เปรมปพัทธ ผลิตผลการพิมพ์
ผมไปสหรัฐอเมริกาติดกัน 2 ฤดูกาลเลือกตั้งล่าสุด แม้ว่าครั้งหลังจะเป็นการไปแวะอยู่ไม่นานเพื่อต่อเครื่องไปอเมริกากลาง แต่สิ่งที่เห็นเด่นชัดอยู่ทุกครั้ง เช่นเดียวกับทุกคน คือ รถกระบะยกสูงคันโตโบกสะบัดธงชาติอเมริกันผืนใหญ่และเพลงคันทรีดังสนั่น ซึ่งก็เดาได้ว่า Donald Trump จะถูกติ๊กในบัตรเลือกตั้งของเขาในไม่กี่วันข้างหน้า
ผลสำรวจของ FiveThirtyEight ในปี 2018 พบว่า 72% ของผู้สนับสนุนพรรครีพับลิกันระบุว่าตนเอง “รักชาติมาก” ขณะที่มีเพียง 29% ของผู้สนับสนุนพรรคเดโมแครตที่ตอบแบบเดียวกัน ดูเหมือนว่าความรักชาติจะเกี่ยวข้องกับฝ่ายขวามากกว่า และพวกรีพับลิกันก็ชอบสถิติเช่นนี้ เพราะมันเปิดโอกาสให้พวกเขาได้กล่าวหาเดโมแครตว่า “เกลียดอเมริกา”
เมื่อพิจารณาจากอุดมการณ์พื้นฐานของทั้งสองพรรคว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น คงไม่เกินเลยที่จะสรุปว่า ฝ่ายอนุรักษนิยมให้คุณค่ากับ “ขนบธรรมเนียมและสถาบันเดิม” และต่อต้านการเปลี่ยนแปลงทางสังคมครั้งใหญ่ ในทางกลับกัน ฝ่ายก้าวหน้ามุ่งเน้นไปที่ “การเปลี่ยนแปลงทางสังคม” พยายามปฏิรูปสถาบันที่มีอยู่ และมีแนวโน้มที่จะท้าทายอำนาจมากกว่า สิ่งนี้เองเป็นโศกนาฏกรรมทางการเมืองยุคใหม่ ที่ทำให้หลายคนเชื่อว่า “คุณต้องเป็นฝ่ายอนุรักษนิยมถึงจะรักชาติได้” อีกนัยหนึ่งคือ ความรักชาติถูกผูกขาดเป็นเรื่องของฝ่ายขวาเท่านั้น
2 คำที่เกี่ยวข้องกับข้อความข้างต้น คือ Nationalist และ Patriot ซึ่งแปลว่า ชาตินิยมและรักชาติตามลำดับ ในภาพรวมคือความภาคภูมิใจในประเทศของตน แต่ทั้งสองคำมีความหมายและนัยทางการเมืองที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง โดยเฉพาะในบริบทของประวัติศาสตร์และการเมืองร่วมสมัย
หากจะขยายความอีกนิด “ความรักชาติ” คือการแสดงความรักต่อประเทศ โดยมุ่งไปที่การพัฒนาประเทศและแก้ไขปัญหาเพื่อทำให้ชาติดีขึ้น ในขณะที่ “การยึดถือชาตินิยม” ตั้งอยู่บนความเชื่อว่า ชาติของตนเหนือกว่าชาติอื่น และให้ความสำคัญกับอัตลักษณ์ทางเชื้อชาติ วัฒนธรรม หรืออำนาจของประเทศของตนมากกว่าความร่วมมือระดับโลก
ความรักชาติที่แท้จริงคืออะไร ในความหมายที่ลึกซึ้งที่สุด สามารถนิยามได้ว่า “เป็นความรักต่อสังคมของเรา” เป็นความรักที่ไม่ได้หมายถึงการสนับสนุนทุกสิ่งที่มีอยู่อย่างไม่มีเงื่อนไข ไม่ว่าเรื่องนั้นจะถูกต้องหรือไม่ก็ตาม แต่ที่อยู่บนความจริงที่ว่า เราจะต้องไม่เพิกเฉยต่อปัญหาที่สามารถแก้ไขได้ ความรักที่แท้จริงต้องมาพร้อมกับความกล้าหาญที่ชี้ให้เห็นจุดซึ่งต้องปรับปรุง แม้ว่าเรื่องนั้นจะเจ็บปวดก็ตาม
ในทำนองเดียวกัน ความรักชาติที่แท้จริงไม่ได้มาจากการโบกธงหลังรถกระบะ แต่คือสิ่งที่ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญสหรัฐอเมริกา “A More Perfect Union” และอาจหมายถึง การเข้าร่วมการประท้วง ต่อต้านกฎหมายและระบบที่ไม่เป็นธรรม และหมายถึง การเลือกตั้งผู้นำที่เคารพประชาธิปไตย และไม่เคยพยายามล้มการเลือกตั้งที่ชอบธรรม
ความไม่ไว้วางใจรัฐบาลและชนชั้นนำ ปัญหาการคอร์รัปชัน และความไม่ชอบธรรมโดยรัฐ ส่งผลให้แนวคิดเรื่องความรักชาตินี้กลายเป็นเครื่องมือในการควบคุมประชาชน รวมไปถึงคนรุ่นใหม่ที่เติบโตในโลกซึ่งเชื่อมโยงกัน มีความรู้สึกถึงการเป็น “พลเมืองโลก” มากกว่าการมีอัตลักษณ์แบบชาติเดียว คนรุ่นใหม่นี้เองยังมีแนวโน้มที่จะมองว่า ความรักชาติต้องไม่เป็นเครื่องมือจำกัดเสรีภาพของบุคคล เช่น การบังคับให้แสดงความศรัทธา รวมถึงเห็นประสบการณ์ที่ผิดพลาดในอดีตของฝ่ายที่ผูกขาดความรักชาติไว้ในหลายกรณี เช่น รัฐบาลหรือกลุ่มอนุรักษนิยมที่ใช้ความรักชาติเป็นเครื่องมือในการกดทับความเห็นต่าง นอกจากนี้ แนวคิด “Post-nationalism” ตั้งคำถามมาช้านานแล้วว่า รัฐชาติยังจำเป็นอยู่หรือไม่ในโลกที่เศรษฐกิจ วัฒนธรรม และปัญหาระดับโลก (เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ) เกี่ยวโยงกันมากขึ้น และไม่สามารถแก้ปัญหาได้ด้วยชาติใดชาติหนึ่ง
อีกนัยหนึ่ง ในยุคโลกาภิวัตน์ที่โลกเชื่อมโยงกันหมดแล้ว ซึ่งมีคำถามมากมายต่อความเป็น “รัฐชาติ” (nation-state) ครอบคลุมไปถึงคำถามที่ว่า เหตุใดแล้วเราจึงจะต้องปกป้องผลประโยชน์ของพลเมืองและวัฒนธรรมของเรา เหตุใดความสามัคคีและความรับผิดชอบต่อสังคมจึงยังสำคัญ เราจึงจำเป็นต้องท้าทายไอเดียความรักชาติแบบเดิม และถกเถียงกันถึงความรักชาติแบบก้าวหน้า
ในมุมมองทางเศรษฐกิจและการเมือง แนวคิด Liberal Nationalism หรือ Progressive Patriotism หรือ Global Patriotism ในความหมายเดียวกัน ซึ่งแปลได้ว่า ความรักชาติแบบสากล ตั้งอยู่บนฐานที่ว่า เราควรจะสนับสนุนอุตสาหกรรมในประเทศ ลดการพึ่งพาต่างชาติ และปกป้องอธิปไตยจากอิทธิพลของอำนาจหรือบรรษัทข้ามชาติ รวมถึงพัฒนาวัฒนธรรมและอัตลักษณ์ของชาติให้ยืนอย่างมั่นคงท่ามกลางกระแสโลกได้อย่างไร
หันกลับมามองที่ประเทศไทย จากข่าวล่าสุดทั้งเรื่องชุมชนชาวยิวในปาย จีนสีเทาในไทย และนโยบายการเปิดรับนักท่องเที่ยวที่เน้นปริมาณมากกว่าคุณภาพ ล้วนนำไปสู่คำถามที่ว่า การที่รัฐบาล (รวมถึงพรรคร่วมและพรรคฝ่ายค้านอื่นๆ ที่เพิกเฉยต่อกรณีเหล่านี้) เดินบนเส้นทางนี้ต่อไป ถูกต้องแล้วหรือ
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีนักท่องเที่ยวชาวอิสราเอลจำนวนมากเดินทางมาที่ปาย จนกลายเป็นชุมชนกึ่งถาวร และสร้างผลกระทบต่อวิถีชีวิตของคนในพื้นที่ การล้นทะลักเข้ามาในลักษณะนี้ ควรร่วมกันแก้ปัญหาผ่านการใช้นโยบายและกฎระเบียบบริหารจัดการนักท่องเที่ยวให้สมดุล และสนับสนุนแนวคิดเมืองท่องเที่ยวที่ยั่งยืน เพื่อให้ทั้งนักท่องเที่ยวและคนท้องถิ่นได้รับผลประโยชน์ มากกว่าการเหมารวมว่าชาวยิวกำลังทำลายปาย ซึ่งจะกลายเป็นเงื่อนไขให้ฝ่ายอนุรักษนิยมแบบสุดโต่งเรียกร้องให้ชาวต่างชาติถูกควบคุมหรือไล่ออก โดยวาทกรรมความเป็นภัยต่อวัฒนธรรมท้องถิ่น จนเกิดแนวคิดต่อต้านกลุ่มชาติพันธุ์และความเชื่อที่แตกต่าง รวมถึงนโยบายการกีดกันห้ามเข้าประเทศ
หรือกรณีกลุ่มอาชญากรจีนสีเทาที่ใช้ไทยเป็นฐานหรือทางผ่านในการแทรกซึมธุรกิจผิดกฎหมาย ทั้งการค้าสารเสพติด เปิดคาสิโนออนไลน์ ฟอกเงินผ่านอสังหาริมทรัพย์ และสแกม ซึ่งอย่างหลังกำลังเล่นกับความจริงใจและความรู้สึกไว้เนื้อเชื่อใจของผู้คนในสังคม สิ่งที่ควรเกิดขึ้นไม่ใช่การต่อต้านชาวจีนทั้งหมด นำไปสู่การเกลียดชังชาวต่างชาติ (Xenophobia) และเป็นประตูสู่การทำลายโอกาสทางเศรษฐกิจของประเทศ แต่คือการบังคับใช้กฎหมายเพื่อป้องกันกลุ่มอาชญากรรมข้ามชาติ อุดรูรั่วช่องว่างการกฎหมาย เป็นการมองว่า สิ่งนี้คือปัญหามาจากระบบและการคอร์รัปชัน ไม่ใช่ความเป็นเชื้อชาติของคนจีน ซึ่งสองกรณีนี้คือสิ่งที่เราควรถามว่า เราจะปกป้องผลประโยชน์ของชาติอย่างไร โดยไม่กลายเป็นการเหยียดเชื้อชาติหรือการกระทำสุดโต่ง หากแนวคิดชาตินิยมสุดโต่งคือ การเรียกร้องจนนำไปสู่การเหมารวมและแนวคิดต่อต้านต่างชาติ ความรักชาติแบบก้าวหน้าต้องเชื่อว่า สิ่งนี้จะถูกแก้ปัญหาด้วยกฎหมายและนโยบายที่สมเหตุสมผล
เมื่อมองในบริบทโรงเรียนแล้ว ความรักชาติแบบก้าวหน้านี้ แตกต่างจากค่านิยมที่ถูกปลูกฝังผ่านระบบบนการต่อต้านของคนรุ่นใหม่ ซึ่งเน้นการบังคับผ่านการยืนเคารพธงชาติทุกเช้า หรือจัดบอร์ดส่งเสริมค่านิยม 12 ประการ แต่ควรเป็นแนวทางที่ทำให้คนรุ่นใหม่ “รู้สึกเป็นเจ้าของประเทศ” และอยากมีส่วนร่วมในการพัฒนาสังคมของตนเอง เช่น สอนให้เข้าใจประวัติศาสตร์อย่างรอบด้าน ไม่ใช่แค่การยกย่องชาติ แต่รวมถึงการเรียนรู้ข้อผิดพลาดของประเทศและแนวทางพัฒนา, ทำให้นักเรียนเห็นความสำคัญของการปกป้องอุตสาหกรรมและผู้ประกอบการในประเทศ สนับสนุนธุรกิจในประเทศ เทคโนโลยีท้องถิ่น และอุตสาหกรรมสร้างสรรค์, ทำให้ความรักชาติเชื่อมโยงกับความเป็นธรรม ให้คนรุ่นใหม่และทุกๆ คนรักประเทศมากขึ้น เป็นความรู้สึกว่า ชาติเป็นของทุกคน ไม่ใช่ของคนบางกลุ่ม, ส่งเสริมการมีส่วนร่วมทางสังคม
ไม่ใช่แค่ให้รักชาติแบบท่องจำ แต่ให้ประชาชนมีพื้นที่แสดงออกในการพัฒนาประเทศ รวมถึงสนับสนุนความรักชาติที่มีความหมายเปิดกว้าง
ไม่ใช่แค่การรักรัฐบาลหรือศรัทธาต่อชนชั้นนำ แต่คือการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ สิ่งแวดล้อม และปัญหาในระดับสากล เป็นความรักชาติที่ยืดหยุ่น มีเหตุผล และเปิดกว้างต่อความแตกต่าง
ไม่ใช่เครื่องมือของรัฐในการควบคุมประชาชน ความรักชาตินี้ช่วยให้ประชาชนมีบทบาทในการสร้างชาติ ไม่ใช่แค่เชิดชูอดีต แต่ต้องทำให้ชาติเป็นสถานที่ที่น่าอยู่สำหรับทุกคนในปัจจุบันและอนาคต เป็นความรักที่ตั้งอยู่บนรากฐานของการเปิดรับการพัฒนาและเปลี่ยนแปลง บนความเชื่อต่อความเป็นธรรมทางสังคมและสิทธิพลเมือง ไม่เป็นการบังคับให้ใครต้องมารัก แต่สร้างสังคมที่ประชาชนเป็นเจ้าของและดูแลกันและกัน
โดยสรุปคือ ความรักชาติไม่ใช่การร้องเพลงชาติ แต่คือความเชื่อที่ว่า เราจะช่วยกันให้สังคมนี้ดีขึ้นสำหรับทุกคน
ไอเดียส่งเสริมความรู้สึกเป็นเจ้าของประเทศในโรงเรียน
ความรู้สึกว่า เราไม่ได้เป็นคนดูข้างสนาม แต่เป็นผู้เล่นคนสำคัญในการพัฒนาสังคม คือสิ่งที่ควรได้รับการส่งเสริมในโรงเรียนก่อนที่คนรุ่นใหม่จะถอยห่างจากการเมือง ผ่านการทำให้นักการเมืองและชนชั้นนำกลายเป็นเพียงมีมตลกไว้ขำขัน (memeified) มากกว่าความกล้าหาญที่จะตรวจสอบ ตั้งคำถาม และเปลี่ยนแปลง
แทนที่จะสอนให้นักเรียน “รักชาติแบบคลั่งชาติ” (Blind Nationalism) โรงเรียนต้องสนับสนุนให้เกิดแนวคิด “รักชาติแบบก้าวหน้า” (Progressive Patriotism) ซึ่งหมายถึง การรักชาติผ่านการพัฒนา สร้างสังคมที่เป็นธรรม และเคารพคุณค่าประชาธิปไตย
ส่วนจะสอนอย่างไร คงเป็นเรื่องที่สถานศึกษาต้องมีส่วนร่วมในการออกแบบ ซึ่งควรอยู่บนแนวทางหลักอย่างน้อย 5 ประการ
1. ให้นักเรียนเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่แค่รับฟัง
2. สอนให้รักชาติผ่านการลงมือทำ (Active Citizenship)
3. เน้นการพัฒนาชาติ ไม่ใช่แค่เชิดชูสัญลักษณ์
4. ส่งเสริมความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม
5. สร้างความรู้สึกเป็นเจ้าของประเทศที่แท้จริง
ส่วนสุดท้ายของบทความนี้ อาจเป็นไอเดียให้โรงเรียนได้มีกิจกรรมส่งเสริมให้ผู้เรียนเชื่อมโยงตัวเองกับสังคมไทยและสังคมโลก เช่น