ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ประจำวันที่ 29 ก.ค. – 4 ส.ค. 2560
ยกฟ้องสลายชุมนุม 7 ต.ค. 51 – พธม. ไม่พอใจ – “ประวิตร” ยัน ไม่เกี่ยวนามสกุล

ที่มาภาพ: เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ
เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจรายงานว่า วันที่ 2 ส.ค. 2560 เมื่อเวลา 11.00 น. ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นายธนสิทธิ์ นิลกำแหง ว่าที่รองประธานศาลฎีกา เจ้าของสำนวนคดีสลายการชุมนุมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) และองค์คณะผู้พิพากษารวม 9 คน ได้นัดฟังคำพิพากษา คดีหมายเลขดำ อม.2/2558 ที่ ป.ป.ช. ได้ยื่นฟ้อง นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 26 อายุ 70 ปี, พล.อ. ชวลิต ยงใจยุทธ หรือบิ๊กจิ๋ว อดีตรองนายกรัฐมนตรี อายุ 85 ปี นักการเมืองที่เคยร่วมทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านหลายสมัย, พล.ต.อ. พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีต ผบ.ตร. อายุ 68 ปี, พล.ต.ท. สุชาติ เหมือนแก้ว อดีต ผบช.น. อายุ 66 ปี เป็นจำเลยที่ 1-4 ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและโดยทุจริต เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 กรณีกล่าวหาว่าเมื่อวันที่ 7 ต.ค.2551 รัฐบาลนายสมชาย ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจขอคืนพื้นที่การชุมนุมจากกลุ่ม พธม. ที่ปิดล้อมทางเข้ารัฐสภา ซึ่งภายหลังเกิดการสลายการชุมนุมโดยมิชอบ ไม่เป็นไปตามหลักสากล กระทั่งมีผู้เสียชีวิต 2 ราย และผู้บาดเจ็บ 471 ราย ภายหลังไต่สวนพยานนัดสุดท้ายเสร็จเมื่อวันที่ 30 มิ.ย. 2560 ที่ผ่านมา จำเลยทั้งสี่ให้การปฏิเสธต่อสู้คดี
ใจความสำคัญของคำพิพากษามีดังนี้
- ศาลเห็นว่าคำสั่งในการผลักดันผู้ชุมนุมเป็นการให้ปฏิบัติการเพื่อให้คณะรัฐมนตรีได้ปฏิบัติหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ การที่ผู้ชุมนุมปิดล้อมประตูเข้าออกทุกด้านของอาคารรัฐสภาถือว่าเป็นการขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่และไม่ได้เป็นการชุมนุมโดยสงบสันติตามที่แกนนำได้ประกาศไว้
- เจ้าหน้าที่พบระเบิดปิงปองหลังชุมนุม และมีรายงานตามทางข่าวว่าผู้ชุมนุมพกอาวุธ เมื่อเจ้าหน้าที่ใช้โล่ผลักดัน ผู้ชุมนุมได้ใช้หนังสติกยิงลูกเหล็ก หัวน็อต ลูกแก้ว รวมทั้งขว้างปาไม้ ขวดน้ำใส่เจ้าหน้าที่ และการปิดล้อมอาคารรัฐสภาก็นำรั้วลวดหนามที่คล้ายกับที่ใช้ในทางการทหารและแผนกั้นเหล็กมาวางไว้ที่กลางถนน อีกทั้งยังนำยางรถยนต์ขวางทางดังกล่าว และราดน้ำมันไว้บนพื้นผิวจราจรด้วย การชุมชุมนั้นจึงไม่ได้เป็นการที่ชุมนุมที่ได้รับความคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ
- เจ้าหน้าที่ตำรวจได้รักษาความสงบเรียบร้อยตามที่ได้รับมอบหมายและได้ปฏิบัติตามขั้นตอนของแผนรักษาความสงบ (กรกฎ/48) โดยใช้มาตรการควบคุมฝูงชนจากเบาไปหาหนักแล้วเท่าที่จะทำได้ในสถานการณ์ขณะนั้น ส่วนเหตุที่ไม่สามารถใช้รถดับเพลิงฉีดน้ำเพื่อผลักดันกลุ่มผู้ชุมนุม รวมทั้งการใช้รถส่องสว่างในช่วงค่ำ เนื่องจากไม่ได้รับการสนับสนุนจาก กทม. โดยมีการติดต่อประสานผู้ว่าฯ กทม. แล้วแต่ไม่สามารถติดต่อได้
- พยานหลักฐานของ ป.ป.ช. โจทก์จึงรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสี่ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
- การปลุกระดมผู้ชุมนุมและจะบุกเข้าไปข้างในรัฐสภาก็ไม่ใช่เป็นการชุมนุมโดยสงบ
- พยานจำเลยระบุว่าแก๊สน้ำตาไม่เป็นอันตราย สาร RDX ที่ผสมในแก๊สน้ำตามีจำนวนน้อยเพื่อให้แก๊สน้ำตาเกิดการฟุ้งกระจาย โดยจะไม่เป็นอันตรายหากไม่ได้ผสมรวมกับสารเคมีอื่นอีก 3 ชนิดที่จะมีฤทธิ์คล้ายระเบิดซีโฟร์ ส่วนที่การทดสอบเกิดหลุดกว้าง เนื่องจากก่อนการทดสอบฝนตกทำให้ดินนิ่ม
- แม้เหตุการณ์มีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต แต่ศาลเห็นว่าในสถานการณ์เช่นนั้นเป็นการยากสำหรับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่จะรู้ว่าแก๊สน้ำตาจะเป็นเหตุให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต โดยเมื่อเหตุการณ์ชุมนุมยังไม่สงบ เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ยังมีหน้าที่ต้องปฏิบัติเพื่อรักษาความสงบไม่ให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลและทรัพย์สินของทางราชการ
- ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 1, จำเลยที่ 3 และ จำเลยที่ 4 ก็ไม่อาจอนุมานได้ว่าแก๊สน้ำตาจะก่อให้เกิดอันตรายแก่ผู้ชุมนุมได้
- ข้อเท็จจริงจากทางนำสืบจึงยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสามมีเจตนาพิเศษเพื่อให้เจ้าหน้าที่ตำรวจไปทำร้ายผู้ชุมนุมให้ได้รับอันตรายแก่กายและเสียชีวิต
- องค์คณะฯ จึงพิพากษาให้ยกฟ้องจำเลยที่ 1-4

วันเดียวกัน เว็บไซต์เนชั่นทีวีรายงานว่า มวลชนที่อ้างว่าเป็นกลุ่ม พธม. ที่เดินทางมาฟังคำตัดสินของศาลได้แสดงความไม่พอใจต่อคำตัดสินดังกล่าว โดยบางคนระบุว่าไม่พอใจคำตัดสินของศาลฯ และรู้สึกเสียใจมาก เนื่องจากรอคอยความเป็นธรรมมากว่า 9 ปี โดยยืนยันว่ากลุ่ม พันธมิตรฯ ที่มารอฟังคำตัดสินนั้น อยู่ในเหตุการณ์เมื่อปี 2551 ด้วย

ด้านเว็บไซต์ผู้จัดการออนไลน์รายงานว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้กล่าวถึงการตัดสินคดีดังกล่าว โดยเมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าเหตุที่ศาลยกฟ้องคดีนี้ เป็นเพราะจำเลยมีนามสกุลวงษ์สุวรรณหรือไม่ ศาลถึงยกฟ้อง พล.อ. ประวิตร กล่าวว่า มันจะไปเกี่ยวอะไร เพราะในคดีมีคนเป็นอดีตนายกฯ 2คน แต่ พล.ต.อ. พัชรวาท เป็นอดีต ผบ.ตร. เท่านั้น
ศาลชี้แล้ว อดีต จนท. ที่ดินพังงา “ถูกผู้อื่นทำให้ตาย” ในห้องควบคุมของดีเอสไอ
เว็บไซต์สำนักข่าวอิศรารายงานว่า วันที่ 4 ส.ค. 2560 ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดฟังคำสั่งการขอไต่สวนชันสูตรพลิกศพการเสียชีวิตของนายธวัชชัย อนุกูล อดีตเจ้าหน้าที่กรมที่ดิน จ.พังงา ผู้ต้องหาออกเอกสารสิทธิที่ดินทับซ้อนอุทยานแห่งชาติกว่าพันแปลง ที่เสียชีวิตภายในห้องควบคุมกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เมื่อวันที่ 30 ส.ค. 2559 ที่พนักงานอัยการสำนักงานคดีอาญา 4 ได้ยื่นคำร้องเมื่อวันที่ 15 พ.ย. 2559 ที่ผ่านมา ไว้เป็นคดีหมายเลขดำ อช.4/2559 ซึ่งอัยการขอให้ศาลทำการไต่สวนและทำคำสั่งตามประมวลวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 148 และ 150 แสดงว่าผู้ตายเป็นใคร เสียชีวิตด้วยสาเหตุใด และใครป็นผู้ทำ ระหว่างบุคคลนั้นถูกควบคุมตัวอยู่ในห้องควบคุมผู้ต้องหาของดีเอสไอได้ถึงแก่ความตาย โดยศาลก็ได้ทำการไต่สวนพยานนับตั้งแต่ต้นปี 2560 เป็นต้นมา และวันนี้เป็นการนัดฟังคำสั่งครั้งที่ 2 หลังเลื่อนจากวันที่ 25 ก.ค. 2560 ที่ผ่านมา เนื่องจากการทำคำสั่งยังไม่แล้วเสร็จ โดยนายชัยณรงค์ อนุกูล น้องชายของนายธวัชชัย ได้เดินทางมาฟังคำสั่งศาลพร้อมด้วยทนายความ
ศาลพิจารณาคำเบิกความและพยานหลักฐานการไต่สวนแล้วมีคำสั่งว่า ผู้ตายคือนายธวัชชัย อนุกูล ตายที่โรงพยาบาลมงกุฏวัฒนะ เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 30 ส.ค.2559 เวลา 04.43 น. เหตุและพฤติการณ์ที่ตายสืบเนื่องมาจากถูกของแข็งไม่มีคม กระแทก ตับแตก เลือดออกในช่องท้อง ร่วมกับการขาดอากาศหายใจจาการการผูกคอ โดยยังไม่ทราบว่าบุคคลใดเป็นผู้กระทำระหว่างอยู่ในความควบคุมของเจ้าพนักงานซึ่งปฏิบัติตามหน้าที่
ภายหลังรับทราบคำสั่งศาล นายชัยณรงค์ อนุกูล น้องชายนายธวัชชัย เปิดเผยว่า ศาลได้มีคำสั่งแล้วว่าผู้ตายคือนายธวัชชัย ซึ่งเสียชีวิตเพราะมีบุคคลอื่นทำให้ตาย ดังนั้นจึงไม่ใช่การฆ่าตัวตาย โดยตนกำลังหารือกับทนายความที่จะติดตามการดำเนินการพนักงานสอบสวน สน.ทุ่งสองห้อง ต่อไปถึงการหาตัวผู้ที่ทำให้พี่ชายเสียชีวิต ซึ่งพนักงานสอบสวนได้ทำรายงานสรุปการเสียชีวิตไว้ และศาลก็รับฟังว่ามีบุคคลอื่นทำให้ตาย
ขณะที่เว็บไซต์ไทยพับลิก้าระบุว่าในวันเดียวกัน เว็บไซต์กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) เผยแพร่หนังสือชี้แจง กรณีศาลอาญามีคำสั่งในเรื่องผู้ต้องหาที่อยู่ระหว่างการควบคุมเสียชีวิต โดยระบุว่าตามที่มีเหตุ เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2559 เวลาประมาณ 01.00 น. นายธวัชชัย อนุกูล ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาในคดีพิเศษที่ 4/2558 ของสำนักคดีคุ้มครองผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม ความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ซึ่งอยู่ระหว่างการควบคุมของเจ้าพนักงานในห้องควบคุมของกรมสอบสวนคดีพิเศษ มีการได้พยายามกระทำอัตวินิบาตกรรมด้วยการผูกคอในห้องควบคุมและได้เสียชีวิตที่โรงพยาบาลในเวลาต่อมา ซึ่งพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจ นครบาลทุ่งสองห้องได้ทำสำนวนชันสูตรพลิกศพ และส่งสำนวนไปยังพนักงานอัยการเพื่อยื่นต่อศาลอาญาเพื่อไต่สวนสาเหตุการตาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 148 และมาตรา 150 โดยเป็นคดีที่ อช.4/2559 และในวันนี้ได้ปรากฏข่าวว่า ศาลอาญามีคำสั่งว่านายธวัชชัยฯ เสียชีวิตเพราะผู้อื่นทำให้ตายนั้น
กรณีดังกล่าวจึงเป็นเรื่องที่พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลทุ่งสองห้อง จะต้องดำเนินการสอบสวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาต่อไปว่าใครเป็นผู้ทำให้ถึงแก่ความตายดังกล่าว เนื่องจากการที่ศาลสั่งว่าผู้อื่นทำให้ตายย่อมหมายความว่ามีผู้ที่เกี่ยวข้องกับผู้ตายหลายคนและหลายขั้นตอนตั้งแต่ขั้นตอนควบคุมในห้องควบคุมตัวผู้ต้องหา ตลอดไปจนถึงขั้นตอนที่แพทย์ระบุว่าผู้ตายถึงแก่ความตายแล้วเมื่อเวลาประมาณ 04.43 น. ของวันที่ 30 สิงหาคม 2559
ทั้งนี้ กรมสอบสวนคดีพิเศษจะได้ศึกษารายละเอียดในคำสั่งของศาล และพร้อมให้ความร่วมมือกับพนักงานสอบสวนท้องที่เกิดเหตุในการแสวงหาข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานเพื่อทำความจริงให้ปรากฏแก่สังคมต่อไป
คมนาคมเตรียมเปิดบริการ แท็กซี่โอเค-แท็กซี่วีไอพี เริ่ม พ.ย. นี้

เว็บไซต์สปริงนิวส์รายงานว่า วันที่ 3 ส.ค. 2560 นายพิชิต อัคราทิตย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดตัวโครงการ Taxi OK และ Taxi VIP ซึ่งเป็นแท็กซี่รูปแบบใหม่ ภายใต้การกำกับดูแลของกรมการขนส่งทางบก เพื่อเพิ่มทางเลือกการใช้บริการระบบขนส่งสาธารณะให้กับประชาชนและยกระดับการให้บริการแท็กซี่ จากปีที่ผ่านมาที่มีข้อร้องเรียนการให้บริการแท็กซี่กว่า 37,000 ครั้งโดยกว่าร้อยละ 50 เป็นการปฏิเสธผู้โดยสาร และร้อยละ 16 เป็นการแสดงกิริยาวาจาไม่สุภาพ โดยที่เหลือเป็นการไม่กดมิเตอร์ และไม่ส่งผู้โดยสารตามที่กำหนด
แท็กซี่ที่จะเข้าระบบ Taki OK และ Taxi VIP ต้องติดตั้งเครื่องบันทึกการเดินทางของรถ ระบบ GPS ที่สามารถติดตามระยะทาง เวลา พิกัด ความเร็ว และค่าโดยสารได้แบบ real-time ติดตั้งอุปกรณ์แสดงตัวผู้ขับขี่ ที่ใช้กับใบอนุญาตขับรถสาธารณะที่กรมการขนส่งทางบกออกให้ ติดตั้งกล้องถ่ายภาพในรถแบบ snapshot และมีปุ่มฉุกเฉินสำหรับผู้โดยสารขอความช่วยเหลือจากศูนย์ให้บริการแท็กซี่และกรมการขนส่งทางบกในกรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน โดยสามารถเรียกใช้บริการแท็กซี่ผ่านแอปพลิเคชัน Taxi OK
ด้านนายสนิท พรหมวงษ์ อธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวว่า ผู้ให้บริการแอปพลิเคชันที่ให้บริการแท็กซี่ที่ยู่ภายใต้โครงการ Taxi OK จะถูกบังคับให้เก็บค่าบริการในเรียกผ่านแอปพลิเคชันไม่เกิน 25 บาท โดยจะเปิดให้คนขับแท็กซี่เข้าร่วมโครงการแบบภาคสมัครใจ ส่วนรถแท็กซี่ที่จดทะเบียนใหม่ทุกคันจะต้องติดตั้งอุปกรณ์ให้ครบที่กำหนด และคิดค่าโดยสารในอัตราเดิม
ส่วนโครงการ Taxi VIP จะมีมาตรฐานขนาดตัวรถ และสมรรถนะ สูงกว่ารถแท็กซี่ทั่วไป เป็นทางเลือกให้ผู้โดยสาร และเพิ่มสิ่งอำนวยความสะดวกภายในรถให้มากขึ้น โดยคิดค่าโดยสารเพิ่มขึ้นอีกร้อยละ 10-20 และคาดว่าจะมีการประกาศบังคับใช้ในราชกิจจานุเบกษาในสัปดาห์หน้า และเริ่มให้บริการได้ในเดือนพฤศจิกายนนี้ ซึ่งคาดว่าในเดือนมกราคมปีหน้าจะมีรถแท็กซี่ในระบบเข้าโครงการ Taxi OK กว่า 50,000 คัน
ขณะที่นายสากล บู่ทอง ที่ปรึกษาโครงการ Taxi OK ระบุว่า ในปัจจุบันแท็กซี่ที่ให้บริการใช้เวลากว่าร้อยละ 60 ในการหาลูกค้า แต่เมื่อเข้ามาสู่ระบบ จะช่วยลดระยะเวลาในการผู้โดยสารได้ถึงร้อยละ 20 ของช่วงเวลาที่ออกให้บริการ เนื่องจะมีระบบที่ใช้ในการบอกจุดพักรถ บอกจุดที่ทีผู้โดยสารแน่น จุดที่มีแท็กซี่จำนวนมาก และจุดที่มีการปฏิเสธจากการเรียกผ่านแอป ซึ่งจะทำให้รายได้ต่อวันของผู้ให้บริการแท็กซี่เพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 20 ที่สำคัญจะทำให้การปฏิเสธผู้โดยสารลดลงแน่นอน และยังมีจำนวนรถที่เพียงพอให้บริการ นอกจากนี้ในเรื่องระบบการรักษาความปลอดภัยจากการติดตั้งกล้องภายในรถ การแสดงตัวตนผู้ขับ และการใช้มิเตอร์ทำให้ระบบการใฟ้บริการจะเหนือกว่าของอูเบอร์มาก
คลังพร้อม เบี้ยประกันสุขภาพหักภาษีไม่เกินหมื่นห้าต่อปี เชื่อลดภาระบัตรทอง

วันที่ 4 ส.ค. 2560 เว็บไซต์ประชาชาติธุรกิจรายงานว่า นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง กล่าวว่า ปัจจุบันมีการให้หักลดหย่อนภาษีเบี้ยประกันชีวิตระยะยาวได้อยู่แล้ว ขณะที่แนวคิดเรื่องการหักลดหย่อนภาษีเบี้ยประกันสุขภาพไม่เกิน 15,000 บาทต่อปี ก็มีการคิดไว้นานแล้ว และตนได้มอบให้กรมสรรพากรไปพิจารณารายละเอียด ขณะนี้เรื่องยังไม่ส่งมาที่ตน ซึ่งหากกรมสรรพากรพิจารณาเสร็จแล้วก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี
“มีการพูดกันว่า เมื่อรัฐบาลต้องช่วยเรื่องรักษาพยาบาลอยู่แล้ว โดยเฉพาะ 30 บาท (รักษาทุกโรค) ทำไมไม่ให้เอกชนมาร่วมด้วย โดยส่งเสริมให้ประชาชนทำประกันได้ด้วย ก็จะช่วยลดภาระบัตรทองได้ ส่วนประชาชนที่รายได้ยังน้อย ไม่ได้ซื้อประกัน ก็ยังใช้บัตรทองได้เป็นปกติ แต่ถ้าบางคนเห็นว่าบัตรทองยังไม่ครอบคลุมบางอย่าง อยากซื้อประกันเพิ่มเติม ก็จะซื้อเพิ่มเติมได้ หากทำได้ก็จะเป็นประโยชน์” นายอภิศักดิ์กล่าว
แหล่งข่าวจากกรมสรรพากร กล่าวว่า การที่ประชาชนส่วนหนึ่งหันไปซื้อประกันสุขภาพ ก็จะทำให้ระบบบัตรทองสามารถดูแลคนรายได้น้อยได้อย่างเต็มประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย
ก่อนหน้านี้ นางนุสรา (อัสสกุล) บัญญัติปิยพจน์ กรรมการผู้จัดการ บมจ.ไทยสมุทรประกันชีวิต และในฐานะนายกสมาคมประกันชีวิตไทย เปิดเผยว่า ขณะนี้กรมสรรพากรได้เห็นชอบในหลักการเกี่ยวกับค่าเบี้ยประกันสุขภาพสามารถไปหักเป็นค่าใช้จ่ายลดหย่อนภาษีเงินได้ประจำปี ได้ในวงเงินไม่เกิน 15,000 บาท
เพราะถือเป็นการช่วยกระตุ้นให้เกิดการทำประกันสุขภาพมากขึ้น อีกทั้งยังช่วยภาครัฐลดภาระงบประมาณด้านการดูแลสุขภาพของประชาชนได้อีกมากด้วย ขณะนี้อยู่ในกระบวนการพิจารณาของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง หลังจากนั้นจะต้องเสนอเข้าคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาต่อไป
ขณะที่นายประสงค์ พูนธเนศ อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวว่า การลดหย่อนค่าเบี้ยประกันสุขภาพ จะช่วยเหลือประชาชน โดยถือเป็นสวัสดิการของภาครัฐรูปแบบหนึ่ง ซึ่งเบี้ยประกันสุขภาพจะเป็นเบี้ยแบบปีต่อปี ซึ่งต่างกับเบี้ยประกันชีวิตที่ลดหย่อนภาษีให้ก่อนหน้านี้
“ขณะนี้กรมอยู่ระหว่างเสนอ รมว.คลัง เห็นชอบ ที่เราทำก็เพราะเป็นการช่วยประชาชน เพราะสวัสดิการของรัฐมีหลายอย่าง บางอย่างประชาชนก็ต้องจ่ายเพิ่ม” นายประสงค์กล่าว
สหรัฐฯ แจง ไม่ต้องการล้มล้างเกาหลีเหนือ

วันที่ 2 ส.ค. 2560 เว็บไซต์บีบีซีไทยรายงานว่า นายเร็กซ์ ทิลเลอร์สัน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ กล่าวชี้แจงเรื่องความขัดแย้งกับเกาหลีเหนือว่า ที่จริงแล้วสหรัฐฯ ไม่ได้มุ่งเป็นศัตรูกับเกาหลีเหนือ และต้องการเจรจาเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม
“เราไม่ได้ต้องการเปลี่ยนรัฐบาล หรือล้มล้างระบอบการปกครองที่เป็นอยู่ เราไม่ได้ต้องการจะเร่งให้เกิดการรวมชาติในคาบสมุทรเกาหลี เราไม่ได้แสวงหาข้ออ้างใดๆ ที่จะส่งกองทัพไปเหนือเส้นขนานที่ 38 เราไม่ใช่ศัตรูของคุณและไม่ใช่ภัยคุกคาม แต่เกาหลีเหนือกลับแสดงการข่มขู่ที่ยอมรับไม่ได้ต่อสหรัฐฯ ซึ่งเราจะต้องตอบโต้” นายทิลเลอร์สันกล่าว
รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ยังกล่าวถึงจีน หลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ตำหนิจีนไปก่อนหน้านี้ว่าไม่ช่วยแก้ปัญหาเรื่องเกาหลีเหนือ “เกาหลีเหนือเท่านั้นที่เป็นผู้ผิดในสถานการณ์นี้ แต่เราเชื่อว่าจีนมีความสัมพันธ์พิเศษและมีอิทธิพลจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจซึ่งสำคัญมากพอที่จะโน้มน้าวเกาหลีเหนือได้ ในแบบที่ไม่มีใครจะสามารถทำเช่นนั้นได้อีกแล้ว”
อย่างไรก็ตาม นายลินด์ซีย์ เกรแฮม วุฒิสมาชิกจากพรรครีพับลิกันได้เผยต่อสถานีโทรทัศน์เอ็นบีซีว่า ประธานาธิบดีทรัมป์บอกกับเขาว่าอาจต้องทำสงครามกับเกาหลีเหนือ หากยังคงมุ่งพัฒนาขีปนาวุธที่สามารถโจมตีสหรัฐฯ ได้อยู่ต่อไป
“เขาบอกผมอย่างนั้นต่อหน้าเลย และผมเชื่อเขา หากจะต้องมีสงครามเพื่อหยุดยั้งเกาหลีเหนือ มันจะเกิดขึ้นที่นั่น หากจะมีคนจำนวนมหาศาลต้องตาย ก็จะต้องตายที่นั่น ไม่ใช่ที่นี่” นายเกรแฮมกล่าว