เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2562 เวลา 10.30 น. ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ อ่านคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ คดีหมายเลขดำที่ อท.4/2562, คดีหมายเลขแดงที่ 7469/2562 ระหว่างนายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีต ส.ส.จังหวัดนครนายก พรรคประชาธิปัตย์ และอดีตรองประธานอนุกรรมาธิการวิสามัญป้องกันและปราบปรามการทุจริต สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องนายประสงค์ พูนธเนศ ประธานคณะกรรมการ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) กับพวกรวม 18 คน ในข้อกล่าวหา ปฏิบัติหรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ไม่เรียกเก็บเงินค่าผลประโยชน์ตอบแทนให้ครบถ้วน ตามสัญญาบริหารจัดการพื้นที่เชิงพาณิชย์ สนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งกำหนดให้เก็บ 15% ของรายได้จากการขายสินค้าและบริการ แต่เก็บแค่ 3% ทำให้ ทอท.ขาดรายได้ จึงขอให้ศาลฯ ลงโทษผู้กระทำความผิด นำเงินที่ยังจ่ายไม่ครบ 14,290 ล้านบาท ส่งเป็นรายได้แผ่นดิน
หลังจากศาลอุทธรณ์ แผนกคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ได้วินิจฉัยประเด็นโจทก์เป็นผู้เสียหาย และมีอำนาจฟ้องหรือไม่ พบว่า นายชาญชัย ในฐานะโจทก์ ไม่ใช่ผู้เสียหาย และไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้ง 18 คน ในข้อกล่าวหากระทำความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานรัฐในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502, ความผิดตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 และความผิดตาม พ.ร.บ.บริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 ตามที่ศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษา “ยกฟ้อง” เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2561
ทั้งนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาในประเด็นว่า “มีอำนาจฟ้องหรือไม่” แต่ได้บรรยายสรุปข้อเท็จจริงของที่มาที่ไปของคดีที่ได้จากการไต่สวนคู่ความมาใส่ไว้ในคำพิพากษาด้วย อ่านรายละเอียดจากข่าวข้างล่างนี้
วันนี้(19 มิถุนายน 2562)ศาลอุทธรณ์ แผนกคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ เห็นพ้องด้วยว่าคำอุทธรณ์ของนายชาญชัยฟังไม่ขึ้น จึงพิพากษายืนตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น
นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ กล่าวว่า “ประเด็นที่ผมมายื่นคำร้องขอให้ศาลอุทธรณ์พิจารณา คือ เรื่องอำนาจฟ้อง หลังจากที่ผมเข้ามาถือหุ้น ทอท.แล้ว ได้ตรวจพบการกระทำผิด กรณีสัญญาสัมปทานพื้นที่เชิงพาณิชย์ กำหนดให้เก็บค่าผลประโยชน์ตอบแทน 15% แต่ ทอท.เก็บ 3% ทำให้ผู้ถือหุ้นและประเทศชาติเสียหายเป็นเงินจำนวนมาก ผมจึงทำรายงานเสนอนายกรัฐมนตรี, รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง, รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม, ป.ป.ช. และคณะกรรมการ ทอท. ให้เข้ามาจัดการเรื่องนี้ ปรากฏว่าเวลาผ่านไปเกือบ 1 ปี ไม่มีความคืบหน้าแต่อย่างใด จึงมาฟ้องที่ศาลอาญาคดีทุจริตฯ ภายหลังศาลอุทธรณ์ พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นว่าผมไม่ใช่ผู้เสียหาย ไม่มีอำนาจฟ้อง ดังนั้น เพื่อให้เป็นบรรทัดฐานในการพิจารณาประเด็นอำนาจฟ้องต่อไป ผมจะขอใช้สิทธิยื่นฎีกาต่อ”
นายบัญชา ปรมีศณาภรณ์ ทนายความของกลุ่มบริษัทคิงเพาเวอร์ กล่าวว่า วันนี้ขอขอบคุณศาลอุทธรณ์ที่ให้ความเป็นธรรมต่อกลุ่มบริษัทคิงเพาเวอร์ พิพากษายกฟ้องคดียืนตามศาลชั้นต้น ถือเป็นบทพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของกลุ่มบริษัทคิงเพาเวอร์และผู้บริหาร ทอท. ที่ได้ปฏิบัติหน้าที่อยู่ภายใต้กรอบของกฎหมายทุกประการ แต่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยว่านายชาญชัยไม่ใช่ผู้เสียหายในคดีนี้ เป็นประเด็นข้อกฎหมายที่เป็นสาระสำคัญต่อการวินิจฉัยคดีของศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ถามว่าเมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องแล้วจะฟ้องกลับหรือไม่ คงต้องพิจารณาความเหมาะสมอีกครั้ง ปัจจุบันทางกลุ่มบริษัทคิงเพาเวอร์ฟ้องนายชาญชัยในข้อกล่าวหาหมิ่นประมาททั้งหมด 13 สำนวน เป็นคดีอาญา 12 สำนวน คดีแพ่ง 1 สำนวน ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณา ทางกลุ่มคิงเพาเวอร์เชื่อมั่นในกระบวนการของศาลที่จะให้ความยุติธรรม
นายชาญชัยกล่าวว่าสำหรับคดีที่กลุ่มบริษัทคิงเพาเวอร์ฟ้องนายชาญชัยในข้อหาหมิ่นประมาทนั้น ทั้งศาลอาญากรุงเทพใต้ และศาลแพ่งได้มีคำพิพากษา “ยกฟ้อง” โดยวินิจฉัยประเด็นที่ตนสัมภาษณ์สื่อไปนั้น ตนพูดตามข้อเท็จจริงที่ได้จากการตรวจสอบของคณะอนุกรรมาธิการ สปท. ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อสาธารณชน และเป็นหน้าที่ของคนไทยทุกคนพึงกระทบเมื่อพบเห็น