ThaiPublica > เกาะกระแส > สังหาร “จามาล คาช็อกกี” ช็อกโลก ระบุมกุฎราชกุมารซาอุฯ อนุมัติปฏิบัติการ

สังหาร “จามาล คาช็อกกี” ช็อกโลก ระบุมกุฎราชกุมารซาอุฯ อนุมัติปฏิบัติการ

2 มีนาคม 2021


รายงานโดย ปรีดี บุญซื่อ

เจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน มกุฎราชกุมารแห่งซาอุดีอาระเบีย ที่มาภาพ: https://www.nytimes.com/2021/02/26/us/politics/jamal-khashoggi-killing-cia-report.html

เมื่อวันศุกร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ รัฐบาลโจ ไบเดน แห่งสหรัฐอเมริกา ได้เปิดเผยรายงานฝ่ายข่าวกรอง จำนวน 4 หน้า ที่ระบุว่า เจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน มกุฎราชกุมารแห่งซาอุดีอาระเบีย เป็นผู้อนุมัติปฏิบัติการสังหารจามาล คาช็อกกี นักหนังสือพิมพ์และคอลัมนิสต์ของหนังสือพิมพ์ The Washington Post

รายงานนี้กล่าวว่า ข้อสรุปของหน่วยข่าวกรองสหรัฐฯ มาจากพื้นฐานที่ว่า มกุฎราชกุมารซาอุฯ ที่มีชื่อย่อว่า MBS (Mohammed bin Salman) มีอำนาจการควบคุมอย่างสมบูรณ์ ในเรื่องการตัดสินใจของราชอาณาจักซาอุดีอาระเบีย MBS สนับสนุนการใช้มาตรการรุนแรง ที่จะปิดปากคนที่มีความเห็นต่างที่อยู่ในต่างประเทศ รวมถึงคาช็อกกี นอกจากนี้ ผู้ช่วยระดับสูงและเจ้าหน้าที่อาวุโสด้านความมั่นคงของ MBS ก็เข้าร่วมในปฏิบัติการครั้งนี้ด้วย

บทความของ The New York Times ชื่อ Saudi Crown Prince Is Held Responsible for Khashoggi Killing in US Report กล่าวว่า รายงานหน่วยข่าวกรองสหรัฐฯ ไม่ได้เปิดเผยหลักฐานที่ทำให้หน่วยงาน CIA ได้ข้อสรุปว่า MBS รับผิดชอบต่อการสังหารคาช็อกกี หลักฐานเหล่านี้ยังปิดเป็นความลับอยู่ แต่นางจินา แฮสเพล (Gina Haspel) ผู้อำนวยการ CIA ในเวลานั้น ได้ฟังบันทึกเสียงจากสถานกงสุลซาอุฯ ที่หน่วยงานข่าวกรองของตุรกีได้มา เป็นเสียงที่คาช็อกกีต่อสู้กับคนที่จับกุมเขา และเสียงเลื่อยที่ใช้ตัดร่างเขาออกเป็นชิ้นๆ

เหตุเกิดเมื่อ 2 ตุลาคม 2018

หนังสือชื่อ Blood and Oil (2020) เขียนไว้ว่า จามาล คาช็อกกี เดินทางมาถึงเมืองอิสตันบูล ประเทศตุรกี ในเช้าวันที่ 2 ตุลาคม 2018 ในเวลานั้น ทีมสังหารจำนวน 15 คนได้เดินทางมาถึงอิสตันบูลแล้ว เพื่อเตรียมลงมือปฏิบัติการ คาช็อกกีเดินทางไปสถานกงสุลซาอุดีอาระเบีย กับคู่หมั้นชาวตุรกีชื่อ ฮาติช เซนจิซ (Hatice Cengiz)

คาช็อกกีเคยสมรสมาแล้ว 3 ครั้งในซาอุฯ ที่อนุญาตให้ผู้ชายสามารถแต่งงานได้หลายครั้งในเวลาเดียวกัน แผนการของเขาคือจะไปเอาเอกสารจากกงสุลซาอุฯ เพื่อพิสูจน์ว่าเขาได้หย่าร้างกับอดีตภรรยาแล้ว และจะนำเอกสารนี้ ไปใช้จดทะเบียนสมรสกับคู่หมั้นต่อเจ้าหน้าที่ตุรกี เพราะในตุรกีเป็นสิ่งผิดกฎหมายที่ผู้ชายจะมีภรรยาหลายคน

ก่อนหน้านี้ คาช็อกกีเคยเดินทางมาสถานกงสุลซาอุฯ แล้วครั้งหนึ่ง เจ้าหน้าที่กงสุลแจ้งเขาว่าต้องใช้เวลาตระเตรียมเอกสาร และต้องประสานงานกลับไปยังหน่วยงานในซาอุฯ แต่สิ่งที่คาช็อกกีไม่รู้ก็คือ การมาติดต่อที่สถานกงสุลครั้งแรกของเขาทำให้เจ้าหน้าที่ข่าวกรองซาอุฯ รู้เรื่องนี้ และเตรียมแผนการที่จะกำจัดคนที่เป็นฝ่ายตรงกันข้ามที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคนหนึ่ง

หนังสือ Blood and Oil กล่าวว่า ก่อนที่จามาล คาช็อกกี จะเข้าไปยังสถานกงสุลซาอุฯ เขาฝากโทรศัพท์มือถือ 2 เครื่องไว้กับคู่หมั้น ฮาติช เซนจิซ ที่รออยู่ข้างนอก และบอกเธอว่า หากเขาไม่กลับออกมาภายในครึ่งชั่วโมง ให้โทรศัพท์ไปหานักการเมืองตุรกีชื่อ ยาซิน อัคเทย์ (Yasin Aktay) ที่ใกล้ชิดกับประธานาธิบดีตุรกี เทย์ยิป เออร์โดกัน (Tayyip Erdogen)

จามาล คาช็อกกี เดินเข้าไปในสถานกงสุลซาอุฯ เวลา 13.15 น. เมื่อเข้าไปถึง เขารู้ทันทีว่ามีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้น เพราะมีเจ้าหน้าที่ข่าวกรองและความมั่นคงของซาอุฯ จำนวน 10 คนอยู่ในอาคารกงสุล คาช็อกกีได้เห็นพลจัตวา Maher Abdulaziz Mutreb ที่เป็นหัวหน้ากองกำลัง Rapid Intervention Force (RIF) เมื่อสิบปีที่แล้ว คาช็อกกีและนายพล Mutreb เคยทำงานร่วมกันในสถานทูตซาอุฯ ที่กรุงลอนดอน

นายพล Mutreb บอกคาช็อกกีว่า ทีมงานของเขาจะนำตัวคาช็อกกีกลับไปกรุงรียาด เพราะมีหมายจับจากตำรวจสากล คาช็อกกีรู้ดีว่าไม่มีหมายจับตัวเขาจากตำรวจสากล กองกำลัง RIF เป็นหน่วยงานลับที่จะนำตัวคนที่วิพากวิจารณ์รัฐบาลซาอุฯ กลับประเทศ มาถึงจุดนี้ คาช็อกกีตระหนักแล้วว่าชะตากรรมของตัวเองจะเป็นอย่างไร

RIF หน่วยงานพิทักษ์ MBS

บทความของ The New York Times ชื่อ Crushing Dissent: The Saudi Kill Team Behind Khashoggi’s Death เขียนไว้ว่า รายงานหน่วยข่าวกรองสหรัฐฯ ที่เปิดเผยออกมาระบุว่า มีเจ้าหน้าที่ซาอุฯ 7 คนที่เกี่ยวข้องกับการสังหารคาช็อกกี มาจากหน่วยงานชั้นนำ RIF ที่มีหน้าที่ปกป้องมกุฎราชกุมาร MBS

บทบาทของเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการจากกลุ่ม RIF ในการสังหารจามาล คาช็อกกี ทำให้รายงานหน่วยข่าวกรองสหรัฐฯ ได้ข้อสรุปว่า “สมาชิก RIF จะไม่สามารถเข้าร่วมในการสังหาร” หากไม่ได้รับความเห็นชอบจากมกุฎราชกุมาร กลุ่ม RIF เกิดขึ้นเพื่อปกป้อง MBS และรายงานตรงต่อ MBS

เจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน มกุฎราชกุมารแห่งซาอุดีอาระเบีย ที่มาภาพ: bbc.com

คนที่ดูแลกลุ่ม RIF คือผู้ช่วยระดับสูงของ MBS ชื่อ Saud al-Qahtani ที่ยังมีตำแหน่งดูแลงานสื่อมวลชลให้แก่ราชสำนักของซาอุฯ ส่วนผู้บัญชาการภาคสนามของ RIF คือ พลจัตวา Maher Abdulaziz Mutreb นายทหารฝ่ายข่าวกรองอีกคนคือ Thaar Ghaleb al-Harbi ที่เป็นสมาชิกของหน่วยพิทักษ์ราชสำนักซาอุฯ (Saudi Royal Guard) รายงานหน่วยข่าวกรองสหรัฐฯ ระบุว่า ทั้ง 3 คนนี้อยู่ในกลุ่มคนทั้งหมด 21 คน ที่เกี่ยวข้องกับการสังหารคาช็อกกี

หนังสือ The Killing in the Consulate ตอบคำถามที่ว่า ทำไมซาอุฯ จึงเลือกสถานกงสุลซาอุฯ ในอิสตันบูล เป็นสถานที่การสังหารคาช็อกกี ทั้งๆ ที่เขาเองมีการนัดหมายแน่นอนกับสถานกงสุล เจ้าหน้าที่ข่าวกรองตะวันตกให้ความเห็นว่า คนที่ลงมือปฏิบัติการ ต้องการสื่อความหมายในลักษณะคำประกาศ แบบเดียวกับที่รัสเซียใช้ก๊าซพิษกับพวกอดีตสายลับในอังกฤษ ซาอุฯ ต้องการแสดงพลังให้ปรากฏแก่ฝ่ายตรงกันข้า

เจ้าหน้าที่ซาอุฯ เองไม่ได้คาดคิดว่าจะมีคนได้ยินเสียงปฏิบัติการสังหารคาช็อกกีในสถานกงสุล แต่คนพวกนี้คาดการณ์ว่า การหายสาบสูญของคาช็อกกีจะเป็นการส่งสัญญาณให้แก่พวกที่วิจารณ์มกุฎราชกุมาร MBS ว่า ชีวิตคนพวกนี้จะไม่ปลอดภัย โดยเฉพาะพวกที่อยู่ในตุรกี

ที่มาภาพ : amazon.com

ในตอนแรก ทางการซาอุฯ ปฏิเสธเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น อาจเป็นเพราะไม่รู้ว่าหน่วยข่าวของตุรกีได้เข้าติดตั้งเครื่องดักฟังในสถานกงสุล ก่อนที่คาช็อกกีจะเข้าไปรับเอกสารการหย่าร้าง เมื่อได้ยินคำให้สัมภาษณ์ของ MBS ว่า ทางการซาอุฯ จะสอบสวนเรื่องที่เกิดขึ้น ประธานาธิบดีเออร์โดกันก็ให้เจ้าหน้าที่ตุรกีเปิดเผยข้อมูลการสังหารคาช็อกกีต่อสาธารณะมากขึ้น เช่น ทีมงานสังหารคนหนึ่งนำเลื่อยตัดกระดูกเข้ามาตุรกี ทำให้โลกได้เห็นถึงความโหดร้ายในการสังหารคาช็อกกี

ในวันที่ 20 ตุลาคม กระทรวงการต่างประเทศของซาอุฯ ก็เผยแพร่เรื่องราวที่เกิดขึ้นแบบให้ MBS พ้นการรับผิดว่า เจ้าหน้าที่ซาอุฯ เดินทางไปตุรกี เพื่อนำตัวคาช็อกกีกลับมาซาอุฯ แต่การถกเถียงกันทำให้เกิดการปะทะและต่อสู้กันขึ้น จนนำไปสู่การตายของคาช็อกกี เจ้าหน้าที่พวกนี้พยายามปกปิดเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งคำแถลงดังกล่าว ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ บอกว่า “เป็นก้าวแรกที่ดี”

ส่วนหนังสือชื่อ The Son King (2020) กล่าวว่า จามาล คาช็อกกี ถูกสังหาร อาจจะมาจากการวางแผนล่วงหน้าไว้แล้ว หรืออาจเป็นเพราะแผนการลักพาตัวเกิดผิดพลาดขึ้นมา แต่ที่เป็นไปได้มากที่สุดคือ เป็นการสังหารที่วางแผนมาแล้ว เพราะทีมสังหารประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญด้านอาชญาวิทยาศาสตร์รวมอยู่ด้วย และมีการเตรียมการในเรื่องการหั่นยศพออกเป็นชิ้นๆ

การสังหารคาช็อกกีสร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่วโลก เพราะเป็นการสังหารฝ่ายตรงกันข้าม โดยฝีมือเจ้าหน้าที่ของรัฐ ใช้วิธีการนอกกระบวนการยุติธรรม และสถานที่เกิดเหตุอยู่นอกประเทศ แต่เป็นพื้นที่ที่มี “สิทธิสภาพนอกอาณาเขต” (extraterritorial) สภาพแวดล้อมการสังหารคาช็อกกีดังกล่าวนี้ ล้วนเป็นปัจจัยที่สร้างความไม่พอใจที่เกิดขึ้นทั่วโลก

เอกสารประกอบ
Saudi Crown Prince Is Held Responsible for Khashoggi Killing in US Report, FEB 26, 2021, nytimes.com
Crushing Dissent: The Saudi Kill Team Behand Khashoggi Death, Feb 26, 2021, nytimes.com
Blood and King, Bradley Hope and Justin Scheck, Hachette Book Group 2020.
The Son King: Reform and Repression in Saudi Arabia, Oxford University Press, 2020.
The Killing in the Consulate, Jonathan Rugman, Simon & Schuster, 2019.