นายกฯ ปัดงอนสื่อ อ้างติดภารกิจ-ไม่ให้สัมภาษณ์ — ยึดข้อตกลงอาเซียนแก้ปมเมียนมาร์ สั่งกองทัพดูแลผู้ลี้ภัย — สั่งมหาดไทยเร่ง PR ผลงานรัฐ-แก้ความยากจน — มติ ครม. อนุมัติ 31,663 ล้าน ให้ สปสช.รักษาผู้ป่วยโควิดฯ -ผ่าน พ.ร.ป.เลือกตั้ง ส.ส.เขต 400 บัญชีรายชื่อ 100 คน
เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2564 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล ภายหลังการประชุม ครม. นายกรัฐมนตรีไม่ตอบคำถามสื่อมวลชน แต่มอบหมายให้ ดร.ธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี รายงานข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีแทน
โดย พลเอกประยุทธ์ กล่าว อวยพรสื่อมวลชนเนื่องในโอกาสวันปีใหม่ พ.ศ. 2565 ว่าขออาราธนาสิ่งศักดิ์สิทธิ์และพระบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินี และพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ อำนวยพรให้สื่อมวลชนทุกท่าน ทุกแขนง มีสุขภาพกายและสุขภาพใจที่แข็งแรง ประสบความสำเร็จดั่งที่ตั้งใจไว้ เพื่อเป็นส่วนสำคัญในการนำพาประเทศชาติ ประชาชน เดินไปข้างหน้าอย่างมั่นคงและยั่งยืนในฐานะสื่อกลางที่มีคุณภาพ พร้อมรักษาไว้ซึ่งจรรยาบรรณของสื่อมวลชน เพื่อความรัก ความสามัคคี ของคนไทย
สั่งมหาดไทยเร่ง PR ผลงานรัฐ-แก้ความยากจน
ดร.ธนกร กล่าวต่อว่า นายกรัฐมนตรีติดตามการดำเนินงานของรัฐบาลเรื่องการแก้ปัญหาความยากจนตามที่มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทย ให้ส่งเสริมเกษตรกรปรับเปลี่ยนการเพาะปลูกที่มีเหมาะสมกับศักยภาพของพื้นที่ ติดตามระบบจีไอ (GI: ระบบทางภูมิศาสตร์) ให้เร่งประชาสัมพันธ์ต้นแบบความสำเร็จ เพื่อเร่งสร้างการรับรู้ให้ประชาชนและเกษตรกรทั่วประเทศ เน้นการช่วยเหลือตั้งแต่ต้นทาง ไม่ว่าจะเป็น ค่าเช่า การใช้ปุ๋ย เมล็ดพันธุ์พืชที่เหมาะสม เพิ่มผลผลิต สร้างรายได้เพิ่ม ลดการพึ่งพาการกู้เงินนอกระบบ
มอบแนวทางจัดงานวันเด็กปี’65
ดร.ธนกร เผยว่า นายกรัฐมนตรีได้ให้แนวทางการจัดงานวันเด็กปี 2565 ให้เน้นการจัดงานรูปแบบเสมือนจริง เพื่อลดการรวมกลุ่มของกลุ่มคนจำนวนมาก โดยให้มีแพลตฟอร์มอวยพรซึ่งกันและกัน หรือ พิจารณาการส่งของขวัญให้เด็กแทนการมอบโดยตรง
ยึดข้อตกลงอาเซียนแก้ปมเมียนมาร์ สั่งกองทัพดูแลผู้ลี้ภัย
นอกจากนี้ นายกฯ ยังย้ำถึงการแก้ปัญหาสถานการณ์ในเมียนมาร์ โดยไทยยั้งยึดหลักแนวทางที่อาเซียนได้ตกลงไว้ในการจัดระเบียบ ซึ่งได้มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยดูแลภายในประเทศ ส่วนบริเวณชายแดนได้มอบหมายให้กระทรวงกลาโหมและกองทัพดูแลผู้ลี้ภัยตามหลักมนุษยธรรม
ปัดงอนสื่อ อ้างติดภารกิจ-ไม่ให้สัมภาษณ์
“อย่างไรก็ตาม วันนี้นายกรัฐมนตรีติดภารกิจรับเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระราชินี จึงไม่ได้ตอบคำถามสื่อมวลชน ตามที่สื่อบางสำนักไปพาดหัวว่าท่านงอนสื่อ ข้อเท็จจริงท่านไม่ได้งอนสื่อ ท่านทักทายตามปกติ และเข้าใจการทำงานของสื่อทุกสำนัก” ดร.ธนกร กล่าว
ดร.ธนกร กล่าวว่า “การแถลง ครม. ครั้งนี้ถือเป็นครั้งสุดท้ายของปีนี้ ผมขอขอบคุณรองโฆษกฯ ทั้งสองท่านที่ช่วยกันสื่อสารข้อมูลข่าวสารไปสู่พี่น้องประชาชน สร้างการรับรู้ที่ถูกต้อง ขอบคุณสำนักโษฆกฯ และพี่น้องสื่อมวลชนทุกท่านที่ให้การชี้แจงข้อมูลข่าวสาร และขออวยพรปีใหม่ให้พี่น้องมีความสุข เดินทางกลับบ้านให้ปลอดภัยจากโควิด-19 และยึดหลัก Universal Prevention และ Covid Free Setting”
มติ ครม. มีดังนี้
ไฟเขียวแก้ กม.สารต้องห้ามทางกีฬา ปลดล็อกชักธงชาติไทย
ดร.ธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า วันนี้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ มีมติเห็นชอบร่างพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติควบคุมการใช้สารต้องห้ามทางการกีฬา พ.ศ. 2555 พ.ศ. …. ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (สคก.) เสนอ
โดยสาระสำคัญของร่างพระราชกำหนดฯ ได้แก่ การแก้ไขบทนิยาม แก้ไขเพิ่มเติมองค์ประกอบและหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการ
1. บทนิยาม อาทิ การแก้ไขนิยามคำว่า “สารต้องห้าม” การเพิ่มบทนิยามคำว่า “วิธีการต้องห้าม” การแก้ไขนิยามคำว่า สมาคมกีฬา,การแข่งขันกีฬา,นักกีฬา,บุคคลซึ่งสนับสนุนการกีฬา เพื่อให้สอดคล้องกับ หลักการที่กำหนดไว้ใน WADA Code และ มาตรฐานสากล
2. คณะกรรมการควบคุมการใช้สารต้องห้ามทางการกีฬา
-
2.1 ยกเลิกให้ผู้อำนวยการสำนักงานควบคุมการใช้สารต้องห้ามทางการกีฬาเป็นผู้ช่วยเลขานุการ เพื่อให้สำนักงานฯ มีความเป็นอิสระในการปฏิบัติหน้าที่ตามภารกิจ (operating independence), ยกเลิกอำนาจในการเสนอแนะรัฐมนตรีในการกำหนดรายชื่อสารต้องห้าม และยกเลิกอำนาจในการประกาศกำหนดระดับ ประเภทชนิดกีฬาและการแข่งขันกีฬาที่ควบคุมการใช้สารต้องห้าม
-
2.2 คณะกรรมการเฉพาะเรื่อง เช่น คณะกรรมการการแพทย์, คณะกรรมการ พิจารณาโทษ และ คณะกรรมการวินิจฉัยอุทธรณ์ มีการปรับปรุงหลักเกณฑ์ วิธีการ และระยะเวลาในการพิจารณา เช่น คกก. พิจารณาโทษมีอำนาจพิจารณาโทษละออกคำสั่งลงโทษ ได้เอง โดยไม่ต้องส่งให้ กกท. ออกคำสั่ง เพิ่มเติมให้โอกาสนักกีฬา บุคคลที่สนับสนุนการกีฬา หรือผู้ที่เกี่ยวข้องมีโอกาสโต้แย้งและแสดงหลักฐานในกระบวนการพิจารณาที่เป็นธรรม
3. สำนักงานควบคุมการใช้สารต้องห้ามทางการกีฬา มีการปรับปรุงการปฏิบัติงานและหน้าที่และอำนาจ ให้มีความเป็นอิสระมากขึ้น โดยแยกการปฏิบัติงานระหว่างคณะกรรมการควบคุมการใช้สารต้องห้ามทางการกีฬา และคณะกรรมการเฉพาะเรื่อง ให้มีความเป็นอิสระต่อกัน และให้สำนักงานฯ จัดทำฐานข้อมูลเกี่ยวกับสารต้องห้ามและวิธีการต้องห้าม และเผยแพร่ให้ประชาชนทั่วไปสามารถเข้าถึงได้โดยสะดวก
4. มาตรการลงโทษ ยกเลิกการกำหนดโทษ ซึ่งกำหนดให้โทษทางกีฬามิใช้โทษทางอาญา โดยกำหนดให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการควบคุมการใช้สารต้องห้ามทางการกีฬาประกาศ เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรการลงโทษที่กำหนดไว้ใน WADA Code ซึ่งเป็นมาตรการการลงโทษทางการกีฬาที่ถือปฏิบัติกันในวงการการกีฬาทั่วโลก ที่ไม่ใช่โทษทางอาญา
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวต่อว่า นายก้องศักดิ์ ยอดมณี ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศยไทย ยังชี้แจ้งในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ยืนยันว่า ร่างพ.ร.ก. แก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ. ควบคุมการใช้สารต้องห้ามทางการกีฬา พ.ศ. 2555 ว่า สอดคล้องกับหลักการของ WADA และมีความจำเป็นที่ต้องดำเนินการออกกฎหมายในรูปแบบ พ.ร.ก. เพื่อไม่ให้ไทยถูกตัดสิทธิในการเสนอตัวเป็นเจ้าภาพในการจัดการแข่งขันกีฬา เป็นต้น นอกจากนี้ คาดการณ์ว่าจะทำส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ ในปี พ.ศ. 2565 ประมาณ 55,000 ล้านบาท ซึ่งหากไทยดำเนินการแก้ไขกฎหมายได้ กกท. จะดำเนินการขอให้ WADA พิจารณายกเลิกมาตรการลงโทษต่างๆ ซึ่งรวมถึง การปลดล็อกเรื่องการชักธงชาติไทยให้ทันการแข่งขันเอเชียนเกมส์ที่สาธารณรัฐประชาชนจีน
ผ่านร่าง กม.ยกระดับคุณภาพชีวิตแรงงานนอกระบบ 20 ล้านคน
ดร.ธนกร กล่าวว่า ที่ประชุม ครม. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพชีวิตและคุ้มครองแรงงานนอกระบบ พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงแรงงาน เสนอ เพื่อส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพชีวิตและคุ้มครองแรงงานนอกระบบกว่า 19.6 ล้านคน หรือ ร้อยละ 52 จากการสำรวจปี 2564 แรงนอกระบบที่มีมากที่สุด คือ อาชีพเกษตร และประมง รวมทั้ง พ่อค้า แม่ค้า แผงลอย คนขับแท็กซี่ จะเป็นการช่วยเหลือคนตัวเล็กในสังคมตามเจตนารมณ์ของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพชีวิตและคุ้มครองแรงงานนอกระบบ พ.ศ. …. ถือเป็นกฎหมายฉบับแรกของไทย ที่ออกมาเพื่อดูแลแรงงานนอกระบบ ซึ่งปัจจุบัน เป็นกำลังแรงงานกลุ่มใหญ่ของประเทศ ให้สามารถเข้าถึงสิทธิขั้นพื้นฐานในการทำงาน หรือ การประกอบอาชีพ ความปลอดภัยในการทำงาน หลักประกันทางสังคม ตลอดจนการรวมกลุ่ม รวมตัวในการจัดตั้งองค์กรเพื่อสร้างอำนาจต่อรองให้เกิดความเป็นธรรมในการจ้างงานได้
ทั้งนี้ สาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติ มีรายละเอียด อาทิ
“นายกรัฐมนตรีเห็นความสำคัญของ พี่น้องแรงงานนอกระบบ ให้ได้รับการส่งเสริมการประกอบอาชีพ และพัฒนาสู่คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นและได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย รวมทั้งเพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายตามยุทธศาสตร์ชาติ ทำให้แรงงานนอกระบบมีหลักประกันทางสังคม มีความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน โดยนายกรัฐมนตรีกำชับให้เร่งเสนอร่าง พ.ร.บ. เข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา เพื่อให้เร่งรัดกฎหมายให้มีผลปฏิบัติเป็นรูปธรรมโดยเร็ว” ดร.ธนกร กล่าว
อนุมัติ 31,663 ล้าน ให้ สปสช.รักษาผู้ป่วยโควิดฯ
ดร.ธนกร กล่าวว่าที่ประชุม ครม. มีมติเห็นชอบอนุมัติโครงการค่าบริการสาธารณสุขภายใต้ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ กรอบวงเงิน 31,662.92 ล้านบาท สำหรับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายให้กับหน่วยบริการสถานพยาบาลที่ให้บริการสาธารณสุขโรคติดเชื้อไวรัส โคโรนา 2019 สำหรับประชาชนทุกคนที่อาศัยอยู่ในประเทศ
ทั้งนี้พร้อมมอบหมายให้สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ พิจารณาปรับปรุงหลักเกณฑ์การสนับสนุนค่ารักษาพยาบาลผู้ป่วยโควิด – 19 ให้สอดคล้องกับสถานการณ์การควบคุมและป้องกันการระบาดของโรค ทั้งในเรื่องของจำนวนประชาชนได้รับวัคซีนเพิ่มขึ้นที่จะช่วยให้ประเทศไทยเข้าสู่ภาวะปกติสามารถดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจและสังคมได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ศักยภาพของสถานบริการภาครัฐที่เพิ่มขึ้นจากผลของความรุนแรงจากการติดเชื้อลดลง โดยคำนึงถึงการใช้จ่ายงบประมาณอย่างคุ้มค่าสูงสุด
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวต่อว่า สปสช. เตรียมความพร้อมและจัดสรรงบประมาณ เพื่อให้ประชาชนได้เข้าถึงการรักษาพยาบาลที่เกี่ยวข้องกับโรคติดเชื้อโควิด – 19 อย่างทั่วถึงและครอบคลุม ทั้งการบริการคัดกรองเชื้อโควิด – 19 การบริการรักษาพยาบาลผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยโควิด – 19 การบริการที่ดูแลผู้ติดเชื้อโควิด – 19 ที่บ้าน (Home Isolation: HI) การบริการที่ให้บริการวิกฤตฉุกเฉินกรณีโรคโควิด – 19 หรือ UCEP COVID – 19 และ หน่วยบริการที่ร่วมให้บริการฉีดวัคซีนโควิด – 19 ตามนโยบายของรัฐบาล
เห็นชอบ MOU แม่โขง- ล้านช้าง เล็งของบฯจีน 1.49 ล้านเหรียญ
ดร.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุม ครม. เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในโครงการภายใต้กองทุนพิเศษแม่โขง- ล้านช้าง ประจำปี พ.ศ.2564 ของ 3 กระทรวง รวม 5 โครงการ วงเงินรวม 1.49 ล้านเหรียญสหรัฐ ที่จะมีการลงนามบันทึกความเข้าใจภายในเดือนธันวาคม 2564 นี้ ระหว่างผู้แทนกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย กับสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย เพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณจากประเทศจีนภายใต้กองทุนฯ ตามวัตถุประสงค์การสร้างชุมชนแห่งการแบ่งปันเพื่อให้เกิดสันติภาพและความมั่นคงในอนาคตต่อสมาชิกแม่โขง- ล้านช้าง และปฏิบัติตามเจตนารมณ์ในการปรึกษาหารือร่วมกัน ช่วยเหลือกัน และมีผลประโยชน์ร่วมกัน ของประเทศสมาชิก ซึ่งประกอบด้วย ลาว กัมพูชา เมียนมา ไทย เวียดนาม และจีน
รายละเอียด 5 โครงการ ประกอบด้วย
1.กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา โครงการมาตรฐานแหล่งท่องเที่ยวในบริเวณลุ่มแม่น้ำโขงเพื่อการพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน วงเงิน 368,300 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 12.40 ล้านบาท) ดำเนินการ 1)ออกแบบมาตรฐานการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน 2)ส่งเสริมการรักษาสิ่งแวดล้อมและวัฒนธรรม และ 3)เพิ่มขีดความสามารถให้แก่องค์การจัดการแหล่งท่องเที่ยวในแต่ละแหล่งท่องเที่ยว
2.กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ 3 โครงการ ประกอบด้วย (1)โครงการขยายและพัฒนาความร่วมมือการค้าเมล็ดพันธุ์พืชอาหารสัตว์ วงเงิน 347,300 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 11.70 ล้านบาท) (2)โครงการวิจัยระบบการปลูกพืชยืนต้นที่เหมาะสมสำหรับพื้นที่สูง วงเงิน 57,600 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 1.94 ล้านบาท) ดำเนินการศึกษาการปลูกไม้ยืนต้นแบบผสมผสานเพื่อทดแทนการปลูกพืชไร่เชิงเดี่ยว และร่วมหารือแลกเปลี่ยนแนวทางการพัฒนาเกษตรที่ยั่งยืนระหว่างกลุ่มประเทศแม่น้ำโขง-ล้านช้าง(3)การพัฒนาการผลิตเมล็ดพันธุ์พืชปุ๋ยสดอย่างยั่งยืนภายใต้กรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง วงเงิน 307,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 10.34 ล้านบาท) ดำเนินการศึกษาวิเคราะห์สถานการณ์การผลิตเมล็ดพันธุ์พืชปุ๋ยสดและสร้างหลักสูตรการฝึกอบรมเกษตรกรผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์พืชปุ๋ยสด
3.กระทรวงมหาดไทย โครงการการพัฒนาคุณภาพชีวิตแบบบูรณาการอย่างยั่งยืนตามแนวคิดปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง วงเงิน 406,700 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 13.70 ล้านบาท) ดำเนินการแลกเปลี่ยนความรู้และสร้างแบบจำลองเกี่ยวกับการขจัดความยากจน และสร้างหมู่บ้านต้นแบบให้เป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยใช้แนวคิดปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
ผ่าน พ.ร.ป.เลือกตั้ง ส.ส.เขต 400 บัญชีรายชื่อ 100 คน
ดร.รัชดา กล่าวว่าที่ประชุม ครม. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ รวม 2 ฉบับ คือ ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ฉบับที่..) พ.ศ. …. และร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง (ฉบับที่..) พ.ศ. …. ตามที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งเสนอ เพื่อให้สอดคล้องตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2564 ที่ได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมในมาตรา 83 มาตรา 86 และมาตรา 91 โดยมีรายละเอียดดังนี้
1.ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ฉบับที่ .. (พ.ศ. ….) มีสาระสำคัญ อาทิ
1) ให้ กกต.ดำเนินการจัดให้มีการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง จำนวน 400 คน และการเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ จำนวน 100 คน
2) ให้พรรคการเมืองต้องส่งผู้สมัครแบบแบ่งเขตเลือกตั้งแล้วจึงมีสิทธิส่งผู้สมัครแบบบัญชีรายชื่อ และต้องกำหนดให้ส่งบัญชีรายชื่อดังกล่าวก่อนปิดการรับสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. แบบแบ่งเขตเลือกตั้ง โดยต้องกำหนดวันที่พรรคการเมืองจะส่งบัญชีรายชื่อผู้สมัครแบบบัญชีรายชื่อไม่น้อยกว่า 3 วัน
3) กำหนดให้มีคณะกรรมการประจำหน่วยเลือกตั้งไม่น้อยกว่า 7 คน มีหน้าที่เกี่ยวกับการออกเสียงลงคะแนนในที่เลือกตั้งและนับคะแนนของหน่วยเลือกตั้งแต่ละแห่ง
4) ให้ใช้บัตรเลือกตั้ง ส.ส. แบบละ 1 ใบ (บัตรเลือกตั้ง 2 ใบ ส่วนหีบบัตรเลือกตั้งให้มีลักษณะตามที่ กกต. กำหนด)
5) แก้ไขเพิ่มเติมการประกาศผลเลือกตั้ง โดยเมื่อรวมผลเลือกตั้งแล้ว คะแนนทุกหน่วยเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งนั้น รวมทั้งคะแนนที่ได้จากการออกเสียงลงคะแนนก่อนวันเลือกตั้ง และการลงคะแนนเลือกตั้งนอกราชอาณาจักรแล้ว ให้ กกต. ประจำเขตเลือกตั้ง ดำเนินการประกาศผลรวมคะแนน ส.ส. แบบแบ่งเขตเลือกตั้ง คะแนนที่ไม่เลือกผู้สมัครผู้ใด ผลการรวมคะแนนที่แต่ละพรรคการเมืองได้รับจากการเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ และคะแนนที่ไม่เลือกพรรคการเมืองใด แล้วรายงาน กกต. โดยเร็ว
2.ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. มีสาระสำคัญดังนี้
1) แก้ไขเพิ่มเติมให้คณะกรรมการสรรหาของแต่ละพรรคการเมืองจัดทำบัญชีรายชื่อผู้สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อไม่เกิน 100 รายชื่อ
2) แก้ไขเพิ่มเติมให้สมาชิกพรรคการเมืองลงคะแนนเลือกผู้สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อได้คนละไม่เกิน 10 รายชื่อจากเดิม 15 รายชื่อ
เคาะเลือกตั้งซ่อม ส.ส.เขต 9 แทน “สิระ” 30 ม.ค.ปีหน้า
น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุม ครม. อนุมัติร่างพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรกรุงเทพมหานคร เขตเลือกตั้งที่ 9 แทนตำแหน่งที่ว่างลง พ.ศ….
ทั้งนี้ เนื่องจากศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยเมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2564 ว่าสมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของนายสิระ เจนจาคะ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรกรุงเทพมหานคร เขตเลือกตั้งที่ 9 ได้สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 101 (6) ประกอบมาตรา 98 (10) นับตั้งแต่วันเลือกตั้ง คือ วันที่ 24 มีนาคม 2562 ซึ่งทำให้ตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตเลือกตั้งว่างลง
ดังนี้ จึงต้องดำเนินการตราพระราชกฤษฎีกา เพื่อจัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตเลือกตั้งขึ้นแทนตำแหน่งที่ว่างลงภายใน 45 วัน นับแต่วันที่ตำแหน่งว่างลง ซึ่งตามรัฐธรรมนูญมาตรา 105 (1) ประกอบมาตรา 102 ให้ถือว่าตำแหน่งว่างลงนับแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญอ่านคำวินิจฉัย คือวันที่ 22 ธันวาคม 2564 กล่าวคือ ต้องมีการจัดเลือกตั้งภายในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2565
อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้จัดทำร่างแผนการจัดการเลือกตั้ง โดยคาดว่าพระราชกฤษฎีกาฯ จะมีผลใช้บังคับวันที่ 2 มกราคม 2565 จากนั้น กกต. ประกาศกำหนดวันเลือกตั้งและวันรับสมัครผู้สมัครรับเลือกตั้ง วันที่ 3 มกราคม 2565 ประกาศหน่วยเลือกตั้งและรายชื่อผู้มีสิทธิเลือกตั้งภายในวันที่ 4 มกราคม 2565 รับสมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแทนตำแหน่งที่ว่างลง ระหว่างวันที่ 6-10 มกราคม 2565 และ จัดการเลือกตั้งได้ในวันที่ 30 มกราคม 2565
ขยายเวลาเยียวยานายจ้าง-ลูกจ้างประกันสังคมถึงสิ้น มี.ค.ปีหน้า
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ที่ประชุม ครม. อนุมัติ ขยายระยะเวลาดำเนินโครงการเยียวยานายจ้างและผู้ประกันตนมาตรา 33 ในกิจการที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการของรัฐในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด 13 จังหวัด(กลุ่มจังหวัดได้รับเยียวยาเพิ่ม 1 เดือนในเดือน ส.ค. 2564) และโครงการเยียวยาผู้ประกันตนมาตรา 39 และมาตรา 40 ในกิจการที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการของรัฐ ในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด จากเดิมที่สิ้นสุดเดือน ธันวาคม 2564 เป็นสิ้นสุดเดือน มีนาคม 2565
ทั้งนี้ เนื่องจากสำนักงานประกันสังคม ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบโครงการได้รายงานว่า จำเป็นต้องใช้ระยะเวลาในการดำเนินการเบิกจ่ายเงินให้แก่กลุ่มเป้าหมายที่ยังไม่ได้รับเงินเยียวยาตามโครงการฯ ซึ่งในการนี้ ครม. ให้สำนักงานประกันสังคม เร่งดำเนินการพิจารณาความเหมาะสมในการให้ความช่วยเหลือกลุ่มเป้าหมายดังกล่าวตามขั้นตอนโดยเร็ว เพื่อให้ความช่วยเหลือของภาครัฐถึงกลุ่มเป้าหมายเร็วที่สุด
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า สำนักงานประกันสังคม รายงานความคืบหน้าโครงการเยียวยานายจ้างและผู้ประกันตนมาตรา 33 ว่า ณ วันที่ 16 ธันวาคม 2564 ได้ดำเนินการจ่ายเงินเยียวยาให้กับนายจ้างและผู้ประกันตนมาตรา 33 แล้ว 2 รอบ รวมเป็นเงิน 31,721.52 ล้านบาท และจากการตรวจสอบข้อมูลพบว่ายังมีกลุ่มผู้ที่ยังไม่ได้รับเงินเยียวยาตามโครงการฯ ประกอบด้วยนายจ้าง 5,948 แห่ง ผู้ประกันตนมาตรา 33 จำนวน 199,232 คน ประกอบด้วย กลุ่มที่อยู่ระหว่างการจ่ายเงินเยียวยาอยู่ระหว่างการทบทวนสิทธิ อยู่ระหว่างการตรวจสอบนิติสัมพันธ์และยืนยันข้อมูล อยู่ระหว่างเปลี่ยนแปลงรหัสประเภทกิจการ รวมถึงกรณีโอนเงินไม่สำเร็จเนื่องจากบัญชีเงินฝากปิดหรือไม่ได้ผูกกับพร้อมเพย์ และมีวงเงินคงเหลือตามโครงการทั้งระยะที่ 1 และระยะที่ 2 รวม 1,984.24 ล้านบาท
ส่วนโครงการเยียวยาผู้ประกันตน มาตรา 39 และมาตรา 40 ณ วันที่ 21 ธันวาคม 2564 ได้จ่ายเงินเยียวยาแล้ว 72,015.33 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 92.70 ของวงเงินตามโครงการ 77,785 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้เหลือผู้ประกันตนที่ยื่นอุทธรณ์/ทบทวนสิทธิ์ แยกเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 39 จำนวน 3,423 คน และผู้ประกันตนมาตรา 40 จำนวน 190,659 คน
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า พร้อมกันนี้ ครม. ได้เห็นชอบการขยายระยะเวลาโครงการช่วยเหลือกลุ่มอาชีพผู้ขับรถยนต์รับจ้าง(รถแท็กซี่) และรถจักรยานยนต์สาธารณะ ที่มีอายุกิน 65 ปี ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด – 19 จากเดิมสิ้นสุดเดือนพฤศจิกายน 2564 เป็นสิ้นสุดเดือนมกราคม 2565 เพื่อให้กรมขนส่งทางบก กระทรวงคมนาคม มีระยะเวลาเพิ่มขึ้นในการตรวจสอบข้อมูลกลุ่มเป้าหมายที่ยื่นขอทบทวนหรืออุทธรณ์ในการขอรับเงินจากโครงการเยียวยาฯ
ทั้งนี้ กรมขนส่งทางบกได้รายงานผลการจ่ายเงินเยียวยาตามโครงการว่า ณ วันที่ 21 ธันวาคม 2564 ได้จ่ายเงินเยียวยาแล้ว 8,077 คน วงเงินรวม 76.60 ล้านบาท คงเหลือวงเงินตามโครงการ 90.34 ล้านบาท (วงเงินตามโครงการ 166.94 ล้านบาท) และขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อมูลผู้ขอรับการตรวจสอบสิทธิ 2,307 คนซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้มีคุณสมบัติไม่ชัดเจน เช่น ผู้ที่สหกรณ์ยังไม่ยืนยันการเช่ารถ ใบอนุญาตขับรถสิ้นอายุก่อน ม.ค. บัตรประจำตัวผู้ขับรถสิ้นอายุ(บัตรเหลือง) และรถค้างชำระภาษี เป็นต้น
กต.รับทำพาสปอร์ต “เสาร์-อาทิตย์” เฉพาะ ม.ค.65
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ที่ประชุม ครม. รับทราบโครงการเพื่อมอบของขวัญปีใหม่ พ.ศ.2565 ให้แก่ประชาชนของกระทรวงต่างๆ เพิ่มเติม โดยกระทรวงการต่างประเทศ ได้มีโครงการให้บริการแปลเอกสารภาษาอังกฤษเอกสารทะเบียนราษฎร 19 ประเภท เช่น สูติบัตร มรณบัตร ทะเบียนบ้าน บัตรประจำตัวประชาชน ทะเบียนสมรส ทะเบียนหย่า โดยไม่คิดค่าบริการตลอดเดือน มกราคม 2565 ณ กรมการกงศุล ถนนแจ้งวัฒนะ และสำนักงานสัญชาติและนิติกรณ์ MRT คลองเตย เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายให้กับประชาชน ให้บริการหนังสือเดินทางในวันหยุดสุดสัปดาห์ (เสาร์-อาทิตย์) ตลอดเดือนมกราคม 2565 ที่สำนักงานหนังสือเดินทางชั่วคราวปทุมวัน (MBK Center) และบางใหญ่ (Central Plaza West Gate) การให้บริการหนังสือเดินทางด่วนในวันเดียว (ทำเช้า รับบ่าย) ไม่คิดค่าธรรมเนียม (ยกเว้นค่าธรรมเนียมด่วน 2,000 บาท) จำนวน 1,000 ราย โดยจะให้บริการ 100 ราย/วัน ตั้งแต่วันที่ 1-15 มกราคม 2565 (ยกเว้นวันหยุดราชการ) มีบริการหนังสือเดินทางเคลื่อนที่ในพื้นที่ต่างจังหวัดทั่วประเทศ เดือนละ 2 ครั้ง ตลอดปี 2565 รวม 24 ครั้ง ทั้งนี้ เพื่อให้ประชาชนในพื้นที่จังหวัดที่ไม่มีสาขาสำนักงานหนังสือเดินทางได้รับบริการอย่างทั่วถึง รวมถึงร่วมกับกรุงเทพมหานครให้บริการรถทะเบียนเคลื่อนที่ ณ ลานจอดรถกรมการกงสุล ตลอดเดือนมกราคม 2565 โดยให้บริการทำบัตรประชาชนใหม่และคัดสำเนาเอกสารทะเบียนราษฎร์ภาษาไทยและอังกฤษ 5 ประเภท ได้แก่ทะเบียนบ้าน ข้อมูลบัตรประจำตัวประชาชน สูติบัตร และมรณบัตร
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า สำหรับกระทรวงศึกษาธิการ ได้จัดโครงการอาชีวะอาสา ร่วมด้วยช่วยประชาชน เทศกาลปีใหม่ พ.ศ. 2565 โดยอาชีวะอาสา ออกบริการประชาชนช่วงเทศกาลปีใหม่ตลอด 24 ชั่วโมง ระหว่างวันที่ 29 ธันวาคม 2564 -4 มกราคม 2565 โดยให้บริการจุดพักรถ-พักคน บนถนนสายหลักและสายรอง 225 ศูนย์ ทั่วประเทศ กิจกรรมพักรถ ได้แก่ บริการตรวจสภาพรถยนต์ รถจักรยานยนต์ และกิจกรรมพักคน ได้แก่ บริการสอบถามข้อมูลเส้นทาง สถานทีท่องเที่ยว ที่พักรถ ที่พัก ร้านอาหารและอื่นๆ
โครงการศูนย์ซ่อมสร้างเพื่อชุมชน เพื่อลดรายจ่ายให้แก่ประชาชน ผ่านแอปพลิเคชั่น โดยทีมช่างพันธู์ R อาชีวะจิตอาสา จาก 100 ศูนย์ Fix it Center ทั่วประเทศ ออกให้บริการซ่อมถึงบ้านฟรี โดยประชาชนสามารถใช้บริการผ่านแอปพลิเคชั่น โดยไม่ต้องนำเครื่องมือเครื่องใช้ที่ชำรุดไปที่ศูนย์บริการ มีโครงการอบรมอาชีพ ทั้งในรูปแบบ Up-skill และ Re-Skill แก่นักเรียน นักศึกษา ผู้ปกครองและประชาชนใน 77 จังหวัดทั่วประเทศ
รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ทางด้านกระทรวงสาธาราณสุข ได้เสนอโครงการที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนเป็นของขวัญปีใหม่ 2 โครงการ ได้แก่ โครงการสิทธิบัตรทองหากเจ็บป่วย และมีความจำเป็นไปรับบริการปฐมภูมิที่ไหนก็ได้ โดยมีวัตถุประสงค์ให้ประชาชนที่มีสิทธิบัตรทองได้รับบริการจากทุกหน่วยบริการปฐมภูมิตามความจำเป็น โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายในการส่งตัว และโครงการคัดกรองมะเร็งปากมดลูกที่บ้านด้วยตนเอง โดยมีวัตถุประสงค์ในการเพิ่มทางเลือกการคัดกรองมะเร็งปากมดลูกที่สะดวกต่อประชาชน เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงการตรวจคัดกรองโดยเฉพาะกลุ่มสตรีที่ยังไม่เคยรับการตรวจซึ่งจะช่วยต่อยอดจากระบบเดิมและลดอัตราการเสียชีวิตจากโรคมะเร็ง
ป.ป.ช.แนะคมนาคม ดำเนินคดีอาญาเจ้าของรถบรรทุกเกินน้ำหนัก
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ที่ประชุม ครม. รับทราบข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริตเกี่ยวกับรถบรรทุกน้ำหนักเกิน ของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (คณะกรรมการ ป.ป.ช.) โดยให้กระทรวงคมนาคมเป็นหน่วยงานหลักในการแก้ปัญหา ประกอบด้วย การบังคับใช้กฎหมายให้สามารถเอาผิดและลงโทษผู้ประกอบการที่บรรทุกน้ำหนักเกินได้อย่างเป็นรูปธรรม โดยในการจับกุมผู้กระทำความผิดให้เจ้าพนักงานทางหลวงแจ้งต่อพนักงานสอบสวนด้วยว่า ขอให้ดำเนินคดีกับผู้ประกอบการรถบรรทุกในฐานะผู้ใช้ จ้าง วาน ของผู้ขับขี่รถบรรทุกคันก่อเหตุ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 84 ด้วย
ขณะเดียวกันยังให้กระทรวงคมนาคมพิจารณาจัดทำบันทึกข้อตกลงร่วมกัน (เอ็มโอยู) ในการควบคุม กำกับ ดูแลถนนในแต่ละเขตความรับผิดชอบอย่างบูรณาการ เพื่อจัดการกับรถบรรทุกที่กระทำความผิดอย่างเข้มงวด รวมทั้งการอบรม สร้างความรู้ความเข้าใจในการปฏิบัติงาน และการจับกุมผู้กระทำความผิดให้แก่เจ้าหน้าที่ของกรมทางหลวงชนบทและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพิ่มเติม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการกำกับดูแลและควบคุมการใช้ถนนของรถบรรทุก และจัดให้มีการประชุมหารือร่วมกันของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อแก้ไขปัญหาในประเด็นการบังคับใช้กฎหมาย
นอกจากนี้ยังให้มีการออกมาตรการให้รถบรรทุกมีใบชั่งระบุน้ำหนัก ตั้งแต่ต้นทางให้เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด เช่น ศูนย์กระจายสินค้าต่างๆ ท่าเรือ นิคมอุตสาหกรรม และโรงงานอุตสาหกรรม และรถบรรทุกต้องจัดให้มีป้ายแสดงน้ำหนักที่บรรทุกจริงขณะวิ่งด้วย พร้อมทั้งช่องทางให้ประชาชนแจ้งเบาะแสเมื่อพบผู้กระทำความผิด รวมทั้งให้ผลักดันการนำเทคโนโลยีอัตโนมัติมาใช้ในการดำเนินการ เช่น เทคโนโลยีการตรวจชั่งน้ำหนักรถบรรทุกโดยใช้เครื่องชั่งน้ำหนักขณะเคลื่อนที่ความเร็วสูง (High-Speed Weigh – In – Motion: HSWIM) และเทคโนโลยีการตรวจชั่งน้ำหนักรถบรรทุกชนิดติดตั้งใต้สะพาน(Bridge Weigh – In – Motion:BWIM) มาใช้ในการจับกุมรถบรรทุกน้ำหนักเกิน เพื่อลดปฏิสัมพันธ์ และการใช้ดุลพินิจของเจ้าหน้าที่ในกระบวนการชั่งน้ำหนัก ซึ่งจะส่งผลให้การบังคับใช้กฎหมายเป็นไปอย่างเท่าเทียม เสมอภาค ไม่เลือกปฏิบัติ
คณะกรรมการป.ป.ช.ยังมีข้อเสนอแนะ ให้เพิ่มมาตรการกำกับดูแลและตรวจสอบการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานที่มีปัญหาการทุจริต การละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบด้วยกฎหมายจากผู้บังคับบัญชาของหน่วยงานนั้น เพื่อแสดงให้เห็นถึงเจตนารมณ์ในการปฏิบัติหน้าที่ด้วยความถูกต้องเป็นธรรม โปร่งใส และสามารถตรวจสอบได้
รับทราบกรอบความยั่งยืนการคลังหนี้/GDP ไม่เกิน 70%
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ที่ประชุม ครม. รับทราบรายงานการทบทวนสัดส่วนที่ใช้เป็นกรอบในการบริหารหนี้สาธารณะ ตามมาตรา 50 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 ซึ่งในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐเมื่อวันที่ 20 กันยายน 2564 ได้พิจารณาพื้นที่ทางการคลัง ณ เพดานหนี้สาธารณะปัจจุบัน มีดังนี้คือ
-
1. สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) กำหนดเพื่อวัดระดับหนี้ ป้องกันไม่ให้กู้เงินมากเกินควร และไม่เป็นอุปสรรคในการดำเนินนโยบายการคลัง โดย ณ เพดานปัจจุบันที่กำหนดให้ต้องไม่เกินร้อยละ 60 นั้น จะไม่สามารถรองรับการกู้เงินเพิ่มเติมในอนาคตได้
-
2. สัดส่วนภาระหนี้ของรัฐบาลต่อประมาณการรายได้ประจำปีงบประมาณกำหนดเพื่อวัดความสามารถในการชำระหนี้ ส่งเสริมให้มีการชำระหนี้และเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บรายได้ ควบคุมไม่ให้ความเสี่ยงในการปรับโครงสร้างหนี้สูงเกินไป และรองรับการกู้เงินด้วยการใช้เครื่องมือการกู้เงินที่หลากหลาย โดย ณ เพดานปัจจุบันที่กำหนดให้ต้องไม่เกินร้อยละ 35 สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะสามารถบริหารจัดการได้ ทั้งนี้ควรส่งเสริมให้มีการบริหารความเสี่ยงด้านการปรับโครงสร้างหนี้และส่งเสริมให้รัฐบาลเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บรายได้
-
3. สัดส่วนหนี้สาธารณะที่เป็นเงินตราต่างประเทศต่อหนี้สาธารณะทั้งหมด กำหนดเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการกู้เงินต่างประเทศมากเกินควร โดย ณ เพดานปัจจุบันที่กำหนดให้ต้องไม่เกินร้อยละ 10 ยังสามารถรองรับการกู้เงินต่างประเทศได้หากมีความจำเป็น และ 4.สัดส่วนภาระหนี้สาธารณะที่เป็นเงินตราต่างประเทศต่อรายได้จากการส่งออกสินค้าและบริการ กำหนดเพื่อวัดความสามารถในการชำระหนี้ต่างประเทศ โดย ณ เพดานปัจจุบันกำหนดให้ต้องไม่เกินร้อยละ 5 ยังสามารถรองรับการกู้เงินต่างประเทศหากมีความจำเป็น
ทั้งนี้คณะกรรมการฯพิจารณาแล้วเห็นว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลให้เงื่อนไขและสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน ซึ่งมีความแตกต่างจากเมื่อครั้งที่มีการกำหนดสัดส่วนที่ใช้เป็นกรอบในการบริหารหนี้สาธารณะอย่างมีนัยสำคัญ ดังนั้น จึงมีความจำเป็นต้องทบทวนสัดส่วนดังกล่าว โดยคำนึงถึงพื้นที่ทางการคลังที่เพียงพอ ซึ่งสามารถรองรับความผันผวนทางเศรษฐกิจและความจำเป็น หากต้องมีการกระตุ้นเศรษฐกิจในอนาคต รวมทั้งความสามารถในการชำระหนี้ให้อยู่ในระดับมั่นคงตามเกณฑ์มาตรฐานสากล คณะกรรมการฯจึงมีมติเห็นชอบเพิ่มสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพีจากกรอบเดิมไม่เกินร้อยละ 60 เป็น ไม่เกินร้อยละ 70 สำหรับสัดส่วนอื่นยังคงเดิม
ยกเว้นค่าธรรมเนียมใบอนุญาตฟรีโซนอีก 1 ปี
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ที่ประชุม ครม. อนุมัติหลักการขยายระยะเวลาการยกเว้นค่าธรรมเนียมรายปี ออกไปอีก 1 ปี สำหรับปี 2565 ให้แก่ผู้ได้รับใบอนุญาตจัดตั้งคลังสินค้าทัณฑ์บน โรงพักสินค้าที่มั่นคง ท่าเรือรับอนุญาต และเขตปลอดอากร และผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการในเขตปลอดอากร ซึ่งกฎกระทรวงการคลังฉบับเดิมจะสิ้นสุดการบังคับใช้ในวันที่ 31 ธันวาคม 2564 แต่ปรากฏว่าในปัจจุบันสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง กระทรวงการคลังพิจารณาแล้วเห็นควรให้ขยายระยะเวลาออกไปอีก 1 ปี เพื่อเป็นการบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทั้งนี้คาดว่ารัฐจะสูญเสียรายได้จากการยกเว้นค่าธรรมเนียมดังกล่าวประมาณ 57 ล้านบาท
แจงความคืบหน้ารถไฟไทย-จีน 14 สัญญา สร้างเสร็จ 1 สัญญา
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ที่ประชุม ครม. รับทราบความก้าวหน้าโครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลจีนในการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูง เพื่อเชื่อมโยงภูมิภาคช่วงกรุงเทพมหานคร – หนองคาย และผลการประชุมคณะกรรมการร่วม เพื่อความร่วมมือด้านรถไฟระหว่างไทย – จีน ครั้งที่ 29 สำหรับโครงการรถไฟความเร็วสูง ระยะที่ 1 ช่วงกรุงเทพมหานคร – นครราชสีมา มีสัญญาการก่อสร้างงานโยธา 14 สัญญา ก่อสร้างแล้วเสร็จ 1 สัญญา อยู่ระหว่างก่อสร้าง 7 สัญญา เตรียมการก่อสร้าง 3 สัญญา และอยู่ระหว่างดำเนินการจัดซื้อจัดจ้าง 3 สัญญา
ส่วนงานจ้างออกแบบรายละเอียด การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ได้ลงนามสัญญากับรัฐวิสาหกิจจีน คือ China Railway Design Corporation:CRDC และ China Railway International Corporation: CRIC เมื่อวันที่ 4 กันยายน 2560 วงเงิน 1,706.7 ล้านบาท โดยผู้รับจ้างฝ่ายจีนได้ออกแบบแล้วเสร็จ สำหรับงานจ้างที่ปรึกษาควบคุมงานก่อสร้าง รฟท.ได้ลงนามสัญญากับ CRDC และ CRIC เมื่อวันที่ 4 กันยายน 2560 วงเงิน 3,500 ล้านบาท โดยผู้รับจ้างอยู่ระหว่างควบคุมการก่อสร้าง ซึ่งจะสิ้นสุดสัญญาปี 2564 และประกันผลงาน 2 ปี
ขณะที่งานระบบราง ระบบไฟฟ้าและเครื่องกล การจัดหาขบวนรถไฟและการจัดฝึกอบรมบุคลากร รฟท.ได้ลงนามสัญญากับ CRDC และ CRIC เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2563 วงเงิน 50,644.5 ล้านบาท ระยะเวลาดำเนินการ 64 เดือน แบ่งงานเป็น 3 ช่วง คือ งานออกแบบระบบรถไฟความเร็วสูง และออกแบบระบบต่างๆที่เกี่ยวข้องรวมทั้งขบวนรถไฟ งานฝึกอบรมบุคลากรเพื่อการเดินรถและการซ่อมบำรุงและการถ่ายทอดเทคโนโลยี และงานติดตั้งระบบราง ระบบไฟฟ้า และเครื่องกลระบบรถไฟความเร็วสูงที่เกี่ยวข้อง
สำหรับโครงการรถไฟความเร็วสูงระยะที่ 2 ช่วงนครราชสีมา – หนองคาย ครม. มีมติเมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2564 ให้รฟท.เร่งรัดดำเนินโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ระยะที่ 2 ช่วงขอนแก่น-หนองคาย ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว โดยให้ถือเป็นนโยบายที่ต้องขับเคลื่อนให้เกิดผลเป็นรูปธรรม ส่วนการเชื่อมโยงโครงการรถไฟความเร็วสูงช่วงหนองคาย – เวียงจันทน์นั้น ในการประชุมคณะกรรมการร่วมเพื่อความร่วมมือด้านรถไฟระหว่างไทย – จีน ครั้งที่ 27 และการประชุมสามฝ่าย ไทย – ลาว – จีน ระหว่างวันที่ 27 กุมภาพันธ์ – 1มีนาคม 2562 ที่ประชุมเห็นชอบให้การสร้างสะพานแห่งใหม่ เป็นส่วนหนึ่งของโครงการเชื่อมต่อรถไฟช่วงหนองคาย – เวียงจันทน์ ซึ่งจะมีทั้งทางรถไฟมาตรฐาน 1.435 เมตรและขนาดทาง 1 เมตร ตั้งอยู่ทางทิศใต้ ห่างจากสะพานมิตรภาพไทย – ลาว ประมาณ 30 เมตร ซึ่งไทย – ลาว – จีน ได้ลงนามในบันทึกความร่วมมือว่าด้วยการเชื่อมต่อเส้นทางรถไฟระหว่างหนองคาย-เวียงจันทน์ เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2562 และปัจจุบันอยู่ระหว่างเสนอให้มีการประชุมร่วม 3 ฝ่าย เพื่อหารือแนวทางการก่อสร้างและการเดินรถร่วมกันต่อไป
สำหรับผลการประชุมคณะกรรมการร่วมเพื่อความร่วมมือด้านรถไฟระหว่างไทย – จีน ครั้งที่ 29 นั้น มีสาระสำคัญ เช่น รับทราบความก้าวหน้าการดำเนินโครงการรถไฟความเร็วสูง ช่วงกรุงเทพมหานคร-นครราชสีมา, การหารือเกี่ยวกับการดำเนินการช่วงบางซื่อ – ดอนเมือง และการเห็นชอบในหลักการให้จัดการประชุมคณะกรรมการร่วมเพื่อความร่วมมือด้านรถไฟระหว่างไทย – จีน ครั้งที่ 30
เด้งอธิบดีกรมอุตุฯ-ตรวจบัญชีสหกรณ์ แขวนรองปลัดฯ
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า วันนี้ที่ประชุม ครม. มีมติเห็นชอบ และอนุมัติ แต่งตั้งข้าราชการ และผู้บริหารระดับสูงของส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ ดังนี้
1. การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงเกษตรและสหกรณ์)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ แต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จำนวน 2 ราย เพื่อสับเปลี่ยนหมุนเวียน ดังนี้
-
1. นายโอภาส ทองยงค์ อธิบดีกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ ดำรงตำแหน่ง รองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
2.นายอำพันธุ์ เวฬุตันติ รองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง อธิบดีกรมตรวจบัญชีสหกรณ์
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
2. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายอนุชา นาคาศัย) เสนอแต่งตั้ง นายสิปป์บวร แก้วงาม รองผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ให้ดำรงตำแหน่ง ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
3. เรื่อง การต่อเวลาการดำรงตำแหน่งของเอกอัครราชทูต (กระทรวงการต่างประเทศ)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเสนอการต่อเวลาการดำรงตำแหน่งของข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงการต่างประเทศ จำนวน 2 ราย ดังนี้
-
1. นายพิษณุ สุวรรณะชฎ เอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงลอนดอน สหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์เหนือ ซึ่งจะดำรงตำแหน่งดังกล่าวครบการต่อเวลา 1 ปี ในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2565 (ครั้งที่ 1) และจะต่อเวลาการดำรงตำแหน่งดังกล่าวต่อไปอีก ตั้งแต่วันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2565 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2565 (ครั้งที่ 2) ทั้งนี้ นายพิษณุฯ จะเกษียณอายุราชการวันที่ 1 ตุลาคม 2565
2. นายปัญญรักษ์ พูลทรัพย์ เอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงพนมเปญ ราชอาณาจักรกัมพูชา ซึ่งจะดำรงตำแหน่งดังกล่าวครบ 4 ปี ในวันที่ 21 มกราคม 2565 และจะต่อเวลาการดำรงตำแหน่งดังกล่าวต่อไปอีก ตั้งแต่วันที่ 22 มกราคม 2565 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2565 (ครั้งที่ 1) ทั้งนี้ นายปัญญรักษ์ฯ จะเกษียณอายุราชการวันที่ 1 ตุลาคม 2565
4. เรื่อง การให้ความเห็นชอบแต่งตั้งบุคคลเพื่อเข้าดำรงตำแหน่งหัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหาร (Chief Executive Officer, CEO) ขององค์กรร่วมไทย – มาเลเซีย
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงพลังงานเสนอแต่งตั้ง Datuk Joseph Podtung ที่รัฐบาลมาเลเซียเสนอให้เข้าดำรงตำแหน่งหัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหาร (Chief Executive Officer, CEO) ขององค์กรร่วมไทย – มาเลเซีย แทนตำแหน่งที่ว่าง โดยมีวาระการดำรงตำแหน่งเท่ากับระยะเวลาเดิมที่เหลืออยู่ (เมื่อได้รับความเห็นชอบจากรัฐบาลทั้งสองแล้ว ให้นับวันที่องค์กรร่วมไทย – มาเลเซีย ทำการแต่งตั้งจนถึงวันที่ 30 กันยายน 2567)
5. เรื่อง การแต่งตั้งคณะกรรมการผู้แทนพิเศษของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเสนอแต่งตั้งคณะกรรมการผู้แทนพิเศษของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ รวม 6 คน ดังนี้
-
1. พลเอก ชัยชาญ ช้างมงคล ประธานกรรมการ
2. พลเอก พรศักดิ์ พูลสวัสดิ์ กรรมการ (ด้านความมั่นคง)
3. นายปณิธาน วัฒนายากร กรรมการ (ด้านการต่างประเทศ)
4. นายการุณ สกุลประดิษฐ์ กรรมการ (ด้านการศึกษา)
5. นายเชื่อง ชาตอริยะกุล กรรมการ (ด้านเศรษฐกิจ)
6. นายดลเดช พัฒนรัฐ กรรมการ (ด้านสังคมพหุวัฒนธรรม)
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 28 ธันวาคม 2564
6. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน 7 ราย ดังนี้
-
1. นายสุรเดช สมิเปรม รองอธิบดี (นักบริหารระดับต้น) กรมปศุสัตว์ แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวงระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง
2. นายขจร เราประเสริฐ รองอธิบดี (นักบริหารระดับต้น) กรมส่งเสริมการเกษตร แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวงระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง
3. นางกุลฤดี พัฒนะอิ่ม รองอธิบดี (นักบริหารระดับต้น) กรมส่งเสริมการเกษตร แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวงระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง
4. นายวิชัย ไตรสุรัตน์ ผู้ช่วยปลัดกระทรวง (นักบริหารระดับต้น) สำนักงานปลัดกระทรวง แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวงระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง
5. นายเศรษฐเกียรติ กระจ่างวงษ์ รองอธิบดี (นักบริหารระดับต้น) กรมปศุสัตว์ แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวงระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง
6. นายเฉลิมชัย สุวรรณรักษ์ รองอธิบดี (นักบริหารระดับต้น) กรมประมง แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งอธิบดี (นักบริหารระดับสูง) กรมประมง สำนักงานปลัดกระทรวง
7. นายณัฏฐกิตติ์ ของทิพย์ รองอธิบดี (นักบริหารต้น) กรมการข้าว แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งอธิบดี (นักบริหารระดับสูง) กรมการข้าว
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
7. เรื่อง ขออนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอการแต่งตั้งข้าราชการ จำนวน 2 ราย ดังนี้
-
1. นายณัฐพล ณัฏฐสมบูรณ์ อธิบดี (นักบริหาร ระดับสูง) กรมอุตุนิยมวิทยา กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ให้ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง (นักบริหาร ระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
2. นางสาวชมภารี ชมภูรัตน์ ผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวง ระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ให้ดำรงตำแหน่งอธิบดี (นักบริหาร ระดับสูง) กรมอุตุนิยมวิทยา กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
8. เรื่อง ขอความเห็นชอบการแต่งตั้งผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอแต่งตั้ง นายเกรียงไกร ไชยศิริวงศ์สุข ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย โดยให้ได้รับค่าตอบแทนคงที่ในอัตราเดือนละ 290,000 บาท ค่าตอบแทนพิเศษประจำปี รวมทั้งสิทธิประโยชน์อื่นๆ ที่ผู้รับจ้างจะได้รับตามที่กระทรวงการคลังเห็นชอบแล้ว
อ่าน มติ ครม. ประจำวันที่ 28 ธันวาคม 2564 เพิ่มเติม