ThaiPublica > เกาะกระแส > สภาพัฒน์แจงกรอบฟื้นฟู 4 แสนล้าน เน้น “เกษตรปลอดภัย-ท่องเที่ยวสุขภาพ” เสนอโครงการใน 2 สัปดาห์

สภาพัฒน์แจงกรอบฟื้นฟู 4 แสนล้าน เน้น “เกษตรปลอดภัย-ท่องเที่ยวสุขภาพ” เสนอโครงการใน 2 สัปดาห์

25 พฤษภาคม 2020


ดร.ทศพร ศิริสัมพันธ์ เลขาธิการ สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์

เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2563 สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ เปิดเผยรายละเอียดกรอบนโยบายการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศในด้านต่างๆ วงเงิน 400,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ “พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาด ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563” หรือ พ.ร.ก.เงินกู้  1 ล้านล้านบาท

ดร.ทศพร ศิริสัมพันธ์ เลขาธิการสภาพัฒน์ ในฐานะประธานกรรมการ คณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ตามมาตรา 7 ของ พ.ร.ก. ดังกล่าว กล่าวว่า ประเด็นนี้เป็นที่สนใจอยู่ค่อนข้างมากว่าเงิน 400,000 ล้านบาทจะนำไปทำอะไรบ้าง โดยใน 1 ล้านล้านบาทจะแยกเป็น 2 ก้อน 600,000 ล้านบาทใช้เยียวยา 5.5 แสนล้านบาท และ 4.5 หมื่นล้านบาทสำหรับระบบสาธารณสุข ประเด็นส่วนที่เหลือจะใช้ฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมไทยประมาณ 4 แสนล้านบาท

ทั้งนี้ กรอบแนวคิดสำหรับใช้จ่ายเงินจะมี 4 กรอบ ได้แก่ อันแรกจะเป็นการลงทุนหรือกิจกรรมการพัฒนาที่สามารถพลิกฟื้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจโดยอาศัยจุดขายของเศรษฐกิจไทย 2 ด้าน คือ ระบบสาธารณสุข โดยจะจูงใจให้มาเที่ยวเมืองไทยในเชิงสุขภาพ ท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ ไทยเที่ยวไทย อีกด้านเน้นเรื่องการเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร

“เงินจะต้องลงไปสร้างโอกาสให้กับภาคเศรษฐกิจที่เข้มแข็งและมีโอกาส คือ ท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและเกษตร ภาคเกษตรอาจจะมีสองส่วนคือเพิ่มผลิตผลและลดต้นทุน และกลุ่มที่เพิ่มมูลค่า ใช้นวัตกรรมให้สินค้าเกษตรให้มีมูลค่ามากขึ้น เช่น สมุนไพรมาสกัดสารสำคัญออกมา”

อันที่สองคือ ฟื้นฟูเศรษฐกิจชุมชนหรือฐานรากจากเดิมที่ต้องพึ่งพาการส่งออกและไม่มีความยั่งยืน ต่อไปประเทศไทยต้องเน้นที่ภาคส่งออกที่ยั่งยืนและเศรษฐกิจระดับฐานรากให้แข็งแรงมากขึ้น ผ่านการส่งเสริมตลาดและการเข้าถึงช่องทางการตลาดสำหรับผลผลิตหรือผลิตภัณฑ์ของธุรกิจชุมชนที่เชื่อมโยงกับการท่องเที่ยวหรือภาคบริการอื่น การจัดหาปัจจัยการผลิตและสิ่งอำนวยความสะดวกที่จำเป็นสำหรับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นและชุมชน พร้อมทั้งยกระดับมาตรฐานคุณภาพและมูลค่าเพิ่มของสินค้า และผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นและชุมชน

“บทเรียนครั้งนี้เราเห็นว่าภาคท่องเที่ยวมีผลกระทบอย่างมากจากที่เงินรายได้เข้ามา 2 ล้านล้านบาท แต่พอไม่มีส่วนนี้เข้ามากิจการก็ต้องปิด คนก็ตกงานกลับภูมิลำเนาไป เราต้องไปสร้างงานอาชีพให้คนในส่วนนี้ อันที่สองคือจะไปดูแลการสร้างงาน เพิ่มรายได้ให้คนในชุมชน”

ในระดับชุมชนอาจจะต้องเน้นสิ่งที่มีศักยภาพและคุ้นเคยคือการเกษตร ต้องไปเน้นผลผลิตทางการเกษตรที่ปลอดภัยและมีมูลค่าเพิ่ม ก็ต้องไปทำเรื่องแหล่งน้ำด้วย อีกส่วนคือการท่องเที่ยวชุมชน ต้องพัฒนาสินค้าหรือบริการชุมชน เช่น ผ้าพื้นบ้าน อาหารพื้นบ้าน การบริการต่างๆ ฯลฯ ต้องพัฒนาการตลาดให้ผลิตภัณฑ์มีระบบขนส่งที่ดีหรือระบบโลจิสติกส์ที่ดี

อันที่สาม คือ กระตุ้นการบริโภค อย่างที่เรียนว่าเรื่องท่องเที่ยวอาจจะไม่สามารถดึงนักท่องเที่ยวกลับมาได้เร็วๆ นี้ สิ่งที่ทำได้ก่อนคือไทยเที่ยวไทย แต่คำถามคือจะทำอย่างไรให้คนไทยไปเที่ยว แต่วันนี้เราก็เห็นสิ่งแวดล้อมเริ่มฟื้นตัวกลับขึ้นมาด้วย ก็น่าจะเป็นจุดดึงดูดให้คนไทยมาเที่ยว ส่วนหนึ่งอาจจะมีส่วนลดของโรงแรมที่รัฐบาลช่วยอุดหนุนให้โดยอาจจะเชื่อมโยงกับระบบภาษีเป็นการคืนผ่านภาษีแทน

“นอกจากเรื่องการท่องเที่ยว ไทยเที่ยวไทยแล้วอาจจะมีเรื่องการบริโภคอย่าง ช้อปช่วยชาติ แต่ต้องดูรายละเอียดว่าจะทำอย่างไร แต่สำหรับท่องเที่ยวเป็นการยกตัวอย่างให้เห็นภาพชัดเจน และคิดว่าการท่องเที่ยวน่าจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้เร็วกว่ามาตรการอื่นๆ แล้วเราหวังว่าการใส่เงินเข้าไปตรงนี้จะช่วยดึงการบริโภคขึ้นมาได้”

อันที่สี่ คือ เรื่องโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งไม่ใช่โครงการขนาดใหญ่ตามปกติ แต่เป็นโครงสร้างพื้นฐานของชุมชน ซึ่งจะมาตอบโจทย์ของชุมชนและเศรษฐกิจฐานรากในข้อที่สอง ตัวอย่างเช่น การพัฒนาแหล่งเก็บกักน้ำและระบบชลประทานที่จะต้องแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมโยงกับแผนการพัฒนาจัดการทรัพยากรน้ำของประเทศ หรือการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งและระบบโลจิสติกส์ที่เชื่อมโยงการเดินทางและขนส่งสินค้าจากชุมชน/ท้องถิ่นสู่ประตูการค้าหลักภายในประเทศ หรือการพัฒนาดิจิทัลแพลตฟอร์มเพื่อเชื่อมโยงชุมชนกับผู้บริโภคโดยตรง เป็นต้น

เรื่องระยะเวลาที่เกี่ยวข้องหลังจาก พ.ร.ก. ออกมา กฎหมายได้กำหนดให้คณะกรรมการกลั่นกรองเงินกู้ได้ทำกรอบนโยบายเสนอ ครม. ไปเมื่อวันที่ 12 พ.ค. 2563 และวันที่ 19 พ.ค. 2563 ได้ทำรายละเอียด และวันนี้ได้เชิญหน่วยราชการมาอธิบายรายละเอียดให้เข้าใจและเตรียมคิดโครงการออกมา และส่งกลับมาภายในวันที่ 5 มิถุนายน 2563

  • อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมกรอบการใช้เงินกู้
  • “ตอนนี้เครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจดับหมด ที่เหลืออยู่คือภาครัฐ มันก็มีแค่ภาษีกับการใช้จ่ายของภาครัฐ แต่รายละเอียดว่าจะใช้อย่างไร มีกลไกอะไร จะอุดหนุนตรงไหนอย่างไร จะต้องลงรายละเอียดอีกที โดยจะไม่ให้มีการรั่วไหล ส่วนไทยเที่ยวไทยคิดว่าอาจจะได้เร็วที่สุดในไตรมาสที่สามของปี เพราะภาคท่องเที่ยวจากต่างประเทศอาจจะยังไม่กลับมา”

    ดร.ทศพรกล่าวต่อไปว่า งบก่อนนี้ตั้งใจจะให้ต่อเนื่องจากการเยียวยา เพื่อให้เศรษฐกิจมีการฟื้นตัวได้ต่อเนื่องก่อนที่งบประมาณปี 2564 จะเริ่มใช้จ่ายเข้ามาในระยะต่อไป โดยโครงการทั้งหมดจะถูกเผยแพร่ให้ประชาชนตรวจสอบได้ทุกโครงการ

    ส่วนประเด็นเป็นการตีเช็คเปล่าให้หน่วยราชการสามารถใช้จ่ายเงินได้อิสระ ดร.ทศพรกล่าวว่า พ.ร.ก. มีกรอบการใช้จ่ายในระดับหนึ่งแล้ว และให้คณะกรรมการฯ ทำรายละเอียดเพิ่มเติมเข้า ครม. ดังนั้นระบบต่างๆ มีความชัดเจนและโปร่งใสพอสมควร ส่วนที่ว่ามีใครส่งโครงการมาแล้วหรือไม่ ตอนนี้ยังไม่มี แต่วันนี้ที่เชิญเข้ามาคุยเพิ่มเริ่มตั้งต้นโครงการ โดยพยายามจะให้โครงการจบภายในปีงบประมาณ 2564

    “ส่วนการตั้งกรรมาธิการถือว่าเป็นความรอบคอบของด้านสภาผู้แทนราษฎรที่ช่วยเข้ามาตรวจสอบ ซึ่งเป็นเรื่องที่ดี สภาพัฒน์มองว่าเป็นประโยชน์ที่มีคนช่วยตรวจสอบและให้ความคิดเห็นเพิ่มเติม แต่ในส่วนอำนาจของรัฐบาลจะมีกลไกตรวจสอบอยู่แล้ว มีคณะอนุกรรมการตรวจสอบ มีระบบผู้ตรวจราชการ มีการจ้างนักศึกษาและประชาชนเป็นผู้ตรวจรายงานผลกลับมาด้วย”