ThaiPublica > เกาะกระแส > สภาพัฒน์ประเดิมเงินกู้ 4 แสนล้าน ใส่เงินฟื้นฟูเศรษฐกิจล็อตแรก 1 แสนล้าน

สภาพัฒน์ประเดิมเงินกู้ 4 แสนล้าน ใส่เงินฟื้นฟูเศรษฐกิจล็อตแรก 1 แสนล้าน

27 มิถุนายน 2020


ดร.ทศพร ศิริสัมพันธ์ เลขาธิการ สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์

เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2563 ดร.ทศพร ศิริสัมพันธ์ เลขาธิการ สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ แถลงความก้าวหน้าของการวิเคราะห์โครงการภายใต้กรอบนโยบายฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ หรืองบเงินกู้ 400,000 ล้านบาท ที่ต้องกลั่นกรองให้แล้วเสร็จรอบแรกในวันที่ 1 กรกฎาคม 2563 ก่อนจะเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติในวันที่ 8 กรกฎาคม 2563 นี้ และคาดว่าจะแบ่งการอนุมัติเงินกู้ฯ ออกเป็น 2-3 รอบ เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องในการกระตุ้นและฟื้นฟูเศรษฐกิจ โดยรอบแรกที่จะเริ่มดำเนินการในเดือนกรกฎาคม 2563

อนึ่ง ล่าสุดเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2563 ส่วนราชการต่างๆ ได้เสนอโครงการเข้ามา 40,000 โครงการ วงเงินกว่า 1.36 ล้านล้านบาท ก่อนที่สภาพัฒน์ในฐานะหน่วยงานเลขานุการของคณะกรรมการกลั่นกรองโครงการฯ ได้คัดเลือกโครงการต่างๆ และได้ข้อสรุปในวันที่ 25 มิถุนายน 2563 ประกอบด้วย แผนงาน 3.1 พลิกฟื้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจ แผนงาน 3.2 ฟื้นฟูเศรษฐกิจท้องถิ่นและชุมชน แผนงาน 3.3 ส่งเสริมและกระตุ้นการบริโภคภาคครัวเรือนและเอกชน และ แผนงาน 3.4 พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน

การใช้จ่ายเงินกู้ฯ 400,000 ล้านบาท มีเป้าหมายสำคัญ 3 ประการ ได้แก่

    1) สร้างความเข้มแข็งแก่เศรษฐกิจฐานราก เน้นการจ้างงาน เกษตรทฤษฎีใหม่ ท่องเที่ยวชุมชน กองทุนหมู่บ้าน และโลจิสติกส์

    2) การลงทุนกระจายความเจริญไปสู่ภูมิภาค (NEC, NeEC, CWEC, SEC) เพื่อสร้างการเติบโตที่ยั่งยืนในอนาคต เน้นเกษตรสมัยใหม่ เศรษฐกิจชีวภาพ ท่องเที่ยวคุณภาพ

    3) กระตุ้นการอุปโภคบริโภค และการท่องเที่ยวในประเทศ โดยจำแนกเป็น 4 แผนงาน

จากข้อเสนอโครงการตั้งแต่วันที่ 5 มิถุนายน 2563 พบว่ามีจำนวนข้อเสนอโครงการ/แผนงานรวมทั้งสิ้นกว่า 46,429 โครงการ เป็นจำนวนเงินมากกว่า 1.456 ล้านล้านบาท (ข้อมูล ณ วันที่ 24 มิถุนายน 2563) โดยคณะทำงานได้พิจารณากลั่นกรองข้อเสนอโครงการ/แผนงานในรอบแรกแล้ว มีข้อเสนอรอบแรกที่จะเสนอเข้า ครม. รวมวงเงิน 101,482.28 ล้านบาท จำนวน 213 โครงการ ตามเป้าหมาย 3 ประการ ประกอบด้วย

  1. แผนงานที่มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความเข้มแข็งเศรษฐกิจฐานราก วงเงิน 58,069.70 ล้านบาท (ร้อยละ 57.22 ของวงเงินรอบแรกทั้งหมด) จำนวน 129 โครงการ ตัวอย่างเช่น
    • เพื่อสร้างความเข้มแข็งแก่เศรษฐกิจฐานราก เช่น โครงการพัฒนาพื้นที่ต้นแบบการพัฒนาคุณภาพชีวิตตามหลักทฤษฎีใหม่ประยุกต์สู่ “โคก หนอง นา โมเดล” (แผนงาน 3.2) มูลค่า 4,953.79 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะจ้างงานเกษตรกรราว 9,188 คน โครงการพัฒนาตำบลแบบบูรณาการ (แผนงาน 3.2) ซึ่งเป็นการใช้ big data เพื่อแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำและความยากจน มูลค่า 2,88 ล้านบาท โดยคาดว่าจะจ้างงานประชาชนในพื้นที่ ราว 14,510 คน โครงการอาสาสมัครบริบาลท้องถิ่นเพื่อดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง (แผนงาน 3.2) มูลค่า 1,080.59 ล้านบาท จ้างงานประชาชนราว 15,548 คน ดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงจำนวน 710,518 คน
    • เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (แผนงาน 3.4) ซึ่งจะมุ่งเน้นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทั้งส่วนที่เป็นปัจจัยการผลิตและการดำรงชีพของประชาชน รวมทั้งการใช้ประโยชน์จากความก้าวหน้าทางดิจิทัล ประยุกต์ใช้ในการสนับสนุนและรองรับการพัฒนาฟื้นฟูเศรษฐกิจฐานราก เพิ่มศักยภาพและยกระดับสาขาเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศ โดยเฉพาะการสนับสนุนให้เกษตรกรทุกพื้นที่สามารถจำหน่ายสินค้าเกษตรให้กับผู้บริโภคได้โดยตรง และผู้บริโภคก็ซื้อสินค้าเกษตรได้โดยตรงเช่นกัน โดยรอบแรกจะบูรณาการแผนงาน/โครงการของหน่วยงานทั้งในส่วนจังหวัดและส่วนราชการ ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐที่ทำหน้าที่ส่งเสริมกิจการที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาดิจิทัลแพลตฟอร์ม เช่น สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ รวมทั้งประสานหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องกับระบบโลจิสติกส์เช่น บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด และการรถไฟแห่งประเทศไทย
  2. แผนงานสร้างความเจริญเติบโตอย่างยั่งยืน วงเงิน 20,989.81 ล้านบาท (ร้อยละ 20.68) จำนวน 77 โครงการ
    • โครงการยกระดับแปลงใหญ่ด้วยเกษตรสมัยใหม่และเชื่อมโยงตลาด (แผนงาน 3.1) มูลค่า 13,904.50 ล้านบาท คาดว่าจะสร้างรายได้ให้เกษตรกรประมาณ 8,293.43 ล้านบาท
    • โครงการสร้างความเข้มแข็งศูนย์ข้าวชุมชน มูลค่า 900.00 ล้านบาท คาดว่าจะสร้างงานให้เกษตรกรประมาณ 600 คน
    • ศูนย์นวัตกรรมการผลิตหัวเชื้อจุลินทรีย์เพื่ออุตสาหกรรมการเกษตร อาหารและการแพทย์ (แผนงาน 3.1) มูลค่า 1,264.40 ล้านบาท คาดว่าจะทำให้เกิดการจ้างงานประมาณ 2,500 คน
    • โครงการยกระดับนวัตกรรมแหล่งท่องเที่ยวโดยชุมชนเชิงสร้างสรรค์สู่ตลาด ท่องเที่ยวคุณภาพตามวิถีนิวนอมอล (Innovative CBT for New Normal) (แผนงาน 3.1) มูลค่า 460 ล้านบาท โดยคาดว่าจะกระจายรายได้สู่ชุมชน นักศึกษา/บัณฑิตตกงานและผู้ประกอบการประมาณ 65 ล้านบาท
  3. แผนงานกระตุ้นการอุปโภค บริโภค และกระตุ้นการท่องเที่ยว 22,422.77 ล้านบาท (ร้อยละ 22.10) จำนวน 7 โครงการ ประกอบด้วย 1) โครงการ “เราไปเที่ยวกัน” 2) โครงการ “เที่ยวปันสุข” และ 3) โครงการ “กำลังใจ” โดยคาดว่าจะสามารถเพิ่มรายได้ให้กับผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวได้ประมาณ 52,400 ล้านบาท

อนึ่ง มีโครงการที่เป็นโครงการของจังหวัดภายใต้แผนงาน 3.2 เดิมที่เน้นการฟื้นฟูเศรษฐกิจฐานรากที่แทรกอยู่ในแผนงานต่างๆ วงเงิน 924.38 ล้านบาท จำนวน 162 โครงการ (จากที่เสนอเข้ามา 3,118.6 ล้านบาท 461 โครงการ) โดยแบ่งเป็นรายภาคดังนี้

  1. ภาคเหนือ 23 โครงการ วงเงิน 134,492,725 บาท
  2. ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 66 โครงการ วงเงิน 381,737,489 บาท
  3. ภาคกลาง 31 โครงการ วงเงิน 91,287,690 บาท
  4. ภาคตะวันออก 3 โครงการ วงเงิน 34,478,800 บาท
  5. ภาคใต้ 29 โครงการ วงเงิน 148,995,914 บาท
  6. จังหวัดใต้ชายแดน 10 โครงการ วงเงิน 133,391,850 บาท

อนึ่ง การใช้เงินกู้ฯ นี้ จะช่วยประคองสถานการณ์ไม่ให้ GDP ของประเทศไทยหดตัวมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ คือหดตัวอยู่ประมาณร้อยละ 5-6 ขณะเดียวกันก็จะช่วยขับเคลื่อนให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจต่างๆ กลับมาฟื้นตัวและเดินหน้าได้ต่อไป โดยมีผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม ดังนี้

  • การจ้างงาน ช่วยให้เกิดการจ้างงานใหม่กว่า 410,415 ราย
  • สร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชน/ตำบล 79,604 หมู่บ้าน 3,000 ตำบล
  • การท่องเที่ยว จะช่วยพัฒนาต้นแบบสำหรับการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพระหว่างและหลังวิกฤติโควิด-19 กว่า 6 พื้นที่
  • ผู้ประกอบการและแรงงานได้รับการพัฒนากว่า 11,000 ราย, บริษัทนำเที่ยวได้ประโยชน์ 13,000 ราย, การเข้าพัก 5,000,000 ห้อง/คืน, การเดินทาง 2,000,000 คน/ครั้ง
  • มาตรการกระตุ้นและส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศ จะช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศ จำนวนกว่า 3.2 ล้านคน/ครั้ง
  • การเกษตร เกษตรกรสามารถเลี้ยงตนเอง กว่า 95,000 ราย จากการเสริมสร้างความมั่นคงทางด้านอาหารและน้ำ, เกษตรกรที่จะได้รับประโยชน์จากการยกระดับเกษตรแปลงใหญ่ 5,450 แปลง มีจำนวน 262,500 ราย และสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มไม่น้อยกว่า 11,000 ล้านบาทต่อปี, เกิดพื้นที่เกษตรทฤษฎีใหม่เพิ่มขึ้นกว่า 2.4 แสนไร่, เกษตรสมัยใหม่เพิ่มขึ้นจำนวนมากกว่า 5 ล้านไร่
  • พื้นที่ป่าไม้ แหล่งน้ำชุมชน จะมีพื้นที่ป่าไม้เพิ่มขึ้นกว่า 1.7 แสนไร่, พื้นที่กักเก็บน้ำ 7,900 ล้านลูกบาศก์เมตร
  • เกิดดิจิทัลแพลตฟอร์มและระบบโลจิสติกส์, ดิจิทัลแพลตฟอร์มด้านการท่องเที่ยว และดิจิทัลแพลตฟอร์มด้านสินค้า