ThaiPublica > เกาะกระแส > ทนายความ “คิง เพาเวอร์” ส่ง จม. ถึง “ไทยพับลิก้า” ขอให้หยุดนำเสนอข่าวคดี “ชาญชัยฟ้อง AOT- คิงเพาเวอร์’”

ทนายความ “คิง เพาเวอร์” ส่ง จม. ถึง “ไทยพับลิก้า” ขอให้หยุดนำเสนอข่าวคดี “ชาญชัยฟ้อง AOT- คิงเพาเวอร์’”

17 มีนาคม 2018


ตามที่สำนักข่าวออนไลน์ไทยพับลิก้าได้นำเสนอข่าว “ศาลฯ นัดไต่สวนคดี ‘ชาญชัย’ ฟ้อง ‘AOT- คิงเพาเวอร์’ ทวง 1.4 หมื่นล้าน คืนแผ่นดิน 15-16 พ.ค. นี้” เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2561 โดยเป็นการรายงานข่าวตามกระบวนการพิจารณาคดีของศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ในคดีหมายเลขดำที่ อท.352/2560 ระหว่างนายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องนายประสงค์ พูนธเนศ ประธานคณะกรรมการ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) กับพวกรวม 18 คน ในข้อกล่าวหา ละเว้นปฏิบัติหน้าที่ ไม่เรียกเก็บค่าผลประโยชน์ตอบแทนให้ครบถ้วน ซึ่งในวันนั้นศาลฯ ได้มีคำสั่ง “ให้เลื่อนวันนัดตรวจสอบพยานหลักฐานออกไปเป็นวันที่ 14 มีนาคม 2561 และกำหนดวันนัดไต่สวนมูลฟ้อง 2 วัน คือ 15 และ 16 พฤษภาคม 2561”

เนื่องจากคดีนี้เป็นคดีใหญ่ที่อยู่ในความสนใจของประชาชน ศาลฯ จึงมีข้อกำหนด “สั่งห้ามคู่ความมิให้เผยแพร่ข้อมูลและพยานหลักฐาน ซึ่งอาจกระทบต่อกระบวนการพิจารณาคดีของศาล จนกว่าคดีจะถึงที่สุด หรือศาลมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น” จำเลยคดีนี้ ประกอบด้วย นายประสงค์ พูนธเนศ เป็นจำเลยที่ 1, นายนิรันดร์ ธีรนาทสิน จำเลยที่ 2, น.ส.สุทธิรัตน์ รัตนโชติ จำเลยที่ 3, นายราฆพ ศรีศุภอรรถ จำเลยที่ 4, นายนันทศักดิ์ พูลสุข จำเลยที่ 5, นาวาอากาศตรี ประจักษ์ สัจจโสภณ จำเลยที่ 6, พลอากาศโท จอม รุ่งสว่าง จำเลยที่ 7, นายวราห์ ทองประสินธุ์ จำเลยที่ 8, พลอากาศโท ประกิต ศกุณสิงห์ จำเลยที่ 9, นายมานิต นิธิประทีป จำเลยที่ 10, นายธานินทร์ ผะเอม จำเลยที่ 11, นายธวัชชัย อรัญญิก จำเลยที่ 12, นางระวีวรรณ เนตระคเวสนะ จำเลยที่ 13, นายนิตินัย ศิริสมรรถการ จำเลยที่ 14, บริษัท คิง เพาเวอร์ สุวรรณภูมิ จำกัด จำเลยที่ 15, บริษัท คิง เพาเวอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด จำเลยที่ 16, บริษัท คิง เพาเวอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด จำเลยที่ 17 และนายสมบัตร เดชาพานิชกุล เป็นจำเลยที่ 18

ต่อมานายบัญชา ปรมีศณาภรณ์ ทนายความของกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ฯ ได้ทำหนังสือลงวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2561 ส่งถึงกองบรรณาธิการ สำนักข่าวออนไลน์ไทยพับลิก้า ในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2561 เวลา 12.00 น. เรื่อง ขอให้หยุดการนำเสนอข่าว โดยมีใจความสรุปว่า “สำนักข่าวออนไลน์ไทยพับลิก้า มุ่งเน้นแต่การนำเสนอข่าวตามข้อกล่าวหาของนายชาญชัย และติดตามการแถลงข่าวของนายชาญชัย นำเสนอข่าวต่อประชาชนในด้านเดียว(อ่านข่าวทั้งหมดในซีรี่ย์เจาะธุรกิจดิวตี้ฟรีไทย)เผยแพร่ทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยข้อเท็จจริงตามการนำเสนอข่าวนั้น ยังมิได้มีคำพิพากษาของศาลว่าแท้จริงแล้วความเป็นจริงเป็นอย่างไร ซึ่งการนำเสนอข่าวของพวกท่านไม่อยู่บนพื้นฐานของความจริงอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ ซึ่งพวกท่านย่อมเล็งเห็นผลว่าก่อให้เกิดผลกระทบและเสียหายต่อชื่อเสียง เกียรติยศ เกียรติคุณ ผลประโยชน์ และทางทำมาหาได้ของกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ฯ และกรรมการบริหารเป็นอย่างมาก และการนำเสนอข่าวของพวกท่านเป็นการละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานของบุคคลที่ถูกกล่าวหา ทั้งที่ยังไม่ได้มีการพิสูจน์ความผิดตามข้อกล่าวหา ซึ่งบุคคลผู้ถูกกล่าวหา ย่อมมีสิทธิในความเป็นอยู่ส่วนตัว เกียรติยศ ชื่อเสียง และครอบครัว ผู้ใดจะกระทำละเมิดไม่ได้ ตามกฎหมาย”รัฐธรรมนูญฯ มาตรา 29 และมาตรา 32

จึงขอให้สำนักข่าวไทยพับลิก้า ยุติการนำเสนอข่าวผ่านเว็บไซต์ไทยพับลิก้า หรือในช่องทางอื่นใด โดยเฉพาะข้อเท็จจริงที่ยังมิได้มีการพิสูจน์ความจริง และมีคำพิพากษาของศาล หากยังนำเสนอข่าวในลักษณะเช่นนี้อีก กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ฯ และกรรมการบริหารที่ได้รับความเสียหาย จำเป็นต้องดำเนินคดีทั้งทางแพ่งและอาญากับบุคคลที่ร่วมกระทำให้เกิดความเสียหายตามกฎหมายต่อไป หวังเป็นอย่างยิ่งว่าคงจะได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดี ลงชื่อนายบัญชา ปรมีศณาภรณ์ ทนายความผู้รับมอบอำนาจ

วันที่ 13 มีนาคม 2561 กองบรรณาธิการ สำนักข่าวออนไลน์ไทยพับลิก้า จึงมอบหมายให้ผู้สื่อข่าว นำจดหมายของทนายความของกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ฯ ไปมอบให้ศาลอาญาคดีทุจริตฯ วินิจฉัย เพื่อประโยชน์ในการนำเสนอข่าวต่อไป เนื่องจากที่ผ่านมาทางสำนักข่าวออนไลน์ไทยพับลิก้าได้ปฏิบัติตามระเบียบข้องบังคับของศาลอาญาคดีทุจริตฯ อย่างเคร่งครัด โดยมีการทำเรื่องขออนุญาตก่อนเข้าฟังการพิจารณาคดีของศาล และได้รับอนุญาตจากศาลอาญาคดีทุจริตฯ ให้เข้าฟังและรายงานข่าวกระบวนการพิจารณาของศาลได้ และทุกครั้งที่ศาลมีคำสั่งคดี ศาลได้กำชับคู่ความห้ามเผยแพร่ข้อมูลและพยานหลักฐานทุกครั้ง ดังนั้น การนำเสนอข่าวจึงไปมุ่งเน้นการรายงานข้อเท็จจริงในกระบวนการพิจารณาของศาล และความคืบหน้าของคดีตามที่ศาลแถลง รวมทั้งเป็นการเผยแพร่ข่าวเป็นภาษาไทยเฉพาะในประเทศเท่านั้น ไม่เคยเผยแพร่ในต่างประเทศแต่อย่างใด

ทั้งนี้การรายงานข่าวคดีของนายชาญชัยระบุชัดเจนว่าเป็นเพียงข้อกล่าวหา และศาลอาญาคดีทุจริตกำหนดวันนัดตรวจเอกสารพยานหลักฐานวันที่ 14 มีนาคม 2561 และนัดไต่สวนวันที่ 15-16 พฤษภาคม 2561 น่าจะเพียงพอให้บุคคลทั่วไปอ่านแล้วเข้าใจได้ว่าศาลอาญาคดีทุจริตฯ ยังไม่ได้ตัดสินหรือพิพากษาคดีแต่อย่างใด

วันที่ 13 มีนาคม 2561 สำนักข่าวออนไลน์ไทยพับลิก้าจึงมอบหมายให้ผู้สื่อข่าวนำจดหมายของทนายความของกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ฯ ส่งให้คณะผู้พิพากษาศาลอาญาทุจริตฯ คดีหมายเลขดำที่ อท.352/2560 วินิจฉัย

วันที่ 14 มีนาคม 2561 ระหว่างที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง กำลังพิจารณาคดีหมายเลขดำที่ อท.352/2560 ศาลได้ชี้แจงทนายความฝ่ายจำเลยและผู้สื่อข่าว ทั้งกรณีที่ทนายความฝ่ายจำเลยเคยมาขอให้ศาลสั่งห้ามสื่อมวลชนเข้าฟังและห้ามรายงานข่าวการพิจารณาคดีนี้ในชั้นศาล และกรณีที่สื่อมวลชนขอให้ศาลวินิจฉัยเพื่อใช้เป็นแนวทางการนำเสนอข่าวต่อไปนั้น ทางศาลอาญาคดีทุจริตฯ มีความเห็นว่า การนำเสนอข่าวเป็นสิทธิและเสรีภาพขั้นพื้นฐานของสื่อมวลชนที่บัญญัติไว้ในกฎหมายรัฐธรรมนูญฯ ศาลอาญาคดีทุจริตฯ ไม่มีอำนาจที่จะไปสั่งห้ามสื่อมวลชนนำเสนอข่าวหรือห้ามเข้าฟังการพิจารณาคดีของศาล เพราะอยู่นอกเหนืออำนาจหน้าที่ของศาล ศาลจึงอนุญาตให้สื่อมวลชนเข้าฟังและนำเสนอข่าวกระบวนการพิจารณาคดีของศาลได้ แต่สื่อมวลชนที่เข้าฟังและรายงานข่าวกระบวนการพิจารณาคดีของศาลก็ต้องปฏิบัติตามระเบียบและข้อกำหนดของศาลอย่างเคร่งครัด และการทำหน้าที่ของสื่อมวลชนต้องไม่ส่งผลกระทบต่อกระบวนการพิจารณาคดีของศาล

ทั้งนี้ ในการนำเสนอข่าวของสื่อมวลชนเอง ก็ต้องอยู่ภายใต้กฎหมายรัฐธรรมนูญ และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องด้วย หากนำเสนอข่าวออกไปแล้วส่งกระทบต่อผู้อื่น ผู้เสียหายก็ต้องไปดำเนินคดีกันที่ศาลอื่นต่อไป เพราะไม่ได้อยู่ในขอบเขตความรับผิดชอบของศาลแห่งนี้ ดังนั้น ศาลอาญาคดีทุจริตฯ จึงไม่มีอำนาจในการวินิจฉัยตามที่สื่อมวลชนร้องขอ เพราะศาลอาญาคดีทุจริตฯ ก็อยู่ภายใต้กฎหมายรัฐธรรมนูญเช่นเดียวกัน