ฤดูกาลเลือกตั้งที่มาพร้อมนโยบายของแต่ละพรรค ต่างพร้อมขายฝันที่ยังไม่รู้ว่าจะทำให้เป็นจริงได้หรือไม่ หลายๆนโยบายได้สร้างความกังวลให้กับผู้กำกับดูแลเศรษฐกิจของประเทศ โดยหวั่นๆว่าจะสร้างการเข้าใจผิด และส่งเสริมให้ประชาชนขาดวินัยทางการเงิน รวมทั้งทำให้การบริหารจัดการเศรษฐกิจข้างหน้าไม่ยั่งยืน โดยนักวิชาการมองว่า
(1) การแก้หนี้อย่างยั่งยืน ต้องทำอย่างครบวงจรและตรงจุด เช่น ปรับโครงสร้างหนี้ให้สอดคล้องกับความสามารถของลูกหนี้ ไม่สร้างภาระเพิ่มให้ลูกหนี้ เช่น พักหนี้ไปเรื่อย ๆ จนทำให้มีภาระดอกเบี้ยเพิ่ม ไม่ลดโอกาสการเข้าถึงสินเชื่อ เช่น ลบหรือแก้ประวัติสินเชื่อของลูกหนี้ จนสถาบันการเงินไม่รู้จักลูกหนี้และไม่กล้าปล่อยสินเชื่อ และที่สำคัญ ต้องสร้างรายได้ควบคู่ด้วย
(2) การเพิ่มผลิตภาพ การลงทุน เพื่อเพิ่มศักยภาพการเติบโตของไทยในระยะยาวควบคู่ไปกับการเพิ่มรายได้ ทั้งในด้านการพัฒนาทักษะคุณภาพของแรงงาน เช่น ปฏิรูปการศึกษาเพื่อให้แรงงานมีทักษะ คุณสมบัติตรงกับความต้องการของตลาดในอนาคต upskill,re-skill แรงงาน รวมถึงการเพิ่มผลิตภาพการผลิต โดยเฉพาะในภาคการเกษตรที่ยังมีผลิตภาพต่ำกว่าภาคอื่น ๆ เช่น ปรับโมเดลเกษตรให้เหมาะกับพื้นที่ (ปลูกพืชมูลค่าสูง/หรือทำเกษตรผสมผสาน) ใช้เทคโนโลยีในการทำการเกษตร (เช่น smart farming) ซึ่งภาครัฐควรเร่งวางโครงสร้างพื้นฐานด้านเกษตรเพิ่มเติมด้วย เช่น ระบบชลประทาน
(3) การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น เพื่อลดปัญหาความเหลื่อมล้ำ สร้างโอกาสในการเข้าถึงบริการ และขีดความสามารถในการแข่งขัน เช่น พัฒนาคุณภาพการศึกษา สาธารณสุข คมนาคม รวมไปถึงระบบ social safety net ที่ยั่งยืน ไม่ก่อให้เกิดภาระทางการคลังที่มากจนเกินไป
(4) การวางรากฐานทางเศรษฐกิจเพื่อรองรับกระแสโลกใหม่ เช่น การเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจที่ยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม และการสร้างโอกาสใหม่ ๆ จากนวัตกรรมทางเทคโนโลยี
มีความต่อเนื่องในการขับเคลื่อนนโยบาย และกระบวนการใช้จ่ายโปร่งใส ตรวจสอบได้ รวมทั้งบางเรื่องต้องสร้างการมีส่วนร่วมจากภาคเอกชนที่มีความเชี่ยวชาญมากกว่า พร้อมทั้งต้องรักษาวินัยทางการคลัง ด้วยการวางแผนแหล่งเงินทุนให้เหมาะสม และคำนึงถึงความยั่งยืนของฐานะการคลังในระยะยาว เช่น ระดับหนี้สาธารณะ