ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินทั่วราชอาณาจักร พร้อมคำสั่งนายกฯ “โอนอำนาจ รมต.ชั่วคราว-แต่งตั้งผู้กำกับ-จัดตั้งศูนย์โควิดฯ-ออกข้อกำหนด”
เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2563 พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้แถลงการณ์ เรื่องประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินทั่วราชอาณาจักร เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส โควิด-19 ผ่านสถานีโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย โดยนายกรัฐมนตรี กล่าว่า
พี่น้องประชาชนครับช่วงเวลาหลายสัปดาห์ และหลายเดือนข้างหน้าต่อจากนี้ไป เราอาจจะต้องเผชิญกับช่วงเวลาที่เลวร้าย และเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากของประเทศไทย มันเป็นอันเป็นที่รักยิ่งของพวกเรา ช่วงเวลานี้จะเป็นบททดสอบที่เราทุกคนไม่เคยเผชิญมาก่อน จนถึงวันนี้เราต้องยอมรับความจริงว่าประเทศไทยกำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของภาวะวิกฤตจากไวรัส โควิด-19 และสถานการณ์อาจจะยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น และเลวร้ายยิ่งขึ้นกว่านี้อีกหลายเท่า ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อสุขภาพกาย สุขภาพใจ รวมทั้งรายได้ และการใช้ชีวิตของคนไทยทุกคน
ด้วยเหตุนี้ผมในฐานะนายกรัฐมนตรี จึงจำเป็นต้องดำเนินมาตรการต่าง ๆ ด้วยความเข้มข้นมากยิ่งขึ้น เพื่อให้เราสามารถหยุดการแพร่ระบาด พร้อมกับลดผลกระทบทางเศรษฐกิจที่จะเกิดขึ้นกับพี่น้องประชาชนทุกคนให้ได้ ผมจะเข้ามาบัญชาการ การจัดการกับไวรัส โควิด-19 ในทุกมิติตัวอย่างเต็มตัว ทั้งด้านการป้องกันการแพร่ระบาด การรักษาพยาบาลไปจนถึงการเยียวยาและฟื้นฟูประเทศจากผลกระทบของโควิด-19
ผมจะเป็นผู้นำในภารกิจนี้และรายงานตรงต่อประชาชนชาวไทยทุกคน และจะประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินทั่วราชอาณาจักรโดยอาศัยอำนาจตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 เพื่อควบคุมสถานการณ์การระบาดของโรคติดต่ออันตรายร้ายแรง ตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคม 2563 เป็นต้นไป ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบแล้ว และจะยกระดับศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่และการแพร่ระบาดของโรคเชื้อไวรัส โคโรนา 2019 ที่ได้ตั้งไว้แล้ว ให้เป็นหน่วยงานพิเศษ ตามมาตรา 7 แห่งพระราชกำหนดดังก่าวนี้ เพื่อบูรณาการทุกส่วนราชการ และสั่งการทุกส่วนราชการได้อย่างมีเอกภาพรวดเร็ว
เนื่องจากในสถานการณ์วิกฤติเช่นนี้ เราจำเป็นต้องรวมศูนย์สั่งการไว้ที่เดียว เพื่อดำเนินการที่ชัดเจนและขจัดปัญหาการทำงานแบบต่างคนต่างทำของหน่วยงานต่าง ๆโดยมีผมเป็นประธานจะกำหนดให้ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นหัวหน้าผู้รับผิดชอบ ด้านสาธารณสุขในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านสาธารณสุข
ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นหัวหน้าผู้รับผิดชอบ ในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน ด้านการสั่งการผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร
ปลัดกระทรวงพาณิชย์ หัวหน้าเป็นผู้รับผิดชอบ ในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน ด้านการควบคุมสินค้าและเวชภัณฑ์
ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ เป็นหัวหน้าผู้รับผิดชอบ ในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน ด้านการต่างประเทศ และการคุ้มครองช่วยเหลือคนไทยในต่างประเทศ
และมีผู้บัญชาการทหารสูงสุด เป็นหัวหน้าผู้รับผิดชอบ ในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน ด้านความมั่นคงการปราบปรามอาชญากรรมทุกประเภท การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจ
รวมทั้งทีมงานจากทุกภาคส่วนจะเป็นคณะที่ปรึกษา มีการประชุมกันทุกวัน เพื่อให้ทุกฝ่ายรับทราบข้อมูลสถานการณ์ต่าง ๆเป็นภาพเดียวกัน
เมื่อผมแจกจ่ายงานไปแล้ว ทุกฝ่ายจะรับทราบแผนงานทั้งหมดไปพร้อมกัน สามารถทำงานสอดประสานไปในทิศทางเดียวกันได้ ซึ่งผู้จะรายงานต่อประชาชน คือ ผม หรือ ผู้ที่ผมมอบหมายเท่านั้น
สำหรับข้อกำหนดต่าง ๆ เช่น การห้ามเข้าพื้นที่เสี่ยง การปิดสถานที่เสี่ยง ซึ่งได้มีการปิดไปบ้างแล้ว การปิดช่องทางเข้าประเทศ การเสนอข้อพึงปฏิบัติสำหรับผู้สูงวัย ผู้ป่วยและเด็ก การห้ามกักตุนสินค้า การขึ้นราคาสินค้าโดยไม่มีเหตุผล การห้ามเสนอข่าวบิดเบือนจะมีการประกาศตามมา หลังจากที่ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินแล้ว
ผมขอยืนยันว่าภายใต้พระราชกำหนดฉบับนี้จะไม่มีการปิดร้านค้าที่จำหน่ายสิ่งของที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต
ข้อกำหนดเหล่านี้อาจจะสร้างความไม่สะดวกกับพี่น้องประชาชนอยู่บ้าง แต่ก็ขอให้ทุกท่านได้ร่วมมือและเสียสละเพื่อส่วนรวม งานหลักที่เราจะต้องให้ความสำคัญมากที่สุด และดำเนินการควบคู่กันไป ก็คือการป้องกันการระบาด โดยการควบคุมพื้นที่ทุกพื้นที่และใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วย เช่น application กำหนด Location มาคอยช่วยระวัง หรือ เฝ้าสังเกตอาการ Quarantine การรักษาพยาบาล รวมทั้งการเยียวยาฟื้นฟูประเทศจากเชื้อไวรัส โควิด-19
นอกจากนี้ผมจะปรับปรุงให้การสื่อสารเกี่ยวกับสถานการณ์ โควิด-19 กับประชาชนให้มีความถูกต้องชัดเจนและครบถ้วน ผมจะสั่งการให้มีการแถลงข่าวเกี่ยวกับสถานการณ์และมาตรการต่าง ๆ รวมถึงคำแนะนำต่อประชาชน เพียงวันละ 1 ครั้ง เพื่อลดความซ้ำซ้อน การบิดเบือนข้อมูล และการสร้างความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน
ผมขอยืนยันว่าประชาชนจะได้รับข้อมูลที่เป็นทางการ ตรงไปตรงมาโปร่งใส และชัดเจนจากเพียงแหล่งเดียวเป็นประจำทุกวัน นอกจากนี้ผมขอความร่วมมือให้สื่อมวลชนได้เพิ่มความรับผิดชอบในการรายงานข่าวขอให้ใช้ข้อมูลจากการแถลงประจำวันของทีมสื่อสารเฉพาะกิจ และทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเป็นหลัก แทนการขอสัมภาษณ์เจ้าหน้าที่และบุคลากรทางการแพทย์ต่าง ๆ เพื่อให้ท่านเหล่านั้น สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างเต็มที่ ผมเชื่อว่าหากทำได้เช่นนี้ สื่อมวลชนจะเป็นกำลังสำคัญในการต่อสู้กับภัย โควิด-19 ครั้งนี้
สำหรับผู้ใช้โซเชียลมีเดียทุกท่าน พวกเราคือทีมเดียวกัน ทุกท่านสามารถร่วมแชร์ข้อมูลที่ถูกต้องจากการแถลงประจำวัน ช่วยกันรายงาน และต่อต้านการแชร์ข่าวปลอม และใช้ความคิดสร้างสรรค์ของท่าน เพื่อที่จะช่วยให้ประชาชนทุกเพศทุกวัยได้รับรู้ และเข้าใจข้อมูลได้ง่ายและกว้างขวางยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ผมขอเตือนกลุ่มคนที่หาผลประโยชน์บนความทุกข์ร้อน ความเป็นความตายของประชาชนให้รู้ไว้ว่าอย่าคิดว่าจะหลุดพ้นไปได้ ผมจะทำทุกอย่างที่จะใช้กฎหมายจัดการกับคนเหล่านี้อย่างรวดเร็วเด็ดขาดและไม่ปราณี การบังคับใช้กฎหมายและข้อกำหนดต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการควบคุมโรคจะเข้มข้นมากขึ้นทั่วประเทศ ทั้งการเอาผิดผู้ที่ละเมิดกฎหมาย และการเอาผิดข้าราชการ เจ้าพนักงานที่ที่ละเลยต่อการปฏิบัติหน้าที่
อย่างไรก็ตาม ภาครัฐอย่างเดียวไม่สามารถจะฝ่าวิกฤตได้ไปเพียงลำพัง ถ้าเราไม่จับมือ และไม่ดึงภาคส่วนอื่นเข้ามาเป็นทีมเดียวกันกับภาครัฐ ประเทศไทยโชคดี ที่เรามีคนเก่งมากมายอยู่ในภาคเอกชน และภาคประชาสังคมที่พร้อมจะช่วยรัฐบาลแก้ไขปัญหา
ภายใน 1 สัปดาห์นี้ ผมจะกระจายทีมงานไปทำความเข้าใจกับปัญหา และความต้องการของทุกกลุ่ม รวมทั้งรับทราบศักยภาพของแต่ละกลุ่ม ในการที่จะเข้ามาร่วมมือกันแก้ปัญหา ผมจะดึงคนเก่งเหล่านี้มาร่วมกันทำงาน ต่อจากนี้ไปมาตรการต่าง ๆ ที่รัฐจะออกมา เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อร้ายนี้จะมีความเข้มข้นมากยิ่งขึ้น อาจมีผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันของทุกคน
ผมขอความร่วมมือ และขอให้มีความรับผิดชอบต่อตนเองและสังคม รวมทั้งปฏิบัติตามนโยบายป้องกันโรคระบาดนี้อย่างเคร่งครัด บางคนอาจจะรู้สึกว่าเสียสิทธิเสรีภาพ แต่ก็เป็นการทำเพื่อปกป้องชีวิตของท่านเองของครอบครัวท่าน และของคนไทยทุกคน หากเราเข้าใจเข้มงวดและจริงจังในเวลาไม่นาน ผมมั่นใจว่าพวกเราจะสามารถก้าวพ้นสถานการณ์อันเลวร้ายนี้ไปได้
ช่วงเวลานี้อาจเป็นช่วงเวลาที่สร้างความเจ็บปวดและท้าทาย ความรัก ความสามัคคีของพวกเราทุกคน แต่ในขณะเดียวกัน ช่วงเวลานี้ก็จะเป็นช่วงเวลาจะดึงสิ่งดีที่สุดในตัวของพวกเรา คนไทยทุกคนออกมา นั่นก็คือ ความกล้าหาญ ความรักที่มีต่อพี่น้องร่วมชาติ ความเสียสละที่จะช่วยเหลือผู้อื่น รวมถึงความเอื้ออาทรต่อกันและกัน ซึ่งที่จะนำพาให้เราก้าวผ่านช่วงเวลาที่ท้าทายนี้ไปได้ ด้วยความสามัคคีช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ความมีน้ำใจของคนไทย ซึ่งหาไม่ได้จากชาติใดในโลก ไวรัส โควิด-19 ที่น่ากลัวและอันตรายได้สร้างความเสียหายไปทั่วโลกก็จริง แต่สิ่งหนึ่งที่ไวรัส โควิด-19 ไม่สามารถทำรายได้ ก็คือ ความดีงามในใจและความสามัคคีของคนไทย จะกลับมาเปล่งประกายไปทั่วผืนแผ่นดินไทยอีกครั้ง
ผมในฐานะนายกรัฐมนตรี ขอให้คำมั่นสัญญากับทุกคนว่า ผมจะเดินหน้าอย่างสุดความสามารถ เพื่อที่จะนำพาประเทศไทยให้ผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปให้ได้ ด้วยความปลอดภัยและสวัสดิภาพของประชาชนคนไทยทุกคน อันเป็นสิ่งสำคัญเหนืออื่นใด ผมขอให้ทุกคนเชื่อมั่นและร่วมมือกันฝ่าฟันวิกฤตครั้งนี้ไปด้วยกัน ประเทศไทยที่รักของเราทุกคนจะต้องกลับมาแข็งแรงอีกครั้ง เราจะสู้ไปด้วยกัน และเราจะชนะไปด้วยกันขอบคุณครับ
จากนั้นสำนักนายกรัฐมนตรีได้ออกแถลงการณ์เรื่อง การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 มีสาระสำคัญดังนี้
ตามที่นายกรัฐมนตรีด้วยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2563 และตามคำแนะนำของผู้บริหาร และนักวิชาการด้านการแพทย์และสาธารณสุข ได้อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 5 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร ตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2563 จนถึงวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2563 นั้น
การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินดังกล่าวเป็นไปตามกฎหมายที่มีอยู่แล้วตั้งแต่พ.ศ. 2563 อันเนื่องจากขณะนี้ได้เกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคไวรัสโคโรนา 2019 (COVID – 19) ซึ่งเป็นโรคระบาดใหญ่เพิ่งเกิดขึ้นใหม่ แต่แพรไปทั่วโลกอย่างรวดเร็วและประเทศไทยได้รับผลกระทบเช่นกัน ในขณะนี้ยังไม่วัดซีนป้องกันและยารักษาที่ได้ผล รัฐบาลได้ใช้มาตรการป้องกัน สกัดกั้น ชะลอและสร้างความรับรู้ความเข้าใจแก่ประชาชนมาเป็นลำคับ และประเมินสถานการณ์เป็นรายวัน ตามความคืบหน้าของสถานการณ์ ข้อมูลข่าวสาร และคำแนะนำทางการแพทย์ของบรรดาผู้เชี่ยวชาญทั้งหลาย โดยคำนึงถึงผลกระทบต่อประชาชนต้านสังคมความเป็นอยู่ เศรษฐกิจการครองชีพ ทรัพยากรของรัฐด้านการสาธารณสุขและป้องกันการตื่นตระหนกเกินกว่าเหตุ
บัดนี้ทุกฝ่ายเห็นว่าสถานการณ์ควรยกระดับขึ้นสู่การบังคับใช้มาตรการชั้นสูงสุดได้แล้ว เพื่อว่ารัฐจะสามารถนำมาตรการอื่น ๆ มาบังคับใช้เพิ่มขึ้นจากเติม ส่วนจะเลือกใช้มาตรการใดก่อนหลังจะมีการออกประกาศและข้อกำหนดแจ้งให้ทราบต่อไป แต่ในเบื้องต้นจำเป็นต้องประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเสียก่อน ซึ่งได้ประกาศแล้วในวันนี้ ผลจากการประกาศดังกล่าว คือ รัฐบาลจะมีช่องทางตามกฎหมายเข้าควบคุมหรือบริหารสถานการณ์ได้ เช่น จะมีการโอนอำนาจบางประการของรัฐมนตรีตามกฎหมายบางฉบับมาเป็นของนายกรัฐมนตรีเท่าที่จำเป็นและเป็นการชั่วคราว เพื่อความรวดเร็วและบูรณาการ จะมีการออกข้อกำหนดคือข้อห้าม หรือ ข้อปฏิบัติบางอย่างเช่น ห้ามเข้าออกสถานที่บางแห่ง ห้ามหรือจำกัดการเข้าออกราชอาณาจักรและการเคลื่อนย้ายประชาขนจำนวนมากข้ามเขตพื้นที่การควบคุมการใช้ยานพาหนะ เส้นทางจราจร การควบคุมสินค้าและเวชภัณฑ์ มาตรการเหล่านี้แม้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน
แม้ว่าสถานการณ์จากตัวเลขจำนวนผู้ใด้รับเชื้อและการเสียชีวิตในประเทศจนถึงปัจจุบันจะยังไม่สูงมากนักเมื่อเทียบกับประเทศอื่น แต่หากยังคงมีการเคลื่อนย้ายหรือเดินทาง การรวมกลุ่มคนจำนวนมาก เพื่อทำกิจกรรมร่วมกัน การติดต่อสัมผัสหรือใกล้ชิดและการขาดความรู้ความเข้าใจความรับผิดชอบ ตลอดจนการไม่ปฏิบัติตนให้ถูกต้อง ตามมาตรการป้องกันโรคตามหลักสากลประกอบกับกำลังจะเข้าสู่ช่วงเวลาเทศกาลและการเปลี่ยนฤดูกาลตามธรรมชาติ เชื้อโรคโควิด-19 ย่อมมีโอกาสแพร่ไปได้เร็วและเพิ่มจำนวนผู้ติดเชื้อมากขึ้นจนเป็นอันตรายอย่างยิ่ง เพราะจะกระทบต่อประสิทธิภาพในการให้บริการทางการแพทย์และกระทบต่อการใช้ทรัพยากรด้านการสาธารณสุขของประเทศ เช่น แพทย์ พยาบาล โรงพยาบาล ยา และเวชภัณฑ์ต่าง ๆ จนอาจขาดแคลนเข้าวันหนึ่ง อันจะนำมาซึ่งความสูญเสียรุนแรงสุตจะประมาณได้ดังที่ปรากฎในบางประเทศในขณะนี้
รัฐบาลจึงจำเป็นต้องประกาศถานการณ์ฉุกเฉินเสียแต่บัดนี้เพื่อความไม่ประมาท อันจะเป็นการสร้างความมั่นใจแก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติและคลายความวิตกกังวลของประชาชน การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเป็นความจำเป็นเร่งด่วนเฉพาะช่วงเวลานี้ โดยรัฐบาลจะพิจารณาเลือกใช้เฉพาะมาตรการเท่าที่จำเป็นตามคำแนะนำทางการแพทย์และสาธารณสุขเพื่อป้องกัน และระงับยับยั้งการแพร่ระบาดของโรค โดยถือว่าการดูแลรักษาสุขภาพอนามัยและชีวิตของประชาชน การจัดสรรทรัพยากรเวชภัณฑ์ และการให้บริการทางการแพทย์ให้ทั่วถึงเพียงพอแก่ประชาชนชาวไทย มีความสำคัญเร่งด่วนเป็นลำดับแรก
แน่นอนว่าความสะดวกสบายของประชาชนในระหว่างนี้ย่อมลดน้อยลงกว่าเดิม เพราะทุกคนต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรม แต่ประชาชนยังสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติโดยไม่เกิดภาวะขาดแคลน ส่วนมาตรการช่วยเหลือเยียวยาผู้เดือดร้อนจะได้ทยอยดำเนินการ ต่อไปในยามนี้เรากำลังต่อสู้กับมหันตภัยที่มองไม่เห็นตัว คือ เชื้อโรคและอาจจู่โจมมาถึงเราทุกคนในทุกพื้นที่ได้ทุกเมื่อ จึงจำเป็นต้องควบคุมสถานการณ์และบังคับใช้มาตรการขั้นสูงสุดเพื่อความอยู่รอดร่วมกัน ซึ่งจะเป็นเช่นนี้ไประยะหนึ่งตามที่กฎหมายให้อำนาจรัฐบาลประกาศได้เป็นคราว ๆ ไป คราวละไม่เกิน 3 เดือน แต่อาจประกาศขยายเวลาต่อได้อีกตามความจำเป็นแห่งสถานการณ์ อันที่จริงการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินได้กระทำมาหลายปีแล้วในขณะนี้ในบางพื้นที่ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่อาศัยเหตุแห่งการประกาศใช้ที่แตกต่างไปจากในครั้งนี้
รัฐบาลขอให้ประชาชนวางใจในระบบการสาธารณสุขของประเทศ และโปรดดูแลรักษาสุขภาพตนเอง เพราะความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐโดยแท้ ขณะเดียวกันไปรดให้ความร่วมมือกับทางการในการปฏิบัติตามมาตรการ และคำแนะนำทางการแพทย์อย่างเคร่งครัด ตลอดจนรับรู้ข้อมูลข่าวสารที่เผยแพร่ทางช่องทางที่เป็นทางการ เช่น วิทยุ โทรทัศน์ สื่อสิ่งพิมพ์ที่ระบุแหล่งข่าวอ้างอิงเชื่อถือได้ มิใช่ข่าวลือ หรือ ข่าวที่ไม่ปรากฎแหล่งที่มา หากมีข้อสงสัยให้สอบถามได้ที่กระทรวงสาธารณสุข หรือ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หมายเลขโทรศัพท์ 1111
ขณะนี้การอยู่กับบ้านตามคำกล่าวที่ว่า “อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ” การไม่รวมกลุ่มกับผู้คนจำนวนมาก การใช้มาตรการป้องกันโรคเพื่อตนเองและแสตงความรับผิดชอบต่อสังคม เช่น การใช้หน้ากากอนามัย เจลล้างมือ การหมั่นล้างมือ การไม่สัมผัส หรือ รับเชื้อที่มากับฝอยละอองน้ำลาย การเว้นระยะสัมผัสห่างจากผู้อื่น การไปพบแพทย์ในกรณีด้องสงสัย เป็นที่ยอมรับทั่วโลกแล้วว่าสามารถลดความเสี่ยงได้ดีที่สุดเท่าที่เราจะป้องกันตนเอง คนที่ท่านรัก และประเทศชาติได้ เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง รัฐบาลจะได้แถลงให้ทราบเป็นระยะ ๆ ในโอกาสต่อไป