ThaiPublica > ประเด็นร้อน > เลือกตั้งอย่างรับผิดชอบ 2566 > “ก้าวไกล” จัดตั้งรัฐบาล 6 พรรค 309 เสียง เตรียมเซ็น MOU ‘พิธา’ พร้อมเป็นนายกฯ

“ก้าวไกล” จัดตั้งรัฐบาล 6 พรรค 309 เสียง เตรียมเซ็น MOU ‘พิธา’ พร้อมเป็นนายกฯ

15 พฤษภาคม 2023


นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคก้าวไกล

15 พฤษภาคม 2566  นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคก้าวไกล แถลงภายหลังผลการเลือกตั้งอย่างไม่เป็นทางการว่า “กราบสวัสดีพ่อแม่พี่น้องประชาชนคนไทยทั้งประเทศ ผม ‘พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ ว่าที่นายกรัฐมนตรีคนต่อไปของประเทศไทย วันนี้ขอใช้โอกาสในการสื่อสารไปยังพ่อแม่พี่น้องประชาชนผ่านพี่น้องสื่อมวลชนที่ทำข่าวที่พรรคก้าวไกล”

นายพิธา กล่าวต่อว่า ผลการเลือกตั้งที่ผ่านมาเป็นที่ประจักษ์ว่าประชาชนได้แสดงเจตจำนผ่านคูหาการเลือกตั้งและให้พรรคก้าวไกลได้คะแนนเป็นอันดับ 1 ของการเลือกตั้งที่ผ่านมา

“ผมขอประกาศในที่นี่ว่าพรรคก้าวไกลพร้อมที่จะเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลต่อไป นี่คือการน้อมรับฉันทามติจากพี่น้องประชาชน พลิกขั้วเปลี่ยนข้างจากฝ่ายค้านเดิมในการจัดตั้งรัฐบาล และผมพร้อมที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีของคนไทยทุกคน พร้อมฟังความคิดเห็นที่แตกต่าง และความคิดเห็นที่แตกต่างจะทำให้ผมเป็นนายกรัฐมนตรีที่ดีขึ้นในอนาคต”

นายพิธา กล่าวต่อว่า “ตอนนี้เราพร้อมที่จะเคารพและให้เกียรติทุกฝ่าย เพื่อประชาธิปไตย ขณะเดียวกันเราก็พร้อมคืนศรัทธาให้ระบบประชาธิปไตย ระบบรัฐสภา สร้างความโปร่งใสและมีประสิทธิภาพให้ระบบการเมืองไทยและผู้แทนราษฎรทุกคน”

ร่วมรัฐบาล 6 พรรค

อย่างไรก็ตาม นายพิธา กล่าวอีกว่า “ได้มีโอกาสโทรศัพท์ติดต่อไปหาแกนนำทั้งหมด 5 พรรค มีทั้งที่ติดต่อไปด้วยตัวเองและแกนนำได้ติดต่อมาทางพรรคก้าวไกล รวมทั้งมีโอกาสโทรศัพท์หาคุณแพทองธาร ชินวัตร และแสดงความยินดีที่มีความมุ่งมั่นตั้งใจในการเดินทางหาเสียง ถึงแม้จะมีบทบาทความเป็นแม่ แต่ก็ทำอย่างดีเยี่ยมและไร้ที่ติ นอกจากนี้ได้เชิญชวนพรรคเพื่อไทยในการร่วมจัดตั้งรัฐบาล และพรรคร่วมฝ่ายค้านเดิมตามที่เคยได้สัญญาไว้กับพี่น้องประชาชน”

โดย 5 พรรค ที่นายพิธากล่าวถึง ประกอบด้วย พรรคเพื่อไทย พรรคประชาชาติ พรรคไทยสร้างไทย พรรคเสรีรวมไทย และพรรคเป็นธรรม คาดว่าจะได้เสียงในสภารวม 309 เสียง โดยนายพิธาย้ำว่า”ซึ่งคิดว่าเพียงพอในการจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างมาก ดังนั้น ทุกฝ่ายต้องน้อมรับฉันทามติจากพี่น้องประชาชน และเป็นการปิดประตูการจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างนอก”

ผู้สื่อข่าวถามถึงการปิดสวิตซ์ ส.ว. ซึ่งต้องรวมเสียงในสภาให้ได้ 376 เสียง และอาจจำเป็นต้องพึ่งเสียงจากพรรคภูมิใจไทย นายพิธา ตอบประเด็นนี้ว่า ทุกฝ่ายต้องน้อมรับฉันทามติจากประชาชน การฝืนประชามติของพี่น้องประชาชนคงไม่มีประโยชน์กับฝ่ายไหนฝ่ายใดรวมถึง ส.ว.

ส่วนประเด็นการร่วมกับพรรคภูมิใจไทย นายพิธา ตอบว่า “ผมยังมั่นใจว่าตรงนั้นยังไม่มีความจำเป็น” และกล่าวต่อว่า สิ่งที่ได้สัญญาคือการพลิกขั้วจากฝ่ายค้านมาตั้งรัฐบาลเพื่อเป็นรัฐบาลแห่งความหวังของประชาชน รวมกันได้ 300 กว่าเสียงในระบบการเมืองปกติก็ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว ไม่คิดว่าจะมีใครกล้าฝืนฉันทามติ และทุกฝ่ายควรจะน้อมรับ เพราะประชาชนได้แสดงเจตจำนงแล้วว่าเขาต้องการเห็นอะไร

นายพิธากล่าวถึงการร่วมรัฐบาลกับพรรคเป็นธรรม ซึ่งเป็นพรรคที่พรรคก้าวไกลเป็นฝ่ายติดต่อไปเองว่า “เราเห็นถึงความตั้งใจในการทำงานเพื่อสันติใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ ลงพื้นที่ก็มีโอกาสแลกเปลี่ยน ความคิดตรงกันในการกำหนดอนาคตของ 3 จังหวัดชายแดน และเชื่อการกระจายอำนาจ เชื่อเรื่องความมั่งคั่งทางอาหารมากกว่าความมั่นคงทางทหาร และให้พลเรือนนำทหารน่าจะเป็นคำตอบ”

เซ็น MOU ร่วมรัฐบาล

นายพิธา กล่าวถึงการทำงานต่อจากนี้ว่า พรรคก้าวไกลจะเจรจาการจัดตั้งรัฐบาล และนำโรดแมปที่ได้สัญญาไว้ไปคุยพรรคร่วมรัฐบาล และพร้อมพาประเทศไทยไปสู่อนาคต ทำประชามติให้มี สสร. แก้ไขรัฐธรรมนูญ และพัฒนาเศรษฐกิจ ปากท้อง สร้างความเจริญเติบโตและลดความเหลื่อมล้ำไปพร้อมกัน หรือ Inclusive Growth

นายพิธา กล่าวต่อว่า ในการร่วมรัฐบาลต้องมีการเซ็น MOU เหมือนการเมืองสากล เพราะจะเห็นความคาดหวังในการทำงานและประชาชนเห็นได้ว่าสิ่งที่จะเกิดขึ้นภายในช่วง 100 วัน 1 ปี หรือสมัยแรกจะมีอะไรเกิดขึ้น

เมื่อถามถึงเงื่อนไขต่างๆ ในการร่วมรัฐบาล รวมถึงการแบ่งกระทรวง นายพิธา ตอบว่า “สิ่งสำคัญคือนโยบายปฏิรูปกองทัพและยกเลิกการเกณฑ์ทหารไม่ได้อยู่ที่ตัวกระทรวงเท่าไรนัก เป็นหลักการเจรจาของเรา ว่าแต่ละคนเห็นด้วยเห็นต่างอย่างไร”

พร้อมยกตัวอย่างปัญหาที่ดินว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่กระทรวงเดียว แต่มากถึง 7-8 กระทรวง

ผู้สื่อข่าวถามถึงความพร้อมในการนั่งตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม นายพิธา ตอบว่า “แน่นอนครับ ตำแหน่งนายกฯ หรือถ้ามีความจำเป็นต้องควบในกระทรวงต่างๆ เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างที่ผมตั้งใจ ก็พร้อมในทุกตำแหน่ง ในทางกลับกันถ้ามีคนที่เชี่ยวชาญการปฏิรูปกองทัพเข้าใจการทำให้กองทัพจิ๋วแต่แจ๋วแต่ทันสมัย ดูแลสวัสดิการพี่น้องทหารผู้น้อย และให้ความสำคัญกับสวัสดิการ และสิทธิมนุษยชน ก็ไม่มีปัญหา”

ส่วนการแก้ไขมาตรา 112 นายพิธา ตอบว่า มาตรา 112 “ทุกเรื่องยังไม่มีการพูดคุยในรายละเอียดนโยบาย การแก้ไข ไม่ใช่ยกเลิก สามารถทำได้ในสภา และจะทำให้เกิดการพูดคุยอย่างมีวุฒิภาวะ ทำอย่างละเอียดละไม รอบคอบ ฟังความคิดที่เห็นต่างๆ แต่ที่มากกว่าคือการทบทวนผู้ได้รับผลกระทบคดีทางการเมืองทั้งหมด และโอกาสในการนิรโทษกรรมสิ่งที่เกิดขึ้น”

ฟื้นศรัทธาระบบรัฐสภา

เมื่อถามถึงโอกาสเกิดรัฐประหาร นายพิธา กล่าวว่า “หมดเวลาการทำรัฐประหารในประเทศไทยแล้ว ผลการเลือกตั้งในครั้งนี้ ไม่ได้เป็นชัยชนะของพรรคก้าวไกลอย่างเดียว แต่เป็นชัยชนะของพี่น้องประชาชนที่เห็นว่าจะให้ประเทศไทยการเมืองดี ปากท้องดี มีอนาคต และต้องการรัฐธรรมนูญ เห็นประชาธิปไตยที่ไม่สะดุดลง เพราะการทำรัฐประหารเฉลี่ยทุก 7 ถึง 8 ปีก็ไม่มีพื้นที่ตรงนั้นเหลืออยู่แล้ว”

“ความขัดแย้งเป็นเรื่องปกติในสังคม และระบบที่จะแก้ไขความขัดแย้งที่ดีที่สุดคือระบบประชาธิปไตย เราต้องเรียกคืนศรัทธาที่ระบบรัฐสภาให้โปร่งใส มีประสิทธิภาพ ทำหลักนิติรัฐ-นิติธรรมให้เข้มข้น ถ้าระบบดี วิธีการแก้ไขความขัดแย้งในสังคมมีกระบวนการของมัน เพียงแต่ที่ผ่านมาเราไม่ยึดมั่นในระบบเดิม”

“ที่ผ่านมาคนรู้สึกว่าต้องใช้ทางลัดในทางการเมืองและไปหาวิธีอื่นคือรัฐประหาร มันทำให้เศรษฐกิจไปต่อไม่ได้และทำให้เราไม่มีสมาธิในการแก้ไขปัญหาต่างๆ เสรีภาพการแสดงออกเป็นเรื่องปกติ เราต้องสามารถรวบรวมความหลากหลายของประชาชนให้เป็นจุุดแข็งประเทศนี้ให้ได้ด้วยความอดทนอดกลั้น ความมีวุฒิภาวะในการพูดจา”

“ความสำเร็จของผมคือการทำตามสัญญากับประชาชน ทางรอดของประเทศไทยไม่ใช่ทางเลือก เราจะเอาเศรษฐกิจจากน้ำหยดจากบนลงล่าง มันไม่ได้เข้มแข็งเหมือนล่างขึ้นบน เราจะหนีตัวออกจากระบบโลกไม่ได้ เราต้องเป็นส่วนหนึ่งของระบบโลก ที่มีทั้งสิทธิมนุษยชนที่เท่าเทียมและวิธีคิดการทำงานที่ทำให้เราได้ประโยชน์จากโลกาภิวัตน์”

ยืนยันพร้อมจัดตั้งรัฐบาล

“ผมพร้อมที่จะตั้งทีมงานเปลี่ยนผ่านรัฐบาล ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องมีคณะทำงานร่วมกับทุกพรรค ให้เกิดการเปลี่ยนผ่านอำนาจ รัฐบาลอย่างมีรูปธรรมและมีประสิทธิภาพ ก็จะมีการเดินสายกับพี่น้องประชาชน ภาคประชาสังคม ข้าราชการ และผู้นำภาคธุรกิจและทุกภาคส่วน”

“สุดท้าย พร้อมที่จะเดินหน้าทำความเข้าใจกับคนที่อาจยังไม่เข้าใจกับนโยบายของพรรคก้าวไกลหรือคนเห็นต่าง เพื่อให้ผลการเลือกตั้งครั้งนี้เป็นฉันทามติจากพี่น้องประชาชน และพวกเราน้อมรับและทำงานร่วมกับทุกภาคส่วนได้เพื่อให้ผลดี ความตั้งใจของพรรคก้าวไกลพาประเทศไทยไปสู่อนาคต สู่ความเปลี่ยนแปลงที่มีประสิทธิภาพ มีอุดมการณ์และเป็นสิ่งที่พวกเราถวิลหาทุกคน”

สุดท้าย นายพิธา ยืนยันว่า พรรคก้าวไกลจะรีบจัดตั้งรัฐบาลให้เร็วที่สุดเพื่อไม่ให้มีสุญญากาศทางการเมือง หรือสุญญากาศทางเศรษฐกิจในช่วงที่ยังรอเวลา เพื่อให้ไม่มีความไม่แน่นอน และไม่มีความเสี่ยงใดๆ ต่อประเทศไทย