ThaiPublica > เกาะกระแส > นายกฯ ชี้ยังไม่กำหนดวัดปิดสักการะพระบรมศพ – เผยคืบหน้าสร้างพระเมรุมาศจำลอง 85 แห่ง – แก้กม.เงินคงคลังเปิดช่องกู้เงิน ลดภาระดบ. 1.2 หมื่นล้าน/ปี

นายกฯ ชี้ยังไม่กำหนดวัดปิดสักการะพระบรมศพ – เผยคืบหน้าสร้างพระเมรุมาศจำลอง 85 แห่ง – แก้กม.เงินคงคลังเปิดช่องกู้เงิน ลดภาระดบ. 1.2 หมื่นล้าน/ปี

12 กันยายน 2017


เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2560 ที่ทำเนียบรัฐบาลมีการประชุมคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยมี พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. เป็นประธาน โดย พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวภายหลังตอบคำถามสื่อมวลชนเสร็จสิ้นว่า วันนี้ตนได้แจกหนังสือ 1 เล่มให้ ครม. ไปอ่านกัน ชื่อว่า The SPEED of Trust เป็นหนังสือเกี่ยวกับการสร้างความไว้วางใจ คนเขียนเป็นคนมีชื่อเสียงของโลกเกี่ยวกับการสร้างแรงบันดาลใจ กระบวนการปรับทัศนคติที่จะทำให้คนมีกำลังใจในการทำงาน มีการสร้างการปลุกจิตสำนึกให้กับตัวเองและองค์กร ซึ่งตนพยายามจะขับเคลื่อนเรื่องเหล่านี้มาตลอดรวมถึงตัวของตนด้วย

“ผมก็ศึกษาอ่านและทำความเข้าใจ อะไรที่ผมต้องปรับแก้กับตัวเองได้ เช่น อารมณ์ร้อน พูดจาไม่เพราะ ผมก็พยายามปรับของผมไปเรื่อย แต่ท่านก็ต้องเห็นใจผมด้วยเพราะผมก็เป็นมนุษย์ปุถุชนธรรมดาคนหนึ่งเหมือนกัน ถึงแม้จะเป็นนายกรัฐมนตรีก็ตาม อาจจะไม่ค่อยน่ารักเท่าไร แต่ผมก็ทำงานเต็มที่ เกิน 100 เปอร์เซ็นต์ของผม วันนี้ก็มีหลายเรื่องที่หารือกันใน ครม. จะเห็นได้ว่าประชุมกันจนถึง 15.00 น. ก็มี 30 กว่าเรื่อง เรื่องรับทราบอีก 30 กว่าเรื่อง รวมทั้งเรื่องพิจารณา และมีข้อสั่งการเพิ่มเติมอีก ทำให้ล่าช้าจนถึง 14.00 น.” นายกรัฐมนตรีกล่าว

ยังไม่กำหนดวันปิดสักการะพระบรมศพ – เผยคืบหน้าสร้างพระเมรุมาศจำลอง 85 แห่ง

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามกรณีการเปิดให้ประชาชนเข้าถวายสักการะพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชว่าวันสุดท้ายจะให้เข้ากราบได้ถึงเมื่อไร ว่า จะถึงเมื่อไร อย่างไรนั้นต้องรอพระราชวินิจฉัยด้วย วันนี้ยังคงให้มีการกราบถวายสักการะได้ไปตลอด

“พอใกล้ๆ เวลาผมคิดว่าคงต้องมีการเตรียมการการซักซ้อมต่างๆ บ้าง แต่ไม่รู้ว่าจะใช้เวลาสักเท่าไร ส่วนนี้อยู่ในขั้นตอนการเตรียมงานของคณะกรรมการจัดงาน ก็เห็นใจประชาชน” นายกรัฐมนตรีกล่าว

ต่อคำถามถึงการประกาศวันหยุดเพิ่มเติมในช่วงพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพฯ พล.อ. ประยุทธ์ ระบุว่า ขณะนี้มีแค่วันที่ 26 ตุลาคม 2560 ซึ่งเป็นวันถวายพระเพลิงพระบรมศพฯ วันเดียว ยังไม่ได้มีการพิจารณาอย่างอื่น ซึ่งต้องดูสถานการณ์ต่างๆ เพิ่มเติมขึ้น สำหรับการขอความร่วมมือสถานบันเทิงได้มีการหารือกันไปแล้วในมติ ครม. และคณะกรรมการจัดงานมีการขอความร่วมมือไปแล้ว ซึ่งตนคิดว่าทุกคนน่าจะรู้ดีว่าในช่วงนั้นควรจะทำตัวอย่างไร เพราะเป็นการถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ด้วย ดังนั้น อะไรที่ไม่ดีก็ไม่เห็นจะต้องบังคับกันมากมาย ซึ่งตนใจหายเหมือนกันเพราะระยะเวลาไม่นานก็ครบรอบ 1 ปีแล้ว พวกเราคนไทยทั้งประเทศไม่รู้สึกบ้างหรือ

ด้านการก่อสร้างพระเมรุมาศจำลอง พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวว่า ขณะนี้มีความคืบหน้าไปมากแล้ว ทางรัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณวางแบบและวางแผนในการก่อสร้างแล้ว ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จในวันที่ 15 ตุลาคม 2560 เป็นพระมหากรุณาธิคุณที่ได้ทรงพระราชทานพระราชวินิจฉัยให้ดำเนินการได้ เนื่องจากทรงเป็นห่วงประชาชนต้องเดินทางเข้ามาในกรุงเทพฯ

พล.ท. สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวเพิ่มเติมว่า ในที่ประชุม ครม. กระทรวงมหาดไทยรายงานความคืบหน้าการจัดสร้างพระเมรุมาศจำลองทั่วประเทศ หลังจากเมื่อ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ครม. ได้อนุมัติงบประมาณไปแล้ว คือในอำเภอเมืองของทุกจังหวัดทั้ง 76 จังหวัด รวมทั้งในกรุงเทพฯ และปริมณฑลอีก 9 แห่ง ได้แก่ ลานคนเมือง ศาลาว่าการ กทม., สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลเดิม, สวนนาคราภิรมย์, ลานพระบรมราชานุสาวรีย์ ร.1, สนามกีฬากองทัพอากาศหรือธูปะเตมีย์, ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทคบางนา, พุทธมณฑล, สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง และลานพระราชวังดุสิต รวม เป็น 85 แห่ง

“เพื่อให้ประชาชนทั่วทุกที่ได้ถวายความจงรักภักดีได้มีโอกาสร่วมงานพระบรมศพ ถวายพระเพลิงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ซึ่งพระเมรุมาศจำลองนี้แผนกสถาปนิกในพระองค์ของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ กรมโยธาธิการและผังเมือง กรมศิลปากร ได้ร่วมกันจัดทำแบบก่อสร้างจำลองขึ้น โดยรูปแบบเป็นสถาปัตยกรรมไทยรูปทรงบุษบก ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 16 เมตร สูงจากพื้น 45 เซนติเมตร มีองค์พระเมรุมาศตั้งอยู่กึ่งกลาง ขนาด 4.50 คูณ 4.50 เมตร ความสูงรวมฐาน ประมาณ 22.35 เมตร โดยจะดำเนินการสร้างทั้ง 85 แห่ง ให้แล้วเสร็จในวันที่ 15 ตุลาคม 2560” พล.ท. สรรเสริญ กล่าว

พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)

ออก ม.44 มอบอำนาจ กพท. ระงับบินสายการบินยังไม่ได้ AOC

พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวว่า วันนี้ที่ประชุม คสช. ได้พิจารณาเกี่ยวกับเรื่องการทำงานเพื่อแก้ไขปัญหามาตรฐานการบินเพื่อรับการตรวจสอบขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (International Civil Aviation Organization: ICAO) ว่ามีการคืบหน้าอย่างไรมีปัญหาตรงไหน ซึ่งในส่วนของสายการบินที่ยังได้รับการตรวจสอบไม่สมบูรณ์ (การออกใบรับรองผู้ดำเนินการเดินอากาศใหม่) ก็จะต้องดำเนินการระงับการบินไปบ้าง

“ที่ผ่านมามีการอนุมัติที่มากเกินขีดความสามารถในการตรวจสอบ ซึ่งทุกคนทราบดี และเกิดมาก่อนรัฐบาลนี้ ทั้งนี้เพื่อให้เป็นไปตามกติกาของ ICAO อย่างน้อยในช่วงนี้จนถึงเดือนธันวาคม 2560 สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) จะต้องใช้เวลาตรวจสอบสายการบินที่ค้างอยู่ให้แล้วเสร็จ พอเสร็จแล้วจึงอนุญาตให้ทำการบินต่อได้ สายการบินใดที่ไม่ผ่านก็ไม่ผ่าน” นายกรัฐมนตรีกล่าว

ตรวจสต็อกข้าวยังไม่พบผิดปกติ – ยันไม่ให้ใครได้ประโยชน์อยู่แล้ว

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามการดำเนินการของคณะอนุกรรมการตรวจสอบข้าวในสต็อกของรัฐ ว่า การที่รัฐบาลนี้จำเป็นต้องแต่งตั้งออกไปก็เพื่อให้เกิดความชัดเจนเกิดขึ้นในกรณีที่มีการกล่าวอ้างว่า วิธีการระบายข้าวของคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) นั้นไม่ถูกต้อง มีการนำข้าวดีไปทำเป็นข้าวเสียนั้นไม่ใช่ เพราะปริมาณข้าวในคลังทุกคลังมีการตรวจรับไปแล้วตั้งแต่ครั้งแรก และทุกคลังได้มีการรับรองแล้วว่ามีข้าวดี-ข้าวเสียเท่าไร

“กติกาในการระบายข้าวที่ผ่านมาช่วงหนึ่งที่เปิดการประมูลไปแล้วนั้นไม่มีผู้สนใจเนื่องจากมีปริมาณข้าวเสียมากเกินความต้องการที่จะนำไปสู่การบริโภคของคน จึงได้มีการพิจารณาจาก นบข. ว่าจะต้องกำหนดเปอร์เซ็นต์ของข้าวเสียในแต่ละคลัง เพราะเป็นการประมูลยกคลัง ทำให้ต้องประเมินว่ามีข้าวเสียอยู่เท่าไรที่เป็นอาหารคนไม่ได้แล้ว ซึ่งผลการประเมินออกมามีข้าวเสียเกิน 20% ในแต่ละคลัง ทั้งหมดไม่ว่าจะดีจะเสียจะต้องไปสู่โรงงานอาหารสัตว์ มันเป็นกติกาและเป็นมาตรฐาน ซึ่งการตรวจของคณะอนุกรรมการฯ ได้ดำเนินการตรวจสอบตามนี้ แล้วก็เห็นว่าเป็นไปตามเดิม ตามมาตรฐานที่กำหนดไว้ ตามข้อพิจารณาของ นบข. ว่าจะต้องจำหน่ายข้าวทั้งคลังนั้นที่มีข้าวเสียเกิน 20% ไปสู่อุตสาหกรรมอาหารสัตว์”

พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวต่อไปว่า จากนี้ต้องตรวจสอบต่อไปว่าบริษัทที่ได้ประมูลไปแล้วนั้นมีการไปแยกส่วนอย่างไรหรือไม่ รัฐบาลนี้มุ่งหวังให้เกิดความชัดเจนอยู่แล้ว ยืนยันว่าไม่มีการให้ใครได้ประโยชน์ ซึ่งขณะนี้มีเอกสารรายงานออกมาแล้วแต่ยังไม่ถึงโต๊ะของตน เท่าที่รับทราบยังไม่พบการกระทำที่ผิดปกติ ซึ่งการที่ผู้ประมูลประมูลได้แล้วไปทำการขนย้ายหรือทำอะไรนั้นเป็นการกระทำที่ผิดกติกาหรือไม่อยากให้ดูในส่วนนั้น ไม่ใช่ย้อนกลับมากล่าวหาว่ารัฐบาลทำข้าวเสียแล้วนำไปขายมีคนได้รับประโยชน์ ตนคิดว่ารัฐบาลไม่โง่ที่จะทำแบบนั้น

เส้นทาง”ยิ่งลักษณ์”ออกนอกประเทศ แต่ยังไม่รู้ข้ามแดนทางไหน

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามกรณีการติดตามตัวนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่หลบหนีไม่มาขึ้นศาลว่า มีการติดตามตัวอยู่ตามที่ พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เคยให้ข้อมูลไปแล้ว ตอนนี้สอบพบในกล้องซีซีทีวีต่างๆ เห็นเส้นทางแล้ว แต่การข้ามแดนนั้นยังไม่พบว่าใช้ช่องทางไหนอย่างไร

“แน่นอนว่าต้องมีคนสนับสนุนให้ไป แต่ไม่ใช่รัฐบาล ไม่ใช่ คสช. ไม่ใช่ฝ่ายมั่นคงแน่นอน ก็ต้องไปหาดูว่าเป็นใคร กำลังสืบต่ออยู่ ก็ไม่อยากให้มีผลกระทบใดๆ ทั้งสิ้น อย่างไรก็ตามวันนี้หมายจับมีอยู่แล้วในเรื่องการหนีประกัน หนีการรับฟังการตัดสินคดี ซึ่งตามกฎหมายใหม่สามารถอุทธรณ์ได้ เพียงแต่ตัวต้องอยู่ ก็ให้ความสำคัญแต่ไม่อยากให้เป็นประเด็นมากในช่วงนี้” นายกรัฐมนตรีกล่าว

แจง “บิ๊กป้อม” ไปอังกฤษไม่เกี่ยว “ยิ่งลัษณ์” – ย้ำกลาโหมยังไม่มีแผนซื้ออาวุธ

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามกรณี พล.อ. ประวิตร เดินทางไปอังกฤษนั้นเกี่ยวข้องกับนางสาวยิ่งลักษณ์หรือไม่ว่า เป็นการเดินทางไปตามคำเชิญของรัฐมนตรีกลาโหมอังกฤษ ซึ่งมีการเชิญเป็นปกติทุกปีให้ดูการจัดแสดงอาวุธยุทโธปกรณ์ ซึ่งเป็นความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในด้านความมั่นคง ก็เป็นหน้าที่ที่ต้องไปดูไปพบปะกับรัฐมนตรีหลายๆ ประเทศด้วยกัน โดยปฏิเสธว่าการเยือนอังกฤษในครั้งนี้ของ พล.อ. ประวิตร ไม่ใช่การไปเพื่อจัดซื้ออาวุธอย่างแน่นอน

“ไม่ได้หมายความว่าจะไปซื้ออะไร ยังไม่มีแผนซื้ออะไรทั้งสิ้น การจะซื้อของต้องกำหนดความต้องการก่อน เมื่อกำหนดความต้องการว่าปีไหนต้องการอะไรแล้วจึงมาตั้งคณะกรรมการซื้อจัดหาอีกครั้ง แล้วจึงไปสรรหาบริษัทที่จะมาดำเนินการ หรือจะเป็นจีทูจี ซึ่งการคัดเลือกบริษัทไม่ได้คำนึงถึงอาวุธยุทโธปกรณ์หรือราคาที่ถูกอย่างเดียว แต่ต้องมองไปถึงการบริการหลังการขายและเรื่องอื่นๆ อีกเยอะแยะไปหมด อย่าไปพาดหัวข่าวเลย พอไปไหนก็กลายเป็นไปซื้ออาวุธหรือซื้ออะไรง่ายๆ เราไม่ได้มีเงินทองมากขนาดนั้น ต้องไปดูในแผนพัฒนากองทัพว่าอะไรต้องจัดซื้อใหม่ อะไรต้องจัดซื้อทดแทน” นายกรัฐมนตรีกล่าว

พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวต่อไปว่า ทุกวันนี้อาวุธยุทโธปกรณ์มีการซ่อมเป็นจำนวนมาก และยิ่งพังไปเพราะเก่ามาก หากซ่อมไปเรื่อยๆ จะคุ้มค่าหรือไม่ต้องพิจารณาตรงนี้ คณะกรรมการแต่ละเหล่าทัพจะเป็นผู้พิจารณา อาวุธบางส่วนนั้นต้องมีการซื้อทดแทน หากหมดอายุการใช้งานพร้อมกันทั้งหมดจะเป็นอย่างไร ดั้งนั้นจึงต้องมีการทยอยซื้อมาเป็นห้วงๆ ไป การจัดซื้ออาวุธเป็นอย่างนั้น ขออย่ามองแง่เดียวว่าได้ผลประโยชน์หรือมีใต้โต๊ะกันตรงไหน ตนคิดว่าในส่วนนั้นก็ต้องแยกเข้ากระบวนการตรวจสอบอีกเรื่องหนึ่ง

เพิ่งรู้ “บ.เครือกระทิงแดง” รุกป่า

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามกรณีบริษัทในเครือกระทิงแดงถูกกล่าวหาว่ารุกที่ป่าชุมชนห้วยเม็ก จ.ขอนแก่น ภาครัฐจะมีวิธีแก้ไขอย่างไร ว่า ตนเพิ่งทราบว่าเป็นบริษัทในเครือนี้ มีการสอบถามรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องก็ไม่ทราบเช่นกัน เพราะเป็นเรื่องการทำงานตามปกติที่เริ่มต้นมาจากท้องถิ่น อำเภอ ผู้ว่าราชการจังหวัด เสนอขอใช้พื้นที่ขึ้นมา แต่ทั้งนี้ก็กำลังสอบสวนว่ามีข้อมูลแนบท้ายมาหรือไม่ว่าเรื่องนี้มีปัญหาหรือเปล่า โดยกล่าวย้ำว่าเป็นการทำงานปกติ และไม่รู้ว่าเป็นลูกหลานใคร ขอว่าอย่านำประเด็นมาเกี่ยวข้องกัน ขณะนี้กระทรวงมหาดไทยกำลังตรวจสอบข้อเท็จจริงอยู่

ต่อคำถามกรณีชาวบ้านถูกสวมชื่อในการประชาพิจารณ์ จะมีแนวทางตรวจสอบอย่างไร พล.อ. ประยุทธ์ ถามกลับว่าเรื่องนี้มีประชาชนกี่คนที่ร้องเรียน การทำประชาพิจารณ์มีประมาณ 16 ล้านเสียง ถูกสวมสิทธิ์กี่คน ทางกระทรวงมหาดไทยก็ดำเนินการสอบอยู่

“ไม่ได้หมายความว่าพอมีข่าวอย่างนี้มาแล้วทั้งหมดล้มเหลว ประชาพิจารณ์ไม่ถูกต้อง อย่างนี้ก็แย่หากทำงานแบบนี้ ต้องไปดูว่าใครผิดใครถูก ถ้าผิดจริงก็ตัดคนเหล่านี้ออกไป ไม่ใช่มีการสวมสิทธิ์ไปทั้งหมด ต้องคิดแบบนี้ไม่อย่างนั้นทำงานไม่ได้” นายกรัฐมนตรีกล่าว

มีแนวคิดปรับค่าแรงขั้นต่ำ แต่ขอเศรษฐกิจโตกว่านี้ก่อน

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามถึงแนวคิดที่จะปรับค่าแรงขั้นต่ำเวลานี้หรือไม่ หลังจากเมื่อสัปดาห์ที่แล้วคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย (คสรท.) เสนอขอปรับค่าแรงขั้นต่ำเป็น 600-700 บาทต่อวัน ว่า แนวคิดมีอยู่แล้วว่าต้องดูแลแรงงานอย่างไร แต่ประเด็นคือเมื่อปรับแล้วผลกระทบจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง วันนี้กระบวนการทำงานดังกล่าวอยู่ในคณะกรรมการของกระทรวงแรงงาน มีการประสานงานแบบไตรภาคี ส่วนพวกที่พูดนอกเวทีนั้นก็เป็นอีกพวกหนึ่ง ตนขอให้เข้าใจบ้างว่าวันนี้ไทยกำลังจะชักจูงนักลงทุนเข้ามาในประเทศหากเจอแบบนี้เข้าไปก็จบหมด ฉะนั้น ขอเวลาก่อน ให้ทุกอย่างก้าวหน้ามีผลประโยชน์มีรายได้มากขึ้น เดี๋ยวค่าแรงก็จะขึ้นตามมาเอง ซึ่งแรงงานก็ต้องพัฒนาตนเองด้วยไปสู่แรงงานที่มีฝีมือ หากไม่มีการปรับตัวเลยก็ไม่ได้ รัฐบาลอุ้มไม่ไหว จะพากันเสียหายไปทั้งหมด ตนขอร้องไปก่อนแล้วกัน

“เขาก็ขึ้นเท่าที่ขึ้นได้ตามคณะกรรมการพิจารณาขึ้นมา ก็ขอร้องอย่าไปพูดกันนอกเวที” นายกรัฐมนตรีกล่าว

ชี้บูรณะพระปรางค์วัดอรุณฯ ความงาม 100 ปีก่อนกับปัจจุบันอาจต่างกัน

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามกรณีการบูรณะพระปรางค์วัดอรุณราชวราราม ที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าทำแล้วไม่สวยงาม ว่า กรณีดั้งกล่าวตนได้มอบหมายให้กระทรวงวัฒนธรรมไปพิจารณาดูว่าจะทำอะไรได้อย่างไรบ้าง เพราะมีการอนุมัติให้ดำเนินการไปแล้วบางส่วน ถ้าจะหยุดจะทำอย่างไร จึงให้ไปหารือกันมาอีกที

“ที่บอกว่าไม่สวยงามนั้น อะไรคือสวยงาม และอะไรคือไม่สวยงาม ถ้าจะเทียบกับของเดิมก่อนที่จะบูรณะกับวันที่บูรณะ มันก็แตกต่างกันอยู่แล้ว เหมือนทำของเก่าเป็นของใหม่ ซึ่งอาจจะมองดูแล้วไม่กลมกลืนหรือเปล่า ตรงนี้ผมก็ไม่รู้ ต้องไปดูว่าที่ผ่านมาเขาก่อสร้างมาด้วยวิธีการไหน และระยะเวลาผ่านมาเป็นร้อยๆ ปีมันทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรไปบ้าง ทั้งจากสภาพอากาศ ฝนฟ้าต่างๆ เรามองด้วยสายตาของคนปัจจุบันก็อาจจะเห็นว่าแปลกตาไป มันต้องไปดูด้วยหลักการทางศิลปกรรม การก่อสร้าง การบูรณะว่าเป็นอย่างไร ส่วนช่างที่มาทำนั้น ก็เป็นช่างที่มีความชำนาญเฉพาะในการซ่อมแซมโบราณสถานทั้งหมด” นายกรัฐมนตรีกล่าว

กฎหมายลูก “กกต.-พรรคการเมือง” เรียบร้อยแล้ว รอโปรดเกล้าฯ

พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวถึงความคืบหน้าการนำร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองขึ้นทูลเกล้าฯ ว่า มี 2 ฉบับที่ทูลเกล้าฯ เรียบร้อยแล้วคือร่าง พ.ร.บ.คณะกรรมการการเลือกตั้ง และร่าง พ.ร.บ.พรรคการเมือง รอการโปรดเกล้าฯ ส่วนอีก 2 ฉบับที่เกี่ยวกับการเลือกตั้ง และที่มา ส.ว.-ส.ส. ยังร่างกันไม่เสร็จ

“หลายคนไปกล่าวว่าผมจะดึง จะดึงได้อย่างไร ถ้าไม่เสร็จก็แสดงว่ามีปัญหาอยู่ แล้วทำไมจะต้องเร่งเรื่องที่มีปัญหาให้เสร็จเร็วๆ จะไปทำในสิ่งที่มันจะต้องยั่งยืนสถาพร เพราะกรอบเวลาของมันยังมีชัดเจน ซึ่งยังอยู่ในกรอบเวลาทั้งหมด ดังนั้นผมดึงไม่ได้อยู่แล้ว ก็เห็นอยู่ว่ามีพิจารณาในคณะกรรมาธิการ 3 คณะ ก็มีทุกกฎหมาย มีข้อโต้แย้งข้อสังเกตมากมายต้องปรับแก้กันไปมาก็แล้วแต่เขา ผมไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียอยู่แล้ว อย่ามากังวลกับผมมากนักเลย หลายคนกังวล จบเรื่องนั้นไปเรื่องนี้ ท้ายสุดมีปัญหาเรื่องของใครก็กลับมาหาผม ก็เป็นอย่างนี้เพราะมันต้องหาจำเลยสักคน ผมไม่ใช่จำเลยใครทั้งสิ้นเพราะยังไม่ได้ทำอะไรที่ไม่ถูกต้องตามขั้นตอนโรดแมปของตนเลย ใครจะมองอย่างไรก็แล้วแต่เพราะผมรู้แก่ใจตัวเอง” นายกรัฐมนตรีกล่าว

มติ ครม. มีดังนี้

พ.อ. อธิสิทธิ์ ไชยนุวัติ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พล.ท. สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และนายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่มาภาพ: www.thaigov.go.th

แก้กฎหมายเงินคงคลัง – เปิดช่องกู้เงินลดภาระดอกเบี้ยปีละ 12,000 ล้านบาท

นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ครม. มีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติหนี้สาธารณะและพระราชบัญญัติเงินคงคลัง เพิ่มอำนาจให้กระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อบริหารสภาพคล่องได้ เนื่องจากที่ผ่านมารัฐบาลในบางช่วงของปีงบประมาณจะต้องสำรองเงินคงคลังไว้ในระดับสูง เพื่อการใช้จ่ายระหว่างรอเงินภาษีเข้าสู่กระทรวงการคลังตามรอบบัญชีการจ่ายภาษี ซึ่งทำให้ภาวะเงินคงคลังมีลักษณะขึ้นลงในแต่ละช่วงเวลาและสร้างค่าใช้จ่ายอันเกิดจากต้นทุนเงินกู้ (Carry Cost) ที่อาจแฝงอยู่ในเงินคงคลัง ประมาณเฉลี่ยปีละ 12,000 ล้านบาท ทั้งนี้ หากกระทรวงการคลังมีอำนาจที่จะกู้เงินเพื่อบริหารสภาพคล่องดังกล่าวได้ ต่อไปจะเพิ่มความยืดหยุ่นของการสำรองเงินคงคลังและช่วยประหยัดต้นทุนดังกล่าวได้ โดยการกู้เพื่อบริหารจะเป็นการกู้ด้วยการออกตั๋วเงินคลัง (T-Bills) หรือตราสารระยะสั้นเท่านั้น ยังเวลาไม่เกิน 1 ปี โดยมีกรอบวงเงินสูงสุดไม่เกิน 5% ของงบประมาณรายจ่ายประจำปี หรือประมาณ 140,000 ล้านบาทตามงบประมาณปีปัจจุบัน และกำหนดให้ต้องชำระหนี้เงินต้นภายในปีงบประมาณที่มีการกู้เกิดขึ้น

ทุ่มงบ 1,500 ล้านบาท เพิ่มสิทธิค่าเช่าบ้านข้าราชการ

นายกอบศักดิ์กล่าวว่า ครม. มีมติอนุมัติร่างพระราชกฤษฎีกาค่าเช่าบ้านข้าราชการ (ฉบับที่..) พ.ศ. … เนื่องจากมิได้ปรับมาเป็นเวลา 8 ปี โดยมีสาระสำคัญกำหนดให้กระทรวงการคลังมีอำนาจดำเนินการแก้ไขบัญชีอัตราค่าเช่นบ้านและให้กำหนดอัตราค่าเช่าบ้านเพียง 5 ระดับจากเดิม 11 ระดับ ด้วยอัตราตั้งแต่ 2,500-6,000 บาทต่อเดือน จากเดิมที่กำหนดไว้ตั้งแต่ 800-4,000 บาทต่อเดือน ทั้งนี้ รัฐบาลคาดการว่าจะการเพิ่มวงเงินดังกล่าวจะทำให้การใช้จ่ายงบประมาณเพิ่มขึ้น 1,500 ล้านบาทต่อปี จากเดิม 3,000 ล้านบาทต่อปี เป็น 4,500 ล้านบาท

แก้ข้อตกลงการค้าเสรีไทย-ออสเตรเลีย – เพิ่มการค้าสินค้าเกษตร

นายกอบศักดิ์กล่าวว่า ครม. มีมติอนุมัติแก้ไขปริมาณสินค้าที่มีการใช้มาตรการโควตาภาษีตามบัญชีแนบท้ายภาคผนวก 2 และแก้ไขปริมาณการนำเข้าสินค้าที่มีการใช้มาตรการปกป้องพิเศษตามบัญชีแนบท้ายภาคผนวก 5 ของความตกลงการค้าเสรีไทย-ออสเตรเลีย (TAFTA) โดยจะเริ่มต้นลดมาตรการกีดกันทางภาษีในสินค้าเกษตรอ่อนไหวตามข้อตกลงจากสินค้าประเภทนมต่างๆ เนื่องจากความต้องการในปัจจุบันของไทยมีมากกว่ากำลังการผลิตและต้องนำเข้าในจำนวนมากกว่าโควตาที่กำหนดอยู่แล้ว โดยมีการหารือทำความเข้าใจกับเกษตรโคนมแล้ว

ทั้งนี้ เดิมประเทศไทยได้ลงนามความตกลงการค้าเสรีไทย-ออสเตรเลีย และเริ่มต้นลดภาษีการค้าระหว่างจนกระทั้งปัจจุบัน 98.99% ของสินค้าได้ลดภาษีจนหมดแล้ว เหลือเพียงสินค้าเกษตรอ่อนไหว แบ่งเป็นสินค้าที่มีการใช้มาตรโควตาภาษี 8 รายการ โดยการนำเข้าในโควตาดังกล่าวจะได้รับสิทธิลดภาษีตามที่กำหนด โดยมาตรการนี้จะสิ้นสุดในปี 2562 จำนวน 6 รายการ และสินค้าที่มีการใช้มาตรการปกป้องพิเศษ โดยกำหนดปริมาณเพดานนำเข้าซึ่งจะได้รับสิทธิเสียภาษีในอัตราต่ำ ขณะที่ปริมาณสูงกว่าเพดานจะต้องเสียภาษีในอัตราปกติ และมาตรการนี้จะสิ้นสุดในปี 2563

อนุมัติแผนพัฒนาตลาดทุนไทยฉบับที่ 3 (ปี 2560-2564)

นายกอบศักดิ์กล่าวว่า ครม. มีมติเห็นชอบในหลักการร่างแผนพัฒนาตลาดทุนไทยฉบับที่ 3 (ปี 2560-2564) โดยมีสาระสำคัญของร่างแผนพัฒนาตลาดทุนฯ มีมาตรการหลัก 5 มาตรการ ดังนี้

มาตรการหลักที่ 1 การเป็นแหล่งทุนสำหรับ SMEs และนวัตกรรม ส่งเสริมการเข้าถึงแหล่งเงินทุนให้กับ SMEs เช่น กลุ่มวิสาหกิจเริ่มต้น (Startup) หรือกลุ่มผู้ที่มีความคุ้นเคยเกี่ยวกับเทคโนโลยีทางการเงินอย่าง Financial Technology (FinTech)
มาตรการหลักที่ 2 การเป็นแหล่งระดมทุนสำหรับโครงการพื้นฐานของประเทศ เช่น การเพิ่มรูปแบบการระดมทุนแบบ PPP ในโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ
มาตรการหลักที่ 3 การเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของตลาดทุนไทย เพื่อทำให้ภาคธุรกิจสามารถเข้าถึงแหล่งทุนด้วยต้นทุนที่แข่งขันได้กับคู่แข่งในต่างประเทศ ตลอดจนดูแลให้ประชาชนมีโอกาสและทางเลือกในการเข้าถึงช่องทางลงทุนในต้นทุนที่เหมาะสมและได้รับการคุ้มครองที่เพียงพอ
มาตรการหลักที่ 4 การพัฒนาให้ตลาดทุนไทยเป็นจุดเชื่อมโยงของภูมิภาค โดยส่งเสริมให้ตลาดทุนไทยมีสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการแข่งขันเชื่อมโยง สามารถเป็นแหล่งระดมทุนสำคัญของภูมิภาคและมีผลิตภัณฑ์ในระดับภูมิภาคที่พร้อมรองรับการเป็นแหล่งลงทุนสำคัญสำหรับนักลงทุนทั่วโลกที่ต้องการลงทุนในภูมิภาค โดยเฉพาะในกลุ่ม CLMV
มาตรการที่ 5 การมีแผนรองรับสังคมผู้สูงอายุ เนื่องจากปัจจุบันระบบการออมเพื่อการเกษียณอายุของไทยยังมีข้อจำกัด เช่น ไม่ครอบคลุมการออมของแรงงานอย่างทั่วถึง รายได้ไม่เพียงพอต่อค่าใช้จ่ายในการดำรงชีพหลังเกษียณอายุ

ปรับแผนแม่บทพัฒนาที่อยู่อาศัยจาก 10 ปีเป็น 20 ปี

พ.อ. อธิสิทธิ์ ไชยนุวัติ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ครม. มีมติเห็นชอบในหลักการของยุทธศาสตร์การพัฒนาที่อยู่อาศัยระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2560-2579) จากเดิมที่เคยอนุมัติเมื่อวันที่ 12 มกราคม 2559 แต่เป็นแผนแม่บทระยะ 10 ปี จึงเห็นชอบให้ปรับระยะเวลาให้สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี รวมทั้งให้ขยายแผนแม่บทให้ครอบคลุมกลุ่มคนต่างๆ มากขึ้นจากเดิม และมีวิสัยทัศน์ว่า “คนไทยทุกคนมีที่อยู่อาศัยถ้วนทั่วและมีคุณภาพชีวิตที่ดีในปี 2579”

โดยมีประเด็นยุทธศาสตร์ 5 ยุทธศาสตร์ ได้แก่ ยุทธศาสตร์ที่ 1 การพัฒนาและสนับสนุนให้มีที่อยู่อาศัยที่ได้มาตรฐานโดยมีเป้าประสงค์สนับสนุนให้ทุกคนมีที่อยู่อาศัยที่ได้มาตรฐาน ยุทธศาสตร์ที่ 2 การเสริมสร้างระบบการเงินและสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย เป้าประสงค์เพื่อให้ประชาชนทุกคนสามารถเข้าถึงระบบการเงิน ยุทธศาสตร์ที่ 3 การยกระดับการบูรณาการด้านบริหารจัดการที่อยู่อาศัย เป้าประสงค์ให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนงานด้านที่อยู่อาศัย ยุทธศาสตร์ที่ 4 การส่งเสริมให้ชุมชนเข้มแข็งได้อย่างยั่งยืน เป้าประสงค์ให้ชุมชนเข้มแข็งสามารถพึ่งพาตนเองได้ และยุทธศาสตร์ที่ 5 การจัดการสิ่งแวดล้อมเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี เป้าประสงค์เน้นการจัดการระบบสาธารณูปโภค ระบบสาธารณูปการ จัดการที่ดินและผังเมืองที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

อนุมัติ 1,881 ล้านบาท สร้างโรงฟ้าฟ้าพลังน้ำเขื่อนผาจุก

พ.อ. อธิสิทธิ์ กล่าวว่า ครม. ได้อนุมัติให้กระทรวงพลังงานสร้างโรงงานไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนผาจุก วงเงิน 1,881 ล้านบาท โดยคิดเป็นเงินรายได้ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) 25% นอกจากนั้นเป็นเงินกู้ 75% โดยมีเป้าหมายเพื่อพัฒนาการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนตามแผน AEDP 2015 และลดสัดส่วนการนำเข้าพลังงานจากต่างประเทศ และคาดว่าจะเพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนในภาพรวมของประเทศให้ได้ 20% ของปริมาณความต้องการไฟฟ้าภายในปี 2579 ทั้งนี้ โรงไฟฟ้าดังกล่าวตั้งอยู่บริเวณฝั่งซ้ายของเขื่อนทดน้ำผาจุกของกรมชลประทาน ซึ่งอยู่ห่างจากท้ายเขื่อนสิริกิติ์เป็นระยะทางประมาณ 43 กิโลเมตร ในเขตตำบลผาจุก อำเภอเมือง จังหวัดอุตรดิตถ์

อนึ่ง โรงไฟฟ้ามีขนาดกำลังผลิตติดตั้ง 2×7 เมกะวัตต์ พลังงานไฟฟ้าที่ผลิตได้ เฉลี่ย 91.26 ล้านหน่วยต่อปี มีระบบสายส่งไฟฟ้าพิจารณาเชื่อมโยงระบบไฟฟ้าของโครงการฯ โดยก่อสร้างสายส่ง 115 เควีวงจรคู่ตัดกับสายส่งอุตรดิตถ์-สิริกิติ์ ระยะทางประมาณ 7 กิโลเมตร มีระยะเวลาดำเนินโครงการ 39 เดือน โดยรวมกับขั้นตอนการออกแบบและการขออนุญาตแล้ว ซึ่งจะมีการกำหนดจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ในเดือนธันวาคม 2563 และจะมีราคาจำหน่ายอยู่ที่ 2.99 บาทต่อหน่วย โดยจะผลิตพลังงานไฟฟ้าจากน้ำได้ 14 เมกะวัตต์ ซึ่งสามารถช่วยลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ได้ในปีะละ 45,833 ตัน และช่วยเพิ่มความมั่นคงให้กับระบบไฟฟ้า โดยเฉพาะในกรณีโรงไฟฟ้าเขื่อนสิริกิติ์ ไม่สามารถเดินเครื่องได้จากเหตุสุดวิสัย และช่วยลดภาระของโรงไฟฟ้าเขื่อนสิริกิติ์ในการจ่ายพลังงานไฟฟ้าให้กับพื้นที่ในอนาคต

ปรับค่าตอบแทนครูเอกชนสอนผู้พิการเท่าครูรัฐบาล 2,500 บาท

พ.อ. อธิสิทธิ์ กล่าวว่า ครม. มีมติอนุมัติให้ปรับค่าตอบแทนพิเศษครูที่สอนนักเรียนพิการในโรงเรียนเอกชนให้ได้รับค่าตอบแทนเป็นเงินเพิ่มพิเศษเป็นอัตราคนละ 2,500 บาทต่อเดือน เช่นเดียวกับครูที่สอนนักเรียนพิการในโรงเรียนรัฐตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 เป็นต้นไป จากเดิมที่ได้รับ 2,000 บาทต่อเดือน อนึ่ง เดิม ครม. เคยอนุมัติไว้เมื่อ 22 พฤศจิกายน 2548 ให้ครูที่สอนนักเรียนพิการได้รับค่าตอบแทนพิเศษ 2,000 บาทต่อเดือน ต่อมาได้ออกระเบียบเพิ่มขึ้นเป็น 2,500 บาทต่อเดือนสำหรับครูของรัฐเท่านั้น โดยที่ครูเอกชนยังคงได้รับ 2,000 บาทต่อเดือน ครั้งนี้ ครม. จึงปรับให้มีความเท่าเทียมกัน

คสช. จ่อใช้ ม.44 อีก 4 ฉบับ

พล.ท. สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้ประชุมและมีมติใช้อำนาจตาม ม.44 อีก 4 ประเด็น ได้แก่

  • ปลดล็อกให้คนสัญชาติไทยไม่จำเป็นต้องนำส่งใบตรวจคนเข้าเมืองหรือใบ ตม.6 เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของการตรวจคนเข้าเมืองของสนามบินและลดความล่าช้าที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน เนื่องจากปัจจุบันรัฐบาลไทยมีฐานข้อมูลเกี่ยวข้องตัวบุคคลที่เพียงพอและการยกเลิกการกรอกใบ ตม.6 ไม่น่าจะกระทบต่อความปลอดภัยของสนามบินแต่อย่างไร ขณะที่คนต่างด้าวยังคงต้องนำส่งใบ ตม.6 อยู่เหมือนเดิม นอกจากนี้ ครม. ยังมีมติอนุมัติแบบฟอร์มของใบ ตม.6 ใหม่ เพื่อลดการถามคำถามที่ไม่จำเป็นและเพิ่มคำถามที่จำเป็นให้สอดคล้องกับสถารการณ์ปัจจุบัน โดยให้ใช้ใบ ตม.6 ที่มีอยู่ให้หมดไปก่อนที่จะเริ่มดำเนินการปรับเปลี่ยนต่อไป
  • ให้ กพท. เป็นผู้พิจารณาห้ามมิให้ผู้ดำเนินการเดินอากาศที่ยังไม่ผ่านการตรวจประเมินและออกใบรับรองผู้ดำเนินการเดินอากาศใหม่ทำการบินระหว่างประเทศในช่วงระยะเวลาหนึ่ง จนกว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จ ระหว่างวันที่ 1 กันยายน 2560 – 31 มกราคม 2561 เพื่อให้สอดรับกับที่ทาง ICAO จะเข้ามาตรวจประเมินเพื่อปลดธงแดงในช่วง 20-27 กันยายน 2560 ซึ่งขณะนี้สายการบินที่อยู่ระหว่างการออกใบรับรองผู้ดำเนินการเดินอากาศใหม่ 12 สายการบิน
  • อนุมัติให้สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) จัดซื้อยาพิเศษ เช่น น้ำยาล้างไต ยาต้านเชื้อไวรัส HIV และยากำพร้าหรือยาที่มีการใช้งานน้อยและไม่คุ้มที่จะเก็บตุนไว้ให้บริการ ได้จนกว่าจะสิ้นสุดเดือนกันยายน 2560 ทั้งนี้ เดิมสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ได้ท้วงติงมาว่าการจัดซื้อยาของ สปสช. เป็นการใช้อำนาจเกินความที่กฎหมายกำหนด และผู้ที่จัดซื้อยาได้จะต้องเป็นสถานพยาบาลเท่านั้น และอาจจะต้องดำเนินการทางกฎหมาย รวมทั้งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการเคยตีความสอดคล้องกับ สตง. ว่า สปสช. ไม่มีอำนาจดังกล่าว อย่างไรก็ตาม สปสช. ได้ชี้แจงว่าขอเวลาจนถึงสิ้นปีงบประมาณ 2560 ในช่วงเปลี่ยนผ่านก่อนจะเริ่มดำเนินการได้ตามหลักเกณฑ์ปกติ คสช. จึงอนุมัติตามที่ สปสช. ร้องขอมา
  • อนุมัติสร้างสายส่ง 13 โครงการผ่านเขตอนุรักษ์ได้ในระหว่างขออนุญาต จากเดิมที่ตามกฎหมายจะต้องขออนุญาตให้แล้วเสร็จก่อน เพื่อความมั่นคงทางพลังงานของไทยในอนาคต

คลัง-สรรพสามิต ยันปรับภาษีบาป ไม่กระทบผู้บริโภค

นายสมชาย พูลสวัสดิ์ อธิบดีกรมสรรพสามิต กล่าวว่า ที่ประชุม ครม. มีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงว่าด้วยกำหนดอัตราภาษีสินค้าประเภทสุรา ยาสูบ และไพ่ ซึ่งออกตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต 2560 ฉบับใหม่ ที่จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 16 กันยายน 2560 โดยคาดว่าจะประกาศลงราชกิจจานุเบกษาก่อนในวันที่ 15 กันยายน 2560 หลังจากนั้นกรมสรรพสามิตจะมีการแถลงรายละเอียดเกี่ยวกับอัตราภาษีและพระราชบัญญัติทั้งหมดให้รับทราบอีกครั้ง

ส่วนอัตราภาษีประเภทอื่นที่ ครม. เห็นชอบไปก่อนหน้านี้แล้ว ซึ่งจะประกาศในราชกิจจานุเบกษาในอีก 1-2 วันนี้ โดยยืนยันว่าการปรับปรุงโครงสร้างภาษีสรรพสามิตใหม่ครั้งนี้ไม่ได้เป็นการเพิ่มภาระให้ผู้ประกอบการและผู้บริโภค

เมื่อถามถึงสถานการณ์การกักตุนสินค้า นายสมชายระบุว่า ได้มีการประสานงานให้ผู้ประกอบการแล้ว ซึ่งการดำเนินการครั้งนี้เป็นการขยายฐานภาษีให้กว้างขึ้นเท่านั้น

ด้านนายวิสุทธิ์ ศรีสุพรรณ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวเพิ่มเติมว่า ได้มีการกำหนดเพดานภาษีโดยจะขึ้นอยู่กับปริมาณแอลกอฮอล์ในเครื่องดื่มแต่ละชนิด ซึ่งเดิมทีโครงสร้างภาษีเหล้า-เบียร์ จะอิงตามราคาขายมากกว่าปริมาณแอลกอฮอล์ 

“ไม่ว่าอย่างไรภาษีเบียร์ก็จะถูกกว่าเหล้า เพราะเต็มที่แค่ 7 ดีกรีเท่านั้น ส่วนเหล้าประมาณ 40 ดีกรี ตามหลักแล้วเมื่อดีกรีแอลกอฮอล์สูงจะมีน้ำหนักในการคำนวณภาษีมากขึ้น เรื่องนี้เราไม่ได้ต้องการรายได้เป็นหลัก แต่ต้องการให้เข้าระบบ” นายวิสุทธิ์กล่าว 

เช่นเดียวกับยาสูบและบุหรี่ ที่จากเดิมคิดตามมูลค่าและน้ำหนัก โดยบุหรี่ที่ราคาแพงจะเสียภาษีสูงกว่าราคาถูก เพื่อลดผู้บริโภคหน้าใหม่ แต่ในกฎหมายฉบับนี้ได้เปลี่ยนมาคิดตามมูลค่าราคาขายต่อมวน ดังนั้น ในเชิงปริมาณ บุหรี่ราคาแพงกับราคาถูก ขาการคิดปริมาณเท่ากันแต่ขามูลค่าการขายใครขายแพงก็ต้องเสียแพง