ThaiPublica > เกาะกระแส > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ : “สรุปเหตุการณ์ยิงที่โคราช” และ “ยูเอ็นเผย ไทยติดรายชื่อทำธุรกิจผิดกฎหมายในเวสต์แบงก์”

ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ : “สรุปเหตุการณ์ยิงที่โคราช” และ “ยูเอ็นเผย ไทยติดรายชื่อทำธุรกิจผิดกฎหมายในเวสต์แบงก์”

15 กุมภาพันธ์ 2020


ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ประจำวันที่ 8-14 ก.พ. 2563

  • สรุปเหตุการณ์ยิงที่โคราช
  • จำคุกแกนนำพันธมติรฯ คดีบุกสถานีโทรทัศน์เอ็นบีที พ.ศ. 2551
  • ป่าไม้แจ้งดำเนินคดีปารีณา รุกป่า 655 ไร่
  • อรรถวิชช์จดทะเบียน “พรรคกล้า” ชูปฏิบัตินิยม “ไม่ซ้าย-ไม่ขวา-ไม่กลาง”
  • ยูเอ็นเผย ไทยติดรายชื่อทำธุรกิจผิดกฎหมายในเวสต์แบงก์

สรุปเหตุการณ์ยิงที่โคราช

วันที่ 8 ก.พ. 2563 เวลาประมาณ 15.00 น. จังหวัดนครราชสีมา เกิดเหตุนายทหารยศจ่าสิบเอก (จ.ส.อ.) สังกัดกองพันสรรพาวุธกระสุนที่ 22 กองบัญชาการช่วยรบที่ 2 ค่ายสุรธรรมพิทักษ์ ใช้อาวุธปืนยิงนายทหารที่เป็นผู้บังคับกองพัน (ผบ.พัน) ของตนเองและแม่ยายของ ผบ.พัน คนดังกล่าวเสียชีวิตในค่ายฯ จากนั้น จึงนำปืน HK จำนวน 2 กระบอก (จากป้อมรักษาการณ์และคลังอาวุธ โดยยิงเจ้าหน้าที่เวรประจำคลังอาวุธเสียชีวิตหนึ่งนาย) ปืนกล M60 จำนวน 1 กระบอก กระสุนปืน 736 นัด ขึ้นรถยนต์บรรทุกเบา 51B ขับออกจากค่าย

นายทหารคนดังกล่าวขับรถไปที่วัดป่าศรัทธารวม ต.หัวทะเล อ.เมืองนครราชสีมา โดย ณ จุดนี้ คนร้ายใช้ปืนยิงผู้คนทั้งในวัดและที่สัญจรไปมาเป็นระยะตลอดเวลาประมาณ 30 นาที จนทำให้มีผู้เสียชีวิตในวัดป่าศรัทธารามรวมแห่งนี้ทั้งหมด 9 ราย ก่อนจะขับรถไปยังห้างสรรพสินค้าเทอร์มินอล 21 โคราช

เมื่อไปถึงแล้ว จ่าสิบเอกคนดังกล่าวยิงผู้คนบริเวณนั้นและถังแก๊สที่อยู่นอกห้างจนเกิดไฟลุกไหม้ ก่อนจะเข้าไปในห้าง

ขณะที่นายทหารยศจ่าสิบเอกผู้นี้พร้อมอาวุธเข้าไปในห้างสรรพสินค้าเทอร์มินอล 21 โคราช แม้จะมีพลเรือนบางส่วนที่มาใช้บริการของห้างหลบหนีออกมาได้ แต่ก็ยังมีพลเรือนจำนวนมากติดค้างอยู่ภายใน ซึ่งนายทหารผู้นี้ก็ยิงพลเรือนทุกคนที่พบ รวมทั้งมีการจับพลเรือนเป็นตัวประกันด้วย

เวลาประมาณ 23.30 น. เจ้าหน้าที่ได้เข้าควบคุมพื้นที่ตั้งแต่ชั้น G ของห้างและช่วยเหลือพลเรือนที่ติดค้างอยู่ภายใน จนกระทั่งเวลาเกือบ 02.00 น. จึงสามารถช่วยพลเรือนชุดสุดท้ายที่ติดอยู่บริเวณชั้น LG ออกมาได้

จากนั้น เจ้าหน้าที่กับคนร้ายได้มีการยิงปะทะกันหลายครั้ง จนกระทั่งเวลาประมาณ 09.30 น. ของวันที่ 9 ก.พ. 2563 จึงมีการประกาศยืนยันว่าเจ้าหน้าที่ได้ทำการวิสามัญฆาตกรรมนายทหารผู้ก่อเหตุเป็นที่เรียบร้อย ภายใต้ปฏิบัติการร่วมระหว่างหน่วยปฏิบัติการพิเศษ กองบังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 3, หน่วยคอมมานโด กองบังคับการตำรวจราชวัลภลรักษาพระองค์ 904, หน่วยหนุมาน กองบังคับการปราบปราม, หน่วยอรินทราช 26 กองบังคับการสายตรวจและปฏิบัติการพิเศษ, หน่วยนเรศวร 261 กองบังคับการสนับสนุนทางอากาศ และหน่วยปฏิบัติการพิเศษ กองกำลังสุรนารี

โดยสรุป เหตุการณ์นี้ทำให้มีผู้เสียชีวิตทั้งหมด 30 ราย บาดเจ็บ 58 ราย

วันที่ 11 ก.พ. 2563 พล.อ. อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ได้เปิดแถลงข่าวถึงเหตุการณ์ดังกล่าว โดยเริ่มต้นด้วยการกล่าวขอโทษว่า “ขอโทษ และแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งจากเหตุการณ์สะเทือนขวัญครั้งนี้ที่มีผู้ก่อเหตุซึ่งเป็นกำลังพลของกองทัพบก” ก่อนจะแถลงข่าวในประเด็นต่างๆ โดยระบุว่าแรงจูงใจในการก่อเหตุของนายทหารผู้นี้เกิดจากการไม่ได้รับความเป็นธรรมจากผู้บังคับบัญชาและเครือญาติ (ผบ.พันและแม่ยายที่ถูกยิงเสียชีวิต) โดยมีมูลเหตุจากการซื้อขายที่ดินกันแล้วผิดสัญญาในผลตอบแทน ซึ่ง ผบ.ทบ. กล่าวว่าจะต้องมีการสืบสวนต่อไปว่ามีผู้บังคับบัญชารายอื่นๆ เกี่ยวข้องหรือไม่ รวมทั้งได้กล่าวถึงนายทหารผู้ก่อเหตุว่า

“ณ นาที ณ วินาทีที่ผู้ก่อเหตุได้ลั่นไกสังหารคู่กรณี ณ วันนั้น ณ นาทีนั้น เขาคืออาชญากร ไม่ใช่ทหารอีกต่อไปแล้ว”

ในเรื่องการรักษาความปลอดภัยของคลังอาวุธนั้น พล.อ. อภิรัชต์ ยอมรับว่าหากมีหน่วยงานใดหละลหวมก็ต้องมีการลงโทษ และต้องเพิ่มมาตรการให้รัดกุมยิ่งขึ้น โดยขึ้นอยู่กับผู้บังคับบัญชาของหน่วยนั้นๆ

ต่อคำถามว่าจะรับผิดชอบเรื่องนี้อย่างไร จะลาออกหรือไม่ พล.อ. อภิรัชต์ ชี้แจงว่าตนไม่สามารถรับผิดชอบการกระทำความผิดจากเหตุส่วนตัวและผิดกฎหมายได้

“มันสมควรที่จะใช้คำถามนี้กับผมหรือเปล่า ผมมีความรับผิดชอบเพียงพอต่อภารกิจทุกอย่างที่ผมสั่ง ในการดำเนินการทุกตำแหน่งที่ผ่านมา ทุกวิกฤติที่ผ่าน… อะไรที่สั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาทำ ผมรับผิดชอบ แต่ผมไม่สามารถที่จะรับผิดชอบต่อการกระทำที่เกิดจากเหตุการณ์ส่วนตัว กระทำผิดกฎหมายอาชญากรรม อันนั้นผมรับไม่ได้” ผบ.ทบ. กล่าว

นอกจากนี้ พล.อ. อภิรัชต์ยังกล่าวด้วยว่า

“ไม่มีใครในโลกนี้อยากให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นในประเทศของตัวเอง ผมว่าไม่มีคนไทยคนไหนอยากให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีก ดังนั้นท่านอย่าด่าว่ากองทัพบก อย่าว่าทหาร ถ้าจะด่า จะตำหนิ ท่านมาด่า พล.อ. อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผมน้อมรับคำตำหนิ การแสดงความคิดเห็นทุกอย่าง ท่านมาด่าผม เพราะผมเป็น ผบ.ทบ.”

อ่าน:เราควรเรียนรู้อะไรจากเหตุการณ์กราดยิง ถอดบทเรียนสหรัฐฯ-นิวซีแลนด์

จำคุกแกนนำพันธมติรฯ คดีบุกสถานีโทรทัศน์เอ็นบีที พ.ศ. 2551

อัญชะลี ไพรีรัก

เว็บไซต์ไทยรัฐออนไลน์รายงานว่า วันที่ 12 ก.พ. 2563 เวลา 09.00 น. ที่ห้องพิจารณา 811 ศาลอาญา ศาลนัดฟังคำพิพากษา คดีกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) บุกสถานีโทรทัศน์เอ็นบีทีเมื่อปี พ.ศ. 2551  ซึ่งเป็นคดีหมายเลขดำ อ.1033/61 ที่พนักงานอัยการคดีอาญา 4 เป็นโจทก์ฟ้อง นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์, น.ส.อัญชะลี ไพรีรัก, นายภูวดล ทรงประเสริฐ, นายยุทธิยง ลิ้มเลิศวาที และนายชิติพัทธ์ ลิ้มทองกุล ร่วมกันเป็นจำเลย ที่ 1-5 ในความผิดฐานร่วมกันบุกรุกมั่วสุม สร้างความวุ่นวายในบ้านเมือง อั้งยี่ ซ่องโจร ฯลฯ

ศาลพิพากษาว่า เห็นว่าจำเลยทั้ง 5 มีความผิดฐานร่วมกันมั่วสุมก่อการวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง ฐานร่วมกันบุกรุก ฐานร่วมกันทำให้เสียทรัพย์ และฐานร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่น ส่วนความผิดฐานร่วมกันเป็นซ่องโจร โจทก์ยังไม่มีพยานหลักฐานว่า จำเลยทั้ง 5 กับพวกและกลุ่มนักรบศรีวิชัยสมคบกันร่วมประชุมวางแผนกัน จึงลงโทษความผิดฐานร่วมกันเป็นซ่องโจรไม่ได้ จำเลยที่ 1 เป็นแกนนำของกลุ่ม พธม. ร่วมสมคบคิดบุกยึดเอ็นบีที ขึ้นเวทีชุมนุมที่สะพานมัฆวานฯร่วมประกาศภารกิจ เดินทางไปในลักษณะกำกับดูแล เป็นหัวหน้าเป็นผู้มีหน้าที่สั่งการ สำหรับจำเลยที่ 2-5 พยานหลักฐานยังไม่ชัดว่าเป็นหัวหน้าหรือมีหน้าที่สั่งการบุกยึด การกระทำของจำเลยทั้ง 5 เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบทพิพากษาลงโทษบทหนักสุด ฐานร่วมกันบุกรุก ในเวลากลางคืน จำคุกจำเลยที่ 1 นายสมเกียรติ 2 ปี ส่วนจำเลยที่ 2-5 น.ส.อัญชะลี นายภูวดล นายยุทธิยง และนายชิติพัทธ์ จำคุกคนละ 1 ปีไม่รอลงอาญา

ต่อมาทนายจำเลยทั้ง 5 คน ยื่นคำร้องพร้อม หลักทรัพย์ขอปล่อยชั่วคราว นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ใช้โฉนดที่ดินยื่นประกันวงเงิน 300,000 บาท ส่วน น.ส.อัญชะลี ไพรีรัก นายภูวดล ทรงประเสริฐ นายยุทธิยง ลิ้มเลิศวาที และนายชิติพัทธ์ ลิ้มทองกุล ใช้หลักทรัพย์คนละ 200,000 บาท ศาลมีคำสั่งให้ปล่อยชั่วคราวจำเลยทั้ง 5 คนโดยไม่กำหนดเงื่อนไข

ป่าไม้แจ้งดำเนินคดีปารีณา รุกป่า 655 ไร่

น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ ที่มาภาพ: https://www.facebook.com/Pareenakraikupt/photos/

เว็บไซต์ไทยพีบีเอสรายงานว่า วันที่ 14 ก.พ. 2563 นายธวัชชัย ลัดกรูด ในฐานะประธานคณะทำงานตรวจสอบพื้นที่ป่าท้องที่ จ.ราชบุรี พร้อมด้วย นายชีวะภาพ ชีวะธรรม ผู้อำนวยการสำนักป้องกันรักษาป่าและควบคุมไฟป่า ร่วมแถลงผลการตรวจสอบที่ดินเขาสนฟาร์ม ของ น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคพลังประชารัฐ ในพื้นที่ ต.รางบัว อ.จอมบึง จ.ราชบุรี หลังจากเข้าตรวจรังวัดพื้นที่ร่วมกับสำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อการเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) ซึ่งเคยแจ้งครอบครองพื้นที่ไว้จำนวน 655 ไร่

ขณะนี้ผลการตรวจรังวัดพบว่าพื้นที่เขาสนฟาร์ม บุกรุกเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าฝั่งซ้ายแม่น้ำภาชี เนื้อที่  655 ไร่ ซึ่งก่อนหน้านี้มีการตรวจยึดและแจ้งครอบครองที่ดินไปแล้ว รวม 46.1 ไร่ และรอบใหม่ที่เพิ่งตรวจยึดอีก 665 ไร่ รวมพื้นที่ทั้งหมด 706 ไร่

นายชีวะภาพ กล่าวว่า เดิมพื้นที่ต้องสงสัย 682 ไร่ของเขาสนฟาร์ม ซึ่งเคยดำเนินไว้แล้วรอบแรกจำนวน 46.1 ไร่ และถูกดำเนินคดีรอบแรก มีแค่ฟาร์มไก่แค่ 4-5 เล้า แต่ตอนนี้ได้ทำการตรวจยึดเพิ่มเติมในช่วงวันที่ 12-13 ก.พ. ที่ผ่านมา ได้นำหมายศาลเข้าตรวจพื้นที่ พบมีสิ่งปลูกสร้างรวม 58 รายการ และยังมีบ้านพัก สระน้ำ และรายละเอียดอื่นๆ ที่ต้องบันทึกและจะส่งให้ทาง บก.ปทส. (กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม)

ทั้งนี้นายชีวะภาพ กล่าวว่า คณะทำงานได้ร่วมตรวจสอบรังวัดพื้นที่และบริเวณเขาสนฟาร์มทั้งหมด และนำข้อมูลมาดำเนินการจัดทำแผนที่ และเอกสารสำคัญเพื่อประกอบบันทึกร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนัก งานสอบสวน เพื่อความชัดเจนของการดำเนินคดีสรุปการดำเนินคดีทั้งหมดจำนวน 3 คดี ประกอบด้วย

    คดีที่ 1 พื้นที่ตรวจยึด 387 ไร่ เป็นบริเวณฟาร์มไก่เขาสน มีการใช้ประโยชน์พื้นที่ทำฟาร์มไก่ชัดเจน พื้นที่อยู่ในเขตรั้วลวดหนามทั้งหมดชัดเจน มีโรงเรือน อาคารในบริเวณนี้ โดยคดีนี้จะร้องทุกข์กล่าวโทษต่อ น.ส.ปารีณา ผู้จดทะเบียนเป็นเจ้าของฟาร์มไก่ตามข้อมูลจาก กรมปศุสัตว์ เป็นผู้ครอบครอง โดยนายชีวะภาพ จะเป็นผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษ

    คดีที่ 2 เป็นพื้นที่ติดกันนอกรั้วใกล้เคียงต่อเนื่อง สภาพพื้นที่เป็นที่เลี้ยงสัตว์ และโรงเรือนเก่า มีความต่อเนื่องกับฟาร์มไก่เขาสน แต่ไม่มีประจักษ์พยาน และวัตถุพยานหลักฐานที่ชี้ชัดว่า เป็นของใคร เนื้อที่ 207 ไร่เศษ นายนฤพนธ์ ทิพย์มณฑา หน.ชุดพยัคฆ์ไพร จะเป็นผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษ 

    คดีที่ 3 เป็นพื้นที่ติดต่อกัน สภาพเป็นแปลงปลูกป่ายูคาลิปตัส เนื้อที่ 70 ไร่ นายพัฒนะ ศิริมัย ผอ.ศูนย์ป่าไม้จังหวัดราชบุรี ผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษ เจ้าหน้าที่จากหน่วยงานในพื้นที่

อรรถวิชช์จดทะเบียน “พรรคกล้า” ชูปฏิบัตินิยม “ไม่ซ้าย-ไม่ขวา-ไม่กลาง”

เว็บไซต์ข่าวสดรายงานว่า วันที่ 14 ก.พ. 2563 ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี พร้อมด้วย นายวรวุฒิ อุ่นใจ นายกสมาคมผู้ค้าปลีกไทย และ นายมนต์ชีพ ศิวะสินางกูร นักแต่งเพลง เป็นตัวแทนยื่นจดทะเบียนจดจัดตั้ง “พรรคกล้า” ที่ได้รับการโหวตชื่อจากประชาชน 120,000 คน มายื่นต่อนายทะเบียนพรรคการเมือง โดยมีสัญลักษณ์พรรคเป็นลายเส้นรูปกำปั้น ซึ่งสื่อการลงมือทำ และให้เหตุผลที่ใช้ชื่อนี้ว่า เพราะตั้งใจอยากจะเห็นคนที่มีความสร้างสรรค์ เป็นผู้กล้า ต้องการเปิดพื้นที่ให้คนที่เป็นผู้กล้าเข้ามาสู่การเมืองให้ได้ เพราะโลกเปลี่ยนแปลงเร็ว ต้องใช้คนที่มีความรู้จากหลากหลายอาชีพเข้ามาทำงาน โดยพรรคกล้าจะเป็นการรวมกันของคน 3 รุ่น รุ่นใหญ่ รุ่นกลาง รุ่นใหม่ เพราะเราเชื่อว่าคนทั้ง 3 รุ่น จะเป็นแรงขับเคลื่อนประเทศ

นายอรรถวิชช์กล่าวต่อว่า จากนี้ตนและนายกรณ์ จาติกวณิช ก็จะรวบรวมรายชื่อให้ได้ผู้ก่อตั้งครบ 500 คน โดยจะเดินสายเชิญบุคคลต่าง ๆ ในสังคมมาร่วมทำงานการเมือง ทั้งนี้ การตั้งพรรคของเราไม่ได้ผูกติดกับการเมืองเก่า เราอยากได้คนหลากหลายอาชีพ เราตั้งโจทย์ว่าพรรคเราต้องเป็นพรรคที่มีความกระชับ ชัดเจน และมีความเป็นมืออาชีพ

นายอรรถวิชช์กล่าวอีกว่า ที่ผ่านมา คนที่มีความคิดสร้างสรรค์จะไม่ยอมเข้ามาสู่การเมือง แต่ครั้งนี้เราจะเปิดพื้นที่ให้คนที่มีความคิดสร้างสรรค์กล้าที่จะเข้ามาสู่การเมือง และที่มาตั้งพรรคในขณะนี้ก็ไม่ใช่มารองรับการย้ายพรรคของ ส.ส. ที่อาจจะเกิดจากการยุบพรรคอนาคตใหม่ เพราะเป้าหมายของเราคือการเลือกตั้งครั้งหน้า แต่ที่ต้องมายื่นตั้งในขณะนี้เพราะเรามีแนวความคิดเรื่องปฏิบัตินิยม ต้องใช้ทั้งประสบการณ์ ความคิดสร้างสรรค์ และความทันสมัย ซึ่งคนทั้ง 3 กลุ่มต้องช่วยกันในการทำความเข้าใจ เพราะเรื่องดังกล่าวต้องอาศัยเวลา ไม่ฉะนั้นจะไปติดยึดกับบริบทการเมืองเก่า

“พรรคนี้เป็นพรรคเปิดกว้างให้กับคนที่มีความคิดสร้างสรรค์ และมีความกล้า ถ้ากล้าก็มาเลยครับ เราไม่ได้มีความตั้งใจว่าจะเข้าสู่การเมืองในยุคการเลือกตั้งนี้ เพราะยังไม่มี ส.ส. สิ่งที่คาดหวังคือการเลือกตั้งครั้งหน้า จึงคิดว่าถ้าเรามีเวลาประมาณปีเศษนี้ในการรวบรวมคน และทำความเข้าใจกับสังคมเรื่องปฏิบัตินิยมซึ่งเป็นเรื่องยาก ต้องใช้เวลา เราจะสู้ในการเลือกตั้งครั้งหน้าได้ และยังไม่อยากให้สังคมแยกเราว่าเราจะอยู่ซ้ายหรืออยู่ขวา เพราะอย่างที่บอกว่ากว่าเราจะมาถึงชื่อ มาถึงดีเอ็นเอ เราขอไม่แบ่งแยก ขอเป็นพรรคในแนวปฏิบัตินิยมที่ไม่แบ่งซ้ายไม่แบ่งขวา และไม่กลางด้วย” นายอรรถวิชช์กล่าว

ยูเอ็นเผย ไทยติดรายชื่อทำธุรกิจผิดกฎหมายในเวสต์แบงก์

วันที่ 13 ก.พ. 2563 เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจรายงานว่า ยูเอ็น ระบุว่ามีหลักฐานแน่นหนาที่บ่งชี้ว่าบริษัท 112 แห่งเกี่ยวข้องกับการทำธุรกิจผิดกฎหมายในที่ตั้งถิ่นฐานในเขตเวสต์แบงก์ โดยแยกเป็นบริษัทสัญชาติอิสราเอล 94 แห่ง อีก 18 แห่งเป็นบริษัทสัญชาติต่างๆ ใน 6 ประเทศคือ สหรัฐ ฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์ ลักเซมเบิร์ก ไทย และสหราชอาณาจักร และในจำนวนนี้ รวมถึงบริษัทแอร์บีเอ็น บริษัทให้บริการแชร์ที่พักชื่อดังของสหรัฐฯ

ส่วนบริษัทอื่นๆ ที่มีรายชื่อในรายงานชิ้นนี้ของยูเอ็น รวมถึงเว็บไซต์ท่องเที่ยวชั้นนำของโลกอย่างเอ็กซ์พีเดียและทริปแอดไวเซอร์, บริษัทเทคโนโลยีชั้นนำ “โมโตโรลา” เจเนอรัล มิลล์, บริษัทผลิตอาหารชื่อดังของสหรัฐฯ และบริษัทก่อสร้าง บริษัทพัฒนาระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน อย่าง อีจิส เรล ของฝรั่งเศส และบริษัทเจซี แบมฟอร์ด เอ็กซ์คาเวเตอร์ส ของอังกฤษ

ด้านริยาด อัล-มาลิกิ รัฐมนตรีต่างประเทศของปาเลสไตน์ ชื่นชมการเปิดเผยรายชื่อ112 บริษัทของยูเอ็นครั้งนี้ โดยระบุว่า เป็นชัยชนะสำหรับกฎหมายระหว่างประเทศ พร้อมทั้งเรียกร้องให้ยูเอ็น ตลอดจนคณะกรรมการด้านสิทธิมนุษยชนยูเอ็น ออกข้อเสนอแนะและข้อบังคับให้บริษัทเหล่านี้ยุติการดำเนินธุรกิจผิดกฎหมายในที่ตั้งถิ่นฐานในเขตเวสต์แบงก์ทันที

“การเผยแพร่รายชื่อบริษัททั้ง 112 แห่งที่ทำมาหากินในที่ตั้งถิ่นฐานในเวสต์แบงก์ของยูเอ็นถือเป็นชัยชนะของการใช้กฎหมายระหว่างประเทศและเป็นความสำเร็จของความพยายามทางการทูต” มาลิกิระบุ