ThaiPublica > เกาะกระแส > นายกฯ เคาะ “เคอร์ฟิวทั่วประเทศ” ศุกร์ 3 เม.ย.นี้ ขอปชช. “อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ”

นายกฯ เคาะ “เคอร์ฟิวทั่วประเทศ” ศุกร์ 3 เม.ย.นี้ ขอปชช. “อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ”

2 เมษายน 2020


พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้เป็นประธานการประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019

นายกรัฐมนตรีห่วงใย สั่งการให้ทำความเข้าใจทุกช่องทางเพื่อสร้างความมั่นใจให้ประชาชนในทุกประเด็น เตรียมยกระดับข้อกำหนดตาม พรก ฉุกเฉิน

เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2563 เวลา 09.30 น. ณ ตึกสันติไมตรีหลังนอก ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้เป็นประธานการประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ย้ำการสั่งการให้ทุกหน่วยงานบูรณาการการทำงานร่วมกัน ทำงานด้วยความช่วยเหลือกัน ไม่ขัดแย้ง และเสนอคณะรัฐมนตรีในทุกมาตรการ

โดยในการประชุมครั้งนี้ นายกรัฐมนตรีแจ้งเรื่องการยกระดับมาตรการในการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเพิ่มเติมโดยกำหนดเคอร์ฟิวทั่วประเทศระหว่างเวลา 22.00-04.00 น. ตั้งแต่วันศุกร์นี้เป็นต้นไป ทั้งนี้ ยกเว้นผู้มีความจำเป็นที่จะต้องเดินทาง ได้แก่ บุคคลากรทางการแพทย์ การขนส่งเวชภัณฑ์ การขนส่งผู้ป่วย การขนส่งด้านพลังงาน และการขนย้ายประชาชนสู่พื้นที่ควบคุม เป็นต้น

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีได้หารือ และสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณามาตรการรองรับทางเศรษฐกิจโดยต้องพิจารณาอย่างรอบด้าน ครบถ้วน เช่น ตราสารหุ้น การบรรเทาหนี้ การดำเนินการระบบภาษี ลดภาษี เมื่อสถานการณ์ยุติ ต้องมีมาตรการเพื่อการฟื้นฟู ด้านการลงทุนต่างๆ ที่เป็นประโยชน์แก่ประชาชน ทั้งนี้ การดำเนินการในส่วนของงบประมาณ ต้องเป็นการพิจารณาดำเนินการตามขั้นตอนที่ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งค่อนข้างมีขั้นตอน ละเอียด และต้องใช้เวลา

ในส่วนของสินค้าทางการแพทย์ เตียง หน้ากาก N95 ชุด PPE นายกรัฐมนตรีสั่งการให้จัดหาให้เพียงพอต่อความต้องการ และส่วนการนำเข้าสินค้าทางการแพทย์ มีขั้นตอนในการดำเนินการ ในเรื่องภาษีนำเข้าได้ที่ต้องรับการแก้ไข เพื่อการสั่งซื้อสินค้าผ่านระบบ G to G เช่น กับประเทศจีน มีขั้นตอนที่ประเทศจีนจะต้องรับรองบริษัทจึงจะผ่านระบบได้ จึงเป็นส่วนที่ต้องทำความเข้าใจกับสังคม

ทั้งนี้ กระทรวงมหาดไทยแจ้งว่าได้ดำเนินการร่วมการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม บริหารจัดการด้านการขนส่ง และกระจายหน้ากากอนามัยผ่านระบบการสื่อสาร เพื่อหน้ากากอนามัยถึงปลายทางโดยเรียบร้อย

นายกรัฐมนตรีขอให้ทุกหน่วยงานทำความเข้าใจกับประชาชน ในการดำเนินการส่วนหนึ่งส่วนใด มีกฎระเบียบ ขั้นตอน รายละเอียดปลีกย่อย ที่ต้องร่วมพิจารณา เพราอาจเกิดผลกระทบต่อส่วนรวมได้ จึงขอให้ทุกหน่วยงานสร้างความเข้าใจกับประชาชน ผ่านทุกช่องทางการสื่อสารของรัฐ เช่น เพจไทยคู่ฟ้า ไม่ให้เกิดการบิดเบือน เป็นประเด็นทาง Social Media

ในส่วนของผู้ที่ไม่ปฏิบัติตามมาตรการของรัฐบาล ยังรวมกลุ่ม นั่งดื่ม ขอให้น่วยงานที่บังคับใช้กฎหมายพิจารณาลงโทษอย่างจริงจัง เพื่อให้ประชาชนปฏิบัติตามมาตรการที่รัฐบาลกำหนด

สั่งชะลอเดินทางเข้าประเทศ ถึง 15 เม.ย.

สำหรับการเดินทางเข้าประเทศไทยนั้น นายกรัฐมนตรีสั่งการให้ชะลอการเดินทางจากต่างประเทศจนถึง 15 เมษายน เพื่อเตรียมพื้นที่ State Quarantine และเพื่อให้ทุกคนผ่านการประเมินทางสุขภาพอย่างครบถ้วน ในการเดินทางผู้เดินทางต้องมีเอกสารกรอกข้อมูลการเข้าประเทศ ผ่านการประเมินสุขภาพ มีเอกสาร fit to fly และสั่งการให้ ศบค. นำข้อมูลมาวิเคราะห์ วางแผนให้ถี่ถ้วน

เพราะเมื่อเดินทางเข้าประเทศมาแล้ว จะต้องหามาตรการมาควบคุมให้รัดกุม แก้ปัญหาบุคคลเสี่ยงที่หายไประหว่างเดินทางไปยังสถานที่ Quarantine หรือที่พัก ส่วนการ กลับประเทศไทยของกลุ่มนักเรียน นักศึกษา ขอให้ชะลอตามที่แจ้งข้างต้น และพิจารณาพื้นที่รองรับการทำ State Quarantine สั่งการให้กระทรวงการต่างประเทศตรวจสอบไปยังต้นทางการเดินทางว่ามีนักเรียนจำนวนเท่าไหร่ จัดให้ทะยอยกลับ เพื่อให้พื้นที่รองรับสู่ State Quarantine เพียงพอ

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีเข้าใจดีถึงความกังวลของนักเรียน นักศึกษา และผู้ปกครองที่อยากเดินทางกลับประเทศ จึงขอให้กระทรวงการต่างประเทศ สาธารณสุข และมหาดไทยร่วมดูแล ให้มีแนวทางรองรับที่ชัดเจน

ส่วนมาตรการป้องกัน และช่วยเหลือประชาชนภายในประเทศ นายกรัฐมนตรีสั่งการให้กระทรวงมหาดไทยควบคุมด่านไม่ให้เกิดความแออัด ซึ่งขณะนี้ด่านทางบกปิดหมดแล้ว แต่ยังมีคนมารอเข้า-ออก และควบคุมพื้นที่ที่รับผิดชอบอย่างเข้มงวด กระทรวงมหาดไทยแจ้งด้วยว่าพร้อมดำเนินการสร้างความเข้าใจกับประชาชนผ่านหอกระจายข่าว

และในช่วงเวลา 18.00 น.นายกรัฐมนตรีได้แถลงอย่างเป็นทางการว่าพี่น้องประชาชนที่รักยิ่งทุกท่านครับ ผมในฐานะนายกรัฐมนตรี และผู้อำนวยการศูนย์บริหารสถานการณ์โควิก 19 หรือ ศบค. ขอรายงานความคืบหน้าการดำเนินการการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินของศูนย์ดังต่อไปนี้

  • ด้านการแพทย์และสาธารณสุข นับว่าสำคัญที่สุด ต่อสุขภาพของพวกเราทุกคน โดยเน้นมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม หรือที่เรียกว่า Social distancing และรณรงค์ให้ทุกคน “อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ” รวมทั้งปฏิบัติตนตามคำแนะนำของหมอ

สําหรับบุคลากรทางการแพทย์ ต้องได้รับความเร่งด่วนในการสนับสนุนหน้ากากอนามัยโดยฉับพลันและอุปกรณ์ทางการแพทย์อย่างทันการณ์ และทั่วถึงในโรงพยาบาลทุกพื้นที่ ผมถือว่าเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องสำคัญมาก เราต้องมีระบบการกระจายที่มีประสิทธิภาพขาดแคลนไม่ได้

ซึ่งผมจะติดตามด้วยตนเองเพื่อให้ทีมหมอและพยาบาลที่เปรียบเสมือนนักรบที่อยู่แนวหน้า ได้คอยต่อสู้และสกัดกั้นข้าศึกที่มองไม่เห็นด้วยความเสียสละและอดทน ผมในฐานะแม่ทัพจะไม่ยอมให้กำลังหลักของเราต้องต่อสู้ภายใต้ความขาดแคลน ไม่ได้อย่างเด็ดขาด และรต้องมีขวัญกำลังใจที่เข้มแข็งอยู่เสมอเพื่อที่จะมีพลังเอาชนะวิกฤตครั้งนี้ให้ได้โดยเร็วที่สุด ผมขอยืนยันว่าเรามียาที่จำเป็นในการรักษาอย่างเพียงพอ และมีแผนในการจัดหาเพิ่มเติมจากต่างประเทศ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับสถานการณ์ที่อาจจะลุกลามขึ้นได้ในอนาคต

นอกจากนั้น เรายังมีความพร้อมในเรื่องของเตรียมสำหรับผู้ป่วยโดยเราสามารถเพิ่มศักยภาพจากโรงพยาบาลทุกสังกัดหอพักและโรงแรม ให้พร้อมรองรับผู้ป่วยที่อาจจะเพิ่มมากขึ้น ขอให้เชื่อมั่นว่าผู้ป่วยติดเชื้อโควิดฯ ทุกคน จะมีเตียง และยาในการดูแลรักษาอาการป่วยตามมาตรฐานสากลทุกประการ

นอกจากนี้ ผู้ป่วยด้วยโรคนี้รัฐบาลถือว่า เป็นผู้ป่วยฉุกเฉิน ดังนั้นจึงมีอยู่ 3 กองทุนก็คือ กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ, กองทุนรักษาพยาบาลประกันสังคม และกองทุนรักษาพยาบาลสวัสดิการข้าราชการ มารับผิดชอบค่าใช้จ่ายให้

ในด้านของการป้องกันและช่วยเหลือประชาชนรวมทั้งการรักษาความมั่นคง เรายึดหลัก “สุขภาพนำเสรีภาพ” โดยมีเป้าหมายสำคัญก็คือ จำกัดการเดินทาง การเคลื่อนย้ายคน และจำกัดการรวมตัวกันของคนจำนวนมากในพื้นที่เสี่ยงต่อการแพร่ระบาดต่างๆ โดยแต่ละพื้นที่จะต้องออกมาตรการเข้มงวดให้สอดคล้องตามสถานการณ์และคำแนะนำทางการแพทย์

ปัจจุบันบางจังหวัดได้ยกระดับมาตรการทางการปกครอง เช่น การกำหนดเวลาเปิด-ปิดร้านค้า และเวลาออกมาจากบ้านเพิ่มเติมไปแล้ว เพื่อที่จะจำกัดการแพร่ระบาดให้ได้ ได้แก่ จังหวัดชายแดนภาคใต้ และภูเก็ต เป็นต้น ซึ่งจะต้องเอาจริงเอาจัง

“เราอาจจะรู้สึกไม่สะดวกสบายเช่นปกติบ้างแต่เราทุกคนต้องปรับตัวเพื่อความอยู่รอดต้องมีความรับผิดชอบต่อส่วนรวมเราจึงจะฝ่าวิกฤตนี้ไปได้อย่างไรก็ตามเพื่อเพิ่ม ประสิทธิภาพในการควบคุมการระบาด และลดการสัญจรของพี่น้องประชาชนผมจะประกาศข้อกำหนดห้ามบุคคลออกนอกเคหะสถานหรือที่เรียกว่าคลอโรฟิลล์ตั้งแต่เวลา 22:00 น.ถึง 04:00 น.ทั่วราชอาณาจักร”

โดยเว้นผู้ที่มีเหตุจำเป็น หรือผู้ที่ปฏิบัติงานด้านการแพทย์ การธนาคาร การขนส่งสินค้าที่จำเป็นเพื่ออุปโภคบริโภค ยา เวชภัณฑ์ เครื่องมือแพทย์ เชื้อเพลิง รวมถึงการเดินทางของประชาชนเพื่อเข้าและออกเวรทำงาน หรือการเดินทางมาและไปท่าอากาศยาน

ทั้งนี้ ให้ขออนุญาตจากเจ้าหน้าที่ในเขตพื้นที่นั้น โดยจะเริ่มปฏิบัติในวันศุกร์ที่ 3 เมษายนเวลา 22:00 น.จึงต้องขอให้พี่น้องประชาชนอย่าตื่นตระหนกและไม่ต้องตัดกักตุนสินค้าและท่านยังสามารถออกมาซื้อของในเวลากลางวันได้ตามปกติแต่ต้องเคร่งครัดเรื่องระยะห่างทางสังคมด้วยนะครับ

  • ด้านการควบคุมสินค้า ผมได้สั่งการ ให้จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการกระจายหน้ากากและเวชภัณฑ์สำหรับประชาชน และศูนย์ปฏิบัติการควบคุมสินค้า

“โดยขอย้ำว่าผมจะไม่ปล่อยให้ผู้ใดกักตุน หรือช่วยโอกาสหรือแสวงหาผลประโยชน์ซ้ำเติมความทุกข์ยากของคนไทยด้วยกันในยามนี้ ที่ผ่านมาหลังจากที่รัฐบาลได้บังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด และเจ้าหน้าที่ได้ทำการสอบสวนหาต้นตอของปัญหาตลอดสายการผลิตตั้งแต่ ต้นทาง กลางทาง ปลายทาง โดยสามารถปิดผู้กระทำความผิดไปแล้วหลายหลายรายซึ่งจะต้องรับโทษอย่างรุนแรง”

การกักตุนสินค้ามีอัตราโทษสูงจำคุกไม่เกิน 7 ปีหรือปรับไม่เกิน 140,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หากประชาชนพบเห็นสามารถแจ้งเบาะแสได้ที่สายด่วน กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (บก.ปคบ.) 1135

  • สำหรับด้านการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจ รัฐบาลได้ออกมาตรการอย่างต่อเนื่องเพื่อจะได้ลดภาระและบรรเทาความเดือดร้อนที่เกิดขึ้นสำหรับประชาชนทุกกลุ่มและผู้ประกอบการธุรกิจต่างๆ อาทิ เงินช่วยเหลือ 5,000 บาทเป็นเวลา 3 เดือนสำหรับลูกจ้างรายวัน อาชีพอิสระ แรงงานนอกระบบ 9 ล้านคน, การคืนเงินประกันใช้ไฟฟ้า และเงินประกันใช้น้ำ รวมทั้งลดค่าน้ำค่าไฟ 3 เดือนสำหรับทุกครัวเรือน ซึ่งก็จะเป็นจุดเริ่มต้นส่วนหนึ่ง

นอกจากนี้ เรายังมีการพักชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ย เงินผ่อนบ้าน ผ่อนรถ, ขยายเวลาชำระตั๋วจำนำ และลดอัตราขั้นต่ำการจ่ายหนี้บัตรเครดิต สำหรับประชาชนทั่วไปรวมทั้งแรงงานที่อยู่ในระบบประกันสังคมด้วยจึงลดการจ่ายเงินสมทบเหลือ 1% และขยายเวลาให้อีก 3 เดือน ส่วนผู้ประกอบการและ SMEs รัฐบาลก็จะช่วยดึงสภาพคล่องลดภาระค่าใช้จ่ายบริหารหนี้เดิมไม่ให้เป็น NPL ด้วยมาตรการด้านภาษี และด้วยการเงินอีกหลายมาตรการ เพื่อทำให้ทุกคนทุกฝ่ายมั่นใจได้ว่าเราไม่ทิ้งกัน

  • ด้านการต่างประเทศ ศบค. ได้ตั้งศูนย์ปฏิบัติการเพื่อดำเนินมาตรการการเดินทางเข้าออกประเทศ และในการดูแลคนไทยในต่างประเทศด้วยโดยมีการยกระดับการคัดกรองผู้เดินทางเข้าออกประเทศอย่างเข้มงวดไม่ให้มีผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มเติมเข้ามาอีกนับตั้งแต่ที่ได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินไปแล้ว มีเพียงชาวต่างชาติที่ได้รับการยกเว้นตามข้อกำหนด เช่น คณะทูต หรือผู้ที่มีใบอนุญาตทำงานในประเทศไทย หรือลูกเรือ เท่านั้น ที่เดินทางเข้ามาได้

สำหรับคนไทยในต่างแดนเราก็ไม่ทอดทิ้งกัน ลูกหลานญาติพี่น้องของเราเหล่านั้นเราจะเร่งหาทางแก้ไขปัญหา ไม่ว่าจะอยู่ ณ ที่ใดในโลกจะได้รับการดูแล หากต้องการกลับเมืองไทยก็จะต้องผ่านกระบวนการคัดกรอง กักกันตัวและการเฝ้าระวังอย่างเข้มข้น

อย่างไรก็ตามในช่วงนี้ต้องขอความร่วมมือให้ชะลอการเดินทางเข้าประเทศไทยตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 15 เมษายน เพื่อรักษาสุขภาพทั้งคนภายในประเทศและท่านที่จะเดินทางกลับมาด้วย เพื่อให้เจ้าหน้าที่ได้มีการเตรียมการ มีการจัดระเบียบ ให้เหมาะสมและหากมีความจำเป็นเร่งด่วนก็ขอให้ท่านไปพบเจ้าหน้าที่สถานทูตหรือสถานกงสุลโดยทันที

  • สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งก็คือด้านการสื่อสารในสภาวะวิกฤติเพื่อให้ประชาชนมีความมั่นใจ และผู้ปฏิบัติงานมีความชัดเจนไม่สับสนหรือสร้างความขัดแย้ง ศบค. จึงได้จัดให้มีระบบการสื่อสาร ที่เป็นเอกภาพไปในทิศทางเดียวกันหรือ single voice โดยจะมีการแถลงข่าวที่ถ่ายทอดสดไปทั่วประเทศในทุกช่องทางเป็นประจำทุกวันหลังจากการประชุมในช่วงเช้า โดยโฆษกศูนย์รับผู้รับผิดชอบโดยตรงเท่านั้น งดเว้นและหลีกเลี่ยงการให้สัมภาษณ์ ของผู้ที่ไม่ได้รับมอบหมายหรือเกี่ยวข้องกับมาตรการของศูนย์

ผมขอให้สื่อมวลชนทุกสำนักรวมทั้งสื่อโซเชียลได้ใช้ความระมัดระวังในการสื่อสาร โดยขอให้ใช้ข้อมูลจากศูนย์นี้เท่านั้น ห้ามการสื่อสารที่อาจจะก่อให้เกิดความขัดแย้งความเข้าใจผิดหรือบิดเบือนข้อมูลรวมถึงผู้ที่สร้างข่าวปลอมหรือ fake news และการส่งต่อข่าวปลอมบางครั้งที่ไม่เจตนาหรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ที่มีผลต่อความมั่นคงก็จะมีโทษตามพระราชกำหนดในสถานการณ์ฉุกเฉินนี้อย่างหนัก

ดังนั้นเราจะต้องงดการส่งต่อข้อมูลที่ไม่ทราบแหล่งที่มาหรือไม่มั่นใจเราควรส่งต่อข้อมูลที่สร้างสรรค์เป็นประโยชน์ อาทิ ตัวอย่างการปฏิบัติตนตามนโยบายของภาครัฐ กิจกรรมจิตอาสา เหล่านี้เป็นต้น ความประทับใจท่ามกลางวิกฤตนี้ผมและรัฐบาลได้ระดมผู้มีความสามารถ คนเก่งจิตอาสา จากหน่วยงานต่างๆ ทางด้านสาธารณสุข เทคโนโลยี การสื่อสาร และภาคธุรกิจอื่นๆ มาร่วมหารือ เพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหาอย่างรอบด้าน

ผมขอขอบคุณจิตอาสาทั้งหลายที่ไม่ยอมนิ่งดูดายที่จะรวมพลังความรักความสามัคคี ร่วมกันทำเพื่อประเทศชาติและประชาชนไม่ว่าจะเป็นการร่วมบริจาคเงิน สิ่งของ อาหาร หรือการช่วยเหลือเกื้อกูลกันหลายคนเริ่มจากสิ่งง่ายๆ เช่นการเขียนข้อความ ทำคลิป หรือทำป้ายให้กำลังใจซึ่งกันและกัน

น้ำใจไทยนั่นแหละครับเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ประเทศไทยของเรารอดพ้นจากภาวะวิกฤตนี้ไปได้ ผลการปฏิบัติงานตามมาตรการต่างๆข้างต้นอย่างเคร่งครัดจะทำให้สถานการณ์ในขณะนี้อยู่ในระดับที่สามารถควบคุมได้จำกัดการแพร่ระบาดของโรคได้ ไม่สูงถึงระดับของประเทศที่มีการแพร่ระบาดอย่างหนัก ทั้งนี้เป้าหมายร่วมกันของเราก็คือการขจัดโรคภัยและเชื้อรายนี้ให้ได้โดยเร็วที่สุด และทุกคนปลอดภัย

ดังนั้น เราจะต้องไม่ประมาท เราจะต้องร่วมมือกัน จะต้องไม่ปล่อยให้มีผู้ป่วยผู้ติดเชื้อรายใหม่ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับทุกท่านที่จะทำให้ตัวเลขลดลงจนเป็นศูนย์ให้ได้ในเร็ววัน เราจะต้องเฝ้าระวังสถานการณ์ อย่างไม่ลดละต้องมีการบังคับใช้มาตรการต่างๆ อย่างเข้มงวดต่อเนื่อง และเหมาะสม โดยจำเป็นก็จะต้องยกระดับบางพื้นที่ ตามการประเมินผลทางการแพทย์

“ผมขอย้ำว่าขอให้ประชาชนทุกคนร่วมมือปฏิบัติตนตามมาตรการ ในการแยกตัวอยู่บ้านเพื่อที่จะลดภาระของทีมแพทย์พยาบาลและเจ้าหน้าที่ที่เสียสละต่อสู้กันมาหลายเดือน หากเรามีแนวหน้าที่เข้มแข็งและมีแนวหลังที่เข้มงวดประเทศไทยก็จะชนะศึกครั้งนี้ได้อย่างแน่นอน”

สุดท้ายนี้ผมขอแสดงความขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกคนและทุกภาคส่วนโดยเฉพาะอย่างยิ่งบุคลากรทางการแพทย์ทุกท่านทั่วประเทศที่อดทนเสียสละทุ่มเทแรงกายแรงใจในการดูแลช่วยเหลือพี่น้องประชาชนด้วยความเสี่ยงภัยและความยากลำบากขอให้ท่านรับรู้ว่า ทุกท่านไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่พลเมืองตำรวจทหารเป็นบุคคลสำคัญในใจผมและคนไทยทุกคน

“ผมขอให้ทุกคนมั่นใจว่าผมจะทำทุกทางเพื่อที่จะนำพาประเทศของเราก้าวข้ามเวลแห่นความยากลำบากนี้ไปให้ได้อย่างมีสวัสดิภาพอย่างพร้อมเพียงกัน ขอให้ทุกคนได้สู้ไปด้วยกันนะครับ ประเทศไทยต้องชนะ”