ThaiPublica > ประเด็นสืบสวน > สรรพสามิตแจงปรับโครงสร้างภาษีสุรา-บุหรี่ ราคาขายปลีกขยับอีก 3-6 บาท เตรียมลุยจับบุหรี่ไฟฟ้ารับ กม.ใหม่

สรรพสามิตแจงปรับโครงสร้างภาษีสุรา-บุหรี่ ราคาขายปลีกขยับอีก 3-6 บาท เตรียมลุยจับบุหรี่ไฟฟ้ารับ กม.ใหม่

14 กันยายน 2017


นายสมชาย พูลสวัสดิ์ อธิบดีกรมสรรพสามิต

หลังจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรี วันที่ 12 กันยายน 2560 มีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราภาษีสุรา ยาสูบ และไพ่ เป็นกฎหมายลูก ซึ่งออกตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 (ฉบับใหม่) ที่จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 16 กันยายน 2560 เป็นต้นไป ปรากฏมีกระแสข่าวว่าการปรับโครงสร้างภาษีครั้งนี้จะทำให้ราคาบุหรี่ที่วางขายตามท้องตลาดต้องปรับราคาเพิ่มขึ้นซองละ 30 บาท จนทำให้ตลาดตื่นตระหนก ตัวแทนจำหน่าย สั่งซื้อเหล้าและบุหรี่เข้ามาเก็บไว้ในสต็อก

นายสมชาย พูลสวัสดิ์ อธิบดีกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า การปรับโครงสร้างภาษีสุราและยาสูบครั้งนี้ ยืนยันว่าไม่ได้ทำให้ราคาขายปลีกบุหรี่เพิ่มขึ้นซองละ 30 บาทตามที่เป็นข่าวแต่อย่างใด การปรับโครงสร้างภาษีครั้งนี้คำนึงถึงสุขภาพของประชาชน และความเป็นธรรมเป็นหลัก ไม่ได้เน้นไปที่การหารายได้เข้ารัฐ หลักในการจัดเก็บภาษีของกรมสรรพสามิตมี 2 รูปแบบ คือ 1. เก็บภาษีตามปริมาณ 2. เก็บภาษีตามมูลค่า ใช้วิธีไหนคำนวณภาษีแล้วรัฐได้รายได้สูงสุดให้ใช้วิธีนั้น ปรากฏว่าที่ผ่านมาบุหรี่นำเข้าจากต่างประเทศสำแดงราคาต่ำ เมื่อใช้วิธีการคำนวณตามมูลค่าสินค้าแล้วรัฐได้ภาษีน้อย จึงใช้วิธีการคำนวณภาษีตามปริมาณ ซึ่งเก็บภาษีตามน้ำหนัก 1.10 บาทต่อกรัม ทำให้บุหรี่นำเข้ากลุ่มนี้กำหนดราคาขายปลีกได้ในราคาที่ต่ำมาก

ดังนั้น เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม กรมสรรพสามิตจึงต้องปรับโครงสร้างภาษีใหม่จะเก็บภาษีทั้งตามปริมาณและมูลค่ารวมกัน โดยใช้ราคาขายปลีกตามท้องตลาดเป็นราคาหรือเกณฑ์อ้างอิง หลักการคือ ทั้งผู้นำเข้าและโรงงานยาสูบ ไม่ว่าจะผลิตบุหรี่มวนเล็กหรือมวนใหญ่ออกมาขาย ต้องเสียภาษีมวนละ 1.20 บาทก่อน (เก็บภาษีตามปริมาณ) จากนั้นให้ใช้ราคาขายปลีกมาเป็นเกณฑ์อ้างอิง หากตั้งราคาขายปลีกสูงกว่า 60 บาท (เก็บภาษีตามมูลค่า) ต้องเสียภาษี 40% ของมูลค่า แต่ถ้ากำหนดราคาขายปลีกต่ำกว่า 60 บาท ให้เสียภาษีในอัตรา 20% ของมูลค่า เป็นเวลา 2 ปีนับจากวันที่มีผลบังคับใช้ หลังจากนั้นให้ปรับอัตราขึ้นเป็น 40% ทั้งนี้ เพื่อให้ผู้ที่มีรายได้น้อยได้มีเวลาปรับตัว ลด ละ เลิก การสูบบุหรี่ การปรับโครงสร้างภาษีบุหรี่ครั้งนี้คาดว่าจะทำให้ราคาขายปลีกบุหรี่ทุกยี่ห้อเพิ่มขึ้น 3-6 บาท สำหรับรายละเอียดกรมสรรพสามิตจะแถลงข่าวในวันเสาร์ที่ 16 กันยายน 2560 เวลา 10.00 น.

ส่วนโครงสร้างภาษีเหล้า เบียร์ เน้นไปที่เรื่องของสุขภาพตามหลักสากล จึงเก็บภาษีทั้งตามปริมาณและมูลค่าเช่นเดียวกับบุหรี่ แต่เน้นไปที่ปริมาณแอลกอฮอล์ การกำหนดอัตราภาษีสุรา-เบียร์เดิมนั้นให้น้ำหนักไปที่การจัดเก็บภาษีตามมูลค่าประมาณ 80% ตามปริมาณแอลกอฮอล์ 20% แต่โครงสร้างอัตราภาษีใหม่ให้น้ำหนักไปที่มูลค่า 60% และตามปริมาณแอลกอฮอล์ 40% ดังนั้น เหล้าที่มีดีกรีสูงๆ ก็จะต้องเสียภาษีแพงขึ้น คาดว่าจะทำให้ราคาเหล้าสีและเหล้าขาวปรับราคาขึ้นขวดละ 3-7 บาท

ส่วนไวน์นั้นต้องเสียภาษีตามปริมาณลิตรละ 1,500 บาทแห่งแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ (100%) และต้องเสียภาษีตามมูลค่าด้วย โดยคำนวณจากราคาขายปลีก ถ้าตั้งราคาขายปลีกเกิน 1,000 บาท/ขวด เสียภาษีสรรพสามิตอีก 10% ของมูลค่า แต่ถ้าตั้งราคาขายปลีกไม่ถึง 1,000 บาท/ขวด เสียภาษีตามปริมาณอย่างเดียว ไม่ต้องเสียภาษีตามมูลค่า (เดิมกำหนดราคาขายปลีกไว้ที่ 600 บาท/ขวด)

“การปรับโครงสร้างภาษีสุรา-เบียร์ครั้งนี้ นอกจากจะมีผลต่อการปรับขึ้นราคาขายปลีกแล้ว ยังเป็นการขยายเพดานในการปรับอัตราภาษีด้วย โดย พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิตฉบับใหม่ให้อำนาจ ครม. ออกกฎกระทรวงปรับขึ้นอัตราภาษีเบียร์ได้สูงสุดลิตรละ 3,000 บาทแห่งแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ เหล้าขาวและเหล้าสีปรับขึ้นอัตราภาษีได้สูงสุดลิตรละ 1,000 บาทแห่งแอลกอฮอล์บริสุทธิ์” นายสมชายกล่าว

ส่วนกรณีที่มีคนเป็นห่วงการปรับขึ้นภาษีบุหรี่ครั้งนี้จะทำให้ผู้บริโภคหันไปสูบบุหรี่ไฟฟ้าหรือบุหรี่หนีภาษีซึ่งมีราคาถูกกว่าทดแทนนั้น นายสมชายกล่าวว่า ตาม พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 ได้กำหนดนิยามบุหรี่ไฟฟ้าเข้ามาอยู่ในพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต แต่เนื่องจากประเทศไทยไม่อนุญาตให้นำเข้าและจำหน่ายในประเทศ ตนจึงได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่สรรพสามิตดำเนินการจับกุมผู้นำเข้าและผู้ที่จำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าอย่างเข้มงวดทันทีที่กฎหมายมีผลบังคับใช้ รวมทั้งบุหรี่ลักลอบนำเข้าด้วย

หลังจากกระทรวงพาณิชย์ออกประกาศเดือนธันวาคมปี 2557 กำหนดให้บารากู่ บารากู่ไฟฟ้าและบุหรี่ไฟฟ้า เป็นสินค้าต้องห้ามในการนำเข้ามาในราชอาณาจักรไทย ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องดำเนินการจับกุมผู้นำเข้าและผู้จำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้า ซึ่งมีโทษจำคุกสูงสุด 10 ปี ล่าสุดเจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังขยายผลการจับกุมไปยังผู้ซื้อหรือผู้ที่สูบบุหรี่ไฟฟ้า

เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2560 มีนักท่องเที่ยวชาวเวียดนามโพสต์ข้อความบน Facebook ระบุว่า ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจเมืองพัทยาคุมขังนาน 20 ชั่วโมง ข้อหาสูบบุหรี่ไฟฟ้า ขณะเดินทางมาท่องเที่ยวกับภรรยาในประเทศไทย โดยนักท่องเที่ยวรายนี้จ่ายเงินประกันตัวด้วยวงเงิน 1 แสนบาท หรือ 70 ล้านดอง ขณะที่เว็บไซต์ travelweekly ประกาศเตือนนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาประเทศไทย โดยเฉพาะกลุ่มที่สูบบุหรี่ไฟฟ้าให้ระวังโทษจำคุก 10 ปี เพราะการสูบบุหรี่ไฟฟ้าในไทยถือเป็นสิ่งผิดกฎหมาย