ThaiPublica > เกาะกระแส > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ : “ยกฟ้องสลายชุมนุม 7 ต.ค. 51 – พธม. ไม่พอใจ – ‘ประวิตร’ ยัน ไม่เกี่ยวนามสกุล” และ “สหรัฐฯ แจง ไม่ต้องการล้มล้างเกาหลีเหนือ”

ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ : “ยกฟ้องสลายชุมนุม 7 ต.ค. 51 – พธม. ไม่พอใจ – ‘ประวิตร’ ยัน ไม่เกี่ยวนามสกุล” และ “สหรัฐฯ แจง ไม่ต้องการล้มล้างเกาหลีเหนือ”

5 สิงหาคม 2017


ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ประจำวันที่ 29 ก.ค. – 4 ส.ค. 2560

  • ยกฟ้องสลายชุมนุม 7 ต.ค. 51 – พธม. ไม่พอใจ – “ประวิตร” ยัน ไม่เกี่ยวนามสกุล
  • ศาลชี้แล้ว อดีต จนท. ที่ดินพังงา “ถูกผู้อื่นทำให้ตาย” ในห้องควบคุมของดีเอสไอ
  • คมนาคมเตรียมเปิดบริการ แท็กซี่โอเค-แท็กซี่วีไอพี เริ่ม พ.ย. นี้
  • คลังพร้อม เบี้ยประกันสุขภาพหักภาษีไม่เกินหมื่นห้าต่อปี เชื่อลดภาระบัตรทอง
  • สหรัฐฯ แจง ไม่ต้องการล้มล้างเกาหลีเหนือ
  • ยกฟ้องสลายชุมนุม 7 ต.ค. 51 – พธม. ไม่พอใจ – “ประวิตร” ยัน ไม่เกี่ยวนามสกุล

    นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ (ซ้าย) และ พล.อ. ชวลิต ยงใจยุธ (ขวา)
    ที่มาภาพ: เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ

    เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจรายงานว่า วันที่ 2 ส.ค. 2560 เมื่อเวลา 11.00 น. ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นายธนสิทธิ์ นิลกำแหง ว่าที่รองประธานศาลฎีกา เจ้าของสำนวนคดีสลายการชุมนุมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) และองค์คณะผู้พิพากษารวม 9 คน ได้นัดฟังคำพิพากษา คดีหมายเลขดำ อม.2/2558 ที่ ป.ป.ช. ได้ยื่นฟ้อง นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 26 อายุ 70 ปี, พล.อ. ชวลิต ยงใจยุทธ หรือบิ๊กจิ๋ว อดีตรองนายกรัฐมนตรี อายุ 85 ปี นักการเมืองที่เคยร่วมทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านหลายสมัย, พล.ต.อ. พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีต ผบ.ตร. อายุ 68 ปี, พล.ต.ท. สุชาติ เหมือนแก้ว อดีต ผบช.น. อายุ 66 ปี เป็นจำเลยที่ 1-4 ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและโดยทุจริต เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 กรณีกล่าวหาว่าเมื่อวันที่ 7 ต.ค.2551 รัฐบาลนายสมชาย ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจขอคืนพื้นที่การชุมนุมจากกลุ่ม พธม. ที่ปิดล้อมทางเข้ารัฐสภา ซึ่งภายหลังเกิดการสลายการชุมนุมโดยมิชอบ ไม่เป็นไปตามหลักสากล กระทั่งมีผู้เสียชีวิต 2 ราย และผู้บาดเจ็บ 471 ราย ภายหลังไต่สวนพยานนัดสุดท้ายเสร็จเมื่อวันที่ 30 มิ.ย. 2560 ที่ผ่านมา จำเลยทั้งสี่ให้การปฏิเสธต่อสู้คดี

    ใจความสำคัญของคำพิพากษามีดังนี้

    • ศาลเห็นว่าคำสั่งในการผลักดันผู้ชุมนุมเป็นการให้ปฏิบัติการเพื่อให้คณะรัฐมนตรีได้ปฏิบัติหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ การที่ผู้ชุมนุมปิดล้อมประตูเข้าออกทุกด้านของอาคารรัฐสภาถือว่าเป็นการขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่และไม่ได้เป็นการชุมนุมโดยสงบสันติตามที่แกนนำได้ประกาศไว้
    • เจ้าหน้าที่พบระเบิดปิงปองหลังชุมนุม และมีรายงานตามทางข่าวว่าผู้ชุมนุมพกอาวุธ เมื่อเจ้าหน้าที่ใช้โล่ผลักดัน ผู้ชุมนุมได้ใช้หนังสติกยิงลูกเหล็ก หัวน็อต ลูกแก้ว รวมทั้งขว้างปาไม้ ขวดน้ำใส่เจ้าหน้าที่ และการปิดล้อมอาคารรัฐสภาก็นำรั้วลวดหนามที่คล้ายกับที่ใช้ในทางการทหารและแผนกั้นเหล็กมาวางไว้ที่กลางถนน อีกทั้งยังนำยางรถยนต์ขวางทางดังกล่าว และราดน้ำมันไว้บนพื้นผิวจราจรด้วย การชุมชุมนั้นจึงไม่ได้เป็นการที่ชุมนุมที่ได้รับความคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ
    • เจ้าหน้าที่ตำรวจได้รักษาความสงบเรียบร้อยตามที่ได้รับมอบหมายและได้ปฏิบัติตามขั้นตอนของแผนรักษาความสงบ (กรกฎ/48) โดยใช้มาตรการควบคุมฝูงชนจากเบาไปหาหนักแล้วเท่าที่จะทำได้ในสถานการณ์ขณะนั้น ส่วนเหตุที่ไม่สามารถใช้รถดับเพลิงฉีดน้ำเพื่อผลักดันกลุ่มผู้ชุมนุม รวมทั้งการใช้รถส่องสว่างในช่วงค่ำ เนื่องจากไม่ได้รับการสนับสนุนจาก กทม. โดยมีการติดต่อประสานผู้ว่าฯ กทม. แล้วแต่ไม่สามารถติดต่อได้
    • พยานหลักฐานของ ป.ป.ช. โจทก์จึงรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสี่ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
    • การปลุกระดมผู้ชุมนุมและจะบุกเข้าไปข้างในรัฐสภาก็ไม่ใช่เป็นการชุมนุมโดยสงบ
    • พยานจำเลยระบุว่าแก๊สน้ำตาไม่เป็นอันตราย สาร RDX ที่ผสมในแก๊สน้ำตามีจำนวนน้อยเพื่อให้แก๊สน้ำตาเกิดการฟุ้งกระจาย โดยจะไม่เป็นอันตรายหากไม่ได้ผสมรวมกับสารเคมีอื่นอีก 3 ชนิดที่จะมีฤทธิ์คล้ายระเบิดซีโฟร์ ส่วนที่การทดสอบเกิดหลุดกว้าง เนื่องจากก่อนการทดสอบฝนตกทำให้ดินนิ่ม
    • แม้เหตุการณ์มีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต แต่ศาลเห็นว่าในสถานการณ์เช่นนั้นเป็นการยากสำหรับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่จะรู้ว่าแก๊สน้ำตาจะเป็นเหตุให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต โดยเมื่อเหตุการณ์ชุมนุมยังไม่สงบ เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ยังมีหน้าที่ต้องปฏิบัติเพื่อรักษาความสงบไม่ให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลและทรัพย์สินของทางราชการ
    • ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 1, จำเลยที่ 3 และ จำเลยที่ 4 ก็ไม่อาจอนุมานได้ว่าแก๊สน้ำตาจะก่อให้เกิดอันตรายแก่ผู้ชุมนุมได้
    • ข้อเท็จจริงจากทางนำสืบจึงยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสามมีเจตนาพิเศษเพื่อให้เจ้าหน้าที่ตำรวจไปทำร้ายผู้ชุมนุมให้ได้รับอันตรายแก่กายและเสียชีวิต
    • องค์คณะฯ จึงพิพากษาให้ยกฟ้องจำเลยที่ 1-4
    ที่มาภาพ: เว็บไซต์เนชั่นทีวี (https://goo.gl/582wae)

    วันเดียวกัน เว็บไซต์เนชั่นทีวีรายงานว่า มวลชนที่อ้างว่าเป็นกลุ่ม พธม. ที่เดินทางมาฟังคำตัดสินของศาลได้แสดงความไม่พอใจต่อคำตัดสินดังกล่าว โดยบางคนระบุว่าไม่พอใจคำตัดสินของศาลฯ และรู้สึกเสียใจมาก เนื่องจากรอคอยความเป็นธรรมมากว่า 9 ปี โดยยืนยันว่ากลุ่ม พันธมิตรฯ ที่มารอฟังคำตัดสินนั้น อยู่ในเหตุการณ์เมื่อปี 2551 ด้วย

    ที่มาภาพ: เว็บไซต์ผู้จัดการออนไลน์ (https://goo.gl/vm3N7S)

    ด้านเว็บไซต์ผู้จัดการออนไลน์รายงานว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้กล่าวถึงการตัดสินคดีดังกล่าว โดยเมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าเหตุที่ศาลยกฟ้องคดีนี้ เป็นเพราะจำเลยมีนามสกุลวงษ์สุวรรณหรือไม่ ศาลถึงยกฟ้อง พล.อ. ประวิตร กล่าวว่า มันจะไปเกี่ยวอะไร เพราะในคดีมีคนเป็นอดีตนายกฯ 2คน แต่ พล.ต.อ. พัชรวาท เป็นอดีต ผบ.ตร. เท่านั้น

    ศาลชี้แล้ว อดีต จนท. ที่ดินพังงา “ถูกผู้อื่นทำให้ตาย” ในห้องควบคุมของดีเอสไอ

    เว็บไซต์สำนักข่าวอิศรารายงานว่า วันที่ 4 ส.ค. 2560 ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดฟังคำสั่งการขอไต่สวนชันสูตรพลิกศพการเสียชีวิตของนายธวัชชัย อนุกูล อดีตเจ้าหน้าที่กรมที่ดิน จ.พังงา ผู้ต้องหาออกเอกสารสิทธิที่ดินทับซ้อนอุทยานแห่งชาติกว่าพันแปลง ที่เสียชีวิตภายในห้องควบคุมกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เมื่อวันที่ 30 ส.ค. 2559 ที่พนักงานอัยการสำนักงานคดีอาญา 4 ได้ยื่นคำร้องเมื่อวันที่ 15 พ.ย. 2559 ที่ผ่านมา ไว้เป็นคดีหมายเลขดำ อช.4/2559 ซึ่งอัยการขอให้ศาลทำการไต่สวนและทำคำสั่งตามประมวลวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 148 และ 150 แสดงว่าผู้ตายเป็นใคร เสียชีวิตด้วยสาเหตุใด และใครป็นผู้ทำ ระหว่างบุคคลนั้นถูกควบคุมตัวอยู่ในห้องควบคุมผู้ต้องหาของดีเอสไอได้ถึงแก่ความตาย โดยศาลก็ได้ทำการไต่สวนพยานนับตั้งแต่ต้นปี 2560 เป็นต้นมา และวันนี้เป็นการนัดฟังคำสั่งครั้งที่ 2 หลังเลื่อนจากวันที่ 25 ก.ค. 2560 ที่ผ่านมา เนื่องจากการทำคำสั่งยังไม่แล้วเสร็จ โดยนายชัยณรงค์ อนุกูล น้องชายของนายธวัชชัย ได้เดินทางมาฟังคำสั่งศาลพร้อมด้วยทนายความ

    ศาลพิจารณาคำเบิกความและพยานหลักฐานการไต่สวนแล้วมีคำสั่งว่า ผู้ตายคือนายธวัชชัย อนุกูล ตายที่โรงพยาบาลมงกุฏวัฒนะ เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 30 ส.ค.2559 เวลา 04.43 น. เหตุและพฤติการณ์ที่ตายสืบเนื่องมาจากถูกของแข็งไม่มีคม กระแทก ตับแตก เลือดออกในช่องท้อง ร่วมกับการขาดอากาศหายใจจาการการผูกคอ โดยยังไม่ทราบว่าบุคคลใดเป็นผู้กระทำระหว่างอยู่ในความควบคุมของเจ้าพนักงานซึ่งปฏิบัติตามหน้าที่

    ภายหลังรับทราบคำสั่งศาล นายชัยณรงค์ อนุกูล น้องชายนายธวัชชัย เปิดเผยว่า ศาลได้มีคำสั่งแล้วว่าผู้ตายคือนายธวัชชัย ซึ่งเสียชีวิตเพราะมีบุคคลอื่นทำให้ตาย ดังนั้นจึงไม่ใช่การฆ่าตัวตาย โดยตนกำลังหารือกับทนายความที่จะติดตามการดำเนินการพนักงานสอบสวน สน.ทุ่งสองห้อง ต่อไปถึงการหาตัวผู้ที่ทำให้พี่ชายเสียชีวิต ซึ่งพนักงานสอบสวนได้ทำรายงานสรุปการเสียชีวิตไว้ และศาลก็รับฟังว่ามีบุคคลอื่นทำให้ตาย

    ขณะที่เว็บไซต์ไทยพับลิก้าระบุว่าในวันเดียวกัน เว็บไซต์กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) เผยแพร่หนังสือชี้แจง กรณีศาลอาญามีคำสั่งในเรื่องผู้ต้องหาที่อยู่ระหว่างการควบคุมเสียชีวิต โดยระบุว่าตามที่มีเหตุ เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2559 เวลาประมาณ 01.00 น. นายธวัชชัย อนุกูล ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาในคดีพิเศษที่ 4/2558 ของสำนักคดีคุ้มครองผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม ความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ซึ่งอยู่ระหว่างการควบคุมของเจ้าพนักงานในห้องควบคุมของกรมสอบสวนคดีพิเศษ มีการได้พยายามกระทำอัตวินิบาตกรรมด้วยการผูกคอในห้องควบคุมและได้เสียชีวิตที่โรงพยาบาลในเวลาต่อมา ซึ่งพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจ นครบาลทุ่งสองห้องได้ทำสำนวนชันสูตรพลิกศพ และส่งสำนวนไปยังพนักงานอัยการเพื่อยื่นต่อศาลอาญาเพื่อไต่สวนสาเหตุการตาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 148 และมาตรา 150 โดยเป็นคดีที่ อช.4/2559 และในวันนี้ได้ปรากฏข่าวว่า ศาลอาญามีคำสั่งว่านายธวัชชัยฯ เสียชีวิตเพราะผู้อื่นทำให้ตายนั้น

    กรณีดังกล่าวจึงเป็นเรื่องที่พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลทุ่งสองห้อง จะต้องดำเนินการสอบสวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาต่อไปว่าใครเป็นผู้ทำให้ถึงแก่ความตายดังกล่าว เนื่องจากการที่ศาลสั่งว่าผู้อื่นทำให้ตายย่อมหมายความว่ามีผู้ที่เกี่ยวข้องกับผู้ตายหลายคนและหลายขั้นตอนตั้งแต่ขั้นตอนควบคุมในห้องควบคุมตัวผู้ต้องหา ตลอดไปจนถึงขั้นตอนที่แพทย์ระบุว่าผู้ตายถึงแก่ความตายแล้วเมื่อเวลาประมาณ 04.43 น. ของวันที่ 30 สิงหาคม 2559

    ทั้งนี้ กรมสอบสวนคดีพิเศษจะได้ศึกษารายละเอียดในคำสั่งของศาล และพร้อมให้ความร่วมมือกับพนักงานสอบสวนท้องที่เกิดเหตุในการแสวงหาข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานเพื่อทำความจริงให้ปรากฏแก่สังคมต่อไป

    คมนาคมเตรียมเปิดบริการ แท็กซี่โอเค-แท็กซี่วีไอพี เริ่ม พ.ย. นี้

    ที่มาภาพ: เว็บไซต์สปริงนิวส์ (http://wp.me/p5c0qC-khJ)

    เว็บไซต์สปริงนิวส์รายงานว่า วันที่ 3 ส.ค. 2560 นายพิชิต อัคราทิตย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดตัวโครงการ Taxi OK และ Taxi VIP ซึ่งเป็นแท็กซี่รูปแบบใหม่ ภายใต้การกำกับดูแลของกรมการขนส่งทางบก เพื่อเพิ่มทางเลือกการใช้บริการระบบขนส่งสาธารณะให้กับประชาชนและยกระดับการให้บริการแท็กซี่ จากปีที่ผ่านมาที่มีข้อร้องเรียนการให้บริการแท็กซี่กว่า 37,000 ครั้งโดยกว่าร้อยละ 50 เป็นการปฏิเสธผู้โดยสาร และร้อยละ 16 เป็นการแสดงกิริยาวาจาไม่สุภาพ โดยที่เหลือเป็นการไม่กดมิเตอร์ และไม่ส่งผู้โดยสารตามที่กำหนด 

    แท็กซี่ที่จะเข้าระบบ Taki OK และ Taxi VIP ต้องติดตั้งเครื่องบันทึกการเดินทางของรถ ระบบ GPS ที่สามารถติดตามระยะทาง เวลา พิกัด ความเร็ว และค่าโดยสารได้แบบ real-time ติดตั้งอุปกรณ์แสดงตัวผู้ขับขี่ ที่ใช้กับใบอนุญาตขับรถสาธารณะที่กรมการขนส่งทางบกออกให้  ติดตั้งกล้องถ่ายภาพในรถแบบ snapshot และมีปุ่มฉุกเฉินสำหรับผู้โดยสารขอความช่วยเหลือจากศูนย์ให้บริการแท็กซี่และกรมการขนส่งทางบกในกรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน โดยสามารถเรียกใช้บริการแท็กซี่ผ่านแอปพลิเคชัน Taxi OK 

    ด้านนายสนิท พรหมวงษ์ อธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวว่า ผู้ให้บริการแอปพลิเคชันที่ให้บริการแท็กซี่ที่ยู่ภายใต้โครงการ Taxi OK จะถูกบังคับให้เก็บค่าบริการในเรียกผ่านแอปพลิเคชันไม่เกิน 25 บาท โดยจะเปิดให้คนขับแท็กซี่เข้าร่วมโครงการแบบภาคสมัครใจ ส่วนรถแท็กซี่ที่จดทะเบียนใหม่ทุกคันจะต้องติดตั้งอุปกรณ์ให้ครบที่กำหนด และคิดค่าโดยสารในอัตราเดิม 

    ส่วนโครงการ Taxi VIP จะมีมาตรฐานขนาดตัวรถ และสมรรถนะ สูงกว่ารถแท็กซี่ทั่วไป เป็นทางเลือกให้ผู้โดยสาร และเพิ่มสิ่งอำนวยความสะดวกภายในรถให้มากขึ้น โดยคิดค่าโดยสารเพิ่มขึ้นอีกร้อยละ 10-20 และคาดว่าจะมีการประกาศบังคับใช้ในราชกิจจานุเบกษาในสัปดาห์หน้า และเริ่มให้บริการได้ในเดือนพฤศจิกายนนี้ ซึ่งคาดว่าในเดือนมกราคมปีหน้าจะมีรถแท็กซี่ในระบบเข้าโครงการ Taxi OK กว่า 50,000 คัน 

    ขณะที่นายสากล บู่ทอง ที่ปรึกษาโครงการ Taxi OK ระบุว่า ในปัจจุบันแท็กซี่ที่ให้บริการใช้เวลากว่าร้อยละ 60 ในการหาลูกค้า แต่เมื่อเข้ามาสู่ระบบ จะช่วยลดระยะเวลาในการผู้โดยสารได้ถึงร้อยละ 20 ของช่วงเวลาที่ออกให้บริการ เนื่องจะมีระบบที่ใช้ในการบอกจุดพักรถ บอกจุดที่ทีผู้โดยสารแน่น จุดที่มีแท็กซี่จำนวนมาก และจุดที่มีการปฏิเสธจากการเรียกผ่านแอป ซึ่งจะทำให้รายได้ต่อวันของผู้ให้บริการแท็กซี่เพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 20 ที่สำคัญจะทำให้การปฏิเสธผู้โดยสารลดลงแน่นอน และยังมีจำนวนรถที่เพียงพอให้บริการ นอกจากนี้ในเรื่องระบบการรักษาความปลอดภัยจากการติดตั้งกล้องภายในรถ การแสดงตัวตนผู้ขับ และการใช้มิเตอร์ทำให้ระบบการใฟ้บริการจะเหนือกว่าของอูเบอร์มาก

    คลังพร้อม เบี้ยประกันสุขภาพหักภาษีไม่เกินหมื่นห้าต่อปี เชื่อลดภาระบัตรทอง

    ที่มาภาพ: เว็บไซต์ประชาชาติธุรกิจ (https://www.prachachat.net/?p=16472)

    วันที่ 4 ส.ค. 2560 เว็บไซต์ประชาชาติธุรกิจรายงานว่า นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง กล่าวว่า ปัจจุบันมีการให้หักลดหย่อนภาษีเบี้ยประกันชีวิตระยะยาวได้อยู่แล้ว ขณะที่แนวคิดเรื่องการหักลดหย่อนภาษีเบี้ยประกันสุขภาพไม่เกิน 15,000 บาทต่อปี ก็มีการคิดไว้นานแล้ว และตนได้มอบให้กรมสรรพากรไปพิจารณารายละเอียด ขณะนี้เรื่องยังไม่ส่งมาที่ตน ซึ่งหากกรมสรรพากรพิจารณาเสร็จแล้วก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี

    “มีการพูดกันว่า เมื่อรัฐบาลต้องช่วยเรื่องรักษาพยาบาลอยู่แล้ว โดยเฉพาะ 30 บาท (รักษาทุกโรค) ทำไมไม่ให้เอกชนมาร่วมด้วย โดยส่งเสริมให้ประชาชนทำประกันได้ด้วย ก็จะช่วยลดภาระบัตรทองได้ ส่วนประชาชนที่รายได้ยังน้อย ไม่ได้ซื้อประกัน ก็ยังใช้บัตรทองได้เป็นปกติ แต่ถ้าบางคนเห็นว่าบัตรทองยังไม่ครอบคลุมบางอย่าง อยากซื้อประกันเพิ่มเติม ก็จะซื้อเพิ่มเติมได้ หากทำได้ก็จะเป็นประโยชน์” นายอภิศักดิ์กล่าว

    แหล่งข่าวจากกรมสรรพากร กล่าวว่า การที่ประชาชนส่วนหนึ่งหันไปซื้อประกันสุขภาพ ก็จะทำให้ระบบบัตรทองสามารถดูแลคนรายได้น้อยได้อย่างเต็มประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย

    ก่อนหน้านี้ นางนุสรา (อัสสกุล) บัญญัติปิยพจน์ กรรมการผู้จัดการ บมจ.ไทยสมุทรประกันชีวิต และในฐานะนายกสมาคมประกันชีวิตไทย เปิดเผยว่า ขณะนี้กรมสรรพากรได้เห็นชอบในหลักการเกี่ยวกับค่าเบี้ยประกันสุขภาพสามารถไปหักเป็นค่าใช้จ่ายลดหย่อนภาษีเงินได้ประจำปี ได้ในวงเงินไม่เกิน 15,000 บาท

    เพราะถือเป็นการช่วยกระตุ้นให้เกิดการทำประกันสุขภาพมากขึ้น อีกทั้งยังช่วยภาครัฐลดภาระงบประมาณด้านการดูแลสุขภาพของประชาชนได้อีกมากด้วย ขณะนี้อยู่ในกระบวนการพิจารณาของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง หลังจากนั้นจะต้องเสนอเข้าคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาต่อไป

    ขณะที่นายประสงค์ พูนธเนศ อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวว่า การลดหย่อนค่าเบี้ยประกันสุขภาพ จะช่วยเหลือประชาชน โดยถือเป็นสวัสดิการของภาครัฐรูปแบบหนึ่ง ซึ่งเบี้ยประกันสุขภาพจะเป็นเบี้ยแบบปีต่อปี ซึ่งต่างกับเบี้ยประกันชีวิตที่ลดหย่อนภาษีให้ก่อนหน้านี้

    “ขณะนี้กรมอยู่ระหว่างเสนอ รมว.คลัง เห็นชอบ ที่เราทำก็เพราะเป็นการช่วยประชาชน เพราะสวัสดิการของรัฐมีหลายอย่าง บางอย่างประชาชนก็ต้องจ่ายเพิ่ม” นายประสงค์กล่าว

    สหรัฐฯ แจง ไม่ต้องการล้มล้างเกาหลีเหนือ

    ที่มาภาพ: เว็บไซต์บีบีซีไทย (http://bbc.in/2wtgbL3)

    วันที่ 2 ส.ค. 2560 เว็บไซต์บีบีซีไทยรายงานว่า นายเร็กซ์ ทิลเลอร์สัน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ กล่าวชี้แจงเรื่องความขัดแย้งกับเกาหลีเหนือว่า ที่จริงแล้วสหรัฐฯ ไม่ได้มุ่งเป็นศัตรูกับเกาหลีเหนือ และต้องการเจรจาเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม

    “เราไม่ได้ต้องการเปลี่ยนรัฐบาล หรือล้มล้างระบอบการปกครองที่เป็นอยู่ เราไม่ได้ต้องการจะเร่งให้เกิดการรวมชาติในคาบสมุทรเกาหลี เราไม่ได้แสวงหาข้ออ้างใดๆ ที่จะส่งกองทัพไปเหนือเส้นขนานที่ 38 เราไม่ใช่ศัตรูของคุณและไม่ใช่ภัยคุกคาม แต่เกาหลีเหนือกลับแสดงการข่มขู่ที่ยอมรับไม่ได้ต่อสหรัฐฯ ซึ่งเราจะต้องตอบโต้” นายทิลเลอร์สันกล่าว

    รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ยังกล่าวถึงจีน หลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ตำหนิจีนไปก่อนหน้านี้ว่าไม่ช่วยแก้ปัญหาเรื่องเกาหลีเหนือ “เกาหลีเหนือเท่านั้นที่เป็นผู้ผิดในสถานการณ์นี้ แต่เราเชื่อว่าจีนมีความสัมพันธ์พิเศษและมีอิทธิพลจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจซึ่งสำคัญมากพอที่จะโน้มน้าวเกาหลีเหนือได้ ในแบบที่ไม่มีใครจะสามารถทำเช่นนั้นได้อีกแล้ว”

    อย่างไรก็ตาม นายลินด์ซีย์ เกรแฮม วุฒิสมาชิกจากพรรครีพับลิกันได้เผยต่อสถานีโทรทัศน์เอ็นบีซีว่า ประธานาธิบดีทรัมป์บอกกับเขาว่าอาจต้องทำสงครามกับเกาหลีเหนือ หากยังคงมุ่งพัฒนาขีปนาวุธที่สามารถโจมตีสหรัฐฯ ได้อยู่ต่อไป

    “เขาบอกผมอย่างนั้นต่อหน้าเลย และผมเชื่อเขา หากจะต้องมีสงครามเพื่อหยุดยั้งเกาหลีเหนือ มันจะเกิดขึ้นที่นั่น หากจะมีคนจำนวนมหาศาลต้องตาย ก็จะต้องตายที่นั่น ไม่ใช่ที่นี่” นายเกรแฮมกล่าว