต้ เข้าศึกษาต่อมหาวิทยาลัย (ระยะที่ 10) พ.ศ. 2562–2566 ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ โดยเปลี่ยนชื่อโครงการเป็น “โครงการจัดส่งนักศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้ เข้าศึกษาต่อมหาวิทยาลัย” และปรับเปลี่ยนกลุ่มเป้าหมายผู้ได้รับทุนอุดหนุนการศึกษา จากนักศึกษาชาวไทยมุสลิมจังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นกลุ่มผู้ได้รับความเสียหาย หรือได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบ ไม่ว่าจะนับถือศาสนาใดในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อขยายโอกาสทางการศึกษาให้ครอบคลุมกลุ่มผู้ได้ผลกระทบมากขึ้น ทั้งนี้ ผู้รับทุนการศึกษาจะต้องไม่รับทุนการศึกษาอื่นซ้ำซ้อนในปีการศึกษาเดียวกัน
ส่วนรายละเอียดอื่นๆ ของโครงการยังเดิม คือ จัดสรรทุนการศึกษาระดับปริญญาตรี จำนวน 44 ทุน ในสาขาวิชาวิทยาศาสตร์ จำนวน 27 ทุน (ทุนละ 40,000 บาท/ปี) และสาขาวิชาสังคมศาสตร์ จำนวน 17 ทุน (ทุนละ 30,000 บาท/ปี) โดยจัดสรรทุนให้กับนักศึกษาเป็นรายจังหวัด ได้แก่ จังหวัดปัตตานี 12 คน จังหวัดนราธิวาส 13 คน จังหวัดยะลา 8 คน จังหวัดสตูล 7 คน และจังหวัดสงขลา เฉพาะอำเภอจะนะ อำเภอเทพา อำเภอนาทวี และอำเภอสะบ้าย้อย 4 คน ซึ่งจะได้เข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยของรัฐหรือในกำกับของรัฐ 9 แห่ง ได้แก่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล มหาวิทยาลัยศิลปากร มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ และ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และได้ทำบันทึกความเข้าใจกับมหาวิทยาลัยเพิ่มอีก 3 แห่ง เมื่อปี 2564 ได้แก่ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี มหาวิทยาลัยนเรศวร และ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ทั้งนี้ ผู้รับทุนเมื่อสำเร็จการศึกษาแล้ว จะต้องกลับไปปฏิบัติราชการในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นเวลาไม่น้อยกว่า 3 ปี เพื่อกลับมาพัฒนาพื้นที่บ้านเกิดของตนเอง
ดร.รัชดากล่าวต่อว่า การปรับเปลี่ยนกลุ่มเป้าหมายโครงการในครั้งนี้ จะเป็นการขยายโอกาสทางการศึกษาให้กับผู้ที่ได้รับความเสียหายหรือได้รับผลกระทบจากความไม่สงบ ให้สามารถเข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาของรัฐได้เป็นกรณีพิเศษ รวมทั้งผู้สำเร็จการศึกษาจะได้กลับไปปฏิบัติงานในภูมิลำเนาของตนเอง ได้มีส่วนร่วมในการพัฒนาพื้นที่อันเป็นการแก้ไขปัญหาด้านสังคมจิตวิทยา การศึกษา รวมถึงปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ด้วย
เห็นชอบร่างแผนคุ้มครองสิทธิ “สตรี-เด็ก” อาเซียนปี 2564-68
ดร.รัชดากล่าวว่า ที่ประชุม ครม. เห็นชอบร่างแผนงานคณะกรรมาธิการอาเซียนว่าด้วยการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิสตรี และสิทธิเด็ก พ.ศ. 2564–2568 (ASEAN Commissionon the Promotion and Protection of the Rights of Women and Children: ACWC) (Draft ACWC Work Plan 2021–2025) ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ ซึ่งแผนงานคณะกรรมาธิการอาเซียนฯ ฉบับนี้ มีวิสัยทัศน์ คือ การเป็นผู้นำในการดำเนินการที่สำคัญในระดับภูมิภาค มุ่งขับเคลื่อนวาระและการสื่อสารปฏิสัมพันธ์ ตลอดจนการกระตุ้นให้เกิดการดำเนินนโยบาย ยุทธศาสตร์ และแนวทางในการส่งเสริมการคุ้มครองสิทธิสตรีและสิทธิเด็กในอาเซียน โดยมีเป้าหมายที่สำคัญ เช่น
-
1) การวิเคราะห์ ศึกษา และเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ ประเด็นสำคัญเกี่ยวกับสิทธิสตรีและสิทธิเด็ก
2) การจัดให้มีพื้นที่สำหรับการแลกเปลี่ยนความรู้ การเสวนา และการเรียนรู้ระหว่างประเทศอาเซียน
3) การมีส่วนร่วมในกลไกระดับภูมิภาคในการดึงดูดการมีส่วนร่วมของเสาหลักของประชาคมอาเซียน เพื่อหาแนวทางการแก้ปัญหาเกี่ยวกับสตรีและเด็กในภูมิภาค
สำหรับแนวทางการดำเนินงานที่สำคัญ เช่น 1) เชื่อมโยงกับเป้าหมายของอาเซียนที่ชัดเจนและการมีส่วนร่วมต่อแผนงานประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน พ.ศ. 2568 2) สอดคล้องกับข้อตกลงสากล เช่น อนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กและปฏิญญาว่าด้วยการขจัดความรุนแรงต่อสตรีปฏิญญาเวียดนาม โดยจะขับเคลื่อนสู่การปฏิบัติผ่าน 4 รูปแบบ คือ
-
1) การมีส่วนร่วมและความร่วมมือกับอาเซียน
2) การเสริมสร้างหุ้นส่วนความร่วมมือและการระดมทรัพยากร
3) โครงสร้างเชิงสถาบันและบทบาท และ
4) การประเมินโครงการ ซึ่งการติดตามประเมินผลนั้น จะยึดกรอบผลลัพธ์และดัชนีชี้วัดความสำเร็จ เช่น 1) จำนวนหน่วยงานและหุ้นส่วนที่จัดตั้งขึ้น เพื่อแก้ไขปัญหาสิทธิสตรีและสิทธิเด็กในอาเซียนที่เพิ่มขึ้น 2) จำนวนข้อคิดริเริ่มและโครงการที่เพิ่มขึ้น โดยองค์กรเฉพาะสาขาอาเซียนที่บูรณาการองค์ประกอบด้านสิทธิสตรีและสิทธิเด็ก 3) จำนวนกิจกรรมการเข้าถึงสื่อออฟไลน์ ออนไลน์ และโซเชียลมีเดียของอาเซียนด้านสิทธิสตรีและสิทธิเด็กเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ในฐานะรัฐมนตรีอาเซียนที่รับผิดชอบด้านสวัสดิการสังคมและการพัฒนาของประเทศจะต้องรับรองร่างแผนงานดังกล่าว เพื่อให้มีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการต่อไป
เวนคืนที่ดินบางแค-บางหว้า สร้างเขื่อน-ขยายคลองพระยาราชมนตรี
ดร.รัชดากล่าวว่า ที่ประชุม ครม. อนุมัติร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่แขวงบางแค เขตบางแค และแขวงบางหว้า เขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ซึ่งมีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืนในแขวงบางแค เขตบางแค และแขวงบางหว้า เขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร โดยให้เจ้าหน้าที่หรือพนักงานที่มีสิทธิเข้าไปสำรวจที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ที่ต้องเวนคืนให้ถูกต้องชัดเจน เพื่อขยายคลองและก่อสร้างเขื่อนคอนกรีตเสริมเหล็กบริเวณคลองพระยาราชมนตรี ตั้งแต่ช่วงคลองหนองใหญ่ถึงคลองภาษีเจริญ มีความกว้าง 60 เมตร ยาวประมาณ 1,600 เมตร (1.6 กิโลเมตร) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำและแก้ปัญหาน้ำท่วมขังในกรุงเทพฯ ทั้งนี้ ร่างพระราชกฤษฎีกามีกำหนดบังคับใช้ 4 ปี เริ่มต้นเข้าสำรวจที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่ภายในแนวเขตที่ดินที่จะเวนคืนภายใน 180 วัน นับแต่วันที่พระราชกฤษฎีกานี้บังคับใช้
ดร.รัชดากล่าวต่อว่า เมื่อการขยายคลองและก่อสร้างเขื่อนบริเวณคลองพระยาราชมนตรีแล้วเสร็จ จะช่วยบรรเทาปัญหาน้ำท่วมขังเป็นเวลานานในพื้นที่ฝั่งตะวันตกของกรุงเทพฯ และปริมณฑล อีกทั้งยังเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำจากคลองพระยาราชมนตรีและคลองภาษีเจริญ ลงสู่โครงการแก้มลิงคลองมหาชัย-คลองสนามชัยอันเนื่องมาจากพระราชดำริด้วย
ไฟเขียว อสมท ประมูลคลื่นเอฟเอ็ม 21 ก.พ. นี้
น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุม ครม. เห็นชอบในหลักการให้บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) หรือ “บมจ.อสมท” ขอรับใบอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่ สำหรับการให้บริการกระจายเสียงประเภทกิจการทางธุรกิจ โดยวิธีการประมูล โดย อสมท. จะสิ้นสุดการใช้คลื่นความถี่ในวันที่ 3 เมษายน 2565 ซึ่ง บมจ.อสมท ถูกจัดอยู่ในประเภทกิจการธุรกิจที่ต้องขออนุญาตใช้คลื่นด้วยวิธีการประมูล ดังนั้น บมจ.อสมท จึงต้องคืนคลื่นความถี่ และเข้าร่วมประมูลคลื่นความถี่ เพื่อขอใบอนุญาตประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียงต่อไป
ทั้งนี้สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ได้ออกประกาศเชิญชวน เรื่อง การขอรับใบอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่ในระบบเอฟเอ็ม สำหรับการให้บริการกระจายเสียง ประเภทกิจการทางธุรกิจ และได้ประกาศราคาประมูลตั้งต้นแล้วเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2564 โดย กสทช. จะเปิดยื่นคำขอรับใบอนุญาตในช่วงระหว่างวันที่ 17-25 มกราคม 2565 และจะจัดการประมูลในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2565
อย่างไรก็ตาม บมจ.อสมท ได้ประมาณการรายได้ เงินลงทุน ต้นทุนการผลิต และการดำเนินงาน โดยวิเคราะห์จากแนวโน้มของตลาดและความต้องการของผู้ฟัง โดยมีทางเลือกในการประมูลดังนี้คือ ทางเลือกแรก ประมูลคลื่นความถี่วิทยุ เพื่อประกอบกิจการกระจายเสียงตามที่เคยถือครองทั้งหมด จำนวน 60 คลื่นความถี่ โดยพิจารณาจากการรักษาความเป็นหนึ่งในการเป็นผู้ให้บริการที่มีพื้นที่ครอบคลุมทั่วประเทศ และทางเลือกที่ 2 ประมูลคลื่นความถี่ เพื่อประกอบกิจการกระจายเสียงบางส่วนจากที่เคยถือครอง โดยพิจารณาจากผลประกอบการที่ผ่านมา โอกาสในการทำธุรกิจในรอบระยะเวลาของใบอนุญาต ความเป็นไปได้ในการบริหารต้นทุน และความคุ้มค่าของการลงทุนเป็นหลัก
ขณะที่ปัจจัยที่ใช้กำหนดทางเลือกการประมูลคลื่นความถี่มาจากแผนยุทธศาสตร์องค์กร แนวโน้มตลาด พฤติกรรมการรับฟังของผู้บริโภค ความคุ้มค่าในการลงทุนของแต่ละทางเลือก และศักยภาพในการผลิตรายการวิทยุของบมจ.อสมท โดยราคาประมูลตั้งต้นจะเป็นไปตามที่ กสทช. กำหนด ส่วนราคาที่จะประมูลเพื่อให้ได้มาในแต่ละคลื่นความถี่นั้น ทาง บมจ.อสมท จะพิจารณาถึงความเหมาะสมที่ บมจ.อสมท จะจ่ายได้เมื่อเข้าสู่การประมูลจริง โดยจะเป็นราคาที่ทำให้มีความคุ้มค่าในการดำเนินธุรกิจ ทั้งนี้ตัวเลขคาดการณ์ทางการเงินจะมีการทบทวนและปรับปรุงให้เหมาะสมก่อนการเข้าร่วมประมูล
สำหรับ บมจ.อสมท เป็นรัฐวิสาหกิจสังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยปัจจุบันดำเนินกิจการวิทยุกระจายเสียงทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคผ่านระบบเอฟเอ็ม จำนวน 60 สถานี โดยให้บริการครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศประมาณร้อยละ 92.4 และมีประชากรในเขตพื้นที่เป้าหมายที่ให้บริการ 93.8
กำหนดนิติวิทยาศาสตร์-ชีวอนามัย เป็นสาขาวิชาชีพควบคุม
น.ส.ไตรศุลีกล่าวว่า ที่ประชุม ครม. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกา กำหนดสาขาวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีควบคุม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ซึ่งมีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้สาขานิติวิทยาศาสตร์และสาขาชีวอนามัยและความปลอดภัย เป็นสาขาวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีควบคุม เพิ่มขึ้น
ทั้งนี้เพื่อให้คณะกรรมการสภาวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสามารถดำเนินการส่งเสริมและพัฒนาวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีด้านนิติวิทยาศาสตร์ และด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยได้ด้วยการควบคุมดูแลความประพฤติของผู้ประกอบวิชาชีพดังกล่าวให้ถูกต้องตามจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพ
โดยใช้กลไกในการออก การพักใช้ และการเพิกถอนใบอนุญาตให้แก่ผู้ประกอบวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีควบคุมในการจัดการควบคุมวิชาชีพดังกล่าวได้ครอบคลุมตามหลักวิชาการที่เป็นสากล
ทั้งนี้ในปัจจุบันความเจริญก้าวหน้าทางวิชาการด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีพัฒนา และขยายสาขาเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก เพื่อเป็นการป้องกันความเสี่ยงต่อชีวิตและทรัพย์สินของผู้ปฏิบัติงาน ประชาชน และสิ่งแวดล้อม จึงสมควรกำหนดให้วิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสาขานิติวิทยาศาสตร์และสาขาอาชีวอนามัยและความปลอดภัย เป็นวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีควบคุม เพื่อเป็นการส่งเสริมและควบคุมการประกอบวิชาชีพดังกล่าว รวมทั้งเพื่อประโยชน์ในการคุ้มครองความปลอดภัยในชีวิตและสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการมีสุขภาพดีของประชาชน
กมธ.วุฒิฯ เสนอยุบรวมกองทุนประกันสุขภาพเหลือระบบเดียว
น.ส.ไตรศุลีกล่าวว่า ที่ประชุม ครม. รับทราบผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง การปฏิรูปหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าของประเทศไทย เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ของคณะกรรมาธิการการสาธารณสุข วุฒิสภา ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ โดยมีข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการการสาธารณสุข วุฒิสภา ในเรื่องการยกระดับหลักประกันสุขภาพให้ครอบคลุมทุกคนที่มีปัญหาทางสถานะทางทะเบียนและสิทธิรวมถึงคนต่างด้าว
ทางกระทรวงสาธารณสุขระบุในประเด็นนี้ว่า สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) อยู่ระหว่างขับเคลื่อนงานดังกล่าว ร่วมกับผู้มีส่วนได้เสียและภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อจัดทำข้อเสนอแนวทางการขยายความครอบคลุมการประกันสุขภาพภาคบังคับ สำหรับคนต่างด้าวทุกคนที่เข้ามาประเทศไทยที่ไม่มีระบบประกันสุขภาพ โดยนำร่องใน 4 กลุ่ม คือ นักท่องเที่ยว, ผู้ต้องขัง, แรงงานต่างด้าว 4 สัญชาติและ stateless เพื่อให้มีสิทธิประโยชน์ การจ่ายสมทบ ซื้อประกัน และการบริหารจัดการที่เหมาะสมเป็นระบบหรือมาตรฐานเดียว โดยจะเสนอ ครม. พิจารณาให้ความเห็นชอบและมอบหมายหน่วยงานหลักรับผิดชอบต่อไป
ส่วนประเด็นในระยะยาว ที่คณะกรรมาธิการฯ เสนอให้มีการเก็บภาษีสุขภาพสำหรับคนไทยทุกคน และรวมกองทุนประกันสุขภาพภาครัฐทุกระบบเป็นระบบเดียว (single fund) ทั้งสำหรับคนไทยและคนต่างด้าวที่อยู่ในประเทศไทยทุกคน เพื่อให้มีเอกภาพ โดยมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง
กระทรวงสาธารณสุขระบุในประเด็นนี้ว่า การจัดเก็บภาษีส่วนประกอบอาหารที่มีผลกระทบต่อสุขภาพที่ร้อยละ 5 ของมูลค่าการผลิตส่วนประกอบอาหารที่มีผลกระทบต่อสุขภาพ ประมาณการจำนวนเงิน 9,500 ล้านบาทต่อปี ซึ่งเป็นการจัดเก็บที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพโดยตรงและอาจทำให้พฤติกรรมการบริโภคเปลี่ยนแปลงจนต้นทุนด้านสุขภาพในอนาคตลดลง อย่างไรก็ตามอาจเป็นภาระแก่ผู้บริโภค
สำหรับการรวมกองทุนประกันสุขภาพภาครัฐทุกระบบเป็นระบบเดียว ทั้งสำหรับคนไทยและคนต่างด้าวนั้น เห็นควรกำกับทิศทางนโยบาย ในกรณีมีหน่วยบริหารการคลังระบบสาธารณสุขหลายหน่วย โดยกำหนดให้มีองค์กรในระดับประเทศทำหน้าที่อภิบาลระบบ โดยมีอำนาจตามกฎหมายที่จะสั่งให้หน่วยบริหารการคลังระบบสาธารณสุขต้องปฏิบัติตามกติกาเดียวกัน
แจงความคืบหน้าแผนเชื่อมโยงรถไฟ “ไทย-ลาว-จีน”
น.ส.ไตรศุลีกล่าวว่า ที่ประชุม ครม. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการบูรณาการการเชื่อมโยงทางรถไฟระหว่างไทย ลาว และจีน ครั้งที่ 1/2565 ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ทั้งนี้ กระทรวงคมนาคม รายงานว่าที่ประชุมคณะกรรมการการเชื่อมโยงทางรถไฟฯ ซึ่งนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.สาธารณสุข เป็นประธานเมื่อวันที่ 13 มกราคม 2565 ได้เห็นชอบแผนการก่อสร้างของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ประกอบด้วยโครงการรถไฟความเร็วสูงระยะที่ 1 ช่วงกรุงเทพฯ-นครราชสีมา ขณะนี้อยู่ระหว่างการก่อสร้าง โดยคาดว่าจะเปิดให้บริการได้ในปี 2569 ระยะที่ 2 นครราชสีมา-หนองคาย ปัจจุบันอยู่ระหว่างสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) พิจารณารายงานการประเมินผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม (EIA) โดยคาดว่าจะเสนอต่อ ครม. ภายในปี 2565 และเปิดให้บริการได้ในปี 2571 และโครงการถไฟทางคู่ช่วงขอนแก่น-หนองคาย ปัจจุบันอยู่ระหว่างรอเสนอ ครม. ภายในเดือน ม.ค. และคาดว่าจะเปิดให้บริการในปี 2569
น.ส.ไตรศุลีกล่าวว่า ประเด็นต่อมาที่ได้มีการเห็นชอบ คือ การบริหารจัดการใช้ทางรถไฟและการใช้สะพานข้ามแม่น้ำโขง ในส่วนของการบริหารจัดการสะพานเดิมระหว่างรอกการก่อสร้างสะพานแห่งใหม่ เพิ่มขบวนรถขาไป 7 ขบวน และขากลับ 7 ขบวน รวม 14 ขบวนต่อวัน รองรับสินค้าขบวนละ 25 แคร่ ส่วนการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งใหม่ จะก่อสร้างใกล้กับสะพานเดิมอยู่แห่างออกไปประมาณ 30 เมตร มีทั้งรางรถไฟขนาดมาตรฐานและทางขนาด 1 เมตร ปัจจุบันได้ข้อตกลงว่าไทยและลาวจะร่วมลงทุนค่าใช้จ่ายร่วมกันในอาณาเขตของแต่ละฝ่าย และให้เร่งการจัดประชุมไตรภาคีเพื่อหารือแนวแทางเชื่อมโยงทางรถไฟ ในเดือนมกราคม 2565 พร้อมกับเห็นชอบการพัฒนาย่านขนถ่ายสินค้าฝั่งไทย-ลาว เพื่อเชื่อมต่ออย่างไร้รอยต่อในการขนสินค้าข้ามแดนผ่านทางรถไฟช่วงหนองคาย-เวียงจันทน์ ทั้งระยะเร่งด่วนและระยะยาว
นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการการเชื่อมโยงทางรถไฟฯ ยังได้เห็นชอบในหลักการการกำกับติดตาม เพื่อขับเคลื่อนการดำเนินงานของหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ทั้งกรมทางหลวงชนบทเกี่ยวกับการพัฒนาพื้นที่ตรวจปล่อยสินค้า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เกี่ยวกับการลงนามในพิธีสารต่างๆ ระหว่างไทย-จีน การอบรมพัฒนาบุคลากร การเตรียมพื้นที่ด่าน สิ่งอำนวยความสะดวกในการกักกันและตรวจปล่อยสินค้าเกษตร ทั้งขาเข้าและออกจากกรมศุลกากร ในส่วนโครงการระบบตรวจสอบ Mobile X-Ray กระทรวงการต่างประเทศเกี่ยวกับการรวบรวมข้อมูลการพัฒนาในฝั่งลาวเพื่อการแลกเปลี่ยนและบูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับไทย กระทรวงอุตสาหกรรม ในส่วนของการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมอุดรธานีและศูนย์กระจายสินค้าทางรางเพื่อรองรับรถไฟจากลาวและจีน
รวมทั้งยังได้มีการเห็นชอบในหลักการจัดทำความตกลง (Framework Agreement)การขนส่งทางรถไฟระหว่างไทย-ลาวและจีน โดยมีสาระสำคัญในการกำหนดสิทธิการเดินทางรถไฟระหว่าง 3 ประเทศ เพื่อให้เกิดการเดินรถไฟอย่างมีประสิทธิภาพ
น.ส.ไตรศุลีกล่าวต่อว่า กระทรวงคมนาคมยังได้รายงานให้ทราบถึงสถานะการค้าและการขนส่งภายหลังรถไฟลาว-จีน เปิดให้บริการ เปรียบเทียบสถิติการส่งออกสินค้าผ่านชายแดนหนองคายในช่วงเดือนธันวาคม 2563 กับช่วงเดือนธันวาคม 2564 พบว่าปริมาณการขนส่งเพิ่มขึ้นจาก 116,552 ตัน เป็น 304,119 ตัน ขณะที่มูลค่าเพิ่มขึ้น 4.64 พันล้านบาท เป็น 6.91 พันล้านบาท มูลค่านำเข้าส่งออกที่ด่านหนองคายเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ มีการเพิ่มรถไฟจาก 4 ขบวนเป็น 14 ขบวนต่อวัน และการขนส่งขบวนละ 12 แคร่ เป็น 25 แคร่ ซึ่งสามารถมีศักยภาพเพิ่มขึ้นประมาณ 8 เท่า แต่ปริมาณการขนส่งยังไม่มากนักเนื่องจากสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19
เห็นชอบข้อตกลง “อาเซียน-ฮังการี” ขยายโอกาส นศ.ไทยเรียนต่อ ตปท.
น.ส.ไตรศุลีกล่าวว่า ที่ประชุม ครม. เห็นชอบความตกลงความร่วมมือระหว่างอาเซียนกับฮังการีว่าด้วยการศึกษา และให้คณะผู้แทนถาวรไทยประจำอาเซียน ณ กรุงจาการ์ตา สาธารณรัฐอินโดนีเซีย แจ้งความเห็นชอบของประเทศไทยต่อสำนักเลขาธิการอาเซียน เพื่อเลขาธิการอาเซียนจะได้ดำเนินการลงนามในความตกลงต่อไป
สำหรับสาระสำคัญของเรื่องนี้ กระทรวงศึกษาธิการได้รายงานว่า รัฐบาลฮังการีได้ให้ความสนใจเกี่ยวกับการดำเนินความร่วมมือด้านการศึกษาร่วมกับอาเซียน โดยทั้ง 2 ฝ่ายได้เห็นพ้องให้มีการจัดทำความร่วมมือเพื่อดำเนินการร่วมมือด้านการศึกษาให้เกิดเป็นรูปธรรม โดยสำนักเลขาธิการอาเซียนได้เป็นผู้แทนดำเนินการในนามประเทศสมาชิกอาเซียนร่วมกับฮังการี ซึ่งความตกลงความร่วมมือระหว่างอาเซียนกับฮังการีว่าด้วยการศึกษาฉบับนี้ จะทดแทนฉบับเดิมได้หมดอายุลงเมื่อเดือนกันยายน 2564
น.ส.ไตรศุลีกล่าวว่า สาระสำคัญของความตกลงนี้ จะเป็นการสานต่อโครงการทุนการศึกษาอาเซียน-ฮังการี เพื่อสนับสนุนนักเรียนสัญชาติอาเซียนและฮังการีที่ต้องการไปศึกษาต่อในสถาบันการศึกษานอกประเทศบ้านเกิด ตั้งแต่ระดับปริญญาตรีถึงระดับหลังปริญญาเอก และส่งเสริมให้นักเรียนและอาจารย์ที่มีผลงานโดดเด่นเข้าร่วมโครงการการศึกษาวิจัยทั้งระยะสั้นและระยะยาว
ทั้งนี้ ฮังการีจะให้โอกาสนักเรียนจากประเทศสมาชิกอาเซียนได้เข้ารับการศึกษาในระดับอุดมศึกษาฮังการี โดยให้ความสำคัญในสาขาเศรษฐศาสตร์ธุรกิจและการเงิน วัฒนธรรมและศิลปศาสตร์ วิทยาศาสตร์ธรรมชาติ วิศวกรรมศาสตร์ เทคโนโลยีและสารสนเทศและการสื่อสาร
ขณะที่ อาเซียนจะให้โอกาสนักเรียนและอาจารย์จากฮังการี ได้เข้าร่วมโครงการการศึกษาและการวิจัยในมหาวิทยาลัยและสถาบันอุดมศึกษาในอาเซียน โดยเฉพาะสาขาวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ ธุรกิจและเศรษฐศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ เทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ
อย่างไรก็ตาม ภายหลังเลขาธิการอาเซียนได้ลงนามแล้ว ความตกลงความร่วมมือฯ จะมีผลบังคับเป็นเวลา 3 ปี หลังจากนั้น 2 ฝ่ายสามารถขยายเวลาความตกลงได้อีก 3 ปี ตามที่เห็นพ้องและลงนามเป็นลายลักษณ์อักษร
“โครงการนี้จะเป็นประโยชน์ต่อนักเรียนและนักศึกษาไทยที่จะได้รับโอกาสในการพัฒนาด้านวิชาการ ศิลปวัฒนธรรมและทักษะการใช้ชีวิต รวมทั้งเสริมสร้างเครือข่ายความร่วมมือในการพัฒนาการศึกษาและการเรียนรู้ในต่างประเทศ” น.ส.ไตรศุลีกล่าว
ตั้ง “พชร อนันตศิลป์” เป็นประธานบอร์ด ธอส.
น.ส.ไตรศุลีกล่าวว่า วันนี้ที่ประชุม ครม. มีมติอนุมัติ หรือเห็นชอบ ในเรื่องแต่งตั้งข้าราชการและผู้บริหารรับสูงของหน่วยงานของรัฐ ดังนี้
1. การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงพาณิชย์)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงพาณิชย์ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน 2 ราย เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ดังนี้
-
1. นางสาวนุสรา กาญจนกูล รองอธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
2. นางโสรดา เลิศอาภาจิตร์ รองอธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
2. การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (สำนักนายกรัฐมนตรี)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติเสนอแต่งตั้งนายสราวุธ ชีวะประเสริฐ ที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์น้ำ (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ให้ดำรงตำแหน่ง รองเลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
3. การแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการในคณะกรรมการธนาคารอาคารสงเคราะห์
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการในคณะกรรมการธนาคารอาคารสงเคราะห์ ดังนี้
-
1. นายพชร อนันตศิลป์ ประธานกรรมการ
2. นายบุญชัย จรัสแสงสมบูรณ์ กรรมการ
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 18 มกราคม 2565 เป็นต้นไป และให้ผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งแทนอยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของประธานกรรมการหรือกรรมการซึ่งตนแทน
4. แต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการองค์การสะพานปลา
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอแต่งตั้ง นางบุษกร ปราบณศักดิ์ ผู้แทนกระทรวงการคลัง เป็นกรรมการในคณะกรรมการองค์การสะพานปลา แทนกรรมการเดิมที่พ้นจากตำแหน่งเนื่องจากขอลาออก ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 18 มกราคม 2565 เป็นต้นไป และให้ผู้ได้รับแต่งตั้งอยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของกรรมการซึ่งได้แต่งตั้งไว้แล้ว
5. การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอแต่งตั้งบุคคลเพื่อเป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ดังรายชื่อต่อไปนี้
-
1. นายชัยชนะ มิตรพันธ์ เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
2. นายอุดมเกียรติ บุญวรเศรษฐ์ เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
3. นายพีรเดช ณ น่าน เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
4. นายสมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านเศรษฐศาสตร์
5. นางสาวภัทรา โชติวิทยะกุล เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านบริหารธุรกิจ
6. นายปกรณ์ นิลประพันธ์ เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมาย
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 18 มกราคม 2565 เป็นต้นไป
6. เรื่อง แต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีเพื่อทำหน้าที่ผู้แทนการค้าไทย
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 2/2565 เรื่อง แต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี เพื่อทำหน้าที่ผู้แทนการค้าไทย อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 11 (6) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 และข้อ 4 แห่งระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยผู้แทนการค้าไทย พ.ศ. 2552 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยผู้แทนการค้าไทย (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2552 จึงมีคำสั่งแต่งตั้ง หม่อมหลวงชโยทิต กฤดากร เป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีเพื่อทำหน้าที่ผู้แทนการค้าไทย
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 6 มกราคม 2565 เป็นต้นไป
อ่าน มติ ครม. ประจำวันที่ 18 มกราคม 2565 เพิ่มเติม