ThaiPublica > เกาะกระแส > ASEAN Roundup : เวียดนามนำเข้าไฟจากลาวเพิ่ม 200 เมกะวัตต์ปี’63 – มาเลเซียวางกรอบรายงานผู้รับประโยชน์แท้จริงของบริษัท

ASEAN Roundup : เวียดนามนำเข้าไฟจากลาวเพิ่ม 200 เมกะวัตต์ปี’63 – มาเลเซียวางกรอบรายงานผู้รับประโยชน์แท้จริงของบริษัท

15 ธันวาคม 2019


ASEAN Roundup ประจำวันที่ 8-14 ธันวาคม 2562

  • เวียดนามนำเข้าไฟฟ้าจากลาวเพิ่มปี 2563
  • เวียดนามเตรียมลดภาษีนำเข้าสินค้าให้สหรัฐฯ
  • มาเลเซียกำหนดกรอบรายงานผู้รับประโยชน์แท้จริงของบริษัท
  • ธนาคารกลางฟิลิปปินส์คาดลดดอกเบี้ยอีก 0.50% ในปี 2563
  • ตลาดอสังหาริมทรัพย์เมียนมาซบเซาแม้ลดภาษี

เวียดนามนำเข้าไฟฟ้าจากลาวเพิ่ม 200 เมกะวัตต์ปี 2563

เวียดนามจะนำเข้ากระแสไฟฟ้าจากลาวเพิ่มขึ้นอีก 200 เมกะวัตต์ในปี 2563 ส่งผลให้การซื้อกระแสไฟฟ้าจากลาวรวมทั้งสิ้นมีจำนวน 1,200 เมกะวัตต์ หลังจากคณะกรรมการที่รับผิดชอบการส่งเสริมความสัมพันธ์กับลาวได้ให้ความเห็นชอบ

ทั้งนี้คาดว่าเวียดนามจะประสบกับปัญหากระแสไฟฟ้าจะไม่พอใช้ตั้งแต่ปี 2563 การนำเข้าไฟฟ้าจากลาวคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเกินกว่า 5,000 เมกะวัตต์ในช่วง 10 ปีข้างหน้า

กระทรวงการค้าและอุตสาหกรรมประเมินว่าไฟฟ้าไม่พอใช้ราว 3.7 พันล้านกิโลวัตต์ต่อชั่วโมงในปี 2564 และจะสูงสุดถึง 15 พันล้านกิโลวัตต์ต่อชั่วโมงในปี 2566 ก่อนที่จะลดลงมาครั้งหนึ่งต่อปีหลังจากนั้น และลดลงมาที่ 3.5 พันล้านกิโลวัตต์ต่อชั่วโมงในปี 2568

เจ้าหน้าที่กระทรวงการค้าและอุตสาหกรรมกล่าวว่า ประเทศสามารถสำรองไฟฟ้าได้เพียง 5-8% เท่านั้นทางแก้ปัญหาการขาดแคลนไฟฟ้าระยะสั้นคือ นำเข้าจากลาวเพิ่มขึ้น ส่วนในระยะยาวต้องเร่งการก่อสร้างโครงการไฟฟ้าขนาดใหญ่

ธนาคารโลกคาดว่าความต้องการใช้ไฟฟ้าของเวียดนามจะเพิ่มขึ้น 8% ต่อปี ซึ่งจะส่งผลให้ต้องใช้เงินถึง 150 พันล้านดอลลาร์กับภาคพลังงานภายในปี 2573

เวียดนามเตรียมลดภาษีนำเข้าสินค้าให้สหรัฐฯ

จากแรงกดดันของสหรัฐฯ ทำให้กระทรวงการคลังของเวียดนามเตรียมที่จะ ปรับลดอัตราภาษีให้กับสินค้านำเกษตรเข้าบางรายการจากสหรัฐฯ ซึ่งรวมทั้งการนำเข้าไก่และแอปเปิล

กระทรวงการคลังระบุในเว็บไซต์ว่า รัฐบาลกำลังดำเนินการเพื่อให้สหรัฐฯคลายกังวลต่อการเกินดุลการค้าของเวียดนาม และจากการเรียกร้องของสหรัฐฯ รัฐบาลกำลังทบทวนอัตราภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐฯบางรายการ ซึ่งเห็นว่าการลดอัตราภาษีจะช่วยให้ภาวะการค้าระหว่างเวียดนามกับสหรัฐฯมีความสมดุลมากขึ้น

กระทรวงการคลังเสนอลดภาษีนำเข้าไก่สดลงเหลือ 18% จาก20% ขณะที่สหรัฐฯร้องขอให้ลดลงไปที่ 14.5% ในปีหน้าและยกเลิกการเก็บภาษีในปี 2581 นอกจากนี้กระทรวงการคลังเตรียมที่จะลดภาษีนำเข้าเนื้อหมูชิ้นจาก 25% เหลือ 22% และลดภาษีนำเข้าแอปเปิล และองุ่นลงไปที่ 8% จาก 10% ในปี 2563 และลดภาษีนำเข้าข้าวสาลีลงจาก 5% เป็น 3% ในปีหน้าเช่นกัน

สหรัฐฯขอให้เวียดนามลดภาษีเนื้อหมูชิ้นจากลงไปที่ 18.9% ในปีหน้า และยกเลิกการเก็บภาษีในปี 2586 รวมทั้งขอให้ยกเลิกการเก็บภาษีนำเข้าแอปเปิล องุ่น ข้าวสาลีในปีหน้า

การเกินดุลการค้าของเวียดนามต่อสหรัฐฯเพิ่มขึ้นในปี 2561 โดยมีมูลค่าราว 40 พันล้านดอลลาร์ และเกินดุล 46.3 พันล้านดอลลาร์ในช่วง 10 เดือนแรกของปีนี้ เพิ่มขึ้น 39% จากระยะเดียวกันของปีก่อน

ในเดือนพฤษภาคม กระทรวงการคลังสหรัฐฯได้เพิ่มเวียดนามเข้าไปในรายชื่อประเทศที่อาจจะมีการบิดเบือนค่าเงิน และในการเยือนเวียดนามของนายวิลเบอร์ รอสส์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมาได้เร่งให้เวียดนามลดการเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯลง

มาเลเซียกำหนดกรอบรายงานผู้รับประโยชน์แท้จริงของบริษัท


คณะกรรมการกำกับธุรกิจมาเลเซีย(Companies Commission of Malaysia:CCM) จะบังคับใช้คู่มือสำหรับกรอบการรายงานผู้รับผลประโยชน์ที่แท้จริงของกิจการ (Beneficial Ownership) ในเดือนมีนาคมปี 2020 ซึ่งจะมีผลให้ บริษัทที่จดทะเบียนในมาเลเซียทุกรายต้องจัดส่งรายงานข้อมูลบุคคลที่ได้รับประโยชน์หรือเจ้าของผลประโยชน์ต่อคณะกรรมการ

นอร์ฮาอีซะ เจมอน ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาและบริการกฎระเบียบ เปิดเผยว่า ร่างคู่มือได้นำเสนอเพื่อรับฟังความคิดเห็นแล้วเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2562 ที่ผ่านมา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นคู่มือเกี่ยวกับข้อกำหนดของบุคคลที่ได้รับประโยชน์หรือเจ้าของผลประโยชน์ของ บริษัท บริษัทจำกัด และธุรกิจ

“หลังจากที่มีผลบังคับใช้ในปีหน้า บริษัทมีเวลา 6 เดือนที่จะปรับปรุงข้อมูลที่ CCM กำหนด ในกรณีที่ไม่ปฏิบัติตาม เดิมอาจจะมีการดำเนินการตามกฎหมาย แต่ตอนนี้เราใช้แนวทางด้วยการให้คู่มือ” และนายทะเบียนจะเรียกใช้อำนาจ CCM เพื่อสอบถามข้อมูลทั้งหมดที่จะส่งไปยังนายทะเบียน

บริษัทที่ไม่นำส่งข้อมูลบุคคลที่ได้รับประโยชน์ในรายงานประจำปีอาจจะถูกดำเนินการตามกฎหมายตามมาตรา 8 ในกฎหมายธุรกิจปี 2016
(Companies Act 2016) โดยมีโทษปรับสูงสุด 50,000 ริงกิต

ลาตีฟา โคยะ ประธานคณะกรรรมการต่อต้านการทุจริตคอรัปชั่น (Anti-Corruption Commission:MACC) กล่าวว่า กรอบการรายงานได้มีการปรับปรุงเพื่อให้บริษัทได้จัดทำข้อมูล รายงานและตรวจสอบความถูกต้องและปรับปรุงข้อมูลบุคคลที่ได้รับประโยชน์ในระยะเวลาที่เหมาะสม

“เป็นหน้าที่ของเลขาธิการบริษัทที่จะรับผิดชอบข้อมูลเกี่ยวกับบุคคลที่ได้รับประโยชน์ ให้มีความครบถ้วนถูกต้อง และเป็นข้อมูลอัพเดต เป็นความเริ่มต้นของการก้าวสู่ความโปร่งใส และการนำหลายวิธีการมาใช้ก็เป็นสิ่งที่ดีในการจัดการกับประเด็นนี้”

การจัดทำข้อมูลบุคคลได้รับประโยชน์นอกจากจะมีความสำคัญต่อหน่วยงานรัฐและหน่วยงานที่มีหน้าที่บังคับใช้กฎหมายแล้ว ยังสามารถนำไปใช้การตรวจสอบวิเคราะห์สถานะของกิจการ (due diligence) ที่ภาคธุรกิจมักจะใช้กัน

โมฮัมหมัด ไฟซาล ซาดรี รองผู้อำนวยการฝ่ายป้องกันการฟอกเงินและการยึดทรัพย์ของ MACC กล่าวว่า ที่ผ่านมาประสบปัญหาในการสืบสวนหาตัวผู้ที่ได้รับประโยชน์อย่างแท้จริง

“ปัญหาหนึ่งคือเมื่อเส้นทางการเงินยุติลง และการทำธุรกรรมเปลี่ยนไปเป็นเงินสด”

ธนาคารกลางฟิลิปปินส์คาดลดดอกเบี้ยอีก 0.50% ในปี 2563

ธนาคารกลางฟิลิปปินส์ (Bangko Sentral ng Pilipinas) อาจจะกลับมาลดอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งในปี 2563 โดยอาจจะปรับลดลงราว 0.50% หลังจากที่การประชุมเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 12 ธันวาคม 2562 ได้คงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 4% ติดต่อกันเป็นครั้งที่ 2 ของการประชุม

นายเบนจามิน ดิออคโน ผู้ว่าการ ธนาคารกลางฟิลิปปินส์กล่าวว่า การผ่อนคลายนโยบายการเงินอาจจะมีขึ้นในการประชุมธนาคารกลางครั้งต่อไปวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2563 หรือ อย่างช้าในไตรมาสสองของปีหน้า

ในปี 2562 ธนาคารกลางฟิลิปปินส์ได้ลดอัตราดอกเบี้ยมาแล้ว 3 ครั้ง รวมทั้งลดอัตราการสำรองของธนาคาพาณิชย์ เพื่อกระตุ้นการขยายตัวของเศรษฐกิจ

ผู้ว่าการ ธนาคารกลางฟิลิปปินส์กล่าวว่า การที่คงอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งล่าสุดเพื่อดูว่าการลดดอกเบี้ยลงแล้ว 0.75% ในปีนี้ รวมทั้งการลดการตั้งสำรองของธนาคารพาณิชย์ลง 4% นั้น จะมีผลต่อระบบเศรษฐกิจอย่างไร อีกทั้งธนาคารกลางของประเทศหลัก ทั้งสหรัฐฯและสหภาพยุโรปได้ส่งสัญญานที่จะตรึงดอกเบี้ย ทำให้ธนาคารกลางฟิลิปปินส์มีระยะเวลาที่จะชะลอการผ่อนคลายนโยบายการเงิน และพิจารณาว่าในปีหน้าจะดำเนินการอย่างไร

นายเบนจามิน ซึ่งเข้ารับตำแหน่งในเดือนมีนาคม ได้ทะยอยลดอัตราสำรองของธนาคารพาณิชย์มาอย่างต่อเนื่องเพื่ออัดฉีดเงินเข้าระบบเศรษฐกิจ ได้กล่าวอีกว่า มีแผนที่จะลดลงให้เป็นเลขตัวเดียวจากระดับ 14% ในปัจจุบัน ภายในระยะเวลาการดำรงตำแหน่งซึ่งจะสิ้นสุดในปี 2566

ทางด้านอัตราเงินเฟ้อได้ขยับเพิ่มขึ้นในเดือนที่ผ่านมา แต่โดยรวมยังอยู่ในระดับต่ำ ทำให้มีพื้นที่ทางนโยบายที่จะลดดอกเบี้ยได้อีกในอนาคต ทั้งนี้ในที่ประชุมครั้งล่าสุด ธนาคารกลางได้คงเป้าหมายประมาณการณ์เงินเฟ้อไว้ที่ 2.4% สำหรับปีนี้และ 2.9% ในปี 2563 และ 2564

แม้มีการผ่อนคลายนโยบายการเงิน แต่สินเชื่อธนาคารพาณิชย์เดือนตุลาคมเติบโตต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2553 อย่างไรก็ตามเร็วเกินไปที่จะสรุปว่า นโยบายการเงินไม่มีประสิทธิภาพ

ในไตรมาสสามเศรษฐกิจขยายตัว 6.2% จากที่ชะลอตัวตั้งแต่ต้นปี แต่ความไม่แน่นอนของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีน และการลงทุนที่ชะลอตัวทั่วทั้งเอเชียทำให้คาดว่าเศรษฐกิจปีนี้เติบโตในอัตรา 6%-6.5% ซึ่งเป็นระดับล่าของกรอบประมาณการณ์

ตลาดอสังหาริมทรัพย์เมียนมาซบเซาแม้ลดภาษี

ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในเมียนมายังซบเซา และยังไม่มีสัญญานฟื้นตัวแม้ว่า รัฐบาลได้ลดอัตราภาษีลง จากการเปิดเผยของ นาย เต มินท์ ประธานสมาคมบริการอสังหาริมทรัพย์เมียนมา (Myanmar Real Estate Services Association) ที่ย่างกุ้ง

นายเต มินท์กล่าวว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์ฟื้นตัวเพียง 35% จากที่คาดว่าน่าจะฟื้นตัวได้ถึง 70% หลังจากที่อัตราภาษีได้ลดลง เนื่องจากการลดภาษีไม่ได้ดำเนินการให้เร็ว ประกอบกับใกล้ถึงการเลือกตั้งทั่วไป ซึ่งทำให้นักลงทุนชะลอการลงทุน อย่างไรก็ตามตลาดอสังหาริม ทรัพย์ที่จัดว่าซบเซาอย่างมาก ได้ตอบสนองต่อการลดภาษีเล็กน้อย

“ตลาดเริ่มที่จะกระเตื้องขึ้นบ้าง แม้จะไม่มากนักในระดับทั่วประเทศ ผู้ขายบางรายได้ปรับราคาขึ้น และผู้ซื้อเริ่มสนใจที่จะซื้อมากขึ้น”นาย เต มิ้นท์กล่าว

ปัจจุบันราคาบ้านเดี่ยวที่สร้างบนพื้นที่แยกต่างหากอยู่ที่ราว 1 ล้านจ๊าด ส่วนราคาที่ดินในเขตดัลลา และดากอง เล ซึ่งมีโครงการพัฒนาเกิดขึ้นจำนวนมากนั้น จะสูงกว่านี้

อัตราภาษีเดิมสำหรับทรัพย์สินที่เคลื่อนย้ายไม่ได้รวมทั้งที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่มีมูลค่าไม่เกิน 30 ล้านจ๊าดอยู่ที่ 15% ส่วนที่ดินและสิ่งปลูกสร้างมูลค่า 30-100 ล้านจ๊าดมีอัตราภาษี 20% และที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่มีมูลค่าเกิน 100 ล้านจ๊าดขึ้นไปภาษีจะอยู่ที่ 15%

กฎหมายภาษีและรายได้ฉบับใหม่ ได้ลดอัตราภาษีลงตั้งแต่เดือนตุลาคมปีนี้มาที่ 3% สำหรับที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่มีมูลค่าไม่เกิน 100 ล้านจ๊าด ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างมูลค่า 100-300 ล้านจ๊าดมีอัตราภาษี 5% ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่มีมูลค่า 300-1,000 ล้านจ๊าดมีอัตราภาษีที่ 10% ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่มีมูลค่า 1,000-3,000 ล้านจ๊าดอัตราภาษีอยู่ที่ 15% ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่มีมูลค่าเกิน 3,000 ล้านจ๊าดอัตราภาษีอยู่ที่ 30%

อัตราภาษีใหม่มีผลในปีงบบัญชีใหม่เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2562 ไปจนถึงวันที่ 30 กันยายน 2563

นายโม มินท์ เลขาธิการสมาคมธุรกิจก่อสร้างในเมียนมา กล่าวว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์นเมียนมาราว 70% ประสบปัญหาราคาลดลงอย่างมากถึง 40% และแผนการพัฒนาเมืองใหม่ และการขายที่ดินของรัฐให้บุคคลทั่วไปจะยิ่งมีผลต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์ในประเทศมากขึ้น

นอกจากนี้อัตราภาษีใหม่ไม่มีผลให้ราคาปรับตัวขึ้น และการตกลงซื้อขายต้องใช้เวลานานในราคาที่เหมาะสม