
DSI แจงผลตรวจสารพันธุกรรมกระดูก 9 ชิ้นในคดี “บิลลี่ รักจงเจริญ” เสื่อมสภาพ ยันไม่กระทบรูปคดี
สืบเนื่องจากกรณีที่พนักงานสอบสวนคดีพิเศษได้ส่งหลักฐานเป็นชิ้นส่วนกระดูก จำนวน 9 ชิ้นที่คณะทำงานสหวิชาชีพได้นำขึ้นมาจากใต้น้ำบริเวณสะพานแขวนในอุทยานแห่งชาติแก่งกระจานไปยังสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ เพื่อขอความร่วมมือตรวจเปรียบเทียบสารพันธุกรรมของกระดูกดังกล่าวกับสารพันธุกรรมของนางโพเราะจี รักจงเจริญ มารดาของนายพอละจี หรือบิลลี่ รักจงเจริญ ซึ่งหายตัวไปภายหลังถูกเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจานจับกุมไปว่ามีความสัมพันธ์เป็นมารดากับบุตรหรือไม่นั้น
ล่าสุด พันตำรวจเอก ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เปิดเผยว่า ได้รับทราบผลการตรวจพิสูจน์จากสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ในเบื้องต้นว่า ชิ้นส่วนกระดูกทั้ง 9 ชิ้น เป็นของมนุษย์ แต่จากการสกัดหาสารพันธุกรรมในกระดูกดังกล่าวพบว่าเสื่อมสภาพแล้ว ซึ่งหลังจากนี้พนักงานสอบสวนคดีพิเศษจะต้องสอบสวนปากคำแพทย์ผู้ตรวจพิสูจน์ เพื่อรวมเข้าสำนวนการสอบสวนต่อไป
“กระดูกที่พบจำนวน 9 ชิ้น เป็นชิ้นส่วนกระดูกที่พบจากการตรวจค้นเพิ่มเติม ภายหลังจากที่ค้นพบกระดูกที่บริเวณกะโหลกศีรษะ และถังน้ำมัน ซึ่งอยู่ห่างจากบริเวณที่พบกระดูกที่เป็นชิ้นส่วนของกะโหลกศีรษะพอสมควร โดยในการสอบสวน พนักงานสอบสวนคดีพิเศษมีหน้าที่รวบรวมหลักฐานทุกชนิดเท่าที่จะกระทำได้ เพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น จึงมีการใช้สหวิชาชีพในการแสวงหาและรวบรวมหลักฐานใช้วิทยาการหลายสาขา รวมทั้งนำมิติด้านนิติวิทยาศาสตร์มาพิสูจน์ข้อเท็จจริง อันเป็นการแสดงถึงการปฏิบัติงานที่โปร่งใส ปราศจากอคติ อย่างไรก็ตาม ผลการตรวจพิสูจน์ดังกล่าว ในทางการสอบสวนไม่ได้มีนัยสำคัญเพิ่มเติม เนื่องจากชิ้นส่วนกระดูกที่เป็นกะโหลกศีรษะ ซึ่งค้นพบพร้อมกับการพบถังน้ำมันในครั้งแรก ได้มีการตรวจพิสูจน์ทางไมโตรคอนเดรียและมีการสอบสวนพยานกลุ่มเครือญาติประกอบแล้ว ฟังได้ว่าเป็นของนายพอละจี ประกอบกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้ยืนยันแล้วว่า หากกระดูกชิ้นดังกล่าวไม่อยู่ในร่างกาย เจ้าของกระดูกจะเสียชีวิต ดังนั้นผลการตรวจกระดูกทั้ง 9 ชิ้นนี้ จึงไม่ได้มีผลต่อรูปคดีแต่อย่างใด แต่เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริง ได้มอบหมายพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ไปสอบสวนปากคำแพทย์ผู้ทำการตรวจพิสูจน์ รวมเข้าสำนวนด้วยแล้ว” พันตำรวจเอกไพสิฐ กล่าว