รายงานโดย ปรีดี บุญซื่อ
ในระหว่างวันที่ 22-24 สิงหาคม 2564 นางกมลา แฮร์ริส รองประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ได้เดินทางมาเยือนอาเซียน 2 ประเทศคือ สิงคโปร์กับเวียดนาม ช่วงที่เยือนสิงคโปร์ เธอได้กล่าวปาฐกถาที่สถาบัน Lee Kuan Yew School of Public Policy โดยประกาศวิสัยทัศน์ของรัฐบาลโจ ไบเดน เรื่องแนวคิดอินโด-แปซิฟิก
กมลา แฮร์ริสกล่าววิจารณ์จีนอย่างรุนแรงเรื่อง การรุกล้ำของจีนในทะเลจีนใต้ โดยกล่าวเตือนว่า ปฏิบัติการของจีนในพื้นที่ดังกล่าว เปรียบได้กับการขู่บังคับด้วยกำลัง และยืนหยัดว่า สหรัฐฯจะสนับสนุนพันธมิตรในภูมิภาคนี้ ต่อต้านการรุกคืบหน้าของจีน
ก่อนหน้านี้เมื่อปลายเดือนกรกฎาคม นายลอยด์ ออสติน รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ ก็ได้มาเยือนอาเซียน 3 ประเทศ คือ สิงคโปร์ เวียดนาม และฟิลิปปินส์ การมาเยือนอาเซียน 3 ประเทศ ทั้งๆที่อาเซียนมีสมาชิก 10 ประเทศ เนื่องจาก 3 ประเทศดังกล่าว สนับสนุนให้สหรัฐฯ ยังคงมีบทบาทอย่างแข็งขันในภูมิภาคนี้
การเยือน 3 ประเทศอาเซียนของผู้นำระดับสูงของสหรัฐฯ แสดงให้เห็นว่า ประเทศไหนในภูมิภาคนี้ ที่สหรัฐฯถือเป็นหุ้นส่วนสำคัญอันดับแรก
จุดที่สหรัฐฯกับจีนมาเผชิญหน้ากัน
David Shambaugh จาก George Washington University เขียนไว้ในหนังสือที่เพิ่งออกวางตลาด Where Great Powers Meet: America and China in Southeast Asia (2021) ว่า ในสมัยรัฐบาลโจ ไบเดน ท่าทีสหรัฐฯต่อจีน เปลี่ยนจาก “การติดต่อสัมพันธ์” มาเป็น “การแข่งขัน” การแข่งขันนี้ได้ขยายตัวออกไปในด้านต่างๆ เช่น การทูต การค้า ความมั่นคง อุดมการณ์ ค่านิยม การศึกษา วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯกับจีน ที่ปะทุขึ้นมาในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จะเป็นตัวอย่างของความขัดแย้งของสองมหาอำนาจ ที่จะไปเกิดขึ้นในภูมิภาคอื่นๆของโลก ผลลัพธ์จากการแข่งขันของสองมหาอำนาจนี้ จะส่งผลกระทบต่อภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก ดินแดนที่นับวันกำลังกลายเป็นจุดศูนย์กลางของการเมืองระหว่างประเทศ
David Shambaugh บอกว่า ในปี 2017 เขามีประสบการณ์ 2 อย่าง ที่เกี่ยวกับบทบาทสหรัฐฯและจีนในอาเซียน อย่างแรกคือเมื่อไปเยือนฐานทัพเรือชานงีที่สิงคโปร์ ได้มีโอกาสขึ้นไปบนเรือบรรทุกเครื่องบิน Carl Vinson ของสหรัฐฯ ที่มาจอดที่ฐานทัพเรือแห่งนี้ เรือ Carl Vinson มักจะออกไปฝึกรบในทะเลญี่ปุ่น ใกล้กับเกาหลีเหนือ และแล่นผ่านทะเลจีนใต้ เป็นการส่งสัญญาณการป้องปรามทางทหารของสหรัฐฯ ฐานทัพเรือชานงีของสิงคโปร์ จึงสะท้อนอำนาจทางทหารของสหรัฐฯแบบ hard power
เวลาต่อมา เขาได้เดินทางข้ามมายังมาเลเซีย เพื่อมาดูพื้นที่ทางใต้ของรัฐยะฮอร์ ที่เป็นที่ตั้งโครงการพัฒนาที่พักอาศัยขนาดใหญ่ ร่วมลงทุนระหว่างระหว่างจีนกับรัฐยะโฮร์ เรียกว่า “เมืองป่า” (Forest City) สร้างจากการถมทะเล โครงการที่พักอาศัยนี้สามารถรองรับคนได้ 7 แสนคน เป็นเมืองที่มีทุกอย่างสมบูรณ์ในตัวเอง บริษัทผู้พัฒนาที่ดินของจีน ขายโครงการแบบซื้อหนึ่งแถมหนึ่ง คือซื้อห้องพักในเซี่ยงไฮ้ จะแถมห้องพักที่ยะโฮร์ โครงการลงทุนของจีนในมาเลเซีย จึงสะท้อนอำนาจเศรษฐกิจของจีนแบบ soft power
ความสำคัญของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
หนังสือ Where Great Powers Meet กล่าวว่า เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตั้งอยู่ตรงกลาง โดยทิศใต้คือออสเตรเลีย ทิศตะวันตกคือเอเชียใต้ และทิศตะวันออกคือเอเชียเหนือ พื้นที่ของภูมิภาคยาว 3,000 ไมล์ นับจากตะวันออกมาตะวันตก และ 2,000 ไมล์ นับจากเหนือลงใต้ ประกอบด้วย 11 ประเทศ มี 10 ประเทศเป็นสมาชิกอาเซียน ยกเว้นติมอร์-เลสเต ประชากรรวมกัน 636 ล้านคน เป็นมุสลิม 240 ล้านคน พุทธ 140 ล้านคน คริสต์ 130 ล้านคน และฮินดู 7 ล้านคน
คำว่า “ความหลากหลาย” ใช้อธิบายทุกอย่างเกี่ยวกับภูมิภาคนี้ เช่น ชาติพันธุ์ วัฒนธรรม ศาสนา ภูมิศาสตร์ เศรษฐกิจ การเมือง หรือแม้แต่เรื่องอิทธิพลจากภายนอก Kishore Mahbubani อดีตนักการทูตสิงคโปร์ เคยเขียนไว้ในหนังสือ The ASEAN Miracle ว่า เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สร้างขึ้นจากกระแสการอพยพที่เกิดต่อเนื่อง 4 คลื่นด้วยกันคือ คนอินเดีย คนจีน คนมุสลิม และชาวตะวันตก ชาติมหาอำนาจทางทะเล เช่น ดัช ปอร์ตุเกส อังกฤษ และฝรั่งเศส ได้มาสถาปนาการค้าและอาณานิคมขึ้นในภูมิภาคนี้
ในทางภูมิศาสตร์ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ โดยเฉพาะทะเลจีนใต้และช่องแคบมะละกา เพราะเป็นจุดเชื่อมโยงของภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก ที่ประกอบด้วย เอเชียใต้ เอเชียตะวันออก และออสเตรเลีย ทะเลจีนใต้และช่องแคบมะละกาเป็นช่องเดินเรือบรรทุก ที่หนาแน่ที่สุดของโลก แต่ละปีมีเรือบรรทุก 50,000 ลำแล่นผ่านบริเวณนี้ เทียบได้เท่ากับ 40% ของการค้าโลก การสร้างที่มั่นทางทหารของจีนในทะเลจีนใต้ จึงเป็นเรื่องอ่อนไหวด้านความมั่นคงในภูมิภาคนี้
ในปี 2018 เศรษฐกิจของอาเซียนรวมกันมีมูลค่า 2.8 ล้านล้านดอลลาร์ ทำให้อาเซียนมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่อันดับ 6 ของโลก รองจากสหรัฐฯ จีน ญี่ปุ่น เยอรมัน และสหราชอาณาจักร เมื่อเศรษฐกิจจีนชะลอตัวลง เกิดสงครามการค้ากับสหรัฐฯ และการแพร่ระบาดของโควิด19 บริษัทข้ามชาติหันมาใช้ “กลยุทธ์จีนบวก” (China Plus Strategy) เพื่อย้ายฐานการผลิตออกจากจีนมาอาเซียน
การแข่งขันของมหาอำนาจ
Where Great Powers Meet กล่าวว่า ในอดีต ภูมิภาคนี้เผชิญกับการแข่งขันระหว่างมหาอำนาจมาตลอด ทำให้ประเทศในภูมิภาคนี้ต้องใช้นโยบายป้องกันตัวเอง เช่น การวางตัวเป็นกลาง หรือการไม่ผูกพันกับฝ่ายใด แต่บางประเทศก็ใช้นโยบายการเป็นพันธมิตรกับมหาอำนาจที่เข้มแข็งที่สุด แต่นับจากกลางทศวรรษ 1990 เป็นต้นมา อาเซียนมีจุดยืนและนโยบายการหารือแบบหลายฝ่ายกับบรรดามหาอำนาจต่างๆที่อยู่นอกกลุ่ม
ในปี 2011 ประธานาธิบดีบารัก โอบามา ประกาศนโยบายให้เอเชียเป็น “แกน” ด้านต่างประเทศของสหรัฐฯ โดยเป็นการ “ปรับดุลยภาพ” (rebalance) ที่เดิมความสำคัญอยู่ที่ตะวันออกกลาง ท่าทีสหรัฐฯดังกล่าวทำให้จีนเร่งสร้างความสัมพันธ์กับภูมิภาคนี้ โดยเฉพาะผ่านโครงการ “หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง” ที่ทุกประเทศในอาเซียนเข้าร่วมในทางใดทางหนึ่ง
ทุกประเทศในอาเซียนเห็นประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรม ในการมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับจีนมากขึ้น หนังสือ Where Great Powers Meet อ้างคำพูดของเจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศมาเลเซียคนหนึ่งว่า…
“คำถามที่ว่าทำไมอาเซียนและมาเลเซียเอนเอียงไปทางจีน คำตอบแบบง่ายๆก็คือเงิน จีนเสนอเงินลงทุนมหาศาล และตลาดที่ใหญ่โต”
หนังสือ Where Great Powers Meet ยังได้ทำแถบคลื่นความสัมพันธ์ (spectrum of relations) ที่สมาชิกอาเซียนมีต่อสหรัฐฯกับจีนว่า 7 ประเทศอาเซียนที่มีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับจีน ประกอบด้วยกัมพูชา ลาว เมียนมา มาเลเซีย อินโดนีเซีย บรูไน และไทย ส่วนอีก 3 ประเทศของอาเซียนที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดทางสหรัฐฯประกอบด้วย เวียดนาม สิงคโปร์ และฟิลิปปินส์
แต่ก็จะเป็นเรื่องที่ผิดพลาด หากจะมองความสัมพันธ์ของอาเซียนกับมหาอำนาจมีเพียงทางเลือกสหรัฐฯกับจีนเท่านั้น ประเทศมหาอำนาจระดับกลางจะมีส่วนช่วยให้อาเซียนไม่ยึดติดอยู่กับการแข่งขันระหว่างสหรัฐฯกับจีนเท่านั้น ญี่ปุ่นก็มีบทบาทสำคัญทางเศรษฐกิจต่อภูมิภาคนี้ อินเดียก็กำลังขยายบทบาทในเอเชีย ด้วยนโยบาย Act East รวมทั้งเกาหลีใต้ก็ได้เปิดเผยนโยบายต่ออาเซียนเรียกว่า Southward Policy
จุดแข็งจุดอ่อนของจีนกับสหรัฐฯ
ในความสัมพันธ์กับแต่ละประเทศในอาเซียน ทั้งสหรัฐฯและจีนต่างก็มีจุดแข็งและจุดอ่อน จุดแข็งของจีนคือการอยู่ใกล้ทางภูมิศาสตร์และเงินทุนของจีน ทำให้จีนได้เปรียบในด้านการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานทั่วภูมิภาคนี้ การค้าจีนกับอาเซียนก็มีมูลค่าสูงปีหนึ่ง 586 พันล้านดอลลาร์ นอกจากนี้ จีนยังไม่มีนโยบายวิจารณ์เรื่องสิทธิมนุษยชน หรือธรรมาภิบาล แต่จุดอ่อนของจีนคือการอยู่ใกล้ทางภูมิศาสตร์กับภูมิภาคนี้ และการอ้างกรรมสิทธิ์ในทะเลจีนใต้ที่กว้างขวาง
ส่วนสหรัฐฯ จุดแข็งคืออำนาจทางทหาร โดยเฉพาะอำนาจทางกองทัพเรือ ในด้านเศรษฐกิจ แม้มูลค่าจะน้อยกว่าจีน แต่การค้าสหรัฐฯกับอาเซียนยังมีมูลค่าสูง ในปี 2018 เป็นเงิน 334 พันล้านดอลลาร์ การลงทุนสะสมของสหรัฐฯในภูมิภาคนี้เป็นมูลค่า 329 พันล้านดอลลาร์
แต่จุดอ่อนของสหรัฐฯคือ การอยู่ห่างไกลจากภูมิภาคนี้ ทำให้เกิดสภาพไม่พึงประสงค์ของระยะห่าง (tyranny of distance) เช่นความไม่สะดวกของการเดินทางมาเยือนของผู้นำระดับสูง การที่สหรัฐฯเน้นหนักเรื่องประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน และธรรมาภิบาล การขาดเงินลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน ที่จะแข่งกับจีน การแก้จุดอ่อนในเรื่องนี้อยู่ที่สหรัฐฯยกระดับให้ภูมิภาคนี้ มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์เป็นอันดับแรก
David Shambaugh ผู้เขียน Where Great Powers Meet สรุปว่า จากจุดแข็งและจุดอ่อนทั้งของสหรัฐฯกับจีนดังกล่าว ทำให้ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อยู่ในฐานะที่จะสามารถได้ประโยชน์จากสิ่งดีๆของแต่ละฝ่าย
เอกสารประกอบ
Where Great Powers Meet: America & China in Southeast Asia, David Shambaugh, Oxford University Press, 2021.